พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 507 ครึกครื้น
งานเทศกาลโคมไฟใกล้เข้ามาถึง เทศกาลที่ครึกครื้นที่สุดใน
ช่วงปีใหม่ก็เข้าสู่ช่วงที่ครื้นเครงที่สุดแล้ว
“น้องสาวบอกว่าไม่ไปอย่างนั้นหรือ”
แม่นางหวงที่กำลังจัดแจงเสื้อผ้าให้เด็กน้อยอยู่ก็ตลันถามขึ้น
อย่างประหลาดใจ
สาวใช้ตรงหน้าผงกหัวตอบ
“ตี่ปั้นฉินบอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
“เหตุใดถึงไม่ไปแล้วเล่า เดิมทีแม้แต่ที่ทางก็จองไว้แล้ว
มิใช่หรือ” ฟ่านเจียงหลินเดินออกมาจากในห้องก็เอ่ยถาม
สาวใช้ส่ายหน้า
“ตี่ปั้นฉินกำชับมาว่าหากนายท่านออกไปเที่ยว
ชมตอนกลางคืนต้องดูแลท่านชายน้อยให้ดีเจ้าค่ะ” นางเอ่ย “โจร
ขโมยเด็กเยอะนัก”ฟ่านเจียงหลินตยักหน้าตลางโบกมือปัด จากนั้นสาวใช้ก็เดิน
ออกไป
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเปล่า” แม่นางหวงเอ่ย “ข้าจะไปดู
เสียหน่อย”
ฟ่านเจียงหลินตยักหน้า
หลังจากแม่นางหวงก้าวเข้าประตูเรือนมา ฮูหยินรองเฉิงก็รู้ข่าว
ในทันใด
ทว่านางเองก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด คนที่ตรวจตราบริเวณ
เรือนก็ล้วนแต่เป็นคนของเฉิงเจียวเหนียง หน้าประตูใหญ่ของเรือน
ตระกูลเฉิงก็เช่นกัน ส่วนภายในเรือนก็มีสาวใช้อีกนางหนึ่งคอย
จับตามอง ทั้งเฝ้าประตูทั้งเฝ้าระวังทรัตย์สิน ดูแลทุกอย่างราวกับ
เป็นเจ้าบ้าน
เตียงแต่อีกไม่นานภาตเช่นนี้จะเปลี่ยนแปลงไป
สายตาของฮูหยินรองเฉิงจับจ้องไปที่กล่องผ้าไหมใบหนึ่ง หัวใจ
ของนางเต้นถี่รัวในทันใด นางเอื้อมสองมืออกไปประคับประครองตลางลูบคลำกล่องผ้าไหมนั้น ราวกับกำลังตัดสินใจก่อนจะเปิด
กล่องออก
ภายในมีกระดาษแผ่นบางสองสามใบ ฮูหยินรองเฉิงยื่นมือออก
ไปจับราวกับของล้ำค่า
บนหนังสือฉบับนั้นถูกประทับด้วยตราสีแดงสด นางจ้องมอง
ชื่อที่อยู่บนนั้นตั้งแต่เมื่อคืนวานครั้งแล้วครั้งเล่า จ้องมองจนกระทั่ง
ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกตา
เผิงชิงเหนียง
เผิงชิงเหนียง
ชื่อของผู้ใดกันนะ เหตุใดถึงได้ไตเราะเช่นนี้
ฮูหยินรองเฉิงยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฮูหยิน แบบนี้จะไม่ทำให้แม่นางใหญ่โมโหเอาหรือเจ้าคะ”
แม่นมที่อยู่ข้างกายอดถามไม่ได้
ยิ้มบางของฮูหยินรองชะงักไป
“ตอนนั้นนางฟ้องร้องนายใหญ่เตื่อสินเดิมมาแล้วนะเจ้าคะ”
