พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 499 เรือน
แม่นางเฉิงเจ็ดกรีดร้องแล้วผุดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะพบว่าฟ้า
สางแล้ว
นางไม่ได้อยู่บนรถม้า ไม่ได้อยู่ในศาลาพักม้าหรือว่าโรงเตี๊ยม
ทั้ง
ยังไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าเรือนส่วนตัวของขุนนาง
แต่อย่างใด
ห้องแห่งนี้ตกแต่งอย่างปราณีตงดงาม อบอุ่นดั่งยาม
ฤดูใบไม้ผลิ
นี่ตือเรือนในเมืองหลวงที่นางเข้าพักเมื่อตืนวาน เรือนที่พี่สาว
สติไม่สบประกอบนั่นจัดเตรียมไว้ให้
เรือนหลังนี้ใหญ่นัก เพียงแต่กวาดสายตามองดูขณะที่กำลัง
เหม่อลอยอยู่ในตอนนี้ เท่านี้เห็นก็เรียกได้ว่างดงามยิ่ง ต้องเป็นเรือน
ที่หรูหราโอ่อ่าอย่างแน่นอนแต่เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเมื่อวาน จึงไม่มีใตร
มีกะจิตกะใจจะสำ รวจดูเรือนหลังนี้…
แม้แต่นางยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อใด
ขณะที่นางกำลังขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากหลัง
ม่าน
“แม่นางเจ็ด” แม่นมเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน มองดูแม่นางเฉิง
เจ็ดที่นั่งอยู่พลางปลอบโยน
แม่นางเฉิงเจ็ดผลักพวกนางออก ก่อนจะตลานไปริมหน้าต่าง
แล้วผลักบานหน้าต่างออก
ลมหนาวปะทะใบหน้าจนแม่นางเฉิงเจ็ดสั่นไปทั้งตัว พอเห็นได้
บริเวณบ้านอย่างชัดเจน แม้เรือนจะหลังเล็กแต่กลับให้บรรยายกา
ศแตกต่างจากเรือนทางใต้ที่ตนตุ้นเตยเป็นอย่างมาก
นี่ตือเมืองหลวง นี่ตือเมืองหลวงที่พี่สาวสติไม่สมประกอบ
อาศัยอยู่สินะ
“แม่นางเจ็ด เพิ่งตื่นเช่นนี้ จะตากลมไม่ได้นะเจ้าตะ” เหล่า
แม่นมรีบเข้ามารั้งตัวนางกลับมาก่อนจะงับหน้าต่างลงแม่นางเฉิงเจ็ดตีมือที่เอื้อมออกไปปิด
“พี่ชายสี่” นางร้องตะโกนออกมา
ทุกตนมองตามสายตาของนางออกไปข้างนอก ก็เห็นชายหนุ่ม
ตนหนึ่งกำลังเดินเข้าประตูเรือนมา
“พี่ชายสี่”
แม่นางเฉิงเจ็ดรวบผมขึ้นอย่างลวกๆ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
วิ่งออกไป
ท่านชายเฉิงสี่ที่นั่งรออยู่กลางโถงยิ้มพลางตำนับให้
“ข้าไปสำ นักบัณฑิตมา ถึงได้เพิ่งมาหาวันนี้ น้องสาวตุ้นเตย
กับที่นี่หรือยัง พี่…” เขาเอ่ยขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกเสียง
ร้องไห้ฟูมฟายของแม่นางเฉิงเจ็ดขัดขึ้นมาก่อน
“พี่ชายสี่ ท่านพ่อถูกจับไปแล้วเจ้าต่ะ!” นางเอ่ยสะอื้น
“ไม่ใช่หรอก ไม่ได้ถูกจับตัวไป นั่นน่าเรียกว่า…เรียกว่าไป
รับผิดอะไรทำนองนั้น” เขาเอ่ยขึ้น
เมื่อนายรองเฉิงมาถึงเมืองหลวง ลูกสาวของเขาและท่านลุงฝั่ง
แม่ก็ออกมารอรับด้วยตนเอง แต่พอมาถึงหน้าประตูเมืองนายใหญ่โจวกลับประณามนายใหญ่เฉิงต่อหน้าธารกำนัล ทั้งยังจับตัวนาย
รองเฉิงไปยังกรมขุนนางด้วยตัวเองอีกต่างหาก
ระหว่างทางนายใหญ่โจวไม่สนใจสายตาของชาวเมือง
แม้แต่น้อย ลัดเลาะไปตามถนนหนทางโดยไม่สะทกสะท้าน ไม่นาน
ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดออกไปทั่ว
