พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 501 ร้องขอ
“เช่นนั้นก็แปลว่า จิ้นอันจวิ้นอ๋องจะเป็นราชนิกุลรูปงามนาม
เพราะผู้ปราดเปรื่องแล้วหรือ”
เกาหลิงปอที่หลบภัยอยู่กับเรือนวางบันทึกที่ข้าหลวงรวบรวม
มาให้โยนลงโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยพลางแค่นยิ้ม
“เป็นราชนิกุลแต่กลับมีชื่อเสียงใช่เรื่องดีเสียทีไหน เหมือนโดน
สาปให้ตายวันตายพรุ่งเสียมากกว่า”
“กุ้ยเฟยเป็นกังวลว่าส่งผลร้ายกับองค์ชายใหญ่” ข้าหลวงเอ่ย
เกาหลิงปอส่ายหน้า พลางยกมือส่งสัญญาณให้เหล่านางรำ
บรรเลงเพลงต่อ
เสียงดนตรีไพเราะอ่อนหวานจากเครื่องดนตรีไม้ไผ่ดังขึ้นหลัง
ผืนผ้าม่านที่ขวางกั้น ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์มิปาน
“ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าสตรีนั้น มองการณ์ใหญ่ไม่ขาด มอง
เรื่องเล็กได้ละเอียด” เกาหลิงปอเอ่ยกับข้าหลวงต่อ “แม้เขาจะโดดเด่นหรือเก่งกาจสักเพียงใด แต่จะส่งผลร้ายกับผิงอ๋องได้
อย่างไร ผิงอ๋องเป็นใครกัน เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของฮ่องเต้ แม้จะยัง
ไม่ได้มียศเป็นรัชทายาทก็เถิด แต่ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเขาคือ
ผู้ปกครองแผ่นดินในวันหน้า หากฮ่องเต้จะโง่เง่าไปสักหน่อย เหล่า
ขุนนางมีหรือจะไม่พอใจ แต่หากราชนิกุลคนหนึ่งปราดเปรื่องจน
เกินหน้าเกินตา ทุกคนก็คงไม่พอใจสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ทุกคนเลย
ขอแค่ฮ่องเต้เพียงคนเดียวก็คง…”
เขาพูดถึงเพียงเท่านั้น มุมปากก็เผยยิ้มเย็นเยือก
ฮ่องเต้จากฝั่งตระกูลเขาเคยลั่นวาจาเพียงคำเดียวก็ทำให้
พี่น้องท้องเดียวกันตายมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่หลานที่เป็น
เพียงพระญาติคนสนิท
“ผู้ใดจะไปรู้กันว่าความจริงแล้วที่ฝ่าบาทดีกับเขา ไม่ใช่เพราะ
หวังหลอกให้ตายใจ…”
ได้ยินดังนั้น ข้าหลวงก็สั่นไปทั้งตัวอย่างอดไม่ได้
อำนาจของฮ่องเต้นั้นยากจะหยั่ง คนเป็นฮ่องเต้นั้นไร้หัวใจ
อยู่แล้ว“ดูจากรูปการณ์แล้วข้าคงปล่อยให้เขาอยู่ในเมืองหลวงต่อไป
นั่นแหละ ให้เขาสร้างชื่อเสียงเสียให้พอใจ ถึงตอนนั้นข้าจะหัวเราะก็
ยังทัน” เกาหลิงปอพูดต่อ
พูดถึงเพียงเท่านั้นก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
“น่าเสียดายที่กุ้ยเฟยทรมานตนเองเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงเนิบ
“เขาถึงได้ว่ากันว่าคนอื่นไม่ทำเดือดร้อน ตัวเองก็หาเรื่องใส่ตัวอยู่ดี”
ข้าหลวงเอ่ยพลางยิ้มบาง
“ยามนี้กุ้ยเฟยเองก็ร้อนใจเพราะเรื่องของใต้เท้าเช่นกัน” เขา
เอ่ย “ใต้เท้าจะออกจากเมืองหลวงไปเองจริงหรือ”
“ถอยก้าวหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าย่อมกว้างไกลขึ้น ขืนยามนี้ยังอยู่
ในเมืองหลวงต่อไป รังแต่จะทำให้ฝ่าบาทรำคาญใจ สู้ข้าหนีไปให้
ไกลโพ้นเสียไม่ดีกว่าหรือ อย่างแรก พอไม่อยู่ในสายตา ฝ่าบาทก็
ย่อมคลายความชิงชังที่มีต่อข้า อย่างที่สอง ก็ทำให้เฉินเซ่า…” เกาห
ลิงปอเอ่ย
ยามเอ่ยถึงคำสองพยางค์ว่าเฉินเซ่า น้ำเสียงเขาก็เน้นหนักขึ้น
