พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 504 คิดแทน (1)
พอเห็นเขามองมา แม่ทัพผู้นั้นก็โบกมือให้เขา
ท่านชายโจวหกเร่งควบม้าเข้าไป ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับแม่ทัพที่เรียกเขา
“ท่านเก๋อจื๋อ[1]”
แม่ทัพผู้นั้นหัวเราะชอบใจ พลางชี้ไปที่ท่านชายโจวหกแล้วหันไปพูดกับทุกคน
“ยามนั้นเสบียงขาดแคลน จะถอยก็ไม่ได้จะบุกต่อไปก็ลำบาก ก็ได้โจวซื่อจิ่นนี่แล พาทหารยี่สิบนายบุกเข้าไปในเขา จึงได้ยืดคลังเสบียงของพวกโจรตะวันตกมาได้ นอกจากจะปล้นสดมพวกโจรตะวันตกได้แล้ว พวกเราก็ยังมีเสบียงเพิ่มอีกต่างหาก”
ได้ยินดังนั้นทุกคนก็เข้าใจในทันที ทั้งยังพากันเอ่ยชื่นชมไม่หยุดปาก
“ท่านเก๋อจื๋อชมข้าเกินไป เพียงแค่ออกเป็นสอดแนมเผื่อว่าจะเจออะไรดีๆ เข้าเท่านั้น ล้วนแต่เป็นเพราะความกล้าหาญของเหล่าทหาร” ท่านชายโจวหกเอ่ย แม้จะได้รับคำชมซึ่งหน้าแต่กลับไม่มีท่าทีลำพองใจเลยแม้แต่นิด
ฝีมือรบเยี่ยมยอด ทั้งยังมิโอ้อวดตน เช่นนี้แลคือต้นแบบของชนรุ่นหลัง!
เด็กหนุ่มเช่นนี้มียิ่งเยอะยิ่งดี!
คำพูดนั้นเรียกเสียงชื่นชมได้อย่างล้นหลาม พูดคุยหัวเราะกันได้สักพักก็เดินออกจากโถงว่าการไป
เมื่อเดินมาถึงถนนกลางเมือง ครอบครัวของแม่ทัพทั้งหลายก็ต่างพากันเยือนเรียงรายรอต้อนรับ ทั้งภรรยาทั้งลูกหลาน ทั้งเสียงหัวเราะทั้งเสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่ว ไม่ต่างจากบรรยากาศนอกประตูเมืองเลยแม้แต่นิด
“ท่านชายหก ท่านชายหก”
ท่านชายโจวหกกำลังเดินหัวเราะพูดคุยกับเหล่าท่านลุงและพี่ชายจากตระกูลโจวอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มารอต้อนรับ พอได้ยินเสียงเรียกก็ชะงักไป เขาเหลียวมองตามก็เห็นสวีซื่อเกินที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายกำลังส่งยิ้มให้
พอเห็นเขาเหลียวมองมา สวีซื่อเกินก็ยกกำปั้นคำนับให้ แสดงถึงการต้อนรับ
อะไรกัน
เห็นเขาเป็นญาติพี่น้องแล้วหรืออย่างไร
ท่านชายโจวหกท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขณะที่กำลังสองจิตสองใจอยู่นั้น สวีซื่อเกินก็หันหลังเดินจากไป
อันที่จริง เขาก็ไม่ญาติพี่น้องแล้ว…
ยามมาที่นี่มีพี่น้องถึงเจ็ดคน แต่พริบตาเดียวก็เหลือเขาเพียงแค่คนเดียวแล้ว
มองดูแผนหลังที่เดินจากไปท่ามกลางฝูงชนอย่างช้าๆ ในใจของท่านชายโจวหกก็ปวดร้าวขึ้นมา
“ชายหก!”
ใครคนหนึ่งตบบ่าเขาแล้วเอ่ยเรียก
ท่านชายโจวหกหลุดจากภวังค์
“เร็วเข้า แม่ทัพอยากพบพวกเจ้าแล้ว” หนึ่งในพี่ชายเอ่ยขึ้น
ท่านชายโจวหกพยักหน้า พอเห็นเหล่าแม่ทัพด้านหน้าพากันเดินเข้าไปในโถงว่าการแล้ว เขาเองก็รีบยกเท้าเดินตามไป ครั้นจะก้าวเข้าประตูไปก็เหลียวหลังกลับมามองอีกครั้ง แผ่นหลังของสวีซื่อเกินก็หายไปจากท้องถนนแล้ว
ยามม่านรัตติกาลเข้าปกคลุม งานเลี้ยงฉลองในโถงว่าการครื้นเครงยิ่งนัก ส่วนท้องฟ้าย่ามค่ำคืนก็ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วน สีสันอันงดงามของประกายไฟพาให้เหล่าคนที่เมากรึ่มเงยมองอย่างอดไม่ได้
“ลอยสูงมากใช่หรือไม่”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ท่านชายโจวหกเหลียวกับไปก็พบกับจงเฉิงปู้ เขารีบวางจอกเหล้าในมือแล้วคำนับให้
จงเฉิงปู้เอื้อมมือมาตบบ่าเขา ก่อนจะเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกันแล้วแหงนหน้ามองฟ้า
“นี่เป็นดอกไม้ไฟและประทัดไม้ไผ่ชั้นเลิศแบบใหม่ล่าสุดของตระกูลหลี่ ส่งด่วนพิเศษมาจากเมืองหลวงเชียวนะ” เขายิ้มเอ่ยพลางยกมือชี้ไปบนฟ้ายามค่ำคืน “เพื่อฉลองวันนี้โดยเฉพาะ”
ท่านชายโจวหกเอ่ยขอบคุณแม่ทัพ
จงเฉิงปู้หันกลับมาก่อนจะมองสำรวจเนื้อตัวเขาแล้วเผยยิ้มออกมา
“ไม่เลว ธนูเสินปี้ก็ดี ตำแหน่งซื่อจิ่นที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เจ้าด้วยวาจาก็ดี เจ้านั้นทำได้สมดั่งคำล่ำลือ” เขาเอ่ย
“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ชม” ท่านชายโจวหกคำนับด้วยสีหน้าจริงตัง
“อย่าได้ถ่อมตัวไป นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ ไม่ใช่ข้าหรือเจ้ายกยอปอปั้นกันไปเอง ยามนี้เมืองหลวงมีของดีอีกแล้ว” จงเฉิงปู้ยิ้มเอ่ย “เจ้าอยากไปทดสอบอีกหนึ่งหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งอีกสักสองขั้น”
“โชคช่วยหนเดียวก็เพียงพอแล้วขอรับ เหลือไว้ให้ผู้อื่นเถิด” ท่านชายโจวหกเอ่ยหน้าบึ้งตึง
จงเฉิงปู้หัวเราะชอบใจ
“เจ้าเด็กคนนี้ประหลาดดีแท้” เขาเอ่ย “เอาละ เก็บข้าวของแล้วเข้าเมืองหลวงไปถวายชัยชนะกับข้า ถือโอกาสนำอาวุธใหม่ที่เล่าลือกันว่าเพียงแค่ได้ยินเสียงก็ทำให้คนนับหมื่นร่ำไห้นั้นกลับมาด้วย ”
พูดจบก็เดินจากไป
เข้าเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ
ท่านชายโจวหกตกใจไม่น้อย มองดูจงเฉิงปู้ที่หันหลังเดินไปรวมกับเหล่าแม่ทัพที่ดื่มเหล้ากันอยู่
เสียงโป้งป้างของประทัดดังขึ้นในตรอกตั้งแต่เช้าจนตกดึกก็ยังไม่จางหาย
“ท่านลุงสวี ยังดีได้กว่านี้อีกหรือ” พวกเขาเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
“มีสิ ยามนี้แถบชายแดนก็ปราบเรียบไปได้กว่าครึ่ง วันหน้าก็ปราบครึ่งที่เหลือต่อ ทั้งทหารทั้งม้าของเรานั้นแข็งแกร่งเพียงนี้ จะไม่ยอมให้พวกโจรตะวันตกย่างกรายเข้ามาได้ง่ายๆ อีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะยามใด ชาวเมืองก็มิต้องหวาดผวา มีคืนวันที่ดีใช้ชีวิตอย่างสงบสุขยิ่งกว่าเดิม” สวีซื่อเกินเอ่ย
หญิงสองนางยกหม้อใบหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู กลิ่นเนื้อหอมกรุ่นโชยมา จนเหล่าเด็กน้อยพากันเข้าไปรุมล้อม
“ท่านขุนนางสวี” หนึ่งในหญิงเพื่อนบ้านเอ่ยขึ้น “เนื้อนี้ตุ๋นไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ”
สวีซื่อเกินเอ่ยยิ้มขอบคุณในทันใด ก่อนจะเรียกเหล่าเด็กน้อยที่น้ำลายสอกันตั้งนานแล้วมากิน
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” หญิงทั้งสองนางเอ่ยห้ามพลางเล่าเด็กๆ ออกไปข้างนอก “ท่านขุนนางสวีเอามาให้พวกข้าแท้ๆ ท่านยังไม่ได้กินเลย พวกข้าจะกินได้อย่างไร”
สวีซื่อเกินยิ้มกว้าง
หางตาของหญิงนางหนึ่งเหลือบไปเห็นเข็มด้ายในมือของสวีซื่อเกิน ก็ตกอกตกใจในทันใด
“ท่านขุนนางสวี ปีใหม่เช่นนี้เหตุใดท่านถึงมาหยิบจับเข็มด้ายเช่นนี้!” นางร้องออกมา
“มันขาดน่ะ ว่างอยู่พอดีก็เลยซ่อมเสียหน่อย” สวีซื่อเกินเอ่ย
พวกนางวางหม้อลง ก่อนจะบ่นอุบอิบพลางแย่งออกมาจากมือ จากนั้นกำชับธรรมเนียมประเพณีปีใหม่อีกหน
“ชายอย่างพวกท่านไม่ค่อยจำเรื่องพวกนี้” หญิงนางหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านขุนนางสวีเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่คิดแต่งงานกับแม่นางคนใดบ้างหรือ…”
สวีซื่อเกินยิ้ม
“ข้าคิดว่าคงจะไม่แต่งงานแล้ว” เขาเอ่ย
ชายที่ทั้งร่ำรวยทั้งมีอำนาจทั้งยังเป็นคนดีเช่นนี้ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายนัก ที่บอกว่าจะไม่แต่งงาน แต่ความจริงแล้วกำลังมองหาอยู่เสียมากกว่า หญิงทั้งสองหันมาสบตากันอย่างรู้ใจ ก่อนจะมีเสียงกระแอมดังขึ้นจากนั้นนอก
คนที่อยู่ในเรือนเหลียวไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนตรงแขนแนบลำตัวอยู่
เพียงปราดตามองจากการแต่งกกายก็พอรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มิใช่คนธรรมดา หญิงทั้งสองก้มหน้าก่อนจะขอตัวลาในทันใด
“โจวซื่อจิ่น เหตุใดถึงมาที่นี่ได้” สวีซื่อเกินเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางเผยมือเชิญ “เข้ามานั่งก่อนสิ”
ท่านชายโจวหกไม่ได้เดินเข้ามาก็กลับยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ข้าจะเข้าเมืองหลวง เจ้ามีอันใดอยากจะฝากส่งไปหรือไม่” เขาถาม
สวีซื่อเกินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างดีใจในทันใด
“มี มี โจวซื่อจิ่นรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบมาให้” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกยืนอยู่หน้าประตูเรือน พอเห็นเด็กที่วิ่งเล่นกันอยู่ริมถนนกำลังรุมล้อมเข้ามาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด จึงก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป รอไปพลางมองสำรวจเรือนไปพลาง
ในเรือนเก็บกวาดสะอาดสะอ้าน เพียงแต่ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรืออย่างไร เพราะที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเงียบเหงาหรือเกิน อาจเป็นเพราะมีคนอยู่น้อยกระมัง
สวีซื่อเกินหิ้วห่อผ้าใบใหญ่เดินออกมา
“เช่นนั้นก็รบกวนซื่อจิ่นด้วย” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้างในแบ่งไว้แล้ว อันไหนให้พี่ใหญ่ อันไหนให้น้องสาว มองดูก็รู้”
ท่านชายโจวหกขานตอบ ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายยื่นมือออกไปรับ
ภายในลานบ้านเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงไม่แต่งงาน” ท่านชายโจวหกโพล่งถามขึ้น
สวีซือเกินนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะถามเช่นนี้จึงได้ชะงักไป ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไม่มีอันใดหรอก ข้าเพียงแค่นึกว่าพวกเขานอนเดียวดายอยู่ใต้พื้นดินเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่อยากจะให้ข้างกายตัวเองมีใคร” เขาเอ่ย “แต่ก็ไม่แน่ รอแก่กว่านี้อีกสักหน่อยก็อาจจะอยากมีครอบครัวขึ้นมาก็ได้”
พูดถึงเพียงเท่านั้นก็คำนนับให้
“ขอบคุณยิ่งนักที่ห่วงใย” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกขานตอบอย่างกระอักกระอ่วนจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป ทว่าเดินไปถึงหน้าประตูก็หยุดฝีเท้าลง
“เช่นนั้นคงไม่ถูก ข้าว่าพวกเขาคงไม่อยากให้เจ้าเดียวดาย” เขาเอ่ย
พูดจบกรีบจ้ำออกไปแล้วควบขึ้นม้า ไม่รอให้สวีซื่อเกินออกมาเร่งม้าออกไปไกลแล้ว
…
[1] เก๋อจื๋อ (阁职) ชื่อตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ เป็นตำแหน่งที่ได้มาจากการคัดเลือกเนื่องมาจากเป็นผู้ไม่มีประวัติด่างพร้อยทางการเมือง