ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 125.5 ไฟล์ 13 แพนโดร่าข้างห้อง & ต้องห้าม -แพนโดร่า-
- Home
- All Mangas
- ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง
- ตอนที่ 125.5 ไฟล์ 13 แพนโดร่าข้างห้อง & ต้องห้าม -แพนโดร่า-
TN: นี่เป็นการเสริมข้อมูลเฉยๆ นะครับ ใครไม่สนใจสามารถข้ามได้เลย หรือใครที่อยากอ่านขำๆ ก็แวะอ่านดูได้นะครับ
แหล่งอ้างอิงจากเรื่องลี้ลับของจริงที่ถูกเล่าขานกันมา และตำนานในอินเตอร์เน็ตมากมายหลายเรื่อง ที่ถูกนำมาใช้ใน “ไฟล์ 13 : แพนโดร่าข้างห้อง”
เรื่องเล่าทางอินเตอร์เน็ตที่โด่งดัง [ต้องห้าม -แพนโดร่า- (禁后 -パンドラ- : Kinkisaki -Pandora-)] ถูกโพสต์อยู่ในกระดาน “怖い話し投稿: ホラーテラー” (Kowai Hanashi Toukou: Horaa Teraa แปลว่า ส่งเรื่องเล่าน่ากลัว : Horror Teller) (11/2/2009) แล้วเดือนต่อมา รายละเอียดของพิธีที่ทำในเรื่องนี้ก็ถูกลงในกระดานเดียวกันนี้ต่อ (17/3/2009) งานนี้ก็ยืมใช้การบรรยายภาพมาจากทั้ง 2 โพสต์ดังกล่าว
ส่วนภาพของเพื่อนข้างห้องกำลังเปิดประตูด้วยมือที่ดูแปลกๆ นั้น ได้ยืมมาจากเรื่องที่เคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้อย่าง “新耳袋 第一夜 現代百物語” (Shinmimibukuro Daiichiya Gendai Hyaku Monogatari แปลว่า 100 นิทานสมัยใหม่ ชินมิมิบุคุโระ คืนที่ 1) (ฮิโระคัตสึ คิฮาระ/อิชิโระ นาคายามะ, สำนักพิมพ์มีเดียแฟกโตรี, 1998 / คาโดคาวะ, 2002) เรื่องที่ 48 [ผู้หญิงข้างห้อง (隣の女 : Tonari no Ona)]
TN: จบจากส่วนของอาจารย์ผู้แต่งแล้วนะครับ คราวนี้มาที่ส่วนของผู้แปลบ้างดีกว่า
เรื่อง [ต้องห้าม -แพนโดร่า- (禁后 -パンドラ- : Kinkisaki -Pandora-)] ผมแปลจากต้นฉบับ ผสมกับ ver. Eng นะครับ ซึ่งมันยาวขนาดที่ว่า ต้องแบ่งพาร์ทลงเลย… ขออนุญาตพึ่ง Google Translate ซะเยอะนะ
ต้นฉบับ: https://xn--u9jv84l7ea468b.com/kaidan/55wa.html
ver. Eng: https://okaruto.tumblr.com/search/pandora
ฉันจะเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับบางสิ่งที่เรียกว่า [禁后] ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สืบทอดมาจากบ้านเกิดของฉัน ฉันไม่รู้วิธีออกเสียงที่ถูกต้องของ [禁后] หรอก แต่เราทุกคนเรียกมันว่า [แพนโดร่า]
ฉันโตมาในเมืองชนบทที่เงียบสงบ มันค่อนข้างจะอ้างว้างเพราะไม่มีสถานที่สังสรรค์ที่เห็นได้ชัดเจน แต่มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจริงๆ นอกเมือง กลางนาข้าวอันกว้างใหญ่ มีบ้านร้างหลังหนึ่งตั้งอยู่ แม้แต่ในเมืองชนบทที่ล้าสมัยของเรา มันยังโดดเด่นในเรื่องความเก่าแก่ยิ่งกว่า มันอยู่ในสภาพที่แย่มาก และดูเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว
แน่นอน ถ้าทั้งหมดมันมีอยู่แค่นั้น มันก็คงจะเป็นแค่บ้านร้างแบบที่มีให้เห็นแบบดาดดื่น แต่ว่า บ้านหลังนี้น่ะ มันไม่ใช่บ้านร้างแบบดาดดื่นที่ว่าน่ะสิ
เหตุผลแรกที่ทำให้มันโดดเด่นสำหรับเราก็คือ พ่อแม่ของเรา กับพวกผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ในเมืองไม่ชอบที่นั่นเท่าไหร่ แค่พูดถึง เราโดนดุแล้ว บางครั้ง พวกเราก็ถึงขั้นโดนตบเลย เพราะพ่อแม่รับมือไม่ถูกตอนที่มีเรื่องนี้ถูกพูดขึ้นมา
ทุกบ้านเป็นแบบนี้กันหมด บ้านฉันก็ด้วย
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราสนใจบ้านร้างหลังเก่านั่น คือ: มันไม่มีประตูหน้าบ้าน
แน่นอนว่ามีหน้าต่าง และมีประตูกระจกออกไปด้านข้างของตัวบ้านนะ… แต่ถ้าใครเคยอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน ปกติแล้วเขาจะเข้าจะออกได้ยังไงล่ะนั่น? คลานออกทางหน้าต่างหรือเดินไปรอบๆ บ้านจากประตูบานเลื่อนงั้นเหรอ? ดูยุ่งยากชะมัดเลยนะ
ความลึกลับพวกนี้นี่แหละที่กระตุ้นความสนใจของเรา แล้วพอรวมกับชื่อเล่นว่า [แพนโดร่า] ที่เคยตั้งให้ตั้งแต่ก่อนสมัยของเรา บ้านหลังนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่เราพูดถึงมากที่สุด (ตอนนั้นเรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ [禁后])
เด็กส่วนใหญ่ต่างก็อยากรู้ว่ามีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับบ้านนี้จริงๆ มั้ย ฉันเองก็ด้วย… แต่ด้วยการที่ว่าแค่พูดถึงเรื่องนี้ พ่อแม่ของเราโกรธแล้ว เราก็เลยไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบเรื่องพวกนี้จริงๆ จังๆ ซักที
ตัวบ้านน่ะต่อให้เป็นเด็กก็เข้าถึงง่าย มันไม่ได้อยู่ในย่านที่มีประชากรหนาแน่นเป็นพิเศษ เพราะแบบนั้น ฉันเลยคิดว่าอย่างน้อยพวกเราทุกคนก็เคยไปดูมันมาแล้วครั้งนึง สำหรับพวกเรา แค่เพลิดเพลินกับความน่าขนลุกของบ้านโดยไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยก็พอแล้วมาได้พักใหญ่
แต่ไม่กี่เดือนหลังจากที่ฉันเริ่มเรียนชั้นมอต้น เด็กชายคนหนึ่งที่สนใจเรื่องของ [แพนโดร่า] ก็ตัดสินใจว่าเขาอยากจะไปดูบ้านนี้ด้วยตัวเอง
ชื่อของเขาคือ A
แม่ของ A มาจากเมืองของเรานี่แหละ แต่เธอแต่งงานกับชายคนนึงจากจังหวัดอื่น แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นกับเขา แต่สุดท้ายพวกเขาก็หย่ากัน ก่อนที่เธอก็กลับมาที่นี่และย้ายไปอยู่กับยายของ A
A ไม่เคยมาที่เมืองของเรามาก่อนเลยจนกระทั่งเขาย้ายเข้ามา เพราะงั้น เขาก็เลยไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ [แพนโดร่า] มาก่อนเหมือนกัน
ตอนที่เขาย้ายเข้ามา ฉันสนิทกับ B คุง, C คุง และ D จังมาก แล้ว B กับ C ได้ไปเป็นเพื่อนกับ A เพราะงั้น เขาก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเราไปโดยปริยาย
วันนึง เมื่อเรา 5 คนกำลังออกไปเที่ยวกับคุยเล่นกัน เรื่องของ [แพนโดร่า] ก็ผุดขึ้นมาในบทสนทนา A สนใจเรื่องนี้มาก และเขาก็ขอให้เราเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังที
“แม่กับยายฉันก็เกิดที่นี่ทั้งคู่… คิดว่าพวกเขาจะโกรธมั้ยถ้าฉันถามพวกเขาเกี่ยวกับ [แพนโดร่า]?”
“ยังต้องถามอีกเหรอ?”
พวกเราคนหนึ่งพูดราวกับว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนที่สุดในโลก
“พอพูดถึงเรื่องนี้ พ่อกับแม่ก็ฟาดฉันเลย!”