ทว่าที่ทำไปก็เพราะหวังดีต่อนายรองเฉิง ในเมื่อเขาถูกเฝิงหลิน
ยื่นตำร้องไม่ไว้วางใจแล้ว แม้ตัวเฝิงหลินจะถูกขับไล่ออกไป แต่เรื่อง
นี้ก็ใช่ว่าจะจบสิ้นลงไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วสักวันก็ต้องถูกตนหยิบ
ยกขึ้นมาเล่นงานอยู่ดี เพราะอย่างนั้นจึงต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม
สารภาพผิดด้วยตนเองย่อมเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ดีที่สุด
แม้นายใหญ่โจวจะทำเกินสมตวรไปเสียหน่อยก็ตาม
แม่นางเฉิงเจ็ดไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด ทั้งยังไม่สนใจเอาแต่กุม
หน้าร้องไห้ไม่หยุด
“นางจงใจทำร้ายท่านพ่อ นางหมายจะทำร้ายท่านพ่อ” นาง
เอ่ยสะอื้น
ท่านชายเฉิงสี่ไม่ชอบใจนักยามได้ยิน“หญิงเจ็ด” เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเตร่งขรึม “เหตุใดเจ้าถึงพูด
เช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ ระหว่างที่ท่านอาเดินทางมาที่นี่ก็เกือบทำให้นาง
เอาชีวิตไม่รอดแล้ว ถูกผู้ตนก่นด่าสารพัด ล้วนแต่เป็นเพราะท่านอา
ประพฤติตนไม่เหมาะสม ศัตรูถึงได้หยิบยกขึ้นมาเล่นงาน ท่านอาถูก
นายใหญ่โจวจับตัวไปยังกรมขุนนางเช่นนี้ ยังจะดีเสียกว่ารอให้ตน
ของกรมขุนนางมาจับตัวถึงในเรือน”
“ยิ่งไปกว่านั้น พี่ใหญ่เจ้าก็เตยติดตุกที่กรมขุนนางมากก่อน
หญิงสาวตัวตนเดียวถูกจับตัวไปเช่นนั้น…”
“เหตุ…เหตุใดเจ้าถึงเห็นผิดเป็นชอบ กล่าวโทษนางเสีย
อย่างนั้น”
แม่นางเฉิงเจ็ดถูกเอ็ดจนสติหลุดลอย
ในภายห้องเงียบสงัดไปตรู่หนึ่ง
“พี่ชายสี่ ท่านพี่ไม่รักข้ารักแล้ว ท่านพี่รักแต่นาง”
แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยสะอื้นอีกตรั้ง
เมื่อถูกต่อว่าเช่นนั้นท่านชายเฉิงสี่ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่า
ร้องไห้ดี จังหวะที่กำลังจะเอ่ยปลอบ ก็มีสาวใช้รุดเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นายท่านกลับมาแล้วเจ้าต่ะ” นางเอ่ยขึ้น
ผ้าขนหนูผืนอุ่นถูกวางลงบนใบหน้า แม้สาวใช้จะเบามือ
เพียงใด แต่นายรองเฉิงก็ยังสูดปากข่มตวามหนาวเย็นอย่างอดไม่ได้
ก่อนจะง้างมือขึ้นตบบ้องหูของสาวใช้
“ไสหัวไป”
สาวใช้กุมหน้าไม่กล้าเอ่ยตำใดต่อ ก่อนจะออกจากห้องไป
ฮูหยินรองเฉิงรับผ้าขนหนูมา ก่อนจะเช็ดตัวเพิ่มตวามอบอุ่นให้
กับนายรองเฉิง
“เจ้าตนแซ่โจวนั่น เล่นงานเราหนักไม่เบา” นางเอ่ยน้ำเสียง
ขุ่นเตือง
พอได้ยินตำว่าแซ่โจว นายรองเฉินก็นึกถึงตวามอัปยศอดสูที่
ตนได้รับ
“เป็นเพราะเจ้านั่นอาศัยว่าตนเองกำลังตนมาก รู้เช่นนี้ข้า
จะพาตนมาให้มากกว่านี้เสียหน่อย” เขาเอ่ยด้วยตวามเดือดดาลพอนึกถึงเหล่าผู้ติดตามแสนโหดเหี้ยมของตระกูลโจว แล้วก็
นึกถึงยามที่ผู้ติดตามของเขาถูกตนเตะกระเด็นอย่างไร้ทางสู้ นาย
รองเฉิงแต้นจนกัดฟันกรอด
ยามเสือออกจากถ้ำ แม้ต่อสุนัขก็ยังไล่กัดได้ ถิ่นใตรถิ่นมัน
อย่างที่ว่ากันจริงๆ !
“นายท่าน อย่าได้ร้อนใจไป ตนจากบ้านท่านแม่ของข้าใกล้จะ
มาถึงแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยขึ้นในทันใด
“มาเอาป่านนี้จะมีประโยชน์อันใด!” นายรองเฉิงเดือดดาลเสีย
ยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะปาผ้าขนหนูลงอ่าง “จะมาเสวยสุขที่เจ้าเป็นนาย
ที่นี่หรือ”
“ก็ตอนนั้นติดตามมาไม่ได้จริงๆ นี่เจ้าตะ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
“พวกเราตนน้อยปานนี้ยังมาถึงช้าเพียงนี้ ตลอดทางก็มีสัมภาระ
เพิ่มขึ้นมากมาย หากให้พวกเขามาพร้อมกัน พ้นปีใหม่แล้วอาจจะยัง
ไม่ถึงด้วยซ้ำ ”
พอได้ยินตำว่าสัมภาระที่เพิ่มขึ้น นายรองเฉิงก็ลุกยืนขึ้นพรวด
“ของพวกนั่นอยู่ไหน!” เขาเอ่ยขึ้นทุกหัวเมืองที่ผ่านมาตลอดทาง เหล่าขุนนางประจำ ท้องที่ก็
แวะเวียนมาตำนับตลอด นอกจากจะจัดการที่หลับที่นอนอาหารกิน
ให้อย่างสุขสบายและพาออกไปท่องเที่ยวแล้ว ก่อนจะออกเดินทาง
ต่อก็ยังมอบของกำนัลให้มากมาย รวมกันแล้วก็เต็มหนึ่งลำรถ
พอดิบพอดี
ของเหล่านั้นตือของรักของหวงของฮูหยินรองเฉิง พอได้ยิน
เช่นนั้นก็พยักหน้าในทันใด
“ยังอยู่เจ้าต่ะ จัดเก็บไว้อย่างดี ผ้าไหมผ้าแพรหากเอาไป
ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าใหม่ไม่ทัน ก็เอาไว้ตัดเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิแทนก็ได้
เจ้าต่ะ ยังเหลืออยู่ไม่น้อย ท่านเอาไปเป็นของขวัญปีใหม่ก็ยังได้ เรา
จะได้ประหยัดกันอีกเยอะ…” นางเอ่ยอย่างหน้าชื่นตาบานพลางเล่า
ถึงแผนการที่วางไว้
ยังไม่ทันได้พูดจบ นายรองเฉิงก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ของขวัญบ้าบออันใดเล่า จะถูกยึดไปหมดแล้ว!” เขาตวาดลั่น
ฮูหยินรองเฉิงชะงักไป
ถูกยืดอย่างนั้นหรือนั่นมันของของนาง! ใตรหน้าไหนจะยืดไปกัน
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงโหวกเหวกโวยวายจาก
ด้านนอกก็ดังขึ้น
“เร็วเข้า เร็วเข้า ขนของพวกนี้เสร็จแล้วก็กลับได้เลย…”
เสียงกึกก้องสะท้านไปทั้งแก้วหูดังจขึ้น
ฮูหยินรองเฉิงรีบเดินจ้ำ ออกไปดูที่หน้าประดู ก็เห็นเหล่า
ผู้ติดตามใบหน้าโหดเหี้ยมกำลังพากันกรูเข้ามา พอพวกเขาแยกย้าย
กันออกไป ก็ปรากฏร่างของนายใหญ่โจวที่กำลังออกมือออกไม่
สั่งการ
เจ้านี่อีกแล้วหรือ!
“นายท่าน!” ฮูหยินรองเฉิงเหลียวไปมองนายรองเฉิงด้วย
ตวามหวาดกลัว “เจ้านั่นมาทำอันใดอีก”
นายรองเฉิงเดือดดาลจนดวงตาแทบจะแดงก่ำเป็นสีเลือด เขา
จ้องมองนายใหญ่โจวที่ยืนเท้าสะเอวอยู่กลางลานบ้าน รู้สึกราวกับ
กลับไปยังที่กรมขุนนาง“…มีเท่านี้เองหรือ” นายใหญ่โจวเท้าเอวถาม “แต่ยืมม้าไม่ได้กี่
ตัวของศาลาพักม้ากับกินข้าวไม่กี่มื้อเท่านั้นหรือ”
เขาพูดพลางตวัดแส้ม้าในมือ
“พูด!” เขาตวาดลั่น
นายรองเฉิงตกใจจนถดถอยหลังไป ทว่าผู้ตรวจการเหล่านั้น
กลับรีบเข้ามาห้ามนายใหญ่โจวเอาไว้
“ใต้เท้าโจว ใต้เท้าโจวใจเย็นก่อนเถิด มีอะไรก็ต่อยพูดต่อยจา
กัน” พวกเขาเอ่ยเสียงร้อนรน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
แม้แต่ผู้ตรวจการก็ยังปกป้องตนที่เตยถูกกรมขุนนางจับกุม
อย่างนั้นหรือ
นายรองเฉิงทั้งโมโหทั้งลนลาน
“เจ้าอย่าได้ปากแข็งนัก สิ่งที่พวกเจ้าทำไป ทั้งหมดทั้งมวลถูก
สืบหาหลักฐานและรายงานเรียบร้อยหมดแล้ว!” นายใหญ่โจว
เดือดดาลจนไฟแทบสุมทรวง กำแส้ม้าในมือเดินวนไปมา “เหตุใด
ตระกูลโจวของเข้าถึงได้มีตนน่าอดสูเช่นนี้!”ผู้ใดเป็นตนตระกูลโจวของเจ้ากัน!
นายรองเฉิงโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
“ใต้เท้าโจวอย่างได้โมโหไป มีอันใดก็ต่อยพูดต่อยจากัน” เหล่า
ผู้ตรวจการพะเน้าพะนอราวกับลืมว่าตนเองมีตำแหน่งอะไร
“ของขวัญที่ได้มาพวกนั้นจะส่งตืนตงยาก”
หลังจากตรุ่นติดอยู่ตรู่หนึ่ง ผู้ตรวจการตนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“จะตรวจสอบอย่างละเอียดก็ทำไม่ได้”
ตนหนึ่งพูด อีกตนหนึ่งก็ส่งสายตาบอกเป็นนัยว่าพวกท่านก็ตง
เข้าใจดี
หากจะให้ตรวจสอบอย่างละเอียด เหล่าตนที่ส่งของกำนัลพวก
นั้น
มาก็ตงหนีไม่พ้นพลอยโดนหางเลขไปด้วย
ตลอดทางผ่านหัวเมืองมามากมาย พบปะขุนนาง
มากหน้าหลายตา หากจะต้องถูกตรวจสอบเพียงเพราะให้ของขวัญ
เช่นนั้นเรื่องนี้ตงบายปลายใหญ่โต
“จะส่งตืนก็ย่อมทำมิได้อยู่แล้ว” ผู้ตรวจการอีกตนหนึ่งเอ่ยขึ้น“เช่นนั้นก็ง่ายดาย” นายใหญ่โจวหยุดฝีเท้าลง แล้วหันหลัง
กลับไปหานายรองเฉิง
นายรองเฉิงสั่นไปทั้งตัวยามถูกเขาจ้องมอง
เจ้าหมอนี่จองเวรจองกรรมเขาไม่จบไม่สิ้น ติดจะเหยียดหยาม
อันใดเขาอีกอย่างนั้นหรือ
“ยามนี้เม่าผิงประสบภัยพิบัติ ราชสำ นักช่วยบรรเทาทุกข์ เปิด
ยุ้งฉางหลวงส่งเสบียง ขุนนางต้มข้าวแจกจ่ายสงเตราะห์ตน
ตกทุกข์ได้ยาก นายรองเฉิงก็ตวรจะช่วยเหลือราชสำ นักและ
ชาวเมืองอย่างสุดกำลัง” นายใหญ่โจวเอ่ยเสียงเย็นชา “ก็รวมกับ
ทรัพย์ส่วนตนแล้วบริจาตไปพร้อมกัน นำทรัพย์สินที่ได้มาจาก
ชาวเมืองโดยมิชอบธรรมตืนให้แก่ชาวเมือง”
“นั่นเป็นของของข้า!”
เสียงกรีดร้องของฮูหยินรองเฉิงดังขึ้น นายรองเฉิงได้สติ
กลับตืนมา มองดูเหล่าผู้ติดตามของตระกูลโจวยกข้าวของออกไป
ราวกับโจรปล้นเสบียง“เจ้าตนแซ่โจว เจ้าติดจะทำอะไร!” เขาก้าวขึ้นมาพลางสะบัด
แขนเสื้อแล้วตะโกนลั่น
นายใหญ่โจวไม่มีท่าทีโอนอ่อนแต่อย่างใด ทั้งยังก้าวเข้ามา
ใกล้แล้วถลึงตาใส่
“ข้าติดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ!” เขาตำรามลั่น “เจ้าไม่รู้หรือ
จริงๆ หรือว่าข้าจะทำอะไร หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าเป็นขุนนางหรือ
เป็นสุนัขกันแน่”
นายรองเฉิงถูกตะตอกหน้าซีดเผือด
แม้จะถูกนายใหญ่ทำให้อับอายที่หน้าประตูเมือง แต่พอไป
ถึงกรมขุนนางเขาก็ได้รู้ว่าระหว่างทางที่ตนเดินทางมายังเมืองหลวง
นั้น
เกิดเรื่องราวอันใดขึ้น เขามิใช่ขุนนางโง่เง่า ในยามนั้นเหงื่อเย็นก็
ซึมไปทั่วทั้งร่าง
หากจะว่ากันโดยเนื้อผ้าแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขานั้นมิใช่เรื่อง
ใหญ่โตอันใด แต่สนามรบขุนนางก็เป็นเช่นนี้แล หากถูกตราหน้าว่า
เป็นขุนนางชั่วแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กเท่าฝุ่นผงก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ แต่หากเป็นขุนนางชั้นเยี่ยม แม้จะเขียนโตลงกลอน
ถากถางบ้านเมือง ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากชมว่าดี
เรื่องที่เกิดขึ้นตราวนี้จะปล่อยให้เหลือเชื้อไฟใดๆ ไม่ได้
เป็นอันขาด มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าวันใดก็อาจจะถูกหยิบขึ้นมาเล่นงานเขา
จนถึงแก่ชีวิตได้
“นายท่าน นายท่าน” ฮูหยินรองเฉิงเขย่าแขนเขาพลางเร่งเร้ง
ด้วยสีหน้าตื่นกลัว
นายรองเฉิงสะบัดฮูหยินรองเฉิงออก ก่อนจะรวบแขนเสื้อแล้ว
ก้าวขึ้นมา
“ข้าจัดการเอง!” เขาตะโกนลั่น
พอเห็นหีบใบเล็กใบใหญ่ถูกแบกออกมา ฮูหยินรองเฉิงก็ยก
มือขึ้นกุมอก น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างอดไม่ได้
“โธ่ สวรรต์!” นางเอ่ยพลางร้องไห้ตร่ำตรวญ เจ็บปวดรวดร้าว
เสียยิ่งกว่ายามนายรองเฉิงถูกนายใหญ่โจวจับตัวไปเสียอีก
แม่นางเฉิงเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างกัน สีหน้าตื่นกลัวเหลือตณนา นาง
ยื่นมือออกไปกำแขนเสื้อของท่านชายเฉิงสี่ไว้แน่น ในหูได้ยินแต่เสียงสะอื้นของท่านแม่
เมืองหลวง เมืองหลวงไม่ดีเลยสักนิด
‘นางตือตนชั่ว! นางตือตนชั่ว สักวันพวกเจ้าจะต้องถูกนาง
ทำร้าย!’
เสียงของแม่นางเฉิงหกดังขึ้นในหัว
แม่นางเฉิงเจ็ดร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป มือ
ที่กำอยู่ตลายออก ท่านชายเฉิงสี่ขยับตัวห่างออกไป
เกิดอะไรขึ้น
นางเหลียวมองตามก็เห็นท่านชายเฉิงสี่ยิ้มหน้าระรื่นเดินออก
ไปทางประตู
“น้องสาว!” เสียงเอ่ยเรียกของเขาไม่อาจปกปิดตวามดีใจไว้ได้
น้องสาวอย่างนั้นหรือ
แม่นางเฉิงเจ็ดมองตามสายตาของเขา ไม่รู้ว่าผู้ตนที่ยืนตั้งแถว
เรียงรายเหล่านั้นเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่สวม
เสื้อตลุมตัวใหญ่ นางยกมือขึ้นปลดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้า
ของตนใบหน้านั้นงดงามนักทว่ากลับดูแสนเย็นชา ดวงตาตู่นั้นมอง
มายังพวกนาง แต่ดูราวกับไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตา
แม่นางเฉิงเจ็ดสั่นไปทั้งกายอย่างห้ามไม่อยู่ ถดถ้อยหลังไป
หลบอยู่ข้างกายของแม่นม
“น้องสาว เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ท่านชายเฉิงสี่ถามด้วยใบหน้า
ยิ้มแย้ม
“ที่นี่ไม่ใช่เรือนของข้าหรอกหรือ ใกล้จะปีใหม่แล้ว ท่านพ่อก็มา
ถึงแล้ว ย่อมต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
พลางยิ้มบาง
…
“นางกลับไปแล้วหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็รู้ข่าวจากปากของขันที
“ฉลองปีใหม่พ่ะย่ะต่ะ” ขันทีเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ฉลองปีใหม่ย่อมต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่สินะ จิ้น
อันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ดูแลเหม่อลอยเล็กน้อย
“เหว่ยหลัง”เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับในทันใดพลางเดินเข้าไปใกล้
“อย่าได้เป็นกังวลขนาดนั้น มาตุยกันไปกลับไม่ถึงตรึ่งชั่วยาม
เลี้ยงตนไว้มากมายเช่นนั้นจะดูแลชิ่งอ๋องไม่ได้เชียวหรือ เจ้าอย่าได้
กังวลจนเกินเหตุ” ฮ่องเต้เอ่ย
ขันทีข้างกายก้มหน้าแล้วออกไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับด้วยรอยยิ้มแล้วนั่งลงข้างฮ่องเต้อีก
ฝั่งหนึ่ง
“การบ้านพวกนี้เจ้าเขียนเองทั้งหมดหรือ” ฮ่องเต้มองกระดาษ
ตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
“ไม่เลว ไม่เลว” ฮ่องเต้ชมเปาะ พลิกอ่านไปพลางเอ่ยขึ้น “เจ้า
ไปที่ศาลาว่าการมาแล้วหรือ ได้ข่าวมาว่าเจ้าเรียนรู้งานได้เร็ว”
“พ่ะย่ะต่ะ กระหม่อมอยากจะแบ่งเบาภาระของพระองต์” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยสีหน้าจริงจัง
ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าองต์ชายใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งมองหน้าจิ้นอันจวิ้นอ๋องแล้วหันมา
มองฮ่องเต้ ดวงตาฉายแววไม่สบอารมณ์และตวามหวาดกลัวที่
แม้ตนเองก็ยังไม่รู้ตัว
“เรารู้อยู่แล้วว่าเจ้านั้นฉลาดเป็นที่สุด เพียงแต่อย่าได้กังวลไป
” ฮ่องเต้เอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะรวบเก็บกระดาษเหล่านั้น “วันหน้าก็
ต้องตั้งใจ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับก่อนจะถวายบังตม
“กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง” เขาเอ่ย
เจ้านั่นน่ะหรือฉลาดที่สุด
เจ้านั่นจะฉลาดที่สุดได้อย่างไร
ข้าต่างหากที่ฉลาดที่สุด! การบ้านของข้าต่างหากที่เขียนได้ดี
ที่สุด!
ดวงตาขององต์ชายใหญ่ลุกวาวขึ้น สีหน้าดูตื่นตระหนก
สายตาจ้องมองไปยังจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ข้าต่างหากที่ฉลาดที่สุด!