พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 503 ปีใหม่
นายรองเฉิงโยนประทัดไม้ไผ่เข้าไปกลางลานบ้าน
เสียงดังโป้งป้างกึกก้องไปทั่ว รอบทิศก็มีเสียงเดียวกันดังขึ้นไม่ขาดสาย ระหว่างนั้นมีเสียงหวีดหวิวของดอกไม้ไฟที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี ก่อนจะแตกกระจายเป็นลวดลายดอกไม้งดงาม
“ดูสิ ดูสิ หนูนา หนูนา”
แม่นมอุ้มทารกน้อยพลางชี้ไปประทัดที่หมุดติ้วอยู่บนพื้น นางหัวเราะพลางโยกเยกตัวไปมา
“เมืองหลวงช่างดีเสียจริง”
ฮูหยินรองเฉิงสวมเสื้อคลุมสีเข้มปักดิ้นทองฝืนใหญ่ ขนของสุนัขจิ้งจอกที่ล้อมกรอบหน้าขับผิวของนางให้ผ่องประกาย พอได้สวมเสื้อผืนนี้แล้วนางก็แทบจะไม่อยากถอดออก มองดูดอกไม้ไฟหลากสีบนฟากฟ้า พลางมองดูประทัดที่หมุนเล่นไฟอยู่บนพื้น อย่าว่าแต่เด็กๆ เลย แม้แต่นางที่เป็นผู้ใหญ่ยังชอบดูไม่แพ้กัน
“ยามอยู่เจียงโจวไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน”
“ฮูหยินเจ้าคะ นี่เป็นดอกไม้ไฟชั้นยอดของตระกูลหลี่เจ้าค่ะ” แม่นมที่อยู่ข้างกันเอ่ยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ข้าไปถามมาแล้ว ดอกไม้ไฟแบบนี้ขายในตลาดอันละสิบเหวิน ยังหาซื้อไม่ได้เลย” มีคนเอ่ยขึ้นในทันใด
อันละสิบเหวินเชียวหรือ
ฮูหยินรองเฉิงมองดูดอกไม้ไฟที่ถูกจุดดอกแล้วอันเล่า เนื้อตัวก็สั่นขึ้นมาในทันใด นี่มันเป็นเงินเท่าไหร่กัน!
“แต่บ้านเราไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะคนเขาส่งมาให้” แม่นมนางหนึ่งยิ้มเอ่ย “แม่นางใหญ่ของเราเป็นถึงครูบาอาจารย์ของเขา นับประสาอะไรกับแค่ดอกไม้ไฟไม่กี่อัน พวกเจ้าเห็นของขวัญปีใหม่ที่ตระกูลหลี่ส่งมาให้หรือยัง…”
พ่อค้าเศรษฐีของเมืองหลวง!
นี่สินะที่เรียกว่าพ่อค้าเศรษฐีของเมืองหลวง!
ไม่ใช่เพียงแค่ตระกูลหลี่ พอนึกถึงเหล่าแขกที่มาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสายตลอดสองสามวันที่ผ่านมา รวมถึงจดหมายเยือนที่กองสูงเป็นพะเนิน ทั้งยังมีหีบเล็กใหญ่ที่เทียวหาบเข้าไปเก็บในห้องเก็บของไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ฮูหยินรองเฉิงก็ยกมือขึ้นกุมอกอย่างอดไม่ไหว กลัวว่าหัวใจจะเต้นรัวจนนางเป็นลมหน้ามืดไป
คิดถูกแล้วที่มาเมืองหลวง!
นานจะมาตั้งนานแล้ว!
“เจียวเจียว เจียวเจียว”
พอนึกได้ดังนั้น ฮูหยินรองเฉิงก็เหลียวหลังกลับไปในทันใด
หญิงสาวได้ยินก็หันมองมา นางยืนอยู่หน้าประตูริมระเบียงพร้อมกับสาวใช้สองนางประกบซ้ายขวา ข้างกายของนางยังมีท่านชายเฉิงสี่ที่ยืนอยู่ด้วย
“เจียวเจียว หนาวหรือไม่ กลัวหรือเปล่า มานี่มา…” ฮูหยินรองเฉิงกวัวมือเรียก
จังหวะที่ยกแขนขึ้น ก็ถูกแม่นางเฉิงเจ็ดที่ไม่รู้ว่ากระโจนเข้ามาตั้งเมื่อใดก็ไม่รู้กอดไว้แน่น
“ท่านแม่ ข้าก็กลัวเหมือนกัน” นางเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงถลึงตาใส่นาง ก่อนจะผลักนางออกแล้วตะโกนเรียกเฉิงเจียวเหนียงต่อ
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าพลางย่อเข่าคำนับให้
“ข้าคงอยู่โต้รุ่งไม่ได้ ขอตัวก่อน” นางเอ่ย
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบเข้านอนเถิด” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเอ่ยในทันใด ก่อนตะโกนบอกเหล่าบ่าวให้หยุดจุดประทัด เพราะเกรงว่าจะเสียงดังรบกวนนาง
“แล้วเจ้าเก่งกาจถึงขนาดสั่งให้เพื่อนบ้านรอบทิศหยุดจุดได้หรือ”
นายรองเฉิงที่อยู่ข้างกันหัวเราะเสียงเย็น
“แล้วท่านสั่งให้คนทั้งเมืองหลวงหยุดจุดได้หรือไม่”
ฮูหยินรองเฉิงถลึงตาใส่เขา
“เรื่องมากเสียจริง!” นายรองเฉิงส่งเสียงฮึดฮัด
ฟากเฉิงเจียวเหนียงได้หันหลังเดินจากไปแล้ว ส่วนสาวใช้สองนางที่ได้ยินเข้าก็เหลียวกลับมามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
“ท่านอารอง” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“ชายสี่ ใกล้จะสอบขุนนางแล้ว แม้จะฉลองปีแต่เจ้าก็อย่างได้เสียเวลา ไปอ่านหนังสือเถิด” นายรองเฉิงเอ่ยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน
พูดจบก็ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป ปั้นหน้านิ่งแล้วเหลียวกลับหลัง ก่อนจะอุ้มลูกชายที่กำลังจะตะเกียดตะกายคว้าดอกไม้ไฟในอ้อมอกของแม่นม
“ทำอะไรของท่าน หากไม่ชอบก็อย่าได้สนใจสิเจ้าคะ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยเสียงแผ่วเบ่า “จะหาเรื่องนางทำไม”
“ข้าละเกลียดท่าทางเย่อหยิ่งนั่น ทำราวกับทุกคนล้วนแต่ติดหนี้บุญคุณนาง” นายรองเฉิงส่งเสียงฮึดฮัด “ทำตัวสูงส่งดังเป็นเทพเซียน มิน่าละถึงได้ถูกคนเขาฟ้องร้องเข้าให้”
ฮูหยินรองเฉิงยิ้มพลางยกศอกกระทุ้งเขา
“ยังเดินไปไม่พ้นเลย” นางเอ่ยกระซิบพลางหัวเราะ
“ข้ากลัวนางหรือ” นายรองเฉิงส่งเสียงเย้ยหยัน “อย่าว่าแต่ด่าสักสองสามคำเลย โบยสักทีจะเป็นอะไรไป ข้าเป็นพ่อของนาง! หรือนางจะเถียง”
“ท่านพ่อ อย่าตีข้าเลยนะเจ้าคะ” แม่นางเฉิงเจ็ดกระตุกแขนเสื้อเขาพลางเอ่ยขึ้น
นายรองเฉิงยิ้มออกมาในทันใด
“ข้าจะตีหญิงเจ็ดได้ลงคอหรือ หญิงเจ็ดเป็นเด็กดีที่สุดแล้ว” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ลูกชายที่อยู่ในอ้อมแขนดีดดิ้นอยู่นานสองนาน พลางชูมือชี้ไปทางลานบ้าน
“ไปกันเถอะ พ่อจะพาเจ้าไปจุดดอกไม้ไฟ” นายรองเฉิงอุ้มลูกชายพลางเอ่ยเสียงชื่นบาน ก่อนจะยกเท้าเดินลงบันไดไป
“ระวังตัวด้วย ประเดี๋ยวจะตกใจเอา” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยกำชับ
แม่นางเฉิงเจ็ดยิ้มแป้นคลอเคลียอยู่ข้างกายนาง
“ท่านแม่ ข้าก็อยากไปเจ้าคะ” นางเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงคว้าตัวนางไว้ในทันใด
“ห้ามไปเด็ดขาด” นางเอ่ย “หากสะเก็ดไฟพวกนั้นกระเด็นโดนมือโดนหน้าเข้า เกิดเป็นแผลเป็นก็แย่กันพอดี แม่นางเจ็ดของข้างามถึงเพียงจะมีตำหนิไม่ได้”
แม่นางเฉิงเจ็ดยิ้มปริ่ม ยังคงแอบอิงอยู่ข้างกายฮูหยินรองเฉิง มองดูนายรองเฉิงรับดอกไม้ไฟมาจากมือบ่าวรับใช้ก่อนจะจุดด้วยตนเอง
เสียงประกายไฟดังขึ้นกลางลานบ้าน เคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะครื้นเครง
ปั้นฉินเดินออกมาจากประตูเรือนแล้วก็เหลียวกลับไปมองอย่างอดไม่ได้
โคมไฟสว่างไสว ควันคลุ้งดั่งม่านหมอก ผืนฟ้าและแผ่นดินรวมเป็นหนึ่งเดียว ครอบครัวหนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายปักลายงดงามกำลังมีความสุขไปกับเสียงเพลง
“ปั้นฉิน”
สาวหันกลับมาตะโกนเรียก ขมวดคิ้วแกมตักเตือน
“มีอันใดหน้าดูกัน รีบไปเถิด”
ปั้นฉินขานรับก่อนจะละสายตากลับมาแล้วรีบเดินตามไปในทันใด
“น้องสาว” ท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจ ก่อนจะมองเบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย “น้องสาวชอบดอกไม้ไฟหรือ ข้าเองก็กล้าจุดเหมือนกันนะ”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มให้
นางเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้า
ปีนี้ดอกไม้ไฟของตระกูลหลี่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้านับครั้งไม่ถ้วนเหมือนดั่งคราวที่นางจุดดอกไม้ไฟเพื่อพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน
ไม่รู้ว่าหลี่เม่าเป็นตัวตั้งตัวตี หรือว่าเป็นความตั้งใจของตระกูลหลี่กันแน่ พ่อค้าดอกไม้ไฟอย่างตระกูล
หลี่ถึงได้ยืนกรานว่าจะมอบของขวัญให้นางให้ได้
เรื่องพวกนั้นเฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจอยู่แล้ว มีเพียงสาวใช้ที่เป็นผู้จัดการ
ยามนี้ค่ำคืนกำลังคึกครื้นยิ่งนัก ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นดอกแล้วดอกเล่า จนสว่างไสวเกือบไปทั่วทั้งฟ้า
เหมือนกับยามที่เรือนตระกูลเฉิงไฟไหม้…
สำหรับตระกูลหยางแล้ว ยามนั้นก็คงชื่นมื่นเหมือนดั่งงานเฉลิมฉลองเช่นตอนนี้กระมัง
“ข้าไม่ชอบดอกไม้ไฟสักเท่าไหร่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ละสายตากลับมาจากท้องฟ้า “ท่านพี่อย่าได้เป็นกังวลไป ข้าไม่เป็นอะไร หากไม่คาดหวัง ก็ยอมไม่ผิดหวัง”
ท่านชายเฉิงสี่ทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง
“พี่ชาย ท่านไปอ่านตำราเถิด ข้าจะกลับเข้าไปนอนแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางย่อเขาคำนับ ก่อนจะยืดตัวแล้วเงยหน้าขึ้น “อีกอย่าง ข้ายังมีท่านพี่มิใช่หรือ ความเป็นห่วงเป็นใยมิต้องมีมาก แต่ขอเพียงแค่มาจากใจจริง หากแต่มาจากใจจริงแล้ว แม้มีแค่คนเดียวก็เพียงพอ”
ใช่ ยังมีเขาอยู่ทั้งคน
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มพลางพยักหน้า
“เช่นนั้นน้องไปพักผ่อนเถิด ข้าจะไปอ่านตำราแล้ว” เขาเอ่ย
ทั้งสองคำนับให้กันอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามทางของตน
แม่นมสองนางและสาวใช้อีกสองนางที่นั่งคอยอยู่ในห้อง พอเห็นพวกนางกลับมาก็รีบคำนับให้
ถ่านหินแผ่ซ่านความอบอุ่น ธูปหอมที่เพิ่งจุดใหม่ส่งกลิ่นอบอวล น้ำและของว่างมื้อดึกยังคงร้อนกรุ่น สาวใช้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“พี่ปั้นฉิน”
สาวใช้นางหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เงินที่เตรียมไว้ยังจะแจกอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
เงินตะกร้าหนึ่งถูกจัดเตรียมไว้เมื่อครู่ เดิมทีว่าจจะรอให้จุดประทัดกันเสร็จเสียก่อนแล้วแจกจ่าย เพียงแต่เหล่าคนที่จุดประทัดกันนั้นยังไม่แยกย้าย เฉิงเจียวเหนียงก็ถูกไล่ออกมาเสียก่อน
สาวใช้ส่งเสียงฮึดฮัด
“แจก” นางเอ่ยขึ้น สายตากวาดมองห้าหกคนกลางลานบ้านแล้วเผยยิ้มออกมา “เงินของนายหญิง ก็แจกให้กับคนที่รับใช้นายหญิง พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันเถิด”
พอนางเอ่ยออกมา คนที่อยู่กลางลานบ้านก็ยืนแข็งทื่อ
“แม่นางปั้นฉิน ท่านหมายความว่า เงินพวกนี้ ทั้งหมดนี้ ให้พวกข้าไม่กี่คนนี่หรือ…” แม่นมสูงวัยนางหนึ่งถามขึ้นราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน พลางยกนิ้วชี้ที่ตนเองและคนอื่นอีกไม่กี่คน
“ใช่ พวกเจ้าไม่อยากได้หรือ” สาวใช้ถามด้วยรอยยิ้ม
ผู้ใดจะไม่อยากได้เงินกันเล่า!
เหล่าแม่นมและสาวใช้ที่อยู่กลางลานบ้านได้สติกลับคืนมาก็พากันคุกเข่าก้มหัวจรดพื้นในทันใด
“ขอบคุณน้ำใจแม่นางยิ่งนัก” พวกนางร้องตะโกนเสียงเซ็งแซ่ น้ำเสียงนั้นตื้นตันจนฟังดูแปล่งหู
เงินหนึ่งตะกร้าเชียวนะ! หนึ่งตะกร้า! เดิมทีต้องแบ่งกันนายบ่าวในเรือนยี่สิบสี่คน แต่ยามนี้กลายเป็นของพวกนางห้าคน
บุญหล่นทับแท้ๆ!
สาวใช้โบกมือปัด
“พวกเจ้าไปรื่นเริงเถิด ทางนี้มีข้าอยู่ คืนนี้พวกเจ้าจะไปไหนก็ตามสบาย” นางเอ่ย
เหล่าแม่นมและสาวใช้ก้มหัวคำนับ ก่อนจะรับตะกร้าเงินในมือสาวใช้ที่เอ่ยถามเมื่อครู่แล้วพากันเดินออกไป
เดือนหนึ่งวันที่หนึ่ง ฮูหยินรองเฉิงใจเต้นรัวจนนางแทบจะลุกยืนขึ้นไม่ไหว
“เงินหนึ่งตะกร้าเลยหรือ!”
นางเอ่ยขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะฮูหยิน เงินเต็มตะกร้าทั้งใบเลยเจ้าค่ะ” แม่นมข้างกายเอ่ยขึ้นในทันใด สีหน้าตื่นเต้นยิ่งนัก “มอบให้ห้าคนนั้นเอาไปแบ่งกัน! ห้าคนนะเจ้าคะฮูหยิน ถ้าแบ่งกันแล้วก็เท่ากับเงินค่าแรงของพวกนางทั้งชีวิตเลยนะเจ้าคะ!”
เมื่อคืนวานทั้งห้าคนแบ่งเงินกันโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ทว่าปิดเงียบได้เพียงแค่คืนเดียวก็แพร่งพรายออกมา เหล่าบ่าวทั้งเรือนโกลาหลวุ่นวายกันยกใหญ่ อิจฉาตาร้อนเหลือคณา
เหตุใดตอนนั้นพวกนางถึงไม่อยู่กับแม่นางใหญ่นะ
เพราะเหตุใดแม่นางใหญ่ถึงได้รีบกลับไปนอนเร็วนัก
“ฟุ่มเฟือยแท้” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพึมพำ “นางไม่เสียดายเลยหรือ”
“แม่นางใหญ่ไม่ได้เป็นคนพูดเจ้าค่ะ ปั้นฉินเป็นคนพูดเองทั้งนั้น” แม่นมรีบพูดต่อในทันที
จากที่สังเกตการณ์มาสองสามวัน ฮูหยินรองเฉิงก็เริ่มเข้าใจแล้วไม่น้อย ปั้นฉินผู้นี้มิได้เพียงดูแลค่าใช้จ่ายของตระกูลเฉิง แต่ยังเป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมดในมือของเฉิงเจียวเหนียงอีกด้วย
เช่นนั้นก็คงเป็นคนประเภทเดียวกับพ่อบ้านเฉาที่เจียวโจว
แน่นอนว่าเหมือนกัน ดูสิดู ทำอย่างกับเงินไม่ใช่เงิน
แต่ก็ยังดีที่ใช้ไปกับคนในตระกูล
ฮูหยินรองเฉิงหน้าชื่นตาบานแล้วลุกยืนขึ้นในทันใด มือเติบก็ดี กลัวก็เพียงแต่พวกขี้เหนียว
“ใครก็ได้มาเปลี่ยนเสื้อผ้าที” นางเอ่ย
แม่นมสองนางเปิดตู้เสื้อผ้าออกพลางหยิบชุดใหม่ออกมาด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ก่อนจะช่วยติดเครื่องประดับผมชิ้นใหม่
“เช่นนี้เป็นอย่างไร”
ฮูหยินรองเฉิงหยุดมือลง ตั้งท่าเอียงซ้ายเอียงขวามองดูตนเองในกระจกทองแดง
“ก่อนปีใหม่เอ่ยปากขอซื้อข้าวของน้อยเกินไปสินะ”
ขณะเดียวกันยามแสงแรกของปีใหม่สาดส่องมายังดินแดนบูรพา ประตูเมืองหลงกู่ก็เปิดออก ทั้งในทั้งนอกประตูเมืองแน่นขนัดไปด้วยชาวเมือง พอเห็นขบวนทหารม้าปรากฏตัวขึ้น เสียงโห่ร้องก็ดังกึกก้องไปทั่วเมือง
วินาทีที่กองทหารกลับมาหลังออกศึกนานนับครึ่งเดือน ปีใหม่ของเมืองหลวงกู่ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
หน้าประตูเมืองมีกองพะเนินอยู่สองฟาก กองหนึ่งคือร่างของเหล่าเฉลยศึก อีกกองหนึ่งคือหัวของศัตรูที่ถูกตัด
มีคนยินดีที่ญาติมิตรกลับมา ก็ย่อมมีคนทีเศร้าโศกเพราะสูญเสีย สองอารมณ์รวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูเมือง
“…ยามออกศึกเตรียมเสบียงไปไม่พอ ข้ายังกังวลใจไม่น้อย”
เหล่าแม่ทัพเอ่ยขึ้นพลางเคลื่อนผ่านฝูงชนเข้าไปในเมือง
“…ตอนนั้นก็ไม่พออย่างที่ว่าจริงๆ นั่นแล แต่เพื่อเคลื่อนทัพให้เร็วกว่าเดิม พวกเราต้องทิ้งไปเกือบครึ่ง…”
ได้ยินดังนั้นเหล่าแม่ทัพก็พากันตื่นตกใจ
“แต่พวกเจ้าก็ยังยื้ออยู่ได้นานถึงเพียงนี้ ทั้งยังคว้าชัยยิ่งใหญ่กลับมาอีกหรือ”
แม่ทัพท่าทางมอซอหัวเราะลั่น
“โชคดีที่มีโจวซื่อจิ่น” เขาเอ่ยพลางหันไปมองหา ไม่นานก็เห็นแม่ทัพหนุ่มที่ขี้ม้าอยู่กลางขบวน “ชายหก มานี่สิ”
แม้จะรอบกายจะเสียงดังอึกทึก แต่แม่ทัพหนุ่มก็ยังได้ยินเสียงนั้นทั้งยังเงยหน้าขึ้นพลางเหลียวมองมา ภายใต้แสงตะวัน ใบหน้าที่ถูกลมหนาวเคี่ยวกรำจนซูดผอมนั้นดูดุดันยิ่งกว่าเดิม