“เหมือนกันเลย… ไม่เข้าใจจริงๆ”
ตอนที่เราบอก A เกี่ยวกับ [แพนโดร่า] เราก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับพ่อแม่ของเราไปด้วย พอบทสนทนามันเริ่มจะเงียบไป เราก็เริ่มคุยกันว่าภายในบ้านที่ว่างเปล่าแบบนั้นจะเป็นยังไงกันแน่
“แสดงว่า ไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในบ้านงั้นสินะ?” A ถาม
“ไม่อะ ไม่มีใครเคยเข้าไปเลย แถมต่อให้ไปถามใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ต้องโดนดุกลับมาแน่ คนที่รู้ก็มีแต่พวกผู้ใหญ่เท่านั้นแหละ”
“ถ้างั้น เรามาดูกันเถอะว่าพวกเขากำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่!”
A พูดด้วยความตื่นเต้นที่เต็มเปี่ยมในดวงตาของเขา
พวกเรา 4 คนกลัวว่าจะถูกทำโทษ ตอนแรกเราก็เลยลังเล
แต่ท้ายที่สุด A เขาก็ทำให้เราเห็นด้วยจนได้ เราทุกคนเองก็อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็กลัวเกินไป แถมนี่ก็อาจเป็นโอกาสของพวกเราที่จะได้เปิดเผยทุกสิ่งออกมาก็ได้ พวกเราทุกคนก็เลยเห็นด้วยกับ A
หลังจากที่คุยกันตอนแรก D บอกน้องสาวเธอเกี่ยวกับแผนการของเรา เวลาเราไปเที่ยวกัน น้องเธอมักจะมาพร้อมกับ D ด้วย เพราะงั้น เราก็เลยตัดสินใจกันว่าเราทั้ง 6 คนจะไปที่บ้านหลังนั้นในบ่ายวันอาทิตย์
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆
พอวันอาทิตย์มาถึง เราก็นัดเจอกันที่หน้าบ้าน ตื่นเต้นที่ในที่สุด เราก็จะได้เข้าไปในที่ที่เราพูดถึงกันมานานซักที
แล้วเพราะอะไรไม่รู้ พวกเราแต่ละคนก็เลยเอาเป้ที่ยัดขนมมาเต็มติดมาด้วย จำได้ดีเลยล่ะว่าเรามีความสุขกันแค่ไหนที่จะได้ออกไปผจญภัย
ก็อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละว่าบ้านหลังนี้ล้อมรอบไปด้วยนาข้าว แล้วก็ไม่มีประตูหน้าบ้าน มันเป็นบ้าน 2 ชั้น หน้าต่างมันดูเหมือนจะสูงเกินกว่าจะปีนขึ้นไปได้ไหว วิธีเดียวที่จะเข้าไปได้ก็คือพังประตูกระจกบานเลื่อนที่อยู่ชั้น 1 เข้าไป
“ไม่ต้องไปจ่ายค่าซ่อมหรอก”
A พูดขึ้นพลางทุบกระจกให้แตก จากนั้นเขาก็เข้าไปในบ้าน
ถึงมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราทุกคนก็รู้ว่าเราต้องเจอปัญหาใหญ่ในเรื่องนี้แน่ ก่อนที่เราจะเดินตามเข้าไป แล้วก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว
ด้านซ้ายเป็นห้องครัว และด้านหน้าเป็นโถงทางเดินไป จะมีห้องน้ำอย่างทางซ้ายและห้องสุขาอยู่สุดทาง; บันไดขึ้นไปชั้นบนอยู่ทางขวามือ แล้วก็มีประตูหน้าบ้านอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่ามันจะอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงเที่ยง แดดกำลังแรงเลย แต่เพราะตรงโถงทางเดินไม่มีประตูหรือหน้าต่าง ตรงที่เรากำลังยืนอยู่ก็เลยแทบจะมืดสนิท
เทียบกับสภาพข้างนอกที่ดูเก่าๆ แล้วเนี่ย ข้างในก็ดูดีกว่าที่เราคาดไว้เยอะเลยนะ… หรือจะบอกว่า ไม่มีอะไรในบ้าน ‘ให้มัน’ ดูแย่เลย ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีของตกแต่ง ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นว่ามีใครเคยอาศัยอยู่ที่นี่เลยซักอย่าง ห้องนั่งเล่นกับห้องครัวค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ธรรมดามากๆ เหมือนกัน
“ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนี่นา!”
“มัน… ธรรมดาจัง นึกว่าอย่างน้อยก็จะมีอะไรบางอย่างทิ้งไว้ซะอีก”
หลังจากมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นและห้องครัวเรียบร้อย เด็กชายทั้ง 3 คนก็เริ่มเบื่อ ก่อนจะเริ่มกินอาหารที่พวกเขาเอามาด้วย
“ถ้างั้น บางทีความลับอาจจะอยู่ที่ชั้นสองก็ได้นะ”
ฉันกับ D จับมือน้องสาวของเธอไว้ แล้วค่อยๆ เดินไปตามโถงทางเดินไปยังบันได
แต่ บันไดนั่น… พอเรามาถึงโถงทางเดิน ฉันกับ D ก็หยุดกึกตรงกลางทาง
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าครึ่งทางของห้องโถงคือห้องน้ำ และสุดปลายทางเป็นห้องสุขา ประมาณกึ่งกลางระหว่างประตู 2 บานนั้นมีโต๊ะเครื่องแป้งตั้งอยู่ ด้านหน้าโต๊ะก็มีอะไรซักอย่างที่ดูเหมือนเสาค้ำยันของบางอย่างอยู่
ที่เสานั่น มีผมห้อยลงมาด้วย
ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันดูเหมือนจะเป็นวิกนะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นหลังของผู้หญิงผมยาว ต้องขอโทษด้วยถ้ามันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่
แม้แต่ความสูงของเสาเองก็ดูเหมือนจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ส่วนบนสุดก็เลยมีความสูงพอๆ กับความสูงเฉลี่ยของผู้หญิง มันเหมือนกับว่ามีคนพยายามสร้างภาพผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้ากระจกขึ้นมาเลย
ฉันกับ D ขนลุกเกรียวกันขึ้นมาเลย
“อะไรน่ะ!? พระเจ้า! นี่มันอะไรกันเนี่ย!” เราร้องลั่นออกมากันอย่างตื่นตระหนก
“อะไรฟะนั่นน่ะ?”
เราได้ยินเมื่อพวกผู้ชายเข้ามาในห้องโถงด้วย ทุกคนก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เราเจอนี่เหมือนกัน มีแค่น้องสาวของ D คนเดียวเองที่ดูมันอยู่เงียบๆ ไม่แสดงท่าทีจะกลัวอะไร
“นี่มันอะไรล่ะเนี่ย? นั่นผมจริงเหรอ?” A ถาม
“ไม่รู้ดิ ทำไมไม่ลองแตะมันดูล่ะ?” B ตอบกลับไป
“ถ้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็อย่าไปยุ่งกับมันเซ่!” พวกเราที่เหลือเริ่มตะโกนร้องกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “ทำเอาตกอกตกใจหมด! มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่!”
“ใช่ๆ! อย่าไปแตะมันเลยขอล่ะ!”
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่พวกเราทุกคนก็กลัวกันหมด ก่อนจะกลับมาที่ห้องนั่งเล่นกัน
ถึงเราจะมองไม่เห็นได้มันจากห้องนั่งเล่นก็เถอะ แต่แค่มองไปทางโถงทางเดินก็ยังทำเอาขนลุกแล้วเนี่ย
“เราควรจะทำยังไงดี… ถ้าไม่เดินผ่านโถงทางเดินไปก็ขึ้นชั้นบนไม่ได้นะ”
“ฉันไม่ไปนะ” D พูดอย่างหนักแน่น “น่าขยะแขยงจะตาย! ไอ้นั่นน่ะ!”
“นั่นดิ ฉันก็ลางไม่ดีจากมันเหมือนกัน” C บอก
C, D และฉันเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คาดไม่ถึง แล้วเราก็เสียความรู้สึกของการผจญภัยไปหมดเลย
“แค่ทำเป็นมองไม่เห็นมันก็ไม่เป็นไรแล้วนี่! ถ้ามันมีอะไรอยู่บนนั้น ที่ต้องทำก็แค่กลับลงมาชั้นล่าง แถมประตูมันก็อยู่ตรงนั้นด้วยน่ะเห็นมั้ย? ห้องนั่งเล่นเองก็อยู่ตรงนี้”
A กับ B เตรียมจะขึ้นไปชั้นบนแล้ว และพวกเขาก็พยายามจะเร่งให้พวกเราที่เหลือขึ้นไปต่อ
“มันก็ใช่ แต่…”
เราทุกคนต่างมองหน้ากัน พยายามตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ
ตอนนั้นแหละ ที่ฉันเพิ่งสังเกตเห็น
“D? ooจังล่ะ?”
