พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 504 คิดแทน (2)
แม้จะเป็นวันที่สิบของเดือนหนึ่งแล้ว แต่บรรยากาศปีใหม่ในเมืองหลวงยังคงไม่จางหาย ทว่ากลับยิ่งครื้นเครงกว่าเดิมเพราะงานเทศกาลโคมไฟในวันที่สิบห้าที่ใกล้จะมาถึง
“พอถึงตอนนั้นบนถนนจะมีโคมไฟหลากสี ฮ่องเต้ก็จะออกมาร่วมเฉลิมฉลองกับชาวเมืองด้วย”
เหล่าแม่นมสองสามนางสอดมือไขว้กันภายใต้แขนยืนรวมตัวพูดคุยกันอยู่กลางลานบ้าน
พวกนางล้วนแต่เป็นบ่าวที่ฮูหยินรองเฉิงพามาจากเจียงโจว ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่มีโอกาสได้เที่ยวชมเมือง
“แม่นางปั้นฉินบอกแล้ว ถึงตอนนั้นจะพาคนทั้งเรือนไปดู”
เพียงแค่นึกถึงทุกคนก็พากันตื่นเต้น
“แม่นางปั้นฉินสั่งให้คนตกแต่งเรือนแล้ว”
แม้จะผ่านมาเพียงไม่กี่วัน แต่นายบ่าวในเรือนล้วนแต่เรียกหาแม่นางปั้นฉินกันไม่หยุดปาก เรียกหาบ่อยเสียยิ่งกว่าฮูหยินรองเฉิงหรือนายท่านเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็โทษพวกนางไม่ได้ เพราะนางคือคนที่ดูแลอาหารการกินทั้งข้าวของเครื่องใช้ของทุกคนในเรือน ถึงจะไม่อยากเรียกหาแต่ก็จำเป็นต้องเรียก
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือนางนั้นมือเติบ ทั้งยังไม่จู้จี้ ขอเพียงแค่กล้าเอ่ยปากขอ นางก็กล้าให้
“จะว่าไป ข้าไปดูเสียหน่อยดีกว่าที่เรือนแม่นางใหญ่เก็บกวาดหรือยัง” แม่นมนางหนึ่งนึกขึ้นได้ก็ยกเท้าเดินต่อไป
พวกนางรั้งนางไว้
“ช้าไปแล้วล่ะ เรือนแม่นางใหญ่มีคนอยู่มากมาย ไม่เหลือที่ให้เจ้าไปเลียแข้งเลียขาหรอก” ทุกคนหัวเราะพลางเอ่ย
ตั้งแต่คืนนั้นที่เงินหนึ่งตะกร้าใหญ่ถูกแบ่งกันเพียงห้าคน บริเวณเรือนของเฉิงเจียวเหนียงก็มีคนเยอะขึ้นถนัดตา อย่าว่าแต่เหล่าสาวใช้แม่นมเลย แม้แต่ฮูหยินรองเฉิงไปเยี่ยมเยียนไม่ขาด
“ใครก็ได้มานี่ที ใครก็ได้มานี่ที”
เสียงของฮูหยินรองเฉิงดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ เหล่าแม่นมกลางลานบ้านพากันแยกย้าย จากนั้นก็มีแม่นมนางหนึ่งเดินออกมาอย่างรีบร้อน
“นายท่านจะเชิญนายหญิงไปพบแขกอย่างนั้นหรือ”
ปั้นฉินขมวดคิ้วถาม
ลูกสาวตระกูลขุนนางจะพบเจอผู้ใดสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร มีเพียงญาติใกล้ชิดหรือมิตรสหายสนิทสนมเท่านั้นถึงจะพบหน้ากันได้
แน่นอนว่านายรองเฉิงที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงผู้นี้ไม่มีญาติอื่นใดแน่นอน
“สหายของนายท่าน” สาวใช้ตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“สหายที่ไหนกัน” ปั้นฉินขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “เพิ่งมาถึงได้ไม่กี่วันก็มีสหายเข้าออกเรือนแล้วหรือ“
นายรองเฉิงผู้นี้ก็ตีสนิทง่ายเกินไปกระมัง
มีคนอยากพบนางหญิงมากมาย หากเป็นเช่นนี้ยามมีคนมาเยือนทีก็ต้องไปพบทีอย่างนั้นหรือ แล้วต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร
เฉิงเจียวเหนียงได้ยินดังนั้นก็เดินออกมา ปั้นฉินทำได้เพียงเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ฮูหยินรองเฉิงพาแม่นางเฉิงสี่ แม่นางเฉิงห้า แม่นางเฉิงเจ็ดพร้อมทั้งมาท่านชายห้ามาถึง จากนั้นจึงคำนับให้ชายสองคนที่นั่งอยู่
ครั้นได้ยินสาวใช้บอกว่าแม่นางใหญ่มาถึงแล้ว ภายในห้องที่กำลังครื้นเครงก็เงียบสงัดลงในทันใด
เสียงของนายรองเฉิงก็อึกอักขึ้นมาเช่นกัน
ตามปกติแล้วไม่ว่าเฉิงเจียวเหนียงจะเดินไปไหนมาไหนในเรือน ก็ไม่เคยมีผู้ใดร้องบอกเช่นนี้ ยามตอนที่ลูกสาวของเขามาถึงเมื่อครู่ก็ยังมีไม่ผู้ใดคำนับให้เสียด้วยซ้ำ
เขายังไม่ทันคิดออก อีกสองคนก็ยืนขึ้นก่อนแล้ว
“แม่นางเฉิง” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงย่อเข่าคำนับให้
“ท่านลุงทั้งสองเป็นกวนเก้าย่วน[1]” นายรองเฉิงเอ่ยหน้าบึ้งตึง
“คำนับท่านลุงทั้งสอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ทั้งสองยิ้มพลางพยักหน้าในทันใด พอคำนับกันเสร็จเรียบร้อย ฮูหยินรองเฉิงก็พาบรรดาลูกๆ ออกไป
“ทั้งสองท่านนั้นคงต้องเชิญฝั่งเราไปเยี่ยมสักหน พอถึงตอนนั้นเจียวเจียว เจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย ไม่สนใจแม่นางเฉิงเจ็ดที่ยุดยื้อแขนเสื้อของตนอยู่ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าแม่นางสี่ยังเล็กนัก ทั้งยังเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก ประเดี๋ยวจะตื่นกลัวเอา”
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ฮูหยินรองเฉิงยิ้มร่า ไหนใครบอกว่าหญิงนางนี้พิลึกคน ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ว่านอนสอนง่ายเสียขนาดนี้
เจ้าบ้านและแขกต่างหน้าชื่นตาบานก่อนจะพากันนั่งลงในห้องโถงอีกครั้ง
“จ้งจือเจ้าช่างโชคดีแท้” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เรียกชื่อนายรองเฉิงอย่างสนิทสนม “ภรรยารักใคร่กลมเกลียวสุขใจยิ่ง”
นายรองเฉิงปฏิเสธอย่างถ่อมตนในทันใด ทว่าความลำพองใจบนใบหน้านั้นปิดไม่มิด ก่อนจะสั่งการให้บ่าวจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลอง
“เอ๊ะ พูดถึงเลี้ยงฉลอง” ชายอีกคนหนึ่งก็นึกอะไรบางอย่างออกพลางยกมือยกไม้ขึ้นเอ่ย “ในเมื่อมาเยือนถึงเรือนของจ้งจือทั้งที ก็ย่อมต้องกินนางฟ้าผ่านทางสูตรต้นตำหรับ”
นายรองเฉิงชะงักไป
นางฟ้าผ่านทางอย่างนั้นหรือ…
“ใช่ ใช่ นางฟ้าผ่านทางเป็นสูตรต้นตำรับของตระกูลเจ้านี่” ชายคนที่ก่อนหน้ายิ้มเอ่ย
พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของนายรองเฉิงก็เริ่มไม่สู้ดีนัก
เรือนนางฟ้า เรือนไท่ผิง ร้านยา ใช่แล้ว ยังมีดอกไม้ไฟตระกูลหลี่อีก ที่สิ่งมาไม่ได้มีเพียงแค่ดอกไม้ไฟ เขาเห็นเองกับตาว่าสาวใช้นางนั้นได้รับสัญญาหุ้นปันผลอีกด้วย!
กิจการเหล่านั้น เงินทองเหล่านั้น ของกินของใช้เครื่องนุ่งห่มของคนในบ้าน ภรรยาที่ยิ้มจนแก้มแทบฉีก หากเป็นไปได้นางคงย่อเข่าคำนับให้กับสาวใช้นางนั้นแล้วกระมัง หลายวันที่ผ่านมานี้เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่จะให้แสร้งต่อไปอย่างนี้อีกนานสักเท่าใด
นี่คือเรือนของเขา! แต่เรือนนี้กลับถูกสาวใช้นางหนึ่งกุมไว้ในมือ! มีอย่างที่ไหนกัน!
แม้จะเป็นเพื่อนฝูง แต่นายรองเฉิงก็ไม่ปกปิดความขุ่นเคืองใจ ก่อนจะยกชาขึ้นดื่ม
“ท่านพี่จื้อเกา ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” เขาเอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อ “นั่นมิใช่ของข้าหรอก”
ชายทั้งสองหันมาสบตากัน
“จ้งจือ เจ้าจะบอกกับพวกข้าว่าเจ้าจนอย่างนั้นหรือ!” ชายที่ถูกเรียกว่าจื้อเกาหัวเราะยกใหญ่ “ข้าไม่ได้มายืมเงินเจ้า วางใจเถิด”
“ว่าแต่จ้งจือ ข้าจะไปกินข้าวในห้องส่วนตัวของเรือนนางฟ้าสักมือ ข้าก็เลยอยากจะขอให้เจ้าช่วยสักหน่อย” อีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นายรองเฉิงที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นสีหน้าก็ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม
“ข้ากะเกณฑ์อันใดไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยพลางวางถ้วยชาลง “ล้วนแต่มิใช่ของข้า”
“จ้งจือ เจ้ามิใช่พ่อของแม่นางใหญ่หรืออย่างไร” ชายผู้นั่นประหลาดใจไม่น้อย ก่อนจะรวบรวมสติแล้วเอ่ยถาม
“ใช่” นายรองเฉิงตอบอย่างจำใจ
“ในเมื่อเป็นลูกสาวคนโตของบ้านเจ้า จะไม่ใช่ของตระกูลเจ้าได้อย่างไร” ชายทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นของตระกูลเจ้า ก็ย่อมเป็นของเข้าด้วยเช่นกัน”
นายรองเฉิงขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูด ชายเบื้องหน้าก็ยกมือขึ้นปรามเขาไว้
“จ้งจือ ในฐานะที่เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ มีเรื่องหนึ่งที่คนเป็นพี่อย่างพวกข้าต้องพูดกับเจ้า” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “คำพูดเช่นนั้น เจ้าอย่าได้พูดอีก”
“คำพูดใดหรือ” นายรองเฉิงขมวดคิ้ว
“ที่เจ้าพูดว่ากิจการเหล่านั้นมิใช่ของเจ้า” ชายอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ก็มิใช่ของข้าจริงจริงๆ …” นายรองเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ยังไม่ทันพูดจบก็ถึงขัดขึ้นเสียก่อน
“จ้งจือ! กิจการเหล่านั้นมีเป็นชื่อของลูกสาวเจ้าทั้งหมดอย่างนั้นหรือ!” ชายเบื้องหน้าขมวดคิ้วเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด “ตอนนี้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าได้พูดเช่นนั้นต่อหน้าผู้คน ไม่เช่นนั้นลูกสาวเจ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นลูกทรพี!”
นายรองเฉิงชะงักไป พลางจ้องมองไปที่ชายผู้นั้น
“จ้งจือ” ชายอีกคนหนึ่งเอื้อมมือมาตบแขนเขา “ปราชญ์ได้กล่าวไว้ ยามพ่อแม่ยังอยู่ มิอาจครอบครองทรัพย์สินส่วนตน กฎหมายบ้านเมืองบัญญัติไว้ สมบัติพ่อลูกมิอาจแบ่งแยก”
สมบัติพ่อลูกมิอาจแบ่งแยก!
สายตาของนายรองเฉิงเหลียวไปมองเขา
ชายผู้นั้นยื่นมือตบแขนเขาเช่นกัน
“จ้งจือ” เขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “เพื่อลูกสาวของเจ้าแล้ว เจ้าจะพูดจาอันใดจำต้องไตร่ตรองให้ดี”
[1] กวนเก้าย่วน (官诰院) เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง ทำหน้าที่เป็นผู้นำส่งของรางวัลหรือสาส์นเลื่อนยศจากฮ่องเต้