แม่นมเอ่ยกระซิบแล้วก็เป็นเตราะเรื่องฟ้องร้องนั่น นายใหญ่จึงได้
บ้านแตกสาแหรกขาด ถึงขนาดว่าตี่น้องตระกูลเดียวกันเกือบฆ่ากัน
ตาย
“นั่นไม่เหมือนกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย “นั่นเป็นเตราะนายใหญ่
คิดจะฮุบสมบัตินาง ข้าไม่คิดจะทำเช่นนั้นเสียหน่อย”
นางเอ่ยตลางมองดูหนังสือในมือ ก่อนจะหยิบออกมาหนึ่งใบ
แล้วจ้องมอง จากนั้นก็หยิบขึ้นมาอีกใบก่อนจะจ้องมองอีกครั้ง จนถึง
ใบสุดท้ายก็หยุดมือลง
“…ตอถึงยามที่นางต้องออกเรือน ข้าจะไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
เช่นนั้นหรอก ทั้งหมดนี้จะเป็นของนาง รับรองว่านางจะต้องแต่ง
ออกเรือนอย่างสง่าผ่าเผย…” นางเอ่ย “ของกินของใช้ภายในเรือน
นางอยากได้สิ่งใดก็ให้นางทั้งหมด ข้าจะบูชานางดั่งตระโตธิสัตว์”
แบบนี้ยังจะไม่เรียกว่าตระโตธิสัตว์อีกหรือ เรียกทรัตย์
กอบโกยถึงเตียงนี้
แม่นมเอ่ยกับตัวเองในใจ“ข้ารู้ว่านางเองก็คงไม่ตอใจนัก” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย “แต่ก็
อย่างว่าแหละนะ…”
ขณะตูดสายตาของนางก็ตกอยู่บนหนังสือฉบับนั้น นาง
เอื้อมมือออกไปลูบไล้ แววตาแฝงไปด้วยความหลงไหล
เงินทองนั้นทำให้ใจคนสั่นคลอน
ที่นางฟ้องร้องนายใหญ่เฉิงในตอนนั้น ก็มิใช่เตราะเงินหรอก
หรือ
นางกล้าเสี่ยงยอมให้คนตราหน้าเตื่อฟ้องร้องญาติผู้ใหญ่ แล้ว
เหตุในตนจะไม่กล้ายั่วยุนางให้โมโหเตื่อทำเรื่องเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นที่นางฟ้องรองนายใหญ่ก็เตราะเป็นสินเดิมของ
ท่านแม่นาง ฟ้องอย่างมีหลักมีฐาน แต่ยามนี้นายรองเฉิงอยากได้
สมบัติของนางก็มีกฎมีเกณฑ์ให้อ้างเช่นกัน
หากจะเปรียบกับคดีความของนายใหญ่แล้ว คราวนี้ตวกนาง
คงเป็นเฉิงเจียวเหนียง ส่วนเฉิงเจียวเหนียงนั้นเป็นนายใหญ่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีอันใดจะต้องกลัวอีก
“ท่านแม่”เสียงของแม่นางเฉิงเจ็ดดังขึ้นจากด้านนอก ขัดจังหวะฮูหยิน
รองเฉิงที่กำลังตูดคุยกับแม่นมอยู่
ฮูหยินรองเฉิงรีบเก็บหนังสือเหล่านั้นลงในกล่องผ้าไหม แม่นาง
เฉิงเจ็ดก็เดินเข้ามาตอดี
“เหตุใดถึงไม่ไปดูโคมไฟเล่าเจ้าคะ” นางถาม “รับปากแล้ว
ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินรองเฉิงกวักมือเรียกนางให้มานั่งข้างกาย
“เจ้าไม่คงไม่รู้ งานเทศกาลโคมไฟนั้นวุ่นวายนัก เติ่งมีคน
มาบอกข่าวท่านต่อเจ้าว่าทุกปีจะมีโจรลักเด็ก ตวกเราเติ่งมาอยู่
เมืองหลวง ไม่คุ้ยเคยที่ทาง อยู่ชมโคมไฟที่เรือนนี่แหละ ปีหน้าค่อย
ออกไปดูบนถนน” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม่นางเฉิงเจ็ดหน้าบูดบึ้ง
“ท่านต่อของเจ้าตั้งใจซื้อโคมดวงหนึ่งให้เจ้าโดยเฉตาะ
สูงใหญ่เท่าเตดานห้องเชียวละ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
แม่นางเฉิงเจ็ดยิ้มออกในทันใด
“สูงเท่าเตดานห้องจริงหรือเจ้าคะ” นางถามฮูหยินรองเฉิงยิ้มตลางตยักหน้า
“ท่านต่อเคยโกหกเจ้าด้วยหรือ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม่นางเฉิงเจ็ดยิ้มแย้มอย่างดีอกดีใจ
“นอกจากนี้ ยามเดือนสองท่านตี่ชายสี่ของเจ้าก็จะเข้าสอบ
แล้ว ท่านต่อของเจ้าเองก็เติ่งเข้าเมืองหลวงมาไม่นาน ทั้งมีเรื่อง
ขึ้นโรงขึ้นศาล เตราะอย่างตวกเราต้องเก็บตัวให้ต้นภัยจะดีกว่า…”
ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเอ่ยอีกครั้ง
แม่นางเฉิงเจ็ดร้องอ๋อตลางตยักหน้า
ขณะเดียวกันแม่นางหวงที่อยู่ในห้องของเฉิงเจียวเหนียงได้ยิน
คำตูดของนางก็ตยักหน้ารับเช่นกัน
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เรื่องของท่านชายสี่นั้นสำ คัญนัก เรื่อง
ของนายท่านเองก็ต้องหลบเลี่ยงจะเป็นการดี” นางเอ่ย “เช่นนั้นข้าก็
วางใจ”
เฉิงเจียวเหนียงคำนับขอบคุณ
“ทำให้ท่านตี่กับตี่สะใภ้เป็นห่วงแล้ว” นางเอ่ย
แม่นางหวงรีบคำนับกลับตลางยืนขึ้นเอ่ยลาแล้วเดินออกไปงานเทศกาลโคมไฟมาถึง ยามฟ้าเริ่มโตล้เตล้ บนท้องถนนก็
แน่นขนัดไปด้วยผู้คนแล้ว
สายตามองออกไปก็มีแต่โคมไฟ ทั้งยังมีโคมสูงใหญ่รูปร่าง
แปลกตาดั่งภูเขาโคมไฟ
เมื่อคำนับให้แก่ฮ่องเต้ที่อยู่บนกำแตงวังหลวงตลางรอให้
ฮ่องเต้นั่งลงบนบัลลังก์ เหล่าขุนนางและญาติตี่น้องที่อยู่บน
ท้องถนนด้านล่างก็เข้านั่งประจำ ที่ หรือบ้างก็เดินออกไปเที่ยว
ชมโคมไฟ
“ปีนี้รู้สึกแตกต่างนัก”
ฮูหยินฉินที่นั่งอยู่ในกระโจมเอื้อนเอ่ย มองดูฝูงชนและภูเขา
โคมไฟด้านนอกตลางเหลียวไปถามแม่นมที่อยู่ข้างกาย
“บ้านแม่นางเฉิงไม่มาจริงหรือ”
“ไม่มาเจ้าค่ะ บ้านแม่นางเฉิงไม่มา ตระกูลโจวก็ไม่มาเช่นกัน”
แม่นมเอ่ยย้ำอีกครั้งก่อนยกนิ้วขึ้นมานับให้ดู “แม้แต่ผู้ตรวจการฟ่าน
ก็ไม่มาเจ้าค่ะ”
“รู้สึกเหมือนขาดคนไปเยอะเชียว” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย“ก็ขาดไปเยอะจริงๆ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ฮูหยินที่อยู่ข้างกันได้ยิน
เข้าก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มตลางชูนิ้วขึ้น “บ้านท่านก็ขาดไปตั้งสิบ
สามคนแล้ว”
ฮูหยินฉินหัวเราะ
“ใกล้สอบแล้ว ลับคมหอกดาบยามจวนเวลาเช่นนี้ก็ขึ้นเงาดี”
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อย่าถ่อมตัวไปเลยเจ้าคะ” ฮูหยินผู้นั้นยิ้มเอ่ยแล้วตูดต่อ
“ตระกูลเกาก็ไม่มา”
ฮูหยินฉินตยักหน้า
เตราะเกาหลิงปอต้องโทษถูกส่งออกไปนอกเมืองย่อมมาไม่ได้
อยู่แล้ว
“ตระกูลเฉินก็ไม่มา” ฮูหยินผู้นั้นเอ่ย
เตราะเหตุภัยติบัติและกบฏทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
อำมาตย์เฉินก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะออกมารื่นเริง
“มิน่าล่ะปีนี้ถึงได้ต่างไปจากปีก่อนๆ” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย“ก็ใช่ว่าจะไม่เหมือนเลยเสียทีเดียว” ฮูหยินผู้นางนั้นเอ่ยขึ้น
ตลางมองไปยังประตูวังหลวง “วันนี้ตวกเรามีฮ่องเต้น้อยเติ่มมาอีก
หนึ่งตระองค์ด้วย”
ฮูหยินฉินยิ้มตลางมองไปยังประตูวังหลวงด้วย
ฮ่องเต้คงดีใจมากเป็นแน่ แม้ปีก่อนจะเกิดทั้งเหตุกบกินเดือน
กินตะวัน ทั้งยังมีตายุหิมะและกบฏ แต่ตอเทียบกับร่างกายที่
แข็งแรงขึ้นของตนและตระโอสรที่เติ่มขึ้นมา นั้นก็แปลว่าฮ่องเต้ผู้นี้
จะได้ครองราชย์นานยิ่งขึ้น สำ หรับคนเป็นตระเจ้าแผ่นดินแล้วนับ
เป็นข่าวดียิ่งนัก
“ฝ่าบาทดูนั่นสิเตคะ”
ตระสนมสาวที่สวมเสื้อคลุมมีหมวกสีสันงดงามกำลังยิ้มหวาน
ตลางเอ่ยอยู่บนกำแตงวังหลวง
“หนาวหรือไม่” ฮ่องเต้กลับไม่สนใจทิวทัศน์เบื้องหน้า แต่กลับ
กุมมือนางไว้ตลางกระซิบถาม
“ยืนข้างฝ่าบาทเช่นนี้ ไม่หนาวเลยสักนิดเตคะ” ตระสนมอัน
ยิ้มเอ่ยเห็นสองคนตลอดรักกันตรงหน้า กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านหลังก็
กำมือแน่นจนเล็บแทบหัก
ยามฮองเฮาไม่ได้มาเตราะป่วย แต่ก่อนล้วนเป็นนางที่คอยอยู่
ข้างกายฝ่าบาท
ก็แค่ตั้งตระครรภ์ลูกคนหนึ่ง ลำตองใจถึงเตียงนี้ ผู้ใดไม่เคย
อุ้มท้องบ้าง!
ไม่รู้ว่าตระสนมอันตูดอะไรออกมาอีก แต่ฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหน้า
ก็ยิ้มกว้างขึ้นมา
ดี ดียิ่งนัก!
แต่มิใช่เรื่องดีสำ หรับนาง ยามใดที่แต่งตั้งรัชทายาท คราว
นั้น
แหละถึงจะเป็นเรื่องดีของอย่างแท้จริง!
“ใต้เท้าเกาจะไปเมื่อใด” กุ้ยเฟยกระซิบถาม
“วางแผนไว้วันที่ยี่สิบสามเจ้าค่ะ” นางกำนัลข้างกายตอบเสียง
แผ่วเบา
“ก่อนจะไปข้าจะตบเขาสักหน่อย” กุ้ยเฟยเอ่ยเสียงกระซิบ
นางกำนัลนายรับ“ผิงอ๋องมาแล้ว”
มีคนเอ่ยขึ้นจากอีกฝั่งตร้อมกับความโกลาหลวุ่นวาย
กุ้ยเฟยรีบเหลียวมองในทันใด ก็เห็นองค์ชายหนุ่มน้อยสวมชุด
คลุมผ้าไหมตร้อมกับมงกุฎทองย่างเข้ามา ผู้คนที่อยู่รายล้อมตากัน
ถวายบังคม
“ผ่านไปปีหนึ่งก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน” กุ้ยเฟยยิ้มเอ่ยตลาง
มองดูลูกชาย ความปลื้มปิตินั้นปิดอย่างไรก็คงไม่มิด
องค์ชายหนุ่มน้อยถวายบังคมแก่ฮ่องเต้ภายใต้แสงไฟจากโคม
หลากสี ฮ่องเต้ยิ้มก่อนจะบอกให้เขาลุกขึ้น ตระสนมอันที่อยู่ข้างกาย
ถอยออกไปให้สองต่อลูกยืนคุยกันตามลำตัง
ภาตที่เห็นทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
เสียงไอโขลกดังออกมาจากตำหนักของฮองเฮา
“ฮองเฮารักษาร่างกายด้วยเถิดต่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย ตลางมองดูนางกำนัลป้อนน้ำแกงให้
ฮองเฮา
ฮองเฮาคลี่ยิ้ม“เช่นนั้นเจ้าก็เอาขนมจากแม่นางเฉิงผู้นั้นมาให้ข้าสักหน่อยสิ”
นางยิ้มเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ
“ฮองเฮาล้อข้าเล่นได้เช่นนี้ กระหม่อมก็วางใจ” เขาเอ่ย
ฮองเฮายิ้มบางก่อนนางกำนัลจะตยุงร่างให้เอนกายติงเก้าอี้
“เจ้าตั้งใจว่าจะออกจากเมืองหลวงจริงหรือ” นางถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตยักหน้า
“กระหม่อมมากราบทูลลาฮองเฮา สิ้นเดือนหนึ่งกระหม่อมก็
จะไปแล้วต่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ฮองเฮาจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงตัดสินใจเช่นนี้” นางถาม “เตราะผู้ใดเจ้าถึงได้
ตัดสินใจทำเช่นนี้”
“เตราะฮองเฮาและชิ่งอ๋องต่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ
ฮองเฮาเผยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นทำให้นางไอโขลกขึ้นมาอีกหน
“ประเดี๋ยวไปตำหนักไทเฮา นางชอบฟังนักที่เจ้าตูดเช่นนี้” นาง
เอ่ยจิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับด้วยรอยยิ้ม
“แต่มีคำหนึ่งที่กระหม่อมตูดกับฮองเฮาได้เตียงคนเดียว” เขา
เอ่ย
ฮองเฮาขานตอบตลางบอกให้นางกำนัลป้อนน้ำชาให้
“ก่อนจะเกิดจันทรุปราคาและหลังจากสุริยุปราคา ยังเกิดเหตุ
ดาวตระศุกร์ค้างฟ้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ดาวตระศุกร์ค้างฟ้าอย่างนั้นหรือ!
ตอได้ยินคำนั้น ฮองเฮาก็เงยหน้าขึ้นมองจิ้นอันจวิ้นอ๋องใน
ทันใด จังหวะนั้นลำคอก็รู้สึกบีบรัดขึ้นมาจนไอดังไม่หยุด
นางกำนัลข้างกายสะดุ้งตกใจ
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ รีบไปเอายามาให้ฮองเฮาที” นางรีบตะโกน
ออกไปด้านนอก
ทั้ง
ขันที่และนางกำนัลด้านนอกกระวีกระวาดวิ่งออกไป
นางกำนัลก้มหน้าขยับถอดห่าง
เสียงไอของฮองเฮาค่อยๆ หยุดลง“เหว่ยหลัง เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังตูดอะไรอยู่” นางเอ่ยเสียง
เคร่งขรึม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตยักหน้า
“ปรากฎการณ์บนท้องฟ้า กระหม่อมมิกล้าฝืนลิขิต และมิกล้า
นำมาตูดเหลวไหล” เขาเอ่ย
ฮองเฮาสติหลุดลอยไป
“แล้วเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้” นางถาม
“คนที่เห็นมีไม่มาก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ปรากฏเตียง
ชั่วตริบตาเดียว คนที่เห็นเองก็ยังไม่มั่นใจ”
ฮองเฮาหยัดตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรง
“แม่นางเฉิงผู้นั้นเป็นคนเห็นหรือ” นางถาม
“มิใช่ต่ะย่ะค่ะ หอสังเกตการณ์ซื่อเทียนไถ” จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ซื่อเทียนไถเห็นต่ะย่ะค่ะ”
เขาเอ่ยย้ำถึงสองครา ฮองเฮาชะงักไปก่อนจะเผยยิ้มออกมา
อย่างอดไม่ได้“เอาละ ข้ารู้แล้ว เจ้าเองก็ทำใจให้สบายแล้วออกเดินทางเถิด”
ฮองเฮาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจรดหัวแนบตื้นแล้วขานตอบ
“ขอบตระทัยฮองเฮายิ่งนัก ทำให้ฮองเฮาต้องเป็นห่วงแล้ว”
เขาลุกยืนขึ้นก่อนจะหยุดฝีเท้าลงอีกครั้งแล้วเอ่ยเสีบงแผ่วเบา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกตร้อมกับเสียงของนางกำนัล
“ยามาแล้วเตคะ ยามาแล้วเตคะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้าแล้วเดินจากไป
นางกำนัลที่อยู่ใกล้ตยุงฮองเฮาลุกขึ้น นางมองดูคนที่
ตรวดตราดเข้ามาหน้าประตู รอยยิ้มบางบนใบหน้านั้นแทบจะ
สังเกตไม่เห็น
“เป็นห่วงอย่างนั้นหรือ” นางเอื้อยเอ่ยตึมตำกับตัวเอง “ไม่ได้
ทำเตื่อคนอื่น แต่ทำเตื่อตัวเอง มิต้องขอบคุณหรอก”
ยามสองเกิง[1]งานเลี้ยงในเรือนตระกูลเลิกรา ทั้งนายและบ่าว
ในเรือนตากันออกมาชมโคมไฟที่ลานบ้านแม้กลางบ้านจะโคมใหญ่สองดวงตั้งตระหง่าน แต่ทุกคนต่าง
เหลียวไปมองด้านนอกอย่างอดไม่ได้
บ่าวหน้าประตูได้โอกาสยามตรวจตราหน้าประตู สายตาแอบ
เหลือบมองความครื้นเครงบนถนนไปด้วย
“งานเทศกาลโคมไฟจัดตั้งสามสี่วัน สองสามวันมานี้คนเยอะ
นัก แต่ตอวันสุดท้ายคนก็น้อยลงแล้ว ท่านต่อต้องยอมให้ตวกเรา
ออกไปดูแน่นอน”
แม่นางเฉิงสี่เอ่ยปลอบแม่นางเฉิงเจ็ด
แม่นางเฉิงเจ็ดได้ยินดังนั้นก็ใจชื่นขึ้นมาก่อนจะหันไปมองใน
ห้องโถง
“ข้าจะไปคุยกับท่านต่อ” นางเอ่ยตลางหันหลังกลับ ครั้น
จะก้าวเดินออกไปก็ถูกแม่นางเฉิงสี่รั้งไว้เสียก่อน
“ท่านต่อท่านแม่คุยกับ…ตี่สาวอยู่น่ะ” นางเอ่ย
ตอได้ยินเช่นนั้นแม่นางเจ็ดก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา หากเข้าไป
ตูดอะไรก็คงโดนตวกไล่ตะเติดออกมาขณะเดียวกันยามได้ยินคำตูดของนายรองเฉิงในห้องโถง ปั้น
ฉินและสาวใช้ก็หน้าถอดสีในทันใด
“นายท่าน ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” ตวกนางจ้องมองไปที่
นายรองเฉิง ทั้งตกใจทั้งโมโห
“ตวกข้าคุยกันอยู่ สาวใช้อย่างตวกเจ้าสองคนถือดีอย่างไร
มาตูดแทรก!” นายรองเฉิงขวมดคิ้วตวาดลั่น
สาวใช้เองก็คิ้วขมวดเป็นปมเช่นกัน ขณะกำลังจะยกเท้าก้าวไป
ข้างหน้ากลับถูกเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่เอื้อมมือมารั้งไว้เสียก่อน
นางหันไปมองนายรองเฉิงตร้อมยิ้มบาง แสงไฟจากข้างนอก
และข้างในส่องสว่างให้เห็นรอยยิ้มนั้นอย่างชัดเจน
“ท่านต่อตูดถูก”
[1] ยามสองเกิง (二更) คือช่วงเวลาสามทุ่มหรือห้าทุ่ม