“เอ๊ะ?”
ดูเหมือนทุกคนเองก็จะรู้ตัวแล้ว
น้องสาวของ D ooจัง หายตัวไป
พวกเราทุกคนยืนกันอยู่หน้าทางออกทางเดียวของบ้าน เพราะงั้นน เธอไม่มีทางออกไปข้างนอกโดยที่เราไม่ทันสังเกตแน่นอน พวกเรารีบมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นและห้องครัว แต่ก็ไม่เห็นเธอเลย
“oo!” D ร้องขึ้นมาอย่างร้อนรน “oo! อยู่ไหน!? ตอบสิ!?”
ไม่มีคำตอบอะไรกลับมาเลย
“เฮ้! คิดว่าเธออาจจะขึ้นไปรึเปล่า…?”
เราทุกคนจ้องมองไปที่โถงทางเดิน
“ไม่มีทาง! ทำไมล่ะ? นี่เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!?”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของ D ขณะที่เธอร้องออกมา
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ! ขึ้นไปชั้นบนแล้วตามหาเธอกันก่อนเถอะ!”
ไม่มีเวลามาสนใจแล้วว่าเรากลัวกันขนาดไหน พวกเรารีบเดินผ่านห้องโถงและเริ่มขึ้นบันได
“น―――นี่! ooจัง!”
“ooจัง! นี่ไม่ตลกนะ! ออกมาเดี๋ยวนี้เลย!”
ทุกคนตะโกนเรียกเธอขณะที่ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับมาเลย
พอขึ้นบันไดมาก็พบว่ามีห้องนอนอยู่ 2 ห้อง ประตูห้องถูกปิดอยู่ทั้งคู่
เราเปิดประตูตรงหน้าเราก่อน มันคือห้องที่เราเห็นจากข้างนอก ห้องที่มีหน้าต่างนั่นแหละ ในห้องนั้นไม่มีอะไรเลยooจังเองก็เหมือนกัน
“เธอต้องอยู่อีกห้องหนึ่งแน่!”
เราเดินตรงไปที่อีกห้องนึง ก่อนจะเปิดประตูออกช้าๆ
ooจังอยู่ในนั้น
แต่พวกเราไม่มีใครพูดอะไรออกเลยซักคำ เราทุกคนแข็งค้างอยู่กับที่อยู่แบบนั้น
ตรงกลางห้องก็เหมือนกันทุกประการ… สิ่ง… ที่เราเห็นที่ชั้นล่างตรงโถงทางเดิน
โต๊ะเครื่องแป้งที่มีไม้ค้ำรวมกับของที่ดูเหมือนเส้นผมของมนุษย์ เราทุกคนกลัวจนขนหัวลุก ขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“พี่ นี่อะไรน่ะ?”
จู่ๆ ooจังก็ถามก่อนที่จะทำในสิ่งที่พวกเราไม่กล้าพอที่จะทำ
เธอเข้าหาโต๊ะเครื่องแป้ง มันมีลิ้นชักอยู่ 3 อัน แล้วเธอก็เปิดลิ้นชักด้านบนออก
“อะไรล่ะเนี่ย?”
สิ่งที่เธอดึงออกมาและแสดงให้เราเห็นดูเหมือนบันทึกที่เขียนบนเศษกระดาษ
ที่เขียนไว้บนนั้นคือ [禁后] — [จักรพรรดินี] กับ [ต้องห้าม]
เราไม่รู้เลยว่ามันหมายถึงอะไร สิ่งที่เราทำได้ก็มีแต่มองดูที่ooจัง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเราถึงไม่สามารถออกไปจากตรงนั้นได้
ooจังดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นความรู้สึกไม่สบายของเราเลย เธอพับกระดาษนั่นไปแล้วก็ปิดลิ้นชัก จากนั้นก็เปิดลิ้นชักกลางออกมา
สิ่งที่เธอดึงออกมาก็เป็นกระดาษที่เขียนไว้แบบเดียวกันเลย จักรพรรดินีต้องห้าม
เราทั้ง 5 คนไม่เข้าใจเลย ทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ในที่สุด D ก็สามารถขยับตัวได้ซักที เธอรีบวิ่งไปหาน้องสาวของเธอ ร้องไห้ไปด้วย เริ่มกรีดร้องไปด้วย
“ทำบ้าอะไรของเธอน่ะฮะ!?”
เธอตะโกนเสียงดังใส่oo กระชากกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากมือของเด็กหญิงตัวเล็กๆ และเปิดลิ้นชักอันนึงเพื่อนำกระดาษกลับเข้าไปข้างใน
ปัญหาคือ ooจังเปิดลิ้นชักอันตรงกลาง แต่ด้วยความโกรธของเธอ D ก็เลยไปเปิดลิ้นชักด้านล่างแทน
ทันทีที่ลิ้นชักด้านล่างถูกดึงเปิดออก D ก็ยืนนิ่ง จ้องมองเข้าไปข้างใน ไม่ขยับตัวหรือส่งเสียงอะไรออกมาเลย
“ม- มีอะไร? มันมีอะไรน่ะ?!”
ในที่สุด พวกเราที่เหลือก็กล้าพอจะขยับตัว และเราเริ่มเข้าหาพี่น้องคู่นี้ นั่นคือตอนที่ D กระแทกลิ้นชักปิดเสียงดัง
D ซึ่งมีผมยาวเลยไหล่ เริ่มจะเอาผมของเธอใส่เข้าปาก และเริ่มแทะมัน
“เอ๊ะ? เฮ้ เป็นอะไรไป?”
“D? ตั้งสติหน่อยสิ!”
เราทุกคนตะโกนเรียกเธอ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรซักคำ ยังคงเคี้ยวผมของเธอต่อไป
ไม่รู้ว่าooจังกลัวสิ่งที่พี่สาวเธอกำลังทำอยู่นี่หรือเปล่า แต่เธอเริ่มร้องไห้แล้ว พวกเราทุกคนเองก็กังวลกันสุดๆ เลย
“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นกับยัยนั่นน่ะ!?”
“ฉันก็ไม่รู้! เกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย?”
“ไว้ค่อยมาคิดเรื่องนี้กันทีหลัง เราต้องกลับบ้านก่อน! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ไปนานกว่านี้แล้วนะ!”
เด็กชายทั้ง 3 คนช่วยกันอุ้ม D ออกจากบ้าน และฉันก็จับมือooจังขณะที่เรารีบออกไป
ขนาดตอนที่พวกเราหนีออกมา D ก็ยังดูดยังเคี้ยวผมของเธอต่อไป ฉันรู้ว่าเราต้องเจอปัญหาแน่ๆ แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องพาเธอไปหาพวกผู้ใหญ่ บ้านของฉันอยู่ใกล้บ้านหลังนี้ที่สุด เพราะงั้นเราก็เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น
พอมาถึงประตูหน้า ฉันก็ตะโกนเรียกแม่
ฉันกับooจังร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนเด็กผู้ชายก็พากันมองดูด้วยสายตาว่างเปล่า เหงื่อท่วมตัวจากการอุ้ม D มาตลอดทางจากบ้านร้าง D ยังคงยืนเคี้ยวผมของเธออย่างเหม่อลอย ฉันพยายามคิดหาวิธีบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด จนกระทั่งเรามาถึงประตูหน้าบ้านฉัน
“แ―――ม่!”
ฉันพยายามอธิบายทุกอย่างโดยที่ยังร้องไห้ขณะที่ฉันพูดอยู่ แต่แม่ก็ตบหน้าฉัน แล้วก็เด็กชายทั้ง 3 คนจนหน้าหัน ก่อนที่เธอจะตะโกนใส่พวกเราทุกคน
“นี่ไปมาแล้วสินะ!? บ้านร้างหลังนั่นน่ะ!”
พวกเราทำได้แต่พยักหน้า พูดสิ่งที่เราจำเป็นต้องพูดออกไปไม่ได้เลย
“เข้ามาข้างใน! ทุกคนนั่นแหละ! แม่จะไปโทรเรียกพ่อแม่คนอื่นๆ ด้วย”
จากนั้นแม่ของฉันก็พา D ขึ้นไปชั้นบน
ฉันทำตามที่บอกแล้วนั่งเงียบๆ ในห้องนั่งเล่น คิดอะไรไม่ออกเลย ฉันคงจะนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นมาได้ซักชั่วโมงนึง ก่อนที่พ่อแม่ของทุกคนจะมาถึง แม่ของฉันและ D ก็อยู่ชั้นบนตลอด
พอพ่อแม่ของทุกคนมาถึงแล้ว แม่ของฉันก็ลงมาชั้นล่างเอง
“เจ้าตัวแสบพวกนี้ไปที่บ้าน ‘หลังนั้น’ มา” นั่นคือทั้งหมดที่แม่พูด
พวกพ่อๆ แม่ๆ เริ่มพูดคุยกันพร้อมๆ กันหมด และพวกเขาก็เริ่มทั้งอารมณ์เสียทั้งโกรธเลย
“นี่! พวกเธอไปเห็นอะไรมา!? บอกสิว่าพวกเธอไปเห็นอะไรที่นั่นมา!?”
