พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 508 ก็ย่อมได้
“ท่านอารอง! ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
ท่านชายเฉิงสี่นั่งรอกลางโถงอยู่นานแล้ว พอเห็นนายรอง
เฉิงเดินออกมาก็เอ่ยขึ้นในทันใด
ยามนี้ฟ้าสว่างโร่ เดิมทีตอนนี้เขาควรจะอ่านตำราอยู่ เพราะ
การสอบใกล้เข้ามาถึงในอีกไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แม้แต่เมื่อคืนวานเขา
ยังทำได้เพียงร่วมงานเลี้ยง ไม่ทันได้ออกไปชมโคมไฟก็กลับไปเสีย
ก่อนแล้ว ทว่าฟ้าไม่ทันสางก็มีบ่าวมาบอกข่าว จนเขาไม่มีกะจิตกะ
ใจจะอ่านหนังสืออีกต่อไป
“นั่นเป็นกิจการที่น้องสาวได้มาอย่างยากลำบาก ท่านอารอง
ทำเช่นนี้…ทำเช่นนี้ได้อย่างไร…”
นายรองเฉิงหน้าถมึงทึงเบิกตาโพลง
“เจ้าอ่านตำราจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ” เขาเอ่ย “เจ้าไม่รู้
กฎหมายหรืออย่างไร”“เพียงแต่ท่านอารอง เรื่อง…เรื่องเช่นนั้นหากไม่มีใครฟ้องร้อง
ทางการก็ย่อมเอาผิดไม่ได้…” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
นายรองเฉิงส่งเสียเย้ยหยัน
“ไม่มีคนฟ้องทางการก็เอาผิดไม่ได้ นั่นเป็นเพราะไม่เกิด
ปัญหาอันใด” เขาเอ่ยพลางชี้นิ้วไปด้านนอก “แล้วตระกูลเรา
ไม่มีปัญหาหรืออย่างไร เพราะเหตุใดข้าถึงถูกร้องเรียนไม่ไว้วางใจ
เหตุใดนางถึงได้ถูกคนเกลียดชังจะฆ่าจะแกง หากไม่ใช่เพราะนาง
ทำการสะเพร่าเผยจุดอ่อนให้คนเล่นงาน”
จุดอ่อนอย่างนั้นหรือ!
ท่านชายเฉิงสี่มิใช่คนช่างพูด ทั้งยังเคารพนบนอบญาติผู้ใหญ่
มาตลอด ทว่าพอได้ยินนายรองเฉิงพูดเช่นนี้ ใบหน้าของก็แดงก่ำ
ด้วยความโกรธ
“นั่น…นั่นเป็นเพราะว่าท่านอารองประพฤติตนไม่เหมาะสม
ตั้ง
แต่แรก…” เขาเอ่ยเสียงอึกอัก
“อกตัญญู!” นายรองเฉิงตวาดลั่น “เจ้าพูดจากับข้าเช่นนี้ได้
อย่างไร”ท่านชายเฉิงสี่ก้มหน้าลง ยามนี้เขาสั่นไปทั้งตัว
“เห็นหรือยัง เห็นหรือยัง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะนาง
ไม่เคารพฟ้าดิน ไม่เขาเคารพพ่อแม่ จนพวกเจ้าพากันเอาเยี่ยงอย่าง
เช่นนี้” นายรองเฉิงเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดพลางเดินวนไปมาไม่หยุด
“แม้แต่เด็กบ้านนอกซื้อที่นาสักผืนยังรู้เลยว่าต้องอยู่
ในนามของพ่อแม่หรือปู่ย่าของตน แล้วนางล่ะเป็นถึงลูกสาว
เจ้าขุนมูลนาย ทำเรื่องอัปยศเช่นนี้ จะมีเหตุผลอื่นใดไปได้อีก!”
“เพื่อเปลี่ยนชื่อในหนังสือพวกนั้นก่อนที่ใครจะล่วงรู้เข้า เข้า
ต้องลงทุนลงแรง ต้องไปอ้อนวอนคนสักเท่าไหร่”
“แล้วเจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือว่าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ข้า
ทำเช่นนี้ได้อย่างไรน่ะหรือ เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าข้าควรทำ
เช่นไร”
“เด็กเมื่อวานซืน! กล้าดีอย่างไรถึงได้สั่งสอนผู้อาวุโสอย่างข้า!
อ่านตำราไปถึงไหนแล้ว! ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้า!”
ท่านชายเฉิงสี่ถูกด่าเสียจนไม่มีชิ้นดีก็รีบคำนับก่อนจะกุมหน้า
แล้วเดินออกไปหากเทียบกับอารมณ์ของนายรองเฉิงในตอนนี้ ฮูหยินรองเฉิงที่
รีบมาหาเฉิงเจียวเหนียงที่เรือนตั้งแต่เช้านั้นอารมณ์ดียิ่งนัก
“เจียวเจียว ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีต่อเจ้า”
นางเอ่ยน้ำเสียงกระวนกระวายใจไม่น้อย
“ฮูหยินพูดจาน่าขันนัก ข้าเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่า
การแย่งสมบัติผู้อื่นนั้นทำไปเพราะหวังดี” สาวใช้หัวเราะเอ่ย
“เจียวเจียวเป็นคนอื่นหรืออย่างไร” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยขึ้นใน
ทันใด พลางเหลือบตามองสาวใช้อย่างไม่สบอารมณ์นัก “แล้วนาย
ท่านเป็นคนอื่นหรือ”
สาวใช้มองฮูหยินรองเฉิงแล้วหัวเราะออกมา
“ฮูหยินเปลี่ยนไปนะเจ้าคะ” นางเอ่ย
แม้ดูเหมือนเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่ฮูหยินรองเฉิงก็เข้าใจใน
ทันใด
ใบหน้าของนางเริ่มปรากฏสีแดงเลือดฝาดขึ้นมา
คำพูดนั้นหมายความว่าแต่ก่อนตนนั้นปฏิบัติต่อเจียวเหนียง
ดีมากเพียงใด ก็เท่ากับนับหน้าถือตาสาวใช้นางนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้น
แต่ยามนี้พอเปลี่ยนชื่อแซ่ในหนังสือทางการ ครอบครองกิจการ
เหล่านั้นอยู่ในมือแล้ว นางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ก็อย่างว่าแหละหนาพอมีสมบัติก็อุ่นใจ ทำอะไรก็ทั้งท่า
วางมาดไปเสียหมด
ยามนี้นางไม่ต้องพึ่งพาเงินทองของผู้อื่นเลี้ยงปากท้องของ
ตัวเองแล้ว เพราะตอนนี้เงินทั้งหมดอยู่ในมือของนาง แม้ยามนี้
จะเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว แต่พอนานวันเข้า หนังสือทางการอยู่
กับมือนางเช่นนี้ จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นมิใช่หรือ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีอะไรต้องกลัวอีก
“ยามนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว” นางเอ่ยคลุมเครือ ไม่สนใจ
สาวใช้อีกต่อไป ก่อนจะพูดกับเฉิงเจียวเหนียงต่อ “ยามนี้กิจการของ
เจ้ากำลังรุ่งเรือง ท่านพ่อเจ้าก็เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา ไม่มีเส้นสาย
ไม่รู้ว่ามีผู้ใดจ้องจับตาพวกเราอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง คนที่หวัง
จะทำลายชื่อเสียงของเจ้า ทำลายอนาคตของท่านพ่อเจ้า”
“ท่านพูดถูก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คำนี้อีกแล้วหรือฮูหยินรองเฉิงมองนางอย่างอดไม่ได้
ตั้ง
แต่เมื่อคืนวานที่นายรองเฉิงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด หญิงผู้
นี้ก็มิได้เดือดดาล มิได้อาละวาดยกใหญ่ ตอนนั้นนางเอ่ยเพียงแค่
ประโยคนี้ก็ลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป พวกนางสองสามีภรรยา
นอนไม่หลับทั้งคืน พอฟ้าสางก็รีบมาที่นี่ แต่หญิงผู้นี้กลับยัง
ไม่ตื่นนอนเสียอย่างนั้น…
ท่าทางเมื่อคืนวานนางคงหลับสนิทดี…
จะไม่เป็นอะไร…จริงๆ หรือ
“เจียวเจียว ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับเจ้า หวังดีกับ
ตระกูลเฉิงของเราจริงๆ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยย้ำความตั้งใจ
“แล้วเหตุใดถึงไม่เปลี่ยนเป็นชื่อของนายรองเฉิง แต่กลับเป็น
ชื่อของท่านละเจ้าคะ” ปั้นฉินถามออกมาอย่างอดไม่ได้
นางขอบตาเขียวช้ำ ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนคง
นอนหลับไม่ดีนัก
“ก็เพราะหวังดีกับเจียวเจียวอย่างไรเล่า” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยขึ้น
ในทันใด “หากเปลี่ยนเป็นชื่อของท่านพ่อนาง เช่นนั้นก็เท่ากับกลายเป็นของตระกูลเฉิงมิใช่หรือ เป็นของนายใหญ่เช่นกันมิใช่หรือ
ท่านพ่อของเจ้าไม่ได้คิดเป็นอื่นใด แต่คนตระกูลเฉิงคนอื่นนั้นก็
ไม่แน่”
ปั้น
ฉินกัดริมฝีปากล่าง อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
พอเห็นสาวใช้ได้แต่นั่งเงียบภายในห้อง ฮูหยินรองเฉิง
แสดงท่าทีลำพองใจอย่างไม่ปกปิด
ถึงได้บอกอย่างไรเล่าเช่นนี้และสมเหตุสมผลแล้ว ผู้ใดก็เถียง
ไม่ได้!
“เจียวเจียว เจ้าวางใจเถิด ทั้งหมดนี้ก็ทำไปเป็นพิธีเท่านั้น มิได้
หมายความทั้งหมดจะกลายเป็นของข้า” นางเอ่ยน้ำเสียงห่วงใย
“ทั้งหมดเป็นของเจ้า เจ้าเป็นคนตัดสินใจ แม่นางปั้นฉินก็ยังคงเป็น
ผู้ดูแลใหญ่เช่นเดิม วันหน้าเจ้าแต่งงานออกเรือนไป เจ้าก็เอาไปได้
ทั้ง
หมด”
ภายในห้องยังคงเงียบสงัด
บรรยากาศนั้นทำให้ฮูหยินรองเฉิงเริ่มคอแห้งผากขึ้นมา
ราวกับว่าตนเองกำลังเล่นละครฉากใหญ่อยู่คนเดียวมิปาน“เจียวเจียว เจ้าไม่เชื่อช้าหรือ ข้ากับท่านพ่อของเจ้า…” นาง
เอ่ยเสียงตัดพ้อ
“ข้าเชื่อ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขัดนาง
หะ
ฮูหยินรองเฉิงประหลาดใจไม่น้อย ก่อนจะเงยหน้ามองนาง
“หากท่านเชื่อ ข้าก็เชื่อ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นางพูดจบก็มองดูหนังสือที่ถูกยื่นให้ตรงหน้า หนังสือที่ถูกนาย
รองเฉิงเปลี่ยนชื่อของนางเป็นอื่น
“ปั้นฉิน” นางเอ่ย
ปั้น
ฉินขานรับ คลานเข่าเข้ามารับหนังสือเหล่านั้นไว้
“เผาทิ้งเสีย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เผาอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินรองเฉิงตกใจจนยกมือขึ้นกุมอก ปั้นฉินเองก็หันไปมอง
เฉิงเจียวเหนียงด้วยความตกใจเช่นกัน
เอาจริงหรือทว่าสาวใช้อีกนางกลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด นาง
ขานตอบ ก่อนจะโยนหนังสือเหล่านั้นลงเตาไฟอย่างไม่ลังเล
ควันไฟลอยขึ้นเบื้องหน้า หนังสือสองสามฉบับติดไฟจนม้วน
งอ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
ทำเช่นนี้หรือ
ฮูหยินรองเฉิงได้แต่นิ่งชะงักไป
“ฮูหยินยังมีธุระอันใดอีกไหมเจ้าคะ” เสียงของสาวใช้เรียกสติ
นางกลับคืนมา
“ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงตอบในทันใดก่อนจะลุกยืน
ขึ้น นางคิดอะไรได้บางอย่างก็รีบเอ่ยขึ้น “เจียวเจียวหากเจ้าต้องการ
สิ่งใด ก็ให้คนมาบอกกับข้า…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นนางสาวใช้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งยิ้มกรุ้มกริ่ม
มองมาทางนาง
“…บอกกันปั้นฉิน อยากจะทำอันใดก็บอกข้าก็พอ” ฮูหยินรอง
เฉิงพลิกลิ้นทันควัน
สาวใช้มองนางทว่าไม่เอ่ยคำใดคนในห้องนี้ล้วนแต่พิลึกคนทั้งนั้น ฮูหยินรองเฉิงไม่อยากจะอยู่
ที่นี่นานไปกว่านี้ จึงเอ่ยลาแล้วขอตัวกลับไป
เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ
ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ฮูหยินรองเฉิงไม่อยากจะเชื่อนัก ก่อนจะเหลียวกลับไปมองอย่า
งอดไม่ได้
“หากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะเป็นเช่นไรได้อีก” นายรองเฉิงเอ่ย
เสียงฮึดฮัด “เรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมเช่นนี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่
ทำได้! ยังจะหวังให้ข้ารักใคร่เอ็นดูนางอีกหรือ!”
เขาพูดจบก็ทอดถอนใจออกมา หยัดกายกับโต๊ะแล้วยืดหลัง
ตรง ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย
“เจ้าคิดดูตั้งแต่เล็กจนโตนางก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้ามาแล้วกี่หน
!”
“ดวงกินนายใหญ่ ดวงกินแม่ตัวเอง ยังจะมาทำลายอนาคตข้า
อีก”“แต่ยามนี้อนาคตท่านก็ราบรื่นแล้วนี่เจ้าค่ะ” ฮูหยินรอง
เฉิงเอ่ยย้ำเตือน “ล้วนแต่เป็นเพราะนาง”
“เพราะฮ่องเต้เมตตาต่างหากเล่า! หากไม่เป็นเช่นนั้นยามนี้ข้า
คงนั่งคุกเข่าอยู่ที่กรมขุนนางแล้ว” นายรองเฉิงขมวดคิ้วเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงได้แต่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
ที่แม่นางเฉิงเจ็ดเกลียดชังเฉิงเจียวเหนียง นั่นเป็นเพราะกลัวว่า
นางจะแย่งความรักจากท่านพ่อไป แต่อันที่จริงนางไม่เคยได้รับ
ความรักเลยต่างหาก
มีลูกสาวเป็นศิษย์เทพเซียน ทั้งยังร่ำรวยและสร้างคุณ
งามความดี หากนายรองเฉิงเชื่อฟังนางดั่งพระโพธิสัตว์ละก็ คนเป็น
พ่อหม้ายอย่างเขาคงไม่แต่งงานใหม่จนมีพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้
ความจริงแล้วนางทั้งอิจฉา ทั้งหวาดกลัว ทั้งอยากจะใกล้ชิด
ทั้ง
ยังเกลียดชังหญิงนางนี้นัก
“อย่าได้คิดเพ้อเจ้อ ยามนี้เรายืนด้วยลำแข้งได้แล้ว เจ้า
เตรียมการให้คนไปบอกข่าวกับเหล่าคนที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน คนพวกนั้นจะไม่พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด มิเช่นนั้นพวกเราจะพาลซวยเข้าให้
” นายรองเฉิงเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงขานตอบ พลางมองไปที่กล่องผ้าไหมอย่างปลื้ม
ปริ่ม
เมื่อถึงวันสุดท้ายของเทศกาลโคมไฟ แม่นางเฉิงเจ็ดก็ไม่ได้
ออกไปเที่ยวชมโคมบนท้องถนนอย่างใจหมาย ทำได้เพียงงอแงอยู่
ในเรือน ทว่าฮูหยินรองเฉิงเองก็ยุ่งจนนั่งไม่ติดที่ ไม่มีเวลาสนใจนาง
ขณะเดียวกันบ่าวหญิงชายสิบกว่าคนจากเรือนฝั่งแม่ของ
ฮูหยินรองเฉิงก็มาถึง ฮูหยินรองเฉิงราวกับเสือติดปีก รีบแจกจ่าย
งานให้พวกนาง เหลือไว้ติดตามข้างกายไม่กี่คน ส่วนที่เหลือก็ส่งไปที่
ร้าน
“เพิ่มคนงานหรือ”
พอเห็นคนที่ถูกส่งมาเพิ่มอย่างกะทันหัน เหล่าผู้ดูแลร้านต่างก็
พากันตกใจ
“ไม่ได้ขาดคนเสียหน่อย”พอเห็นสาวใช้ยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่อย่างนั้น ฮูหยินรองเฉิงกลับ
ยิ่งหาเหตุผลมาสาธยายต่อได้อย่างไหลลื่น
“เล่นละครก็ต้องให้แนบเนียนหน่อยมิใช่หรือ” นางเอ่ย “แค่
แสร้งทำไปอย่างนั้น ให้พวกเขาช่วยงานเล็กน้อยพอเป็นพิธีก็ได้ อย่า
ได้ใส่พวกเขานัก”
ตอนนี้ไม่ต้องใส่ใจ แล้ววันหน้าเล่า
“แม่นางปั้นฉิน ตะ…ตอนนี้เปลี่ยนเฒ่าแก่แล้วจริงๆ หรือ”
ผู้ดูแลอู๋ถาม
“ก็ใช่น่ะสิ คราวนี้มิใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นคนใน พวกเรา
คนในจะทะเลาะกันเองหรือ ไม่อายเขาหรืออย่างไร” สาวใช้เอ่ย
“นั่นสินะ เป็นกฎแห่งสวรรค์ กฎหมายบ้านเมืองก็มีบัญญัติไว้
…” ผู้ดูแลร้านคนอื่นๆ ทอดถอนใจ “แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า”
คนในร้านไม่ได้ใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นัก ส่วนคนที่
ข้องเกี่ยวกับหุ้นเงินปันผลก็ได้รับหนังสือฉบับใหม่แล้วเช่นกัน
“นี่มัน…” ฟ่านเจียงหลินมองกระดาษที่ถูกยื่นให้ ก่อนจะตบ
โต๊ะดังฉาดด้วยความโมโห “ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ!”“แล้วจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ” แม่นางหวงถาม สีหน้าเป็นกังวล
ฟ่านเจียงหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ทำอย่างไรหรือ
นายรองเฉิงทำเช่นนี้ก็มีเหตุมีผลอยู่หรอก นอกเสียจากลอบทุบ
หัวนายรองเฉิงให้สาแก่ใจสักหน ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วจริงๆ
เพียงจะตีเขาก็คงไม่ได้ หากอาละวาดขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงแต่
จะทำลายอนาคตตัวเอง แต่น้องสาวก็จะพลอยโดยหางเลขไปด้วย
ฟ่านเจียงหลินยกมือขึ้นทุบหัวตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่
หัวสมองงี่เง่านี้ไม่เคยคิดการอันใดออกเลย หากน้องสามยังอยู่
ก็คงดี
พอนึกถึงสวีเม่าซิว ลำคอของฟ่านเจียงหลินก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
เสียอย่างนั้น เขาหันหลังกลับเพื่อปิดปังไม่ให้ผู้อื่นเห็น
เทียบกับฟ่านเจียงหลินที่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ภายในของ
พ่อลูกคู่นี้แล้ว ร้านดอกไม้ตระกูลหลี่กลับไม่มีปากเสียงแต่อย่างใด
พอเห็นหนังสือฉบับใหม่ที่ยื่นมาให้ นายใหญ่หลี่ก็เข้าใจใน
ทันใดทั้งยังรู้สึกผิดไม่น้อย“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว เป็นเพราะข้าคิดน้อยไปเอง เกือบ
ทำให้แม่นางถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญูเสียแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
ทันใด พลางรับหนังสือที่ถูกเปลี่ยนชื่อเสร็จสรรพ ก่อนจะสั่งให้คนนำ
คู่ฉบับของตระกูลตนออกมาแล้วเผาทิ้งต่อหน้าพ่อบ้านที่นายรองเฉิง
ส่งตัวมา
“ท่านเข้าใจเช่นนั้นก็ดีแล้ว หากลูกหลานตระกูลท่านทำเช่นนี้
ท่านจะทำเช่นไร ยิ่งตอนนี้นายท่านกับแม่นางของข้าถูกจับตามอง
อยู่ด้วย…” พ่อบ้านของนายรองเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ก็ย่อมต้องโบยให้ขาหักน่ะสิ!” นายใหญ่หลี่เอ่ยเสียงขึงขัง
ก่อนจะโค้งคำนับให้ “ขอแม่นางและนายท่านอย่างได้ถือโทษข้าเลย”
เขาพูดไปพลางมือก็ยื่นซองแดงให้
พ่อบ้านของนายรองเฉิงยิ้มร่าในทันใด ก่อนจะรับซองแดง
มาอย่างดีอกดีใจแล้วขอตัวลา
“เพียงแต่เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นชื่อของแม่เลี้ยงนางเล่า” หลี่
เม่าขมวดคิ้วเอ่ย“อย่าลืมล่ะ นายรองเฉิงก็คือนายรองเฉิง” นายใหญ่หลี่เอ่ย
พลางลูบเครา “แม้จะเป็นนายรองแต่ไม่เป็นรอง… เล่นกลโกงเก่ง
ไม่เบา…”
พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็เกิดความคิดขึ้นมา สายตากวาดมอง
ไปยังเหล่าคนนั่งอยู่ในห้องโถง
“ว่าไปแล้วก็ตรวจดูของตระกูลเราเสียหน่อย” เขาเอ่ยน้ำเสียง
เคร่งขรึม “ดูซิว่าสินเดิมของเหล่าสะใภ้ หลายปีที่ผ่านมานี้มีกำไร
งอกเงยมาเท่าไหร่”
พอได้ยินคำนั้น ทุกคนในห้องก็หน้าถอดสี
ในตระกูลที่ไม่แบ่งแยกเรือนใหญ่เรือนรอง เพื่อ
รักษาผลประโยชน์ของตัวเองก็ย่อมต้องให้เล่ห์กลมากมาย การ
อ้างว่าเป็นผลกำไรจากสินเดิมของสะใภ้นั้นเป็นวิธีการพบเห็นได้
ทั่วไป
นายรองเฉิงทำเช่นนี้ได้ เหล่าลูกหลานของตระกูลหลี่ก็ย่อม
ทำได้เช่นกัน นึกไม่ถึงเลยว่ากระดาษเพียงแผ่นเดียวจะทำให้นายใหญ่หลี่เฉิงฉุกคิดได้เช่นนี้ ดูท่าทางกลโกงนี้คงจะจบสิ้นลงในปี
นี้เสียแล้ว
คนในโถงต่างเอาแต่กลัดกลุ้ม ทว่าหลี่เม่ากลับไม่สนใจ
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยทำเช่นนั้น ยามนี้ยิ่งไม่คิดอยากได้เศษ
เงินพวกนั้น เพียงแต่พอเห็นใบหน้าถมึงทึงของนายใหญ่หลี่แล้วก็
ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
“นายรองเฉิงเล่นอุบายเช่นนี้ นายรองเฉิงย่อมรู้แจ้งอยู่แก่ใจ
แม้แต่ท่านพ่อเองยังมองออก แล้วนายใหญ่เฉิงจะไม่รู้เลยหรือ
อย่างไร” เขาถาม