เขี้ยวฟันก็ยิ่งขบกันแน่น“…อวดดี ให้เขาลำพองใจบ้าอำนาจไปเถิด จับตาดูไว้ อย่างไร
เสียข้าก็เตรียมการในเมืองหลวงไว้พอประมาณแล้ว แม้ตัวข้าจะ
ไม่อยู่ ก็คงไม่มีอุปสรรคใด”
ข้าหลวงพยักหน้า สายตามองไปบนโต๊ะ
“แล้วจิ้นอันจวิ้นอ๋อง…” เขาเอ่ยถาม
“ในเมื่อกุ้ยเฟยไม่วางใจ ก็ให้เขาออกไปเถิด” เกาหลิงปอเอ่ย
พลางหยิบหนังสือฉบับหนึ่งขึ้นมา “ต้องบรรเทาทุกข์ ที่ชาวเมืองก่อ
กบฏก็เพราะเหตุภัยพิบัติ เมื่อรู้เหตุแล้วก็ย่อมต้องแก้ที่ต้นเหตุ มิ
เช่นนั้นหากชายแดนทั้งสี่ทิศถูกรุกล้ำเข้ามาอีก ยามนั้นค่าใช้จ่าย
บรรเทาภัยพิบัติจะมากขึ้นไปอีก”
นี่คือคำพูดที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบต่อหน้าฝ่าบาท ผ่านไปยังไม่
ถึงครึ่งวัน บันทึกคำพูดนั้นก็วางอยู่บนโต๊ะของเกาหลิงปอแล้ว
ข้าหลวงก้มหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบาง
ความกังวลในแววตานั้นได้จางหาย
หากเป็นเช่นนี้แล้วแม้ตัวจะอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่ก็คง
ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด“เช่นนั้นก็เริ่มลงมือจากบรรเทาทุกข์ชาวเมืองผู้ประสบภัย อย่า
ให้เขาดีแต่พูดแต่ทำไม่ได้ อยากได้ชื่อเสียงมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้
ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วยิ่งดี” เกาหลิงปอเอ่ย ก่อนจะโยนหนังสือ
ฉบับนั้นลงรวมกับกองสาส์นบนโต๊ะอีกครั้ง
…
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดม้าลงที่สะพานอวี้ไต้ ขมวดคิ้วพลางมองไป
ยังหน้าประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียง
หน้าประตูไร้ผู้คน
“เพราะใกล้ปีใหม่แล้วจึงไม่คัดอักษรอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ อีกเหตุผลหนึ่งคือนายหญิง
ย้ายไปอยู่เรือนหลังเดียวกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว จึงไม่สะดวกอออก
มาคัดอักษรแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ติดตามตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องร้องอ๋อ เขาลืมไปเสียสนิทว่านางไม่อยู่ที่นี่แล้ว
“ฝ่าบาทยังจะไปอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผู้ติดตามเอ่ยถามอีกครั้ง
“แน่นอนอยู่แล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องควบม้าไปข้างหน้าแล้วเอ่ย
ขึ้น “ที่นั่นไม่ใช่บ้านของนางเสียหน่อย ที่นี่ต่างหาก ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่”
วันนี้เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบแปดแล้ว
ภายในเรือนเริ่มอบอวลไปด้วยบรรยากาศของเทศกาลปีใหม่
ภายในห้องโถงในสว่างไสว ฟ่านเจียงหลินกำลังต้อนรับแขกที่มา
เยือนอย่างกะทันหัน
“ของพวกนี้ก็ไม่เอาไปด้วยหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางมอง
ไปรอบกาย
ของที่จัดวางยังคงเหมือนเดิม แม้แต่เบาะรองนั่งของแม่นางผู้
นั้น
ยังคงวางอยู่ที่เดิม
“พ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจียงหลินตอบ “น้องสาวบอกว่าไม่ต้องเอาสิ่ง
ใดไป คนอยู่ที่ไหน ของก็อยู่ที่นั่น”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะพลางพยักหน้า พลางยกชาขึ้นชิม
“เอ๊ะ ชานี้ไม่เหมือนเดิมนี่” เขาเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินก้มหน้าขานตอบว่าใช่
“แต่ก่อนยามที่ฝ่าบาทมา ล้วนแต่เป็นชาที่ปั้นฉินชง” เขาเอ่ย
“ยามนี้ปั้นฉินไม่อยู่แล้ว เหล่าสาวใช้ก็ฝีมือไม่เทียบกับนางไม่ได้”ทว่าแววตาของจิ้นอันจวิ้นกลับเปล่งประกายขึ้นมา
“แต่ก่อนยามที่ข้ามาล้วนแต่เป็นชาที่ปั้นฉินชงหรือ” เขาถาม
“พ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจียงหลินขานตอบอีกครั้ง
“แล้วยามผู้อื่นมาเล่า”
ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ
“เรือนของเรามิได้มีแขกมากนัก ล้วนแต่มีปั้นฉินเป็นคนชงชา”
ฟ่านเจียงหลินตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องร้องอ๋อพลางหัวเราะแล้วยกชาขึ้นดื่มจนหมด
แม่นางหวงที่นั่งรออยู่ริมระเบียงเหลียวมองสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย
อย่างอดไม่อยู่ ใบหน้าของนางเหยเก
“ชาที่น้องสาวดื่มยังเหลืออยู่หรือไม่” นางเอ่ยกระซิบถาม
สาวใช้พยักหน้า
“เตรียมไว้ให้เรียบร้อย ประเดี๋ยวปั้นฉินกลับมา ให้นางชงชา
เสียก่อน” แม่นางหวงเอ่ยบอกเสียงแผ่วเบา
สาวใช้ขานรับขณะที่ด้านนอกกำลังพูดคุยกัน คนในห้องก็ลุกยืนขึ้น แม่นาง
หวงลุกขึ้นตามในทันใด ก็เห็นหนุ่มน้อยผู้ดีเดินก้าวออกมา
“ฝ่าบาท” ฟ่านเจียงหลินรีบเดินตามออกมา “ข้าส่งคนไปตาม
น้องสาวมาแล้ว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า
“ข้ายังไม่กลับ เพียงแต่ข้า…” เขามองฟ่านเจียงหลินหัวจรด
เท้า “ข้ายังจำ ได้ดี ตอนนั้นผู้ตรวจการฟ่านและพวกพ้องทั้งเจ็ด
ฆ่าหมาป่ากลางดึก เจ็ดคนขับไล่หมาป่าออกไปได้ทั้งฝูง มานึกถึง
ยามนี้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”
ฟ่านเจียงหลินได้ยินดังนั้นก็ชักงักไป ก่อนจะกลัดกลุ้มในทันใด
ยามนั้นน่ะหรือ..
ยามนั้นที่มิอาจหวนคืนมาอีกครั้ง
“…คนอื่นเอาแต่พูดกันว่าพวกเจ้าชายชาติทหาร เพียงหนึ่งคน
ก็ปราบศัตรูได้นับสิบ แต่ข้านั้นได้เห็นเองกับตา…”
เสียงของจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงดังอยู่ข้างหู ฟ่านเจียงหลินได้สติ
กลับมา ก่อนจะคำนับขอบคุณ“ไม่รู้ว่ายามนี้ร่างกายของผู้ตรวจการฟ่านกลับมาเป็น
เหมือนเดิมแล้วหรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองแขนของเขาแล้วเอ่ยถาม
ฟ่านเจียงหลินตะลึงงัน
“ฝีมือเพลงทวนของผู้ตรวจการฟ่านยอดเยี่ยมนัก พวกเราลอง
สู้กันหน่อยดีหรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ในที่สุดฟ่านเจียงหลินก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขา
ตกใจรีบร้อนยกมือขึ้นคำนับพลางเอ่ยว่ามิบังอาจ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเพียงแค่พยักหน้า
“เราสั่งเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น
ฟ่านเจียนหลินจนปัญญา
พอปั้นฉินก้าวเข้าประตูเรือนมาก็ต้องตกใจ
“ท่านพี่ อยู่ที่ลานบ้านท้ายเรือนกันเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยด้วย
ท่าทางตื่นตระหนก
“ฝ่าบาทกลับไปแล้วหรือ” ปั้นฉินถาม
“ยังเจ้าคะ ฝ่าบาทก็อยู่ที่ลานท้ายเรือนเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ พอ
เห็นเฉิงเจียวเหนียงที่เดินเข้ามาก็คำนับให้เสียงโห่ร้องจากท้ายเรือนดังลอยมา
“ทำอันใดกันอยู่นะ” ปั้นฉินเอ่ยพึมพำ พลางเดินตามเฉิงเจียว
เหนียงไปยังลานบ้านท้ายเรือน
ท่ามกลางลานฝึกท้ายเรือน สองคนกำลังท้าทายกัน เสื้อคลุม
ผืนหนาถูกถอดออกแม้จะอยู่ในฤดูหนาว มีเพียงเสื้อผูกตัวใน รัดรึง
ร่างกายตามการเคลื่อนไหว ดุดันดั่งพยัคฆา
“นั่นท่านชายใหญ่ แล้วอีกคนคือผู้ใด” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นพลาง
เบิกตาจ้องมอง
เสื้อคลุมของชายหนุ่มถูกมัดขึ้นเผยให้เห็นข้อมือ ในมือถือ
ไม้ท่อนยาว ก้าวถอยเข้าออกเป็นจังหวะ หากเทียบกับฟ่านเจียงหลิน
แล้วร่างนั้นดูผอมบางยิ่งนัก แต่ก็ยังมีมัดกล้ามเนื้อแกร่งให้เห็น
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมาตามการเคลื่อนไหวของท่อนไม้
“ฝ่าบาท!” ปั้นฉินเผลอร้องตะโกนออกมา
เสียงนั้นพาให้แม่นางหวงและคนอื่นๆ เหลียวมองตามมา
แม้แต่ฟ่านเจียงหลินเอ่ยก็เงยหน้าขึ้นมองจังหวะนั้นท่อนไม้ในมือของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็วาดออกไป
ท่อนไม้ในมือของฟ่านเจียงหลินกระเด็นหลุดลอย
เสียงท่องไม้ร่วงลงบนพื้นดังตุบ
ชายหนุ่มหอบหายใจกระชั้น ทว่าบนใบหน้ายังคงยิ้มกว้าง
“คนที่ฝึกฝนเพราะต้องฝึกนั้นฝีมือแตกต่างกันจริงๆ” เขาเอ่ย
พลางคำนับให้ฟ่านเจียงหลิน “ผู้ตรวจการฟ่านคงมิคุ้นชินแบบนี้
ใช่หรือไม่ ถึงได้เหนื่อยเช่นนี้”
“ฝ่าบาทเก่งกว่าท่านชายอีกหรือ” ปั้นฉินถามคนที่อยู่ข้างกาย
อย่างอดไม่ได้
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ที่ท่านพี่เรียนคือศิลปะการต่อสู้
เพื่อฆ่าคน แต่ฝ่าบาทนั้นเรียนเพียงแค่ศิลปะการต่อสู้”
การต่อสู้เพื่อฆ่าคนนั้นจะใช้ออกมาก็ต่อเมื่อต้องการจะฆ่าคน
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะฆ่าคน และคนผู้นี้ก็มิอาจฆ่าได้ ถึงได้สู้จน
เหนื่อยอ่อนเช่นนี้
“คิดไม่ถึงเลยว่าเพลงทวนของฝ่าบาทจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”
ฟ่านเจียงหลินคำนับให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องอีกหน “เห็นได้ชัดว่าฝึกฝนมาอย่างหนัก ฝีเท้ามั่นคง เพียงแค่มิได้ออกรบจริงก็เท่านั้น”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้ายิ้ม
“เจ้าว่าหากข้าต้องต่อกรกับศัตรูร้ายตัวต่อตัว ผู้ใดจะชนะ”
เขาถาม
ฟ่านเจียงหลินที่ถูกถามก็ชะงักไป
“หากถึงยามนั้นจริง เจ้าจะยังห่วงแพ้ชนะอยู่หรือ” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย
องค์ชายผู้หนึ่ง หากต้องต่อสู้กับศัตรูในระยะประชิดเช่นนี้ ก็
หมายความว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย เหล่าองครักษ์ตายไปจน
หมดสิ้น หากข้าศึกบุกเข้ามาถึงขนาดนี้แล้วย่อมจะหมายเอาชีวิตเขา
อยู่แล้ว
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะลั่น พลางรับเสื้อที่ผู้ติดตามยื่นให้
มาสวม
“ข้ามาหาเจ้า มีเรื่องอยากจะให้เจ้าช่วย” เขาเดินเข้ามาใกล้
พลางเอ่ยกับเฉิงเจียวเหนียง
ฟ่านเจียงหลินและแม่นางหวงรีบถอยออกไปในทันที“ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลาง
เบี่ยงตัวคำนับให้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไป
อาบน้ำที่นี่นะหรือ
คงกลัวว่าเขาจะเจ็บป่วยยามหน้าหนาวเช่นนี้กระมัง
เขายิ้มกว้างในทันใดก่อนจะพยักหน้า
แม่นางหวงกับฟ่านเจียงหลินที่อยู่อีกฝั่งได้ยินเข้า ก็รีบเข้ามา
เชื้อเชิญพลางเร่งให้เหล่าสาวใช้ไปจัดเตรียมเก็บกวาด
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวแล้ว จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็สวมเสื้อผ้าผืน
สะอาดเดินออกมาด้วยท่าทางแสนสบายตัว
“ขอฝ่าบาทอย่าได้รังเกียจ ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าผืนใหม่ทั้งนั้น
พ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
“ไม่รังเกียจ ผ้าชั้นดีถึงเพียงนี้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลาง
กางแขนออก ผู้ติดตามก็นำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ก่อนจะจัดแต่ง
รวบมวยผมเสียใหม่แล้วเดินออกมาเตาถ่านภายในห้องโถงถูกจุดขึ้น พร้อมกับชาที่ชงขึ้นมาใหม่ก็
จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว หญิงสาวกำลังนั่งเอนกายเท้าโต๊ะ
อ่านหนังสือ ตะเกียงธูปหอมที่ตั้งอยู่ข้างกันส่งควันพวยพุ่ง
อบอุ่นดั่งยามฤดูใบไม้ผลิ นิ่งสงบไร้ความเคลื่อนไหว
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกสุขใจอย่างประหลาดขึ้น
มา
พอได้ยินความเคลื่อนไหว เฉิงเจียวเหนียงก็วางหนังสือในมือ
ลงแล้วยืดตัวขึ้น
“เชิญฝ่าบาทเพคะ”
ปั้น
ฉินที่คุกเข่าอยู่ริมประตูเอ่ยพลางคำนับ ก่อนจะเปิดประตู
อีกบานออก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องอมยิ้มแล้วก้าวเดินเข้าไป
“ชานี้สิถึงจะถูกต้อง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยกชาตรงหน้าจนหมด ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย
ออกมา
ฟ่านเจียงหลินรีบคำนับขอบคุณ“อยู่ทางนั้นคุ้นชินหรือยัง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเฉิงเจียวเหนียง
แล้วเอ่ยถาม
ถามจบก็ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบทั้งยังยิ้มออกมาเสียเอง
“ข้าลืมไปอีกแล้ว ไม่มีผู้ใดหรือเรื่องใดทำให้เจ้าลำบากได้
แล้วก็ไม่คุ้นชินด้วยเช่นกัน”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางแล้วคำนับให้
“นอกเรื่องมาตั้งนานแล้ว ข้าขอรวบรัดเลยก็แล้วกัน” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องเหลียวไปมองปั้นฉินที่กำลังรินน้ำชาให้ทั้งสามคนในห้อง
จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ขออยากจะขอให้แม่นางเฉิงช่วยเรื่องหนึ่ง เรื่อง
นี้แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถือว่าเป็นเรื่องยาก”
“ยากเพียงนั้นเชียวหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปรับสีหน้าจริงจัง นั่งหลังตรง ก่อนจะยกมือขึ้น
คำนับ
ท่าคำนับอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมพิธีทำเอาฟ่านเจียงหลิน
ตกใจไม่น้อย“ฟางป๋อฉงขอแม่นางเฉิงช่วยดูแลชิ่งอ๋องด้วยเถิด” จิ้นอันจวิ้น
อ๋องเอ่ย