พวกเขาเริ่มตะโกนใส่เราทันที เราทุกคนตกใจมากจนไม่กล้าตอบ ในที่สุด A กับ B ก็สามารถอธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟังได้ซักที
“เราเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง กับเส้นผมแปลกๆ… แล้ว ก็ทำกระจกแตก…”
“มีอะไรอีก!? เห็นกันแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ!?”
“นอกนั้น… ก็มีกระดาษที่มีคำเขียนอยู่ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกนิดหน่อย…”
ห้องเงียบลงทันที แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นบน
แม่ของฉันวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรีบร้อน และหลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็กลับลงมาพร้อมกับประคองแม่ของ D อยู่ด้วย น้ำตาไหลอาบแก้มทั้ง 2 ข้างของเธอเลย
“D… มองเข้าไปในลิ้นชักเหรอ?” แม่ของเธอเดินเข้ามาใกล้เรามากขึ้น
“ได้เปิดลิ้นชักแล้วดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า?”
“ลิ้นชักที่ 3 ในโต๊ะเครื่องแป้งชั้นบน ได้ดูข้างในนั้นแล้วรึยัง?” พ่อแม่คนอื่นๆ ก็เริ่มถามเราเหมือนกัน
“2 อันแรกที่เราเห็นกันทุกคน… แต่อันที่ 3… มีแค่ D คนเดียวที่เห็น…”
ทันทีที่ฉันพูดแบบนั้น แม่ของ D ก็เข้ามาจับไหล่พวกเราแต่ละคนแล้วพูดต่อพลางกรีดร้องไปด้วย
“ทำไมไม่หยุดเธอไว้!? ทุกคนก็เป็นเพื่อนของเธอไม่ใช่เรอะ! ทำไมไม่ห้ามเธอ!? ทำไม!”
พ่อของ D กับพ่อแม่คนอื่นๆ พยายามช่วยกันทำให้เธอสงบลง
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ!”
“ขอล่ะที่รัก! ตั้งสติก่อนเถอะ!”
พวกเขาพยายามปลอบเธอ และหลังจากนั้น ที่แม่ของ D พาooจังกลับขึ้นไปที่ชั้นสองได้ไม่นาน เรา 4 คนก็ถูกพาไปที่บ้านของ B ก่อนที่พ่อแม่เขาจะเริ่มอธิบายสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ให้ฟัง
“บ้านที่พวกเธอไปดูน่ะ ไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ที่นั่นหรอก” แม่ของ B พูดขึ้นอย่างเงียบๆ
“มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโต๊ะเครื่องแป้งและเส้นผมที่พวกเธอเห็นโดยเฉพาะเลย มันอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ตอนที่เราทุกคนยังเป็นเด็กแล้ว”
“โต๊ะเครื่องแป้งนั่นเคยถูกใช้งานมาแล้ว เส้นผมนั่นก็ของจริง” พ่อของเขาว่าต่อ
“ยังไงก็ตาม ที่บอกว่าเห็นข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ…”
เขาหยิบปากกาแผ่นหนึ่งออกมาแล้วเขียนคำว่า [禁后] ลงไป
“…พวกเธอเห็นแบบนี้หรือเปล่า?”
“ใช่… นั่นแหละที่พวกเราเห็น”
ฉันตอบ พ่อของ B ก็รีบขยำกระดาษแผ่นนั้นให้เป็นลูกบอล โยนลงในถังขยะ ก่อนจะพูดต่อ
“คำนี้ จริงๆ แล้วมันเป็นชื่อ—ชื่อของผู้หญิงเจ้าของผมที่อยู่ในบ้านหลังนั้น การออกเสียงมันไม่ปกติสำหรับตัวคันจิหรอก”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะว่าต่อ
“สิ่งที่พวกเธอต้องรู้จริงๆ ก็คือ: ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามแต่ ห้ามพูดถึงบ้านหลังนั้น แล้วก็ อย่าเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น เข้าใจมั้ย? …ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พวกเธอจะนอนค้างที่นี่ก็ได้นะ”
เขาลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะตัดบทไปแค่นี้ ตอนนั้นแหละ B ก็รวบรวมความกล้าพอที่จะพูดออกไปได้
“จะเกิดอะไรขึ้นกับ D! ทำไมเธอ…”
B เดินตามออกไป และพ่อ B ก็พูดอีกครั้ง
“ลืมเธอไปซะ… จากนี้ไป เธอจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และเธอจะมาเจอพวกเธอไม่ได้อีก ยังไงก็…”
เขามองมาที่เราและพูดต่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“แม่ของ D จะต้องโทษพวกเธอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ไปตลอดชีวิตแน่ แม่เขาไม่ได้จะให้พวกเธอรับผิดชอบอะไรหรอก แต่เห็นท่าทีตอนที่เธอมองมาที่พวกเธอแล้วใช่มั้ย? เธอจะไม่มีทางยอมให้พวกเธอได้เจอกับ D อีกแล้วแน่นอน”
พ่อของ B ออกจากห้องไป เราคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี และเราไม่รู้ว่าจะใช้เวลาต่อกันยังไง มันเป็นวันที่ยาวนานมาก
◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆
หลังเหตุการณ์ผ่านไป ชีวิตเราก็กลับมาเป็นปกติได้ในเวลาไม่นาน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งพ่อแม่ฉัน ทั้งพ่อแม่ของคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกเลย ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ D จน 1 เดือนต่อมา ทางโรงเรียนก็ได้รับแจ้งว่าเธอย้ายไปที่ไหนซักที่แล้ว
เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในเมืองก็ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย เพราะเด็กคนอื่นๆ ถึงกับหยุดพูดถึงบ้านร้างหลังนั้นกันไปเลย ประตูกระจกที่ A ทุบไปนั่นก็ถูกกั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่มีทางที่จะมีใครแอบเข้าไปได้
พวกเรา 4 คนไม่เคยเข้าใกล้บ้านหลังนั้นอีกเลย รวมทั้งแยกตัวออกจาก D กับครอบครัวของเธอด้วย ตอนที่พวกเราเข้าโรงเรียนมอปลาย เราทุกคนก็ออกไปโรงเรียนอื่นนอกหมู่บ้านเล็กๆ ของเรา นี่ก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว…
ต้องขอโทษด้วยที่เสียเวลาไปมากกับเรื่องยาวขนาดนี้ แต่ก็ยังมีอะไรต่อมีอะไรอีกเยอะมากที่ฉันยังไม่เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้เกิดขึ้น
เป็นช่วงที่ฉันเรียนจบวิทยาลัย ตอนที่แม่ของ D ส่งจดหมายถึงแม่ฉัน แม่ฉันปฏิเสธที่จะบอกฉันว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร แต่สิ่งที่เธอพูดมันยังหลอกหลอนฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลย
“เธอเลือกที่จะหลบหน้าไปเพราะเธอเป็นแม่ของ D ถ้าเกิดลูกกลายเป็นคนหนึ่งที่ลงเอยแบบนั้น แม่เองก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม่จะรู้ดีว่ามันเป็นทางเลือกที่ผิดก็เถอะ”
ในบางครอบครัว แม่จะส่งต่อพิธี 3 อย่างที่ทำให้กับลูกสาวของตัวเอง ขอฉันอธิบายเกี่ยวกับครอบครัวเหล่านั้นซักหน่อยแล้วกันนะ
อย่างแรกเลยคือ ลูกสาวเป็นสมบัติของแม่และได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งให้กำเนิดลูกสาว 2 หรือ 3 คน เธอจะเลือกคนหนึ่งให้เป็น [สมบัติ] ของเธอ (แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่เด็กผู้ชายจะเกิดมา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น)
ลูกสาวที่ถูกเลือกจะได้รับ 2 ชื่อ หนึ่งในนั้นคือชื่อจริงๆ ของเธอ ซึ่งไม่มีใครรู้ นอกจากแม่
ชื่อนี้จะมีการอ่านที่แตกต่างจากการออกเสียงคันจิทั่วไปโดยสิ้นเชิง ในกรณีที่มีใครก็ตามรู้ว่าชื่อจริงๆ ของเธอนั้นคืออะไร ถึงจะรู้จักตัวเขียนก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าจะมันอ่านว่าอะไร
ต่อให้แม่กับลูกสาวจะอยู่กันตามลำพัง ชื่อที่ซ่อนอยู่นี้ก็จะไม่มีวันถูกนำมาใช้
ดูเหมือนเป็นชื่อมรณกรรมในทางหนึ่ง แต่ก็เป็นการกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวให้แน่นแฟ้นกันมากขึ้น และเป็นการแสดงหลักฐานให้เห็นว่าแม่เป็นเจ้าของลูกสาวเธอ
นอกจากนี้ ในวันที่แม่จะตั้งชื่อให้ลูกสาว เธอจะต้องจัดโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้ด้วย ลูกสาวจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดูโต๊ะเครื่องแป้งในวันอื่นเลยนอกจากวันเกิดปีที่ 10, 13 และ 16 ของเธอ ทั้งหมดนี้ก็เป็นแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นสำหรับวันๆ หนึ่งในอนาคต…
เพื่อจะเพิ่มมูลค่าให้กับ [สมบัติ] ของเธอเอง ผู้เป็นแม่จะต้องบังคับลูกสาวของเธอเองให้ได้รับการศึกษาแบบพิเศษตั้งแต่อายุยังน้อย (ลูกสาวคนไหนที่ไม่ได้รับเลือกก็จะถูกเลี้ยงดูตามปกติ) ตัวอย่างเช่น:
ลูกสาวคนนั้นจะถูกบังคับให้เชือดหน้าแมวหรือสุนัข
จากนั้นเธอก็จะเก็บส่วนลำตัวที่ไม่มีหัวไว้เป็นสัตว์เลี้ยง (เห็นได้ชัดว่าทุกคนรอบตัวลูกสาวจะทำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงยังมีชีวิตอยู่เพื่อหลอกให้เด็กผู้หญิงเชื่อว่ามันเป็นของจริง)
แม่จะสอนลูกสาวให้ใช้เวทมนตร์เพื่อฆ่าหนูโดยใช้หูแมวและหนวดแมว
เธอจะถูกบังคับให้แยกแมงมุมออกเป็นส่วนๆ แล้วก็ทำการประกอบกลับคืนสภาพเดิม
เธอจะต้องกินอุจจาระและดื่มปัสสาวะ (ทั้งของเธอเองและของคนอื่น)
แล้วก็อื่นๆ
นี่เป็นแค่รายการเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่มีทางที่ฉันจะเขียนทุกอย่างที่ทำได้หรอก เชื่อฉันเถอะว่าเรื่องนี้น่ะ แค่ได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ได้ฟังคลื่นไส้ได้แล้ว
สัตว์และแมลง โดยเฉพาะแมว ดูเหมือนจะเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด อาจดูแปลกๆ นะ แต่ก็มีเหตุผลอยู่สำหรับเรื่องนี้ ในครอบครัวเหล่านี้ เหตุผลเดียวที่ผู้หญิงจะไปข้องเกี่ยวกับผู้ชายก็คือต้องตั้งครรภ์และมีลูก ทันทีที่แม่มีลูกสาวเพียงพอ เธอก็จะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับพ่อทิ้ง แม้ว่าผู้ชายหลายคนจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่บางคนก็ยังแสวงหาความลับของเชื้อสายครอบครัวและเวทมนตร์ของพวกเขาอยู่
เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ทางครอบครัวจึงเริ่มทำการร่ายมนตร์ใส่ผู้ชายที่พวกเขามีลูกด้วย คาถาเหล่านี้จะเสกสรรบางสิ่งให้คอยตามหลอกหลอนผู้ชายและสร้างการเชื่อมโยงบางอย่างกับเขาเอาไว้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำเรื่องเลวร้าย อย่างการฆ่าแมว พลังงานด้านลบทั้งหมดที่สร้างขึ้นจะไหลมาสู่ผู้ชายผ่านการเชื่อมโยงที่ว่านี้ ว่ากันว่าเหตุเภทภัยนานาจะตามติดชายคนนั้นไปชั่วชีวิตเลย
นี่คือวิธีที่พวกเขาปกป้องความลับของพวกเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ชายบางคนจะพยายามเปิดเผยความลับของพวกเขาแล้วก็ตาม
แม้ว่าความพยายามจากทางภายนอกในการค้นหาความลับของพวกเขาจะยังคงดำเนินต่อไป แมวและสัตว์อื่นๆ ก็เลยมักจะถูกนำมาใช้ใน [การศึกษา] จากรุ่นสู่รุ่น ฝ่ายแม่ก็ยังคงดำเนินคำสอนของตนต่อไปเป็นเวลากว่า 13 ปี เพื่อปลูกฝังความรู้สึกและสามัญสำนึกอันผิดปกติ ค่านิยมที่บิดเบี้ยว และความสนใจอันแปลกประหลาดในตัวลูกสาวของพวกเขา
ในช่วง 13 ปีแรก พิธี 2 อันแรกจะถูกจัดขึ้น
พิธีแรกสุดจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กหญิงอายุ 10 ปี แม่จะให้เธอนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และสั่งให้เธอมอบเล็บของตัวเองเป็นเครื่องบูชา
นี่จะเป็นตอนที่ลูกสาวรู้ครั้งแรกเกี่ยวกับการมีอยู่ของโต๊ะเครื่องแป้ง
ลูกสาวจะต้องเสนอเล็บจำนวนเท่าไหร่ก็ได้จากทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าของเธอ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของเด็กและแม่ และแน่นอนว่าการบูชานี้ทำโดยการฉีกเล็บนิ้วมือและเล็บนิ้วเท้าออกจนหมด
ลูกสาวจะถอนเล็บออกเองแล้วมอบพวกมันให้แม่ของเธอ จากนั้น ผู้เป็นแม่ก็จะนำเล็บและกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีชื่อลับของลูกสาวของเธอเขียนเอาไว้ เก็บไว้ในชั้นบนสุดของลิ้นชัก 3 ชั้นของโต๊ะเครื่องแป้ง
หลังจากนี้ แม่จะใช้เวลาที่เหลือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เป็นอันสิ้นสุดพิธีแรก
พิธีที่ 2 จะดำเนินการเมื่อลูกสาวอายุครบ 13 ปี เหมือนกับพิธีแรก ลูกสาวจะต้องถวายเครื่องบูชา คราวนี้เธอจะต้องถวายฟันของเธอ และก็เหมือนกับพิธีแรก จำนวนฟันจะเปลี่ยนไปจากรุ่นสู่รุ่น
ลูกสาวจะต้องถอนฟันที่ต้องการออกด้วยตัวเอง จากนั้นแม่จะพาไปวางไว้ในลิ้นชักอันกลางของโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมด้วยกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีชื่อซ่อนอยู่เขียนอยู่ ต่อด้วยการใช้เวลาที่เหลือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้งนึง เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีที่ 2
เมื่อพิธีที่ 2 เสร็จสิ้น [การศึกษา] ของลูกสาวจะหยุดลงไปจนกว่าเธอจะอายุครบ 16 ปี ลูกสาวคนนี้จะได้รับอิสรภาพอย่างปุบปับโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นสัญญาณว่าการเตรียมการทั้งหมดสำหรับช่วง 13 ปีแรกของหญิงสาวได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
เมื่อถึงเวลานี้ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คงกลายเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตตามอุดมคติของคุณแม่ แต่มีเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ยังคงมีความรู้สึกเข้มแข็งพอที่จะใช้ชีวิตตามปกติได้
3 ปีต่อมา เมื่อลูกสาวอายุได้ 16 ปี พิธีสุดท้ายก็จะถูกจัดขึ้น
พิธีสุดท้าย แม่จะกินผมของลูกสาวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้คำว่ากินอาจจะฟังดูแรงไปหน่อย แต่สิ่งสำคัญคือแม่ต้องเอาเส้นผมเข้าไปเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ผมของเด็กสาวจะถูกโกนออก และแม่จะต้องจ้องมองไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เคี้ยวกินเส้นผมไปราวกับอยู่ในภวังค์ สิ่งเดียวที่ลูกสาวทำได้คือเฝ้าดูอย่างเหม่อลอยเท่านั้น
เมื่อแม่กินเส้นผมเสร็จแล้ว เวลานั้นเองที่แม่จะพูดชื่อจริงของเด็กสาว
นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้ได้ยินชื่อที่แท้จริงของตัวเธอเอง
เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการและบรรลุเป้าหมายแล้วเรียบร้อย ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป แม่จะดูดเส้นผมของเธอตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนราวกับว่าเธอเป็นเพียงเปลือกนอกของมนุษย์ ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต
และเพียงเท่านี้ แม่ก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เธออาจจะดูเหมือนมนุษย์ แต่ก็จะไม่มีอะไรเป็นมนุษย์อีกแล้ว เธอจะถูกพาไปที่ไหนสักแห่งที่ที่ไม่มีใครเคยได้ยินหรือเคยพบเห็นเธอมาก่อน
ทุกสิ่งที่นำไปสู่ช่วงเวลานี้เพื่อให้แม่มีสิทธิ (และให้พร?) ที่จะไปที่แห่งนั้น นั่นคือสิ่งที่พิธีสุดท้ายมอบให้เธอ
ที่นั่นจะมีแม่อีกหลายคนที่ทำพิธีแบบเดียวกันและได้รับสิทธิในการอาศัยอยู่ที่นั่น ตัวสถานที่เองก็เป็นสรวงสวรรค์ บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ และสะอาดหมดจด
แม่ที่ทำพิธีสุดท้ายเสร็จสิ้นทุกคนจะถูกพาตัวไปที่นั่น… เปลือกนอกของมนุษย์อย่างที่เคยเป็น ดูดเส้นผมกินอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
ลูกสาวที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังได้รับการเลี้ยงดูจากพวกพี่สาวของแม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงจะมีลูกสาว 2-3 คน ไม่ใช่แค่คนเดียว พออแม่หายตัวไปที่สวรรค์แล้ว ลูกสาวที่ถูกเลือกก็จะถูกเลี้ยงดูโดยป้า ‘ธรรมดา’ ของเธอ
นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับครอบครัวเหล่านี้ รายละเอียดเพิ่มเติมมันก็มีนั่นแหละ แต่ถ้าจะเขียนทั้งหมดก็คงใช้เวลานานเกินไป นี่เป็นคำอธิบายที่ย่อมาให้เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว แต่ฉันเองก็ยังคิดว่ามันยังยากที่จะรู้เรื่องได้ทั้งหมดอยู่ดี
ทีนี้ ฉันจะบอกพวกคุณทุกคนแล้วนะว่าทำไมฉันต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดข้างต้นนี้ด้วย
ในความเป็นจริง ประเพณีสุดเลวร้ายพวกนี้มันก็ไม่ได้คงอยู่นานนักหรอก ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทีละนิดๆ ความสงสัยเหล่านี้รังแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ความสัมพันธ์แม่ลูกในครอบครัวนี้ก็กลายเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากครอบครัวต่างๆ นำแนวทางปฏิบัติในการเลี้ยงลูกที่เป็นมาตรฐานมาใช้มากขึ้น ธรรมเนียมดังกล่าวจึงเริ่มถูกละทิ้งไป และถูกยกเลิกอย่างสิ้นเชิงในที่สุด
แต่เนื่องจากการปฏิบัติดังกล่าวฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของครอบครัว ประเพณี 2 ประการจึงถูกรักษาไว้อย่างมั่นคง นั่นก็คือชื่อที่ซ่อนเอาไว้และโต๊ะเครื่องแป้ง ชื่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นแม่ และโต๊ะเครื่องแป้งเป็นของขวัญที่ต้องสาปที่ส่งต่อไปยังลูกสาว
หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวเหล่านี้ก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนของตัวเอง และพวกเขาแม้กระทั่งเริ่มแต่งงานและมีครอบครัวกันตามปกติเลยด้วยซ้ำ
หลายปีต่อมา ผู้หญิงคนหนึ่งจากครอบครัวดังกล่าวได้แต่งงาน เธอชื่อยาจิโยะ
เธอเกิดมาจากผู้หญิงที่เติบโตมาหลังจากที่ประเพณีอันเลวร้ายของครอบครัวนี้ถูกละทิ้งไปแล้ว และเธอเองก็ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ
ในวัยเด็กของเธอ เธอได้รับความชื่นชมจากชุมชน เธอใช้ชีวิตตามปกติ
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เธอก็ได้พบกับชายคนหนึ่ง และหลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่ปี พวกเขาก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
ยาจิโยะเคยได้ยินพวกเรื่องเกี่ยวกับอดีตของครอบครัวเธอจากผู้เป็นแม่ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปี ยาจิโยะก็ตั้งท้อง และมีลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเธอชื่อโยจิโกะ เช่นเดียวกับที่แม่ของเธอทำกับเธอ ยาจิโยะได้ตั้งชื่อที่ซ่อนเอาไว้ให้กับโยจิโกะ และโต๊ะเครื่องแป้งที่เธอได้รับเมื่อตอนเป็นเด็กเหมือนกัน
สำหรับครอบครัวนี้ เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปอย่างสงบดี อย่างน้อยก็จนกระทั่งโยจิโกะอายุครบ 10 ปี ก็ได้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในวันนั้น
ในวันนั้น ยาจิโยะไปเยี่ยมพ่อแม่ของตัวเอง โดยที่ทิ้งโยจิโกะเอาไว้กับสามีตามลำพัง เธอทำทุกอย่างที่ต้องทำเสร็จแล้ว และกลับบ้านในเย็นวันนั้น
พอเธอเข้าไปข้างในบ้าน เธอก็ต้องเผชิญกับภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
โยจิโกะตายแล้ว ทั้งเล็บทั้งฟันของเธอหลายชิ้นถูกฉีกออกมา
ยาจิโยะค้นไปทั่วทั้งบ้าน จึงได้พบแผ่นกระดาษที่มีชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของโยจิโกะกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เล็บและฟันของโยจิชิโกะเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
สามีเธอหายตัวไป หาที่ไหนก็ไม่เห็นเลย
ยาจิโยะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แค่กอดอุ้มร่างลูกสาวเธอไว้ขณะที่ร้องไห้โฮเท่านั้น เมื่อรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพื่อนบ้านบางคนจึงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือยาจิโยะกำลังร้องไห้
เพื่อนบ้านของเธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางคนก็เริ่มติดต่อหาพ่อแม่ของยาจิโยะ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ช่วยกันออกตามหาสามีของเธอ
แต่ตอนคนอื่นแยกย้ายกันไป ไม่มีใครทันคิดที่จะอยู่กับเธอ
คืนนั้น ยาจิโยะฆ่าตัวตายข้างลูกสาวของเธอ
เมื่อพ่อแม่ของยาจิโยะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาก็สงบสติอารมณ์ลงมาอย่างน่าประหลาดเลย
“ฉันว่าฉันรู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น” แม่ของเธอกล่าว
“โยจิโกะคงเคยได้ยินเกี่ยวกับพิธีกรรมจากยาจิโยะแล้ว และเธอก็พยายามจะทำมันเอง ยาจิโยะไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้น โยจิโกะจึงต้องยึดทุกอย่างมาจากเศษข้อมูลที่ได้ยินมา… เธอรอจนอายุ 10 ขวบถึงจะทำมันได้”
จากนั้นพ่อแม่ของยาจิโยะก็มุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ
ตอนที่ที่พวกเขามาถึง ยาจิโยะก็ตายไปแล้วด้วยอีกคน ทำเอาเพื่อนบ้านตกอกตกใจกันมาก
แต่พ่อแม่ของยาจิโยะกลับยังคงสงบสติอารมณ์อยู่ได้ไม่เปลี่ยน
“ห้ามใครเข้ามาในบ้านอย่างเด็ดขาด จนกว่าเราจะออกมา”
พวกเขาพูดก่อนจะเข้าไปข้างใน
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุด พวกเขาก็ออกจากมาบ้านหลังนั้น
