พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 502 หนำใจ
ดูแลชิ่งอ๋องอย่างนั้นหรือ
ฟ่านเจียงหลินตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ข้าไม่อยากส่งเขากลับเข้าวังหลวงแล้วถูกคนจับขังไว้เพราะ
เห็นเป็นตัวประหลาด” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อ “อยู่นอกวังก็ไม่อาจ
วางใจได้ เขาจับของใส่ปากกินเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้จัก
เจ็บปวด ไม่โกรธแค้น ไม่รู้คุณ จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่คนปกติ ข้าเองก็
ไม่มีใครที่เชื่อใจหรือพึ่งพิงได้ คิดไปคิดมาก็มีแต่เจ้าเป็นเพื่อนเพียง
คนเดียว จึงได้มาขอร้องเช่นนี้”
ให้ช่วยดูแลชิ่งอ๋องอย่างนั้นหรือ เรื่องเช่นนี้ผู้ใดจะแบกรับไหว
กัน
ฟ่านเสียงหลินสีหน้ายุ่งเหยิง มองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ก้มคำนับ
อีกครั้งเบื้องหน้าว่าแต่ที่เขามาขอร้องให้น้องสาวช่วยดูแลชิ่งอ๋องนั้น
หมายความว่าอย่างไร ให้น้องสาวช่วยดูแล แล้วเขาจะไปไหน
หรือจะหมายความว่าขอให้นางช่วยรักษาอีกกระมัง
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าตอบ
ตกลงแล้วอย่างนั้นหรือ
ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ฟ่านเจียงหลินเหลียวมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบางแล้วยืดตัวขึ้น ทั้งยังไม่มีท่าทีว่า
จะขอบคุณหรือถามไถ่ใดๆ แต่กลับดันแผ่นป้ายอันหนึ่งให้
“สิ่งนี้ เจ้าเอาไว้ใช้เข้าออกตำหนักชิ่งเมื่อใดก็ได้” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าขอตัวลา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนภายในห้องลุกยืนขึ้นเพื่อส่งแขก มองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ควบม้าออกไป
คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ คนหนึ่งร้องขอคนหนึ่งตกลง ช่าง
ง่ายดายเสียเหลือเกิน…“น้องสาว..” ฟ่านเจียงหลินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ”
“บนโลกนี้ บนโลกนี้ ล้วนมีแต่เรื่อง” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเอ่ย
“อย่าได้เป็นกังวลไป มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด”
ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ฟ่านเจียงหลินก็วางใจ
“น้องสาว กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปเถิด” แม่นางหวงเอ่ย
“พี่สะใภ้อย่าได้ลำบากเลย ข้าไปกินที่เรือนนู้นดีกว่า” เฉิงเจียว
เหนียงตอบ ปั้นฉินก็หยิบเสื้อคลุมเตรียมพร้อมก่อนจะสวมคลุมให้
แก่นาง
ฟ่านเจียงหลินและแม่นางหวงอุ้มทารกน้อยออกมาส่งที่หน้า
ประตู มองดูรถม้าของนางเคลื่อนไกลออกไป
“ท่านพี่ ฝ่าบาท…” แม่นางหวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็อดกระซิบ
ถามไม่ได้ “เหมือนจะดีกับน้องสาวมาก…มากเหลือเกิน”
“แล้วน้องสาวไม่ดีกับเขาหรือ” ฟ่านเจียงหลินถามกลับ “ไม่ว่า
ผู้ใดก็ตามที่มีความเป็นมนุษย์ รู้จักกติกามารยาท น้องสาวก็ล้วนแต่ดีด้วยทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เคยช่วยเหลือนาง แม้จะเป็นเรื่อง
เล็กน้อย น้องสาวก็ตอบแทนคืนนับร้อยนับพันเท่า… ”
แม่นางหวงถูกรัวคำพูดใส่จนชะงักไปแล้วหลุดยิ้มออกมา ก่อน
จะยกมือขึ้นฟาดเขา
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฟ่านเจียงหลินถลึงตาใส่นาง
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฟ่านเจียงหลินถาม
แม่นางหวงเบิกตาโพลงมองเขา สุดท้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจ
“ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน” นางเอ่ยขึ้นแล้วอุ้มเด็กน้อยเดิน
เข้าเรือนไป
“พูดไม่พูดอะไรของเจ้า” ฟ่านเจียงหลินสับสน บ่นอุบอิบอย่า
งอดไม่ได้ “ผู้หญิงก็เป็นเสียอย่างนี้ เหตุใดไม่เอาอย่างน้องสาวเสีย
บ้าง พูดจาฉะฉานชัดเจน”
ภายในเรือนหลังใหม่ของตระกูลเฉิง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรือนนั้น
ใหม่เกินไปหรืออย่างไร บรรยากาศของเทศกาลปีใหม่กลับเบาบาง
เสียเหลือเกิน“ฮูหยิน ฮูหยิน มีคนมาทวงเงินค่าเนื้อค่าผักเจ้าค่ะ” แม่นมนาง
หนึ่งเดินจ้ำ เข้ามาในห้องโถง
แม่นมอีกสามสี่นางที่นั่งอยู่กลางโถงก่อนหน้าพากันเหลียวไป
มองนางเมื่อได้ยิน
“ฮูหยิน เงินค่าธูปเทียนจะผลัดต่อไปไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ… ใน
เมื่ออันเชิญเทพเซียนมาแล้ว ธูปเทียนก็ห้ามขาดนะเจ้าคะ” คนหนึ่ง
เอ่ยขึ้นต่อในทันใด
“ฮูหยิน เครื่องประดับเครื่องหัวที่สั่งจองไว้ยังต้องการอยู่
หรือไม่เจ้าคะ ร้านเขาทวงมาแล้ว บอกว่าหากไม่เอาจะได้ขายให้
คนอื่น” อีกคนหนึ่งก็รีบเอ่ยขึ้น
“พอได้แล้ว!”
ฮูหยินรองเฉิงตวาดลั่น กระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ
ภายในห้องเงียบสงัดในทันใด
“ท่านแม่ ท่านแม่”
เสียงของแม่นางเฉิงเจ็ดดังขึ้นจากด้านนอก“เหตุใดเครื่องประดับใหม่ถึงไม่ได้ส่งมาพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่
เจ้าคะ”
ฮูหยินรองเฉิงยกมือขึ้นนวดขมับอย่างอดไม่ไหว
“ท่านพ่อบอกว่าเลือกไว้ให้ข้าแล้วนี่เจ้าคะ” แม่นางเจ็ดพูด
“ใช่แล้ว ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวก็คงส่งตามมา” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
พลางโบกมือไล่ “เจ้าออกไปก่อน แม่กำลังยุ่งอยู่”
แม่นางเฉิงเจ็ดตอบอย่างจำ ใจ ขณะกำลังจะก้าวออกไป ก็เห็น
สาวใช้นางหนึ่งวิ่งหน้าชื่นตาบานเข้ามา
“ฮูหยินเจ้าคะ แม่นางใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” นางตะโกนลั่น
ได้ยินดังนั้นคนทั้งห้องก็ยิ้มแย้มขึ้นมาในทันใด
“เร็วเข้า เร็วเข้า” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
เหล่าแม่นมกุลีกุจอเดินตามออกไป
แม่นางเจ็ดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด
“ไปไหนกัน” นางร้องตะโกน “พวกนางออกไปทำอะไรกัน”
“พวกนางออกไปรับแม่นางใหญ่เจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายยังคง
ยืนนิ่งพลางตอบคำถามน้ำเสียงจริงจังแม่นางเฉิงเจ็ดเบิกตาโพลงมองนาง
“รับนางอย่างนั้นหรือ เหตุใดต้องไปรับนางด้วย” นางเอ่ยเสียง
ดังลั่น “นางคิดว่านางเป็นท่านพ่อหรืออย่างไร เข้าออกเรือนแต่ละที
ก็ต้องแห่กันออกไปรับส่งทั้งบ้าน”
“มีอะไรหรือ หญิงเจ็ดเรียกหาพ่อมีเรื่องอันใด”
เสียงของนายรองเฉิงดังมาจากด้านนอกห้อง
นางรองเฉิงที่อยู่ระหว่างลาพักผ่อนประจำ ปี เขาสวมเพียงชุด
อยู่บ้าน เดินโซซัดโซเซเข้ามาพลางมองดูลูกสาวด้วยสายตารักใคร่
เอ็นดู
“วันพรุ่งนี้พ่อจะพาเจ้ากับน้องชายไปเดินเล่น…” เขาพูดต่อ
“ท่านพ่อ!” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน พลางก้าว
เท้าเข้ามาใกล้แล้วตะโกนลั่น “นางเข้าออกเรือนหนหนึ่งก็ต้องให้
ท่านแม่พากันออกไปรับส่งด้วยหรือเจ้าคะ”
“นางใด” นายรองเฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง
“พี่สาวเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดจำ ใจเอ่ยออกมา
นายรองเฉิงสีหน้าเคร่งขรึมทันใด“เหลวไหล!” เขารวบแขนเสื้อพลางส่งเสียงคำราม “อยู่นอก
เรือนทำตัวเหลวไหลสร้างแต่เรื่อง อยู่ในเรือนก็ทำตัวเหลวไหล
ไม่รู้จักกาลเทศะ! เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ!”
ขณะเดียวกันฮูหยินรองเฉิงก็ออกมาต้อนรับเฉิงเจียวเหนียง
ด้วยรอยยิ้มพลางเดินนำเข้ามาในเรือน
“หนาวหรือไม่”
“เย็นนี้อยากกินอะไรหรือ”
คนหนึ่งถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เฉิงเจียวเหนียงก็ตอบไปตามนั้น
พอย่างเท้าเข้ามาในห้องโถง เหล่าแม่นมก็พากันออกไป
“เจียวเจียว เจ้าดูสิ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
ด้วยรอยยิ้ม “ในเรือนมีของต้องจัดเตรียมไม่น้อย…
”ลำบากท่านแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คำพูดนั้นพาลให้ฮูหยินรองเฉิงยิ้มปริ่มออกมา
“คนบ้านเดียวกัน เหตุใดถึงพูดจาห่างเหินเช่นนั้น” นางยิ้มเอ่ยเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะรับชาร้อนที่ปั้นฉิน
ส่งให้
ฮูหยินรองเฉิงหยิบใบรายการขึ้นมา ก่อนจะอธิบายให้นาง
ฟังทีละขั้นทีละตอนว่าจัดเตรียมอันใดไปแล้วบ้าง ทั้งยังถามไถ่ว่า
ถูกใจเสื้อผ้าและเครื่องประดับใหม่ที่ส่งมาให้หรือไม่
พูดอยู่นานสองนาน แม้หญิงสาวจะไม่มีท่าทีรำคาญใจ แต่
กลับเป็นนางเองที่อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
“เจียวเจียวร์” ฮูหยินรองเฉิงนิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “เจ้าก็เห็นว่า
ต้องใช้เงินไม่น้อย…”
ปั้น
ฉินขมวดคิ้วมองนาง
“เจ้าเองก็รู้ ตระกูลเฉิงของเราไม่ได้แบ่งแยกบ้านใหญ่บ้านรอง
เงินทองทั้งหมดก็อยู่ในมือของทางโน้น เงินที่ให้ตอนออกเดินทาง
มาก็ใช้หมดแล้วระหว่างทาง พอมาถึงก็ต้องใช้เงินอีกมากมาย…”
“บ้านเราปีนี้อาจจะไม่ได้ฉลองอย่างหรูหรา แต่ก็คงไม่ได้
แร้นแค้นปานนั้นใช่หรือไม่…”
ฮูหยินรองเฉิงตีหน้าเศร้าโอดครวญ“ท่านต้องการสิ่งใด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามขึ้นแทรก
“เงิน” ฮูหยินรองเฉิงตอบอย่างไม่คิด
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“หากที่บ้านต้องใช้เงิน ก็ไปบอกกับปั้นฉิน” นางเอ่ย “เงินอยู่ที่
นางทั้งหมด”
ปั้น
ฉินรึ
ฮูหยินรองเฉิงเงยหน้ามองสาวใช้ตรงหน้า
“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ” ปั้นฉินส่ายหน้าตอบ
ยามท้องฟ้ายามราตรีโรยตัวลงมา รถม้าคนหนึ่งก็เคลื่อนเข้า
ประตูแล้วมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน
“ผู้ใดกัน” บ่าวที่ติดตามมาจากตระกูลเฉิงเอ่ยถามขึ้นอย่างอด
ไม่ได้ “เหตุใดพวกเขาถึงไม่ถามอะไรสักคำ”
พูดไปก็มองไปที่ผู้ติดตามสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูไปพลาง
พวกเขาติดตามแม่นางใหญ่มา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า
เพราะเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนยามอยู่เจียงโจว ได้ยินมาว่าเป็น
คนของนายใหญ่โจวแม้จะได้ชื่อว่าเวรยามเฝ้าประตูอยู่ แต่ก็ทำเพียงตั้งท่ายืนเฝ้า
และปัดกวาดเท่านั้น ส่วนคนที่ตรวจตราจริงๆ กลับเป็นพวกเขา
“แม่นางปั้นฉินอย่างไรเล่า” บ่าวอีกคนเอ่ยกระซิบ
“ปั้นฉินใด” พอเอ่ยขึ้นก็นึกออกในทันใด “คนที่ออกไปแต่เช้า
กลับมาตอนมืดค่ำ แต่งองค์ทรงเครื่องประดับเงินทอง มิใช่สาวใช้ที่
เรียกใช้ได้นั่นหรือ”
“แม่นางปั้นฉิน แม่นางปั้นฉิน”
แม่นมสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยเรียกเสียงสูงเสียงต่ำ
ประตูถูกเปิดออกในทันใด สาวใช้ผลัดเสื้อผ้าชุดใหม่ ผมเผ้า
แผ่สยาย คิ้วเรียวขมวดแน่น
“ทำอะไรของพวกเจ้า” นางตวาดลั่น
แม่นมทั้งสองตกใจจนถดถอยหลัง
“ฮูหยิน ฮูหยินเชิญเจ้าไปพบ” คนหนึ่งเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
ขณะที่แม่นมคิดว่าจะถูกสาวใช้นางนี้ไล่ตะเพิดออกไปเสียแล้ว
แต่สาวใช้กลับสูดหายใจลึก สีหน้าไม่ได้ดูโกรธเคืองแต่อย่างใด
“ได้ รอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมก่อน” นางเอ่ยพอได้ยินว่าสาวใช้มาถึงแล้ว ฮูหยินรองเฉิงที่รออยู่ในห้องจน
นั่งไม่ติดที่ก็เดินก้าวออกไป นายรองเฉิงกระแอมเสียงเข้ม
ไปต้อนรับหญิงสาวนางนั้นยังไม่พออีกหรือ ยังจะต้องไป
ต้อนรับสาวใช้ด้วยตัวเองอีกหรืออย่างไร
ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหนกัน
พอเห็นนายรองเฉิงขมวดคิ้วถมึงทึง ฮูหยินรองเฉิงก็ส่งยิ้ม
ปลอบประโลม ก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังโถงให้อย่างรีบร้อน
“คำนับฮูหยินเจ้าค่ะ”
ยังดีที่รู้จักว่าผู้ใดเป็นนายผู้ใดเป็นบ่าว ไม่เช่นนั้นจะโบยเสียให้
เข็ด!
นายรองเฉิงแค่นหัวเราะ พลางมองม้วนหลังสือในมือ แม้
สายตาจะจดจ้องอยู่ที่หนังสือ แต่หูกลับเงี่ยฟังเสียงพูดคุยจาก
ด้านนอกอย่างตั้งใจ
“…ในเรือนกำลังยุ่งเรื่องงานปีใหม่ เรื่องค่าใช้จ่าย…”
“…กำลังจะบอกกับฮูหยินพอดีเลยเจ้าค่ะ ตอนมาถึงบ่าวไพร่
ไม่พอใช้ วันนี้ข้าเลือกแม่นมสาวใช้และบ่าวชายมาคอยรับใช้เพิ่มวันพรุ่งก็คงมาถึง…”
“…เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก…แต่ก็ไม่ต้องมากมายขนาดนั้น ยังมีคน
ตามมาอีก ขอแค่คนปัดกวาดเช็ดถูใช้แรงงานก็พอ แต่ที่เร่งด่วน
ตอนนี้คือเรื่องจัดหาซื้อของ…”
“…เจ้าค่ะ เชิญฮูหยินจัดการได้ตามสบาย หากคนมาเก็บเงินก็
ให้พวกเข้ามาเก็บที่ข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
นายรองเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมา
สาวใช้นางนี้พูดจาอ่อนน้อมมีสัมมาคารวะ น้ำเสียงรื่นหู
ไม่น่ารำคาญ แต่เหตุใดถึงรู้สึกว่ากระอักกระอ่วนชอบกล
“…ปั้นฉินเจ้าลองดูว่าจะต้องเพิ่มเติมอันใดอีกหรือไม่”
“…ไม่ต้องให้ข้าดูหรอกเจ้าค่ะ ฮูหยินตัดสินแล้วก็เป็นพอ”
เสียงหัวเราะของฮูหยินรองเฉิงดังลอยมา เสียงฝีเท้าดังขึ้น
บ่งบอกว่าคนอีกฝั่งเดินออกไปแล้ว ฮูหยินรองเฉิงเดินกลับเข้ามาใน
ห้อง รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่จางหาย
“…นายท่าน ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีคนมาเยี่ยมเยียนมากน้อยเพียงใด
ท่านว่าจัดเตรียมของขวัญไว้สักร้อยชุดดีหรือไม่” นางนั่งคุกเข่าลงพลางเอ่ยถาม
ร้อยชุดเชียวหรือ
เดิมทีตอนอยู่เจียงโจวก็ส่งของขวัญให้สหายที่สนิทชิดเชื้อไป
แล้วไม่น้อยนี่
“โธ่ เตรียมไว้เกินก็มิใช่เรื่องผิดนี่เจ้าคะ” ฮูหยินรองเฉิงยิ้ม
ตาหยีพลางเอ่ย “ไม่หมดก็เก็บไว้ได้ นางไม่สนใจเงินแค่นี้หรอก”
ในเมื่อนางเอ่ยปากบอกเองว่าไม่สนใจเงินเล็กน้อยพวกนั้น
เช่นนั้นก็ใช้เสียให้หนำใจ
นายรองเฉิงตบมือดังฉาด ถึงว่าละเหตุใดถึงได้รู้สึกชอบกลนัก
“มีปัญหาอันใดหรือเจ้าคะ” ฮูหยินรองเฉิงยังคงปลื้มปริ่ม
ไม่หาย พลางหยิบสมุดบัญชีออกมา อาหารการกินเสื้อผ้าใหม่หรือ
เครื่องประดับก็ไม่ปัญหาแล้ว ปัญหาอยู่ที่เวลาที่เหลืออีกสองวันนี้จะ
ซื้ออะไรเพิ่มอีกดี
แน่นอนว่าต้องเป็นเครื่องประดับเงินทองอยู่แล้ว เช่นนี้แล้วจะ
ได้กลายเป็นสินเดิมของแม่นางเจ็ดในวันหน้า…เหอะ เรื่องสินเดิมของแม่นางเจ็ดยังมิต้องรีบร้อนก็ได้กระมัง
หากถึงยามที่น้องสาวของนางต้องออกเรือน จะปล่อยให้ขายขี้หน้า
อย่างนั้นหรือ
เตรียมของใช้ประจำ วันเสียก่อน ปีใหม่เช่นนี้คงมีงานเลี้ยง
ฉลองมากมาย มาอยู่เมืองหลวงทั้งทีจะขายหน้าไม่ได้…
เสียงปังดังขึ้น ฮูหยินเฉิงหลุดจากภวังค์ ก่อนจะหันไปมองนาย
รองเฉิงอย่างงุนงง
“เช่นนี้ใช้ได้เสียที่ไหน ถูกคนอื่นหลอกใช้งานเช่นนี้ เจ้าชอบใจ
นักหรือ” เขาขมวดคิ้วตวาดลั่น
ฮูหยินรองเฉิงไม่เข้าใจนัก
“ชอบสิเจ้าคะ” นางเอ่ยหลางพยักหน้า “อย่างไรก็มีความสุข
กว่ายามถูกพี่ใหญ่และสะใภ้ฮุบเงินทองไว้กับตัว”
พูดถึงเพียงเท่านั้นนางก็ยิ้มกว้างออกมา
“อีกอย่าง ท่านดูสิว่าเจียวเจียวหน้าใหญ่ใจโตเช่นนี้ แสดงว่า
สัมพันธ์พ่อลูกยังคงแน่นแฟ้น…”พอนึกถึงใบหน้าเย่อหยิ่งของพ่อบ้านเฉาที่อยู่เจียงโจว ก็รู้ได้ว่า
พี่ใหญ่คงทำให้เขาปวดหัวมากแค่ไหน
“แน่นแฟ้นบ้าบออะไร!” นายรองเฉิงตวาดลั่นอย่าง
ไม่สบอารมณ์นัก “มีลูกที่ไหนทำตัวเช่นนางบ้าง เจ้าดูตัวเจ้าสิว่าเป็น
อย่างไร! อยู่ต่อหน้าสาวใช้นางนั้น ใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่
ให้เงินเล็กน้อยเพียงท่านี้เจ้าก็ชอบนางแล้วหรือ”
“ใช่สิเจ้าคะ นางพูดจาดีกับข้า ทั้งยังเชื่อฟังข้า ข้าย่อมชอบนาง
อยู่แล้ว” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มตาหยี “นายท่าน ท่านเป็นพ่อแท้ๆ ของ
นาง แต่ข้าเป็นเพียงแม่เลี้ยง จะให้ข้าคาดหวังให้นางเคารพนับถือ
หรือ ข้าเองก็รู้จักพอเหมือนกัน”
แต่นางไม่เคารพเขาน่ะสิ!
นายรองเฉิงเดือดดาลเพียงเพราะคำคำเดียว
“เหมาะสมแล้วหรือ! บ้านนี้ใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่”
เขาตวาดลั่น
“ท่านเป็นนาย ท่านย่อมเป็นนายอยู่แล้ว” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเอ่ย
พลางง้องอน ก่อนจะหันกลับไปคิดบัญชีอีกครั้ง “ปีนี้จะจัดงานแบบขอไปทีก็คงจะไม่ได้ เพราะนี่ถือเป็นหน้าเป็นตาของพวกเรายามอยู่
ในเมืองหลวง ที่นี่ไม่ใช่เจียงโจวเสียหน่อย”
หน้าตาอย่างนั้นหรือ
ยังมีหน้าตาให้ห่วงอีกหรือ
ถูกฉุดกระชากลากถูกไปถึงกรมขุนนางขนาดนั้น ขายขี้หน้า
ยับเยินไปตั้งนานแล้ว!
นายรองเฉิงโยนหนังสือในมือลงข้างกายก่อนจะลุกขึ้นเดิน
เข้าไปนอน