พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 500 ตอบโต้
สาส์นกราบทูลข้อราชการจากขุนนางสองกองถูกแบ่งให้องค์
ชายใหญ่และจิ้นอันจวิ้นอ๋อง จากนั้นฮ่องเต้จึงอ่านสาส์นของตนต่อ
ขันทีเดินเข้าออกยกน้ำชามาให้อย่างเบามือ
ปีใหม่ใกล้เข้ามาถึงทุกวัน ทว่าคิ้วของฮ่องเต้กลับขมวดแน่นขึ้น
เรื่อยๆ
แผ่นดินมั่งคง กองทัพแข็งแกร่ง ร่างกายกลับมาแข็งแรงอีกหน
เรื่องน่ายินดีที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับถูกบั่นทอนด้วย
ความวุ่นวายจากเหตุการณ์สุริยุปราคา
นึกไม่ถึงเลยว่าจะหลีกหนีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ไม่พ้น
ซ้ำ ยังมีปรากฎการณ์บนฟากฟ้าเป็นลางบอกเตือน ภัยพิบัติ
ครั้งใหญ่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน
พอได้อ่านสาส์นรายงาน จึงได้รู้ว่าชาวเมืองที่ตกทุกข์ได้ยาก
นั้น
มีมากมายเพียงใด พื้นที่ที่ประสบภัยพิบัตินั้นกินขอบเขตกว้างเพียงใด ทั้งหมดล้วนแต่เหนือความคาดหมายของเขาทั้งหมด แต่ที่
อันตรายกว่านั้นก็คือกบฏ
“ยามนี้ยุ้งฉางหลวงทั่วทั้งสี่ทิศของเม่าผิงกำลังแจกจ่าย
เสบียงอาหาร แม้หากพ้นฤดูหนาวไปแล้วก็ยังไม่อาจวางใจ ยังต้อง
แจกจ่ายต่อไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ หากแต่เกรงว่าพอถึงฤดูเก็บเกี่ยวใน
หน้าร้อนแล้วเสบียงจะไม่เพียงพอ”
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นข้างหู
ฮ่องเต้พยักหน้า
“นั่นสินะ ที่สำ คัญไปกว่านั้นคือตอนนี้ยังมีกบฏอีกต่างหาก”
เขาเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้น มองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ไม่รู้ว่าเข้ามานั่งอยู่
ตั้ง
แต่เมื่อใด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจ้องมองเขา
“ฝ่าบาทผอมลงยิ่งนัก” เขาเอ่ย
ฮ่องเต้ชะงักไปก่อนจะเผยยิ้มออกมา
“เจ้าอ่านจบแล้วหรือ” เขาถามพลางมองลงไปด้านล่าง องค์
ชายใหญ่ยังคงพลิกอ่านสาส์นภายใต้คำชี้แนะของขันที อ่านจบไปได้เพียงไม่กี่ฉบับ ที่กองอยู่ตรงหน้ายังมีอีกมากมาย พอสัมผัสได้ถึง
สายตาของฮ่องเต้ที่มองมา เขาก็เริ่มเร่งอ่านอย่างไม่รู้ตัว
“อ่านจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ “กระหม่อมโตแล้ว
นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หัวเราะพลางยกมือส่งสัญญาณ ขันทีที่อยู่อีกฝั่งก็รับยก
สาส์นของจิ้นอันจวิ้นอ๋องมาให้
ฮ่องเต้ค่อยๆ พลิกเปิดอ่านอย่างเชื่องช้า สีหน้านั้นแฝงไปด้วย
ความชื่นชมก่อนจะพยักหน้า
“ถ้อยคำกระชับชัดเจนได้ใจความ” เขาเอ่ย “เห็นได้ชัดว่า
มีความมั่นใจ”
“ที่จริงเรื่องเหล่านี้แสนง่ายดาย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“แสนง่ายดายอย่างไร” ฮ่องเต้เลิกคิ้วพลางอมยิ้มแล้วเอ่ยถาม
“มองให้ขาดนั้นแสนง่ายดาย ทว่าลงมือทำนั้นยากนัก” จิ้นอัน
จวิ้นอ๋องเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ฝ่าบาททรงงานลำบากแท้”
ฮ่องเต้หัวเราะแล้วยื่นสาส์นตรงหน้าตนให้แก่เขา
“อ่านดู เจ้าเห็นว่าอย่างไร” เขาถามจิ้นอันจวิ้นอ๋องรับมา
เสียงโครมครามดังขึ้น ทั้งสองเหลียวมองตาม ก็เห็นองค์ชาย
ใหญ่ลุกยืนขึ้น แต่เพราะความรีบร้อนจึงกระแทกเข้ากับโต๊ะจนกอง
สาส์นล้มเกลื่อนกลาด
ขันทีสองนายกรูเข้าไปนั่งคุกเข่าลงแล้วเก็บขึ้นมาหอบไว้
เต็มอก
“เสด็จพ่อ ลูกก็อ่านจบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่เดินเข้ามา
แล้วเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้ขานตอบ พลางส่งสัญญาณให้ขันทีวางสาส์นลงแล้ว
หันไปคุยกับจิ้นอันจวิ้นอ๋องต่อ
“กบฏกับภัยพิบัติ สิ่งใดหนักสิ่งใดเบา” เขาถาม
“ปราบกบฏย่อมสำ คัญกว่า” องค์ชายใหญ่เอ่ยแทรกขึ้น “หาก
มีกบฏก่อความวุ่นวายยามภัยพิบัติ ต้องปราบกบฏแสดงอำนาจเสีย
ก่อน จากนั้นจึงบรรเทาทุกข์เพื่อแสดงถึงความเมตตาของราชสำ นัก
”ฮ่องเต้เหลียวมองเขาแล้วยิ้ม ไม่ได้เอ่ยคำใด แต่กลับหันไป
มองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“ต้องบรรเทาทุกข์” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอาย “ที่ชาวเมืองก่อกบฏก็
เพราะเหตุภัยพิบัติ เมื่อรู้เหตุแล้วก็ย่อมต้องแก้ที่ต้นเหตุ มิเช่นนั้น
หากชายแดนทั้งสี่ทิศถูกรุกล้ำเข้ามาอีก ยามนั้นค่าใช้จ่ายบรรเทา
ภัยพิบัติจะมากขึ้นไปอีก”
ฮ่องเต้ยิ้มออกมาอีกหน
สายตาขององค์ชายใหญ่กวาดมองทั้งสองด้วยความประหม่า
“เสด็จพ่อ” เขาพูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นปรามเขา
“แม้เจ้าจะมีการบ้านมากมาย ทั้งยังเพิ่งเริ่มงานที่ศาลาว่าการ
แต่ถึงกระนั้นหากเข้าประชุมราชสำ นักได้ ก็ควรมา” เขาพูดกับจิ้นอัน
จวิ้นอ๋อง
“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นเพียงแค่ราชนิกุล” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
ด้วยรอยยิ้ม
“ราชนิกุลก็ต้องเข้าประชุมราชสำ นักด้วยเช่นกัน” ฮ่องเต้ตอบจิ้นอันจวิ้นอ๋องถวายบังคมแล้วขานรับ
“เจ้าไปเถิด ธุระของเจ้ายังมีอีกมาก” ฮ่องเต้เอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับแล้วถวายบังคมลาก่อนจะออกไป
พอเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องออกไปแล้ว ฮ่องเต้ถึงจะเหลียวมาทาง
องค์ชายใหญ่
“ยามเจ้าอ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการใด อย่าได้ยึดมั่นใน
ตำราโบราญคร่ำครึเหล่านั้น” ฮ่องเต้เอ่ยแล้วหยิบกองสาส์นที่องค์
ชายใหญ่เป็นผู้อ่านขึ้นมา “เจ้าจำ เอาไว้ว่า เหล่าขุนนางอำมาตย์
ทั้ง
หลายต่างตราตรำอ่านตำรามานับสิบปี สอบเอาชนะคนนับพัน
กว่าจะเข้ามาได้ ล้วนแต่แตกฉานและเป็นเลิศในวิชาตำรากันทั้งสิ้น
หากเจ้าถกเถียงกับพวกเขาด้วยโคลงกลอนในตำราเช่นนั้น จะสู้เขา
ได้อย่างไร”
องค์ชายใหญ่ก้มหัวลงใบหน้าเหยเกแล้วขานตอบ เสียงของ
ฮ่องเต้ยังคงดังขึ้นข้างหูไม่หยุด
“… เลื่อนลอย เขียนมีแต่น้ำไม่มีเนื้อ… ขุนนางพวกนั้นรอบจัด
นัก หากพลาดพลั้งต่อหน้าพวกเขาขึ้นมา ก็จะถูกพวกเขาหยิบยกขึ้นมาตลบหลังเอาได้…”
“…พวกเขาทั้งปราดเปรื่อง ทั้งช่ำ ชองการเมือง หากคิด
จะเล่นลูกไม้ถ้อยคำกับพวกเขา แม้นจะมีเจ้าอีกสักสิบคนก็สู้ไม่ไหว
ฉะนั้นแล้วเจ้าต้องรู้จักใช้จุดแข็งปิดบังจุดอ่อนของตน มีอะไรก็พูด
ออกไปเช่นนั้น เรื่องที่ยากก็เรียบเรียงออกมาด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย
ต้องรู้ว่าตนเองกำลังถามเรื่องอะไร อยากได้คำตอบอย่างไร แล้ว
จะทำเช่นไรต่อ ถ่ายทอดออกมาด้วยถ้อยคำที่กระชับและชัดเจน”
“เจ้าดูที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องเขียน…”
องค์ชายใหญ่รู้สึกถึงเพียงสองหูที่อื้ออึงไปหมด ก่อนจะรับ
มาอย่างเหม่อลอย สายตาที่มองไปเหมือนจะเห็นชัดเจนแต่ก็พร่ามัว
สติเลื่อนลอย จนกระทั่งฮ่องเต้เอ่ยถามอีกครั้ง เขาก็ไม่ทันได้ตอบ
“ปีใหม่นี้เจ้าก็จะอายุสิบสี่ปีแล้ว! มีตำหนักเป็นของตัวเองแล้ว!
มีอาจารย์มากมายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาสอนตำรา ทั้งยังอยู่ใน
ราชสำ นักแทบจะทุกวัน เหตุใดถึงไม่ก้าวหน้าเลยสักนิด”
ฮ่องเต้เก็บกลั้นความขุ่นมัวไว้ไม่ไหว กระแทกสาส์นในมือลง
กับโต๊ะออกแรงองค์ชายใหญ่ตื่นกลัวจนสั่นไปทั้งร่าง พลางค้อมตัวลงแล้ว
ก้มหน้า
พอกุ้ยเฟยทราบเรื่องก็เดินวนไปมาในตำหนักอย่างร้อนใจ
จนกระทั่งคนที่นางรอคอยดก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ได้ความว่าอย่างไร ผิงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามในทันใด
“กุ้ยเฟย องค์ชายกลับไปที่ตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตอบ
“เหตุใดถึงไม่รั้งเขาไว้” กุ้ยเฟยขมวดคิ้วตวาดลั่น
“รั้งไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายไม่ยอมมา ท่าทางดูรีบร้อน
อยากจะกลับ” ขันทีก้มหน้าตอบพลางนวดคลึงที่แขนของตัวเอง
ตามเร้าหรือเสียจนองค์ชายโมโห ตอนควบม้ากลับผิงอ๋อง
ถึงได้ฟาดแส้ม้าใส่เขาอย่างแรง
“แสดงว่าคงถูกตำหนิเข้าให้แล้ว” กุ้ยเฟยเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม
“รีบส่งคนไปดู ไปดูว่าเขายังอยู่ดีหรือไม่” ขันทีอีกคนหนึ่งขานรับ
ก่อนจะถลาออกไปในทันใด
“ฝ่าบาทก็ทำเกินไป เขายังเล็ก ไม่รู้ความก็ต้องสอนสิ ตำหนิ
กันเช่นนี้ได้อย่างไร” กุ้ยเฟยกัดฟันเอ่ย “ผิงอ๋องฉลาดหักแหลมมาโดยตลอด สอนครั้งเดียวก็ทำเป็นทุกอย่างแล้ว”
“ฝ่าบาทคงอารมณ์ไม่ดีนัก เรื่องในราชสำ นักกำลังวุ่นวาย
พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยขึ้นหวังบรรเทาความร้อนใจ
“ที่อารมณ์ไม่ดีก็เพราะเหล่าขุนนางพวกนั้นไม่ได้เรื่อง เกี่ยว
อะไรกับผิงอ๋องกันเล่า” กุ้ยเฟยเอ่ยพลางเดินวนไปมา “แต่ข้าได้ยิน
มาว่า เป็นเพราะจิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ใช่หรือ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็อ่านสาส์นนั้นเช่นกัน
เพราะเขาเป็นพี่ ฝ่าบาทเอ่ยชมเพียงแค่สองสามคำก็ถวายบังคม
ลาออกไปแล้ว” ขันทีเอ่ย
“ข้ารู้อยู่แล้ว คนปลิ้นปล้อนเช่นนั้น ยามใดที่เจ้านั่นอยู่ต่อหน้า
ฝ่าบาท ผิงอ๋องก็จะถูกละเลยอยู่ร่ำไป” กุ้ยเฟยเอ่ยเสียงฮึดฮัดก่อน
จะหยุดยืนอยู่กับที่ “ฝ่าบาทจะให้เขาเข้าร่วมประชุมราชสำ นักด้วย
ใช่หรือไม่”
ขันทีก้มหน้าตอบว่าใช่
“กุ้ยเฟยอย่าได้เป็นกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ คนเราก็มักจะแต่
ชมคนนอก ส่วนคนของตัวเองนั้นก็มักจะเอาแต่ตำหนิ” เขาเอ่ยด้วยรอยิ้ม “ที่ฝ่าบาทเข้มงวดกับผิงอ๋อง ก็เป็นเพราะตั้งความหวังไว้สูง
กุ้ยเฟยควรจะดีใจมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ถูกกุ้ยเฟยถลึงตาใส่
“ดีใจบ้าบออันใดเล่า!” นางขมวดคิ้วตวาดลั่น “ยามอื่นไม่เคย
คาดหวังเช่นนี้เลยหรือไร เหตุใดถึงได้ถูกตำหนิเอาวันนี้ ไม่ใช่เพราะ
มีผู้ใดจงใจสุมเชื้อไฟหรอกหรือ!”
ขันทีไม่กล้าพูดต่อทำได้เพียงก้มหน้าขานรับ
“คิดว่าข้าไม่เข้าใจการเมืองราชสำ นักหรืออย่างไร ปากบอกว่า
แยกแยะงานกับตัวบุคคล จะงานหรือตัวคนก็เป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น
แยกขาดจากกันได้เสียที่ไหน แยกแยะงานกับตัวบุคคลอย่างนั้นหรือ
ก็แค่คำพูดหลอกคนไปวันๆ!”
“ใจคนก็ล้วนแต่คาดหวัง ล้วนแค่แอบเปรียบเทียบอยู่ทั้งนั้น
หากไม่ใช่เพราะจิ้นอันจวิ้นอ๋องทำเป็นแบบอย่าง ฝ่าบาทจะพาล
อารมณ์เสียง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร”
กุ้ยเฟยยืนนิ่ง“ข้าบอกแล้วว่าอย่าปล่อยให้เขาเข้ามาป้วนเปี้ยนให้ฝ่าบาท
เห็น ก็ไม่มีใครฟังข้า”
ขันทีก้มหน้า ทำได้เพียงรำพึงกับตัวเองอยู่ในใจ
“แต่ก่อนแสร้งทำตัวพิลึกพิลั่นให้คนเขาเอ็นดูก็ยังพอทน แต่ดู
ยามนี้สิ ในใจเขาคงต้องการมากกว่านั้น ทำเป็นตั้งใจเรียนหนังสือ
แสร้งวางท่าดีไปเถิด ที่แท้ก็หวังว่าจะได้เข้ามาก้าวก่ายงาน
ราชสำ นัก…”
“กุ้ยเฟย ที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะเป็นหน้าที่ของราชนิกุล
นอกจากจะได้อวยยศแล้วก็ไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์อันใด” ขันทีคน
หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
กุ้ยเฟยนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เขาหมายให้ฝ่าบาทชิงชังผิงอ๋อง” นางเอ่ยเสียงเนิบ
อาจจะ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่อาจจะ นี่คือเป้าหมายของเขา ในเมื่อเขามี
ชิ่งอ๋องอยู่กับตัว มีทั้งของขวัญของกำนัลและคนคอยอารักษ์ขา
มากมาย แล้วเขาต้องการอะไรถึงได้วิ่งเต้นทั้งเบื้องบนทั้งเบื้องล่าง
ให้เหนื่อยเช่นนี้หรือว่าต้องการชีวิตผิงอ๋อง…
กุ้ยเฟยสั่นไปทั้งร่างอย่างไม่รู้ตัว
นางนึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับองค์ชายหกในปีนั้น จิ้นอันจวิ้น
อ๋องที่รีบตามเข้ามา พอได้ยินคำวินิจฉัยจากหมอหลวง แววตาพลัน
เย็นยะเยือกในทันที
สายตานั้นมองมาที่องค์ชายใหญ่ ราวกับงูพิษที่จ้องมองเหยื่อ
หลบซ่อนตัวขู่ฟ่ออวดเขี้ยวพิษอยู่ในมุมมืด รอเพียงจังหวะคร่าชีวิต
ฝ่ายตรงข้าม
ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงได้รังเกียจเดียดฉันท์จวิ้นอ๋อง
รูปงามแต่ไร้ความสามารถผู้นี้นัก นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ ไม่รู้ว่า
องค์ชายหกนั้นประสบอุบัติเหตุเพราะ…
ทว่าจิ้นอันจวิ้นอ๋องย่อมรู้อย่างแน่นอน…
เขาต้องรู้อย่างแน่นอน!
คงเป็นวินาทีนั้นทีเขามองมาด้วยสายตาเยือกเย็น หลังจากนั้น
หลายปีนางก็เอาแต่กังวลกับเรื่องนี้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ
จะปล่อยเขาไว้เช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไป!นางจะไม่เสี่ยงรอจนถึงวันที่ผิงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์แล้วค่อย
กำจัดเขาอีกต่อไป!
“ไป ไปบอกกับใต้เท้า อย่าให้เขาจากเมืองหลวงไปเพียง
คนเดียว ต้องกำจัดจิ้นอันจวิ้นอ๋องออกไปด้วย”
ขันทีก้มหน้าขานรับก่อนจะออกมากันอย่างเชื่องช้า
ขณะเดียวกันขันทีที่กุ้ยเฟยส่งออกไปก็ก้าวเข้ามาในตำหนักผิง
อ่อง ทว่าพอมาถึงกลับถูกขวางไว้เสียก่อน
“องค์ชายบอกว่า เพราะถูกลงโทษ จึงต้องหมั่นเพียรยิ่งกว่า
เดิม กุ้ยเฟยโปรดวางใจ” ผู้ดูแลใหญ่จะจำ ตำหนักผิงอ๋องเอ่ย
“เช่นนั้นก็ขอเข้าเฝ้าองค์ชายสักหน่อยมิได้หรือ ข้าจะได้นำไป
กราบทูลกุ้ยเฟย” ขันทีเอ่ย
สายตาของผู้ดูแลเบื้องหน้าทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
สายตาหยิ่งยโสราวกับกำลังเหยียดหยาม
จะดูแคลนกันเพื่ออันใดเล่า ยามอยู่ในวังหลวงก็เป็นสุนัขรับใช้
เดินตามหลังนายเหมือนกันทั้งนั้น พอออกจากวังมาก็กลายเป็น
คนละคนขนาดนี้เชียวหรือ!แถมยังไม่ยอมให้เขาพบผิงอ๋องอีกต่างหาก!
คิดจะทำอันใดกัน ตอนนี้เขาเป็นคนกุมอำนาจของตำหนักชิน
อ๋องแล้วหรืออย่างไร กลัวว่าผิงอ๋องจะไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นมากกว่า
ตนเองอย่างนั้นหรือ
ใครจะไปสนใจคนอย่างเจ้ากัน
จะว่าไปแล้ว แม้ตอนนี้จะไม่มีใครสนใจเขา แต่วันหน้าหากผิง
อ๋องครองบัลลังก์ ขันทีข้างกายในตำหนักแห่งนี้ก็จะกลายเป็น
คนสนิทที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้มากที่สุด
คนที่เก่าคนแก่ที่อยู่ด้วยกันมานาน จะหาใครมาเทียบเคียงได้
“ใต้เท้าหลิว ฝ่าบาทเรียกพบท่าน” ขันทีคนหนึ่งตะโกนพลาง
รีบร้อนวิ่งออกมาจากด้านใน
“ได้จังหวะพอดี เช่นนั้นข้าก็ไปพร้อมกับท่าน…” ขันทีของ
กุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นในทันใด ขณะกำลังจะก้าวเท้าเดินตามไป แต่กลับถูก
ใต้เท้าหลิวผู้ดูแลขวางไว้เสียก่อน
“องค์ชายบอกแล้วว่าไม่ให้ผู้ใดเข้าพบ ยามนี้องค์ชายอารมณ์
ไม่ดีนัก เจ้าอย่าได้ทำให้พระองค์ขุ่นเคืองไปมากกว่านี้เลยถึงตอนนั้นจะถูกโบยเข้าให้ เจ้าจะไปร้องโอดครวญกับกุ้ยเฟย
หรือว่าจะเก็บเงียบไว้กับตัวเอง” ผู้ดูแลหลิวขมวดคิ้วเอ่ยอย่าง
ไม่แยแส
หากไปโอดครวญกับกุ้ยเฟย ก็เท่ากับว่าบั่นทอนสัมพันธ์แม่ลูก
หากเก็บงำ ไว้กับตัวเอง ก็เหมือนอมทุกข์ไว้กับตน
ขันทีชะงักไปครู่หนึ่ง ว่าแต่องค์ชายน่ะหรือจะสั่งโบยเขา
องค์ชายผิงอ๋องนั้นรู้จักสัมมาคารวะรักษากฎเกณฑ์เป็นที่สุด
แม้จะหัวโบราณคร่ำครึอยู่บ้าน แต่ก็เป็นคนมีเมตตา
ผู้ดูแลหลิวยิ้มบางมุมบาง
“คนเรานั้น มองเห็นกันก็แค่เปลือกนอก” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
พลางตบบ่าขันทีเบาๆ “วันนี้ข้าคงรำลึกความหลังกับเจ้ามิได้
ฝ่าบาทเรียกตัวข้าด่วน ข้าปล่อยให้พระองค์รอนานไม่ได้”
เขาพูดจบก็เดินจ้ำ ออกไป
ขันทีตะโกนร้องเรียกได้ไม่กี่คำ พอจะเดินก้าวตามไปก็ถูกขวาง
ไว้“ใต้เท้า เชิญขอรับ” เหล่าผู้ติดตามของตำหนักผิงอ๋องเอ่ยบอก
เสียงนอบน้อม
ขันทีทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วเดินออกไป ทว่าพอก้าวพ้น
ออกจากลาน ก็เห็นว่าอีกฝั่งมีคนสองคนกำลังหาบเสื่อผืนเก่าโทรม
เดินเข้าไปทางด้านหลังตำหนัก
นั่นคืออะไรน่ะ
เขาหรี่ตามองตามอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเห็นผมดำยาวหลุดรุ่ย
ออกมาจากเสื่อผืนเก่าที่เคลื่อนออกไป
ขันทีสั่นไปทั้งตัวในทันใด ดวงตาเบิกโพลงราวกับไม่เชื่อสิ่งที่
เห็น เสียงของผู้ดูแลหลิวเมื่อครู่ดังขึ้นมาในหัว
‘ยามนี้องค์ชายอารมณ์ไม่ดีนัก เจ้าอย่าได้ทำให้พระองค์
ขุ่นเคืองไปมากกว่านี้เลย ถึงตอนนั้นจะถูกโบยเข้าให้…’
เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง
ขันทีก้าวเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้
“ใต้เท้า” ผู้ติดตามที่ขนาบอยู่สองข้างก้าวเข้ามาขวางไว้
สำ เนียงเอ่ยเตือน “เชิญกลับเถิดขอรับ”ขันทีกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นแววตาเหี้ยมโหดดั่งสัตว์ร้าย
ของผู้ติดตาม
นี่คือตำหนักของผิงอ๋อง แผ่นดินของผิงอ๋อง
“บอกกุ้ยเฟยว่าอย่าได้เป็นกังวลไป องค์ชายไม่เป็นอะไร”
เมื่อมาถึงหน้าประตู ผู้ดูแลหลิวที่ตามออกมาบอกกับเขาด้วย
รอยยิ้ม
พอเห็นรอยยิ้มของเขา ขันทีก็สั่นเทิ้มไปทั้งกายอีกครั้ง
คนเรานั้น มองเห็นกันก็แค่เปลือกนอก ผู้ใดจะหยั่งรู้ว่าจิตใจ
ภายใต้เนื้อหนังนั้นเป็นอย่างไร
องค์ชายผิงอ๋อง เติบใหญ่แล้วสินะ…
ขันทีขานรับคำ ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาแล้วควบม้าออกไปอย่าง
เร็วไว