“เราจะจัดพิธีไว้อาลัย คุณไม่จำเป็นต้องค้นหาตัวสามีหรอก อีกไม่นาน พวกคุณก็จะเข้าใจทุกอย่าง”
จากนั้นพวกเขาก็บังคับให้เหล่าคนมุงทั้งหมดนั้นออกไป
สามีนั้นยังคงหายตัวไปอีกหลายวัน แต่อยู่มาวันนึง ก็มีคนพบเห็นร่างของเขาเสียชีวิตอยู่ที่หน้าบ้านของพวกเขาเอง ในตอนที่เขาตาย ในปากของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมสีดำยาวอัดแน่นอยู่
เพื่อนบ้านของยาจิโยะถามพ่อแม่ของเธอว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
“ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านของยาจิโยะ ก็จะต้องจบลงแบบพ่อหนุ่มนี่แหละ” แม่ของเธอกล่าว
“ฉันลงคำสาปเอาไว้ในบ้านหลังนี้แล้ว เธอจะหลุดพ้นจากความชั่วร้ายของครอบครัวเรา เป็นลูกของคนรุ่นใหม่ มันแย่มากที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่โปรดให้เธอได้จากไปอย่างสงบเถอะ”
ตั้งแต่นั้นมา บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงยาจิโยะและโยจิโกะ และหลังจากทำความสะอาดไปแล้ว ตัวบ้านก็ถูกทิ้งเอาไว้ทั้งๆ อย่างนั้น
ไม่มีใครรู้เลยว่ามันมีอะไรอยู่ในบ้าน แต่ชาวเมืองก็ให้ความใส่ใจกับคำพูดของพ่อแม่ของยาจิโยะและไม่เคยเข้าไปข้างในเลย บ้านยังคงไม่มีใครแตะต้องมานานหลายปี
ในที่สุด ผู้คนก็อยากจะรื้อบ้านหลังนั้นทิ้งเพราะมันเริ่มทรุดโทรมแล้ว เมื่อการตรวจสอบเริ่มต้นขึ้น นี่ก็เลยเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว มันมีอะไรอยู่ในบ้านกันแน่
สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือสิ่งที่พวกเราเห็นเหมือนกันแน่นอน; โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เส้นผม
ตอนที่ยาจิโยะอาศัยอยู่ที่นั่น มันไม่มีชั้นสอง ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกจัดเอาไว้ที่ประตูหน้า ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของยาจิโยะหรอก แต่ฉันคิดว่าผมที่เราเห็นน่าจะเป็นของยาจิโยะและโยจิโกะ เหมือนอย่างที่เคยเป็นตอนที่พวกเธอตาย
เมื่อได้รู้ว่าสิ่งของเหล่านี้ต้องยังมีคำสาปติดอยู่แน่ๆ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนบ้านทุกคนจึงได้ทำการย้ายของทุกอย่างอย่างระมัดระวังที่สุด พวกเขาสร้างบ้านว่างหลังใหม่ขึ้นมาสำหรับสิ่งของพวกนั้นโดยเฉพาะ แล้วเมื่อสร้างเสร็จก็ทำการย้ายของทุกอย่างไปไว้ภายในบ้านหลังใหม่
ดูเหมือนว่า ระหว่างการเคลื่อนย้าย จะมีคนเปิดลิ้นชักและเห็นของข้างในด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันว่าคงเป็นเพราะคนที่เปิดลิ้นชักยังช่วยให้อนุสรณ์นี้ยังคงอยู่ต่อไปก็ได้ล่ะมั้ง
บ้านหลังใหม่นี้สร้างขึ้นนอกเมือง และคนงานต้องแน่ใจว่าไม่มีประตูหน้าบ้านอยู่เพื่อจะเข้าไปข้างในได้ยาก ทำการเพิ่มหน้าต่างและประตูกระจกเข้าไปเพื่อให้แสงแดดและลมถ่ายเท โดยหวังว่าบ้านจะรู้สึกเหมือนเป็นอนุสรณ์รำลึกทั่วๆ ไป
ก็ตามนั้นแหละ ทุกคนในเมืองรู้กันว่าอย่าไม่เข้าไปในบ้านหลังนั้น แล้วก็มีเพียงพวกผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อห้ามนั้นมันคืออะไร
นี่คือคำอธิบายถึงโต๊ะเครื่องแป้งและเส้นผมที่พวกเราเจอ มันเป็นของยาจิโยะและโยจิโกะ ส่วนคำที่เราเห็นเขียนอยู่บนกระดาษนั่น ก็เป็นหนึ่งในชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของพวกเธอ
นี่เป็นส่วนสุดท้ายของเรื่องของฉันแล้วนะ
หลังจากที่สร้างบ้านเปล่าๆ ขึ้นมา ก็ไม่มีใครพยายามจะเข้าไปเลย อย่างที่ฉันบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ตอนที่โต๊ะเครื่องแป้งถูกย้ายเข้าบ้านใหม่ก็มีคนมองดูในลิ้นชักด้วย ความจริงที่ว่ามีบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่ในลิ้นชักก็ได้แพร่กระจายไปยังชาวบ้านบางคน
เหมือนกับตอนที่ฉันยังเด็กนั่นแหละ คนในรุ่นพ่อแม่ฉันก็ถูกดุมาอย่างแรงเหมือนกัน ถ้าหากพวกเขาพูดถึงบ้านหลังนั้นแบบเดียวกับเรา พวกท่านโดนดุโดนว่าซะจนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่านเลย
และก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันและเพื่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นกับคนที่พ่อแม่ฉันรู้จักด้วย
ทุกคนอาจจะยังจำได้ว่านะว่า ก่อนหน้านี้ ฉันพูดถึงครอบครัวของ A ไว้เล็กน้อย ทั้งแม่และยายของเขามาจากหมู่บ้านแห่งนี้ พอแม่ของเขาแต่งงาน เธอก็เลยย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น
นั่นน่ะ เป็นเรื่องโกหก
ตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก ในกลุ่มมี 4 คน— แม่ของ A, พ่อกับแม่ของ B แล้วก็เด็กชายอีกคน (ฉันจะเรียกเขาว่า E ก็แล้วกัน) ก็ไปที่บ้านหลังนั้น พวกเขาไม่เหมือนกับฉันกับกลุ่มเพื่อน พวกเขาออกจากบ้านกันกลางดึกและไปที่บ้านหลังนั้นกัน พวกเขายังเอาบันไดมาด้วยเพื่อที่จะสามารถเข้าไปในหน้าต่างชั้นที่ 2 ได้
ตอนที่พวกเขาเข้ามา ก็ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเลย พวกเขาผิดหวังกันที่มันไม่เป็นไปตามคาดเอาไว้ จากนั้น พวกเขาก็เดินไปดูที่ห้องข้างๆ
พวกเขาเห็นโต๊ะเครื่องแป้งและเส้นผมอยู่ตรงกลางห้อง ตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึกด้วย พวกเขาก็เลยตกใจกับสิ่งที่เจอกันยกใหญ่ ยกเว้นแค่แม่ของ A
เธอใจกล้ามาก เธอแหวกผ่านเพื่อนอีก 3 คน เดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง และพยายามเปิดลิ้นชักออกมาเลยด้วยซ้ำ
แล้วเด็ก ๆ ที่กำลังกลัวก็ทำในสิ่งที่พวกเราคาดกันนั่นแหละ พวกเขาพยายามกันอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดเธอ จนในที่สุด พวกเขาก็สามารถคุยกับเธอให้ปล่อยผ่านมันไปได้ แต่นั่นไม่ได้หยุดปัญหาอื่นที่ขวางทางพวกเขาอยู่ดี
พวกเขาทั้ง 4 คนออกมาจากห้องและลงไปชั้นล่างอย่างกลัวๆ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกความกลัวเข้าครอบงำ
พวกเขาเจอโต๊ะเครื่องแป้งและวิกผมอีกอันอยู่ที่โถงทางเดิน
ทั้ง 3 คนที่หวาดกลัวเกินกว่าจะอยากออกไป แต่แม่ของ A ปฏิเสธ
ก็เหมือนกับooจัง น้องสาวของ D นั่นแหละ แม่ของ A เริ่มเปิดลิ้นชักและหยิบสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักออกมา
เธอเปิดลิ้นชักอันแรกและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคำว่า [紫逅] ในนั้นให้เพื่อนๆ ของเธอดู พร้อมกับเล็บมือเล็บเท้าอีกหลายอัน
คนอื่นๆ คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่เริ่มจะน่าขนลุกเกินไปแล้ว และพวกเขาก็ฝืนดึงตัวเธอออกไป คนนึงหยิบกระดาษและนำทุกอย่างกลับไปใส่ที่เดิม ในระหว่างที่ตีกัน พวกเขาก็เผลอทำเส้นผมหลุดออกจากเสา
เส้นผมเป็นของที่น่ากลัวที่สุดในบ้านแล้ว แม้แต่แม่ของ A เองก็ยังไม่กล้าจะไปแตะมันเลย ทั้ง 4 คนก็เลยทิ้งมันไว้บนพื้นแบบนั้น แล้วก็แยกย้ายกันกลับไปบ้านของตัวเอง
พวกเขาทิ้งมันไว้ที่นั่นอีก 2-3 วัน แต่ทั้งสี่ก็เริ่มสงสัยว่าพ่อแม่ของพวกเขาจะรู้เรื่องมั้ย พวกเขาก็เลยตกลงกันว่าจะกลับไปเก็บเส้นผมไปวางที่ตำแหน่งเดิม
พ่อแม่ของ B ไปด้วยไม่ได้เพราะอะไรซักอย่าง ก็เลยมีแค่แม่ของ A กับเด็กชาย E ที่ไปกันเอง
ทั้งสองเข้าไปในบ้านร้างกลางดึกและใช้บันไดปีนเข้าไปทางหน้าต่างชั้น 2 อีกรอบนึง พวกเขาลงบันไดและใช้ตะเกียบที่พกติดตัวมา คีบเส้นผมขึ้นมาและเอากลับไปวางบนเสาเหมือนเดิม
E เริ่มเร่งให้แม่ของ A ออกไปจากบ้านได้แล้ว บางทีเธออาจจะโล่งใจที่ทำงานนี้สำเร็จ จนลืมความกังวลก่อนหน้านี้ของเธอไปเลย หรือไม่ บางทีเธอก็อาจจะอยากจะทำให้ E กลัวก็ได้… ฉันไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นเพราะอะไร แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง เธอก็เลยเปิดลิ้นชักที่ 2 ของโต๊ะเครื่องแป้งออกมา
ในนั้น ก็มีชื่อ [紫逅] อีกรอบนึง เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นเล็กๆ และคราวนี้ ก็มีฟันใส่เอาไว้อีกหลายซี่
E กลัวมากจนดูเหมือนเขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว แม่ของ A คิดว่าท่าทางของเขาดูตลกดี เพื่อจะทำให้เขากลัวเข้าไปอีก เธอก็เลยเปิดลิ้นชักสุดท้ายออกมา ในลักษณะที่จะมีแค่ E คนเดียวที่จะเห็นว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น
แล้ว E เขาก็ยืนจ้องมองเข้าไปในลิ้นชักนั่น นิ่งเหมือนกับจะดูอยู่ในท่าแบบนั้นไปได้ตลอดไปยังไงยังงั้นเลย
อะไรอยู่ในนั้นล่ะเนี่ย? แม่ของ A ได้แต่สงสัยกับตัวเอง ขณะที่ดูท่าทางของ E ไปด้วย เธอกำลังจะมองเข้าไปในลิ้นชักด้วยอีกคนอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ลิ้นชักมันก็ปิดเอง เธอหันไปมองที่ E ซึ่งตอนนี้ก็ยังมองอยู่ที่จุดๆ เดิม สายตาว่างเปล่า ไม่ขยับตัวเลยซักนิดเดียว
แม่ของ A คิดว่า E กำลังแกล้งเธอกลับเพราะเธอแกล้งเขาก่อน แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไปจนแปลกๆ อยู่ๆ เธอก็เลยรู้สึกกลัวขึ้นมา ก่อนจะออกจากบ้านมาคนเดียว ทิ้ง E เอาไว้ตรงที่ที่เขายืนอยู่
พอเธอกลับมาถึงบ้าน แม่ของ A ก็เล่าให้แม่ของเธอฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้น สีหน้าของแม่เธอก็ซีดเผือด และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามมานั่นก็กลายเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่าเดิมอีก
ยายของ A รีบติดต่อพ่อแม่ของ E แล้วพวกผู้ใหญ่ก็รีบไปบ้านร้างนั่นทันที หลังจากนั้นซัก 30-40 นาที หลายๆ ครอบครัวก็กลับออกมาจากบ้านหลังนั้น แม่ของ A เห็น E เพียงแวบเดียว แต่พวกผู้ใหญ่เขาก็อุ้ม E ไปด้วย ดูเหมือนว่าในปากของเขาจะเต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็เห็นเหมือนเส้นผมยาวๆ หลายเส้นห้อยลงมาจากมุมปากของเขา
ในไม่ช้าพ่อแม่ของ B กับพ่อแม่ของพวกเขาเองก็ได้รับการติดต่อด้วยเหมือนกัน แต่พ่อแม่ของ E ไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขาเลย สิ่งที่พวกเขาทำ ก็แค่จ้องไปที่แม่ของ A ด้วยสีหน้าจงเกลียดจงชังจนอธิบายไม่ถูกก็เท่านั้น
ไม่นาน พ่อแม่ของ B กับแม่ของ A ก็ถูกสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน พวกเขาได้รับการบอกเล่าแบบเดียวกันกับที่ฉันกับเพื่อนได้ยินเกี่ยวกับ D เลย
E จะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแบบก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นอีกแล้ว
ประมาณ 1 เดือนต่อมา ครอบครัวของ E ก็ย้ายออกไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะไป พวกเขาเข้าไปหาตายายของ A ทุกวันเลย เรื่องนี้มากเกินกว่าที่แม่ของ A จะรับไหว และในไม่ช้า สภาพจิตใจของเธอไม่มั่นคง จากการถูกเข้ามาหาทุกวันๆ อยู่แบบนั้น ยายของ A ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ด้วยตัวเองได้ ก็เลยส่งเธอไปอยู่กับญาติที่จังหวัดอื่น
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นกับ E หรือแม่ของ A บ้าง แต่ในท้ายที่สุด แม่ของ A ก็กลับมาที่หมู่บ้าน ดูเหมือนเพื่อจะชดใช้สิ่งที่เธอทำเอาไว้กับ E นะ
ที่ฉันรู้ก็มีแค่นี้แหละ แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวกับโต๊ะเครื่องแป้งในบ้านล่ะก็ ฉันยังมีเรื่องที่รู้อีกอย่างหนึ่ง
โต๊ะเครื่องแป้งบนชั้น 1 เป็นของยาจิโยะ ส่วนของโยจิโกะจะอยู่ที่ชั้นบน
ในโต๊ะเครื่องแป้งของยาจิโยะ ลิ้นชักแรกจะใส่เล็บเอาไว้ และลิ้นชักที่ 2 ก็ใส่ฟันเอาไว้ ลิ้นชักทั้งสองมีกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของเธอเขียนอยู่ด้วย
ส่วนในโต๊ะเครื่องแป้งของโยจิโกะ ลิ้นชักที่ 1 กับ 2 มีแค่กระดาษที่มีชื่อที่ซ่อนเอาไว้เขียนอยู่เท่านั้น
ชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของยาจิโยะคือ 紫逅 ส่วนของโยจิโกะคือ 禁后
ในลิ้นชักอันสุดท้าย มีมืออยู่ข้างใน
ในโต๊ะของยาจิโยะมีมือขวาของเธอกับมือซ้ายของโยจิโกะอยู่ ส่วนในโต๊ะเครื่องแป้งของโยจิโกะก็มีมือขวาของเธอและมือซ้ายของยาจิโยะ ไม่จำเป็นต้องพูดหรอกใช่มั้ยว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือพวกนั้นอยู่ในสภาพไหน
แต่พอ D กับ E ได้เห็นมือพวกนั้น พวกเขาก็เหมือนจะเป็นบ้ากันไปเลย
พูดกันตามตรง เพื่อให้เกิดผลแบบนี้ คนคนนั้นจะต้องเห็นทั้งกระดาษที่มีชื่อซ่อนเอาไว้เขียนอยู่กับมือพร้อมกัน
ชื่อที่ซ่อนอยู่ของยาจิโยะถูกเขียนโดยแม่ของเธอ ส่วนชื่อโยจิโกะก็ถูกเขียนโดยยาจิโยะ การออกเสียงของชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของพวกเขาถูกเขียนไว้ในลิ้นชักที่ 3 ของโต๊ะเครื่องแป้งของพวกเขา
บ้านร้างหลังนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม แต่เด็กๆ สมัยนี้กลับไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ฉันเดาว่าทุกวันนี้มันมีเรื่องอื่นที่ทำให้เด็กๆ สนใจมากพอแล้วล่ะ แล้วเพราะว่าไม่ได้มีใครเข้าไปในบ้านหลังนั้นจริงๆ มันก็เลยไม่โดดเด่นสำหรับใครเลย
ฉันจะไม่บอกตำแหน่งที่แน่นอนของบ้านหลังนั้นให้พวกคุณรู้หรอกนะ แต่ใบ้ให้ว่าบ้านหลังนั้นไม่ได้อยู่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น
ฉันรู้ว่าฉันเคยพูดถึงเรื่องจดหมายจากแม่ของ D ด้วย แต่ฉันจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ
ทั้ง D ทั้งแม่ของเธอเสียชีวิตกันแล้ว เพราะงั้น ฉันก็เลยขอไม่เปิดเผยอะไรไปมากกว่านี้
TN: โชคดีมาก ที่โทริโกะไม่ได้เปิดลิ้นชักที่ 3 ออกมาตามที่โซราโอะบอก 555
เอาล่ะ เท่านี้อพาร์ตเมนต์ก็กลับมาปลอดภัยซักที ทีนี้ก็นอนได้แล้วเนอะ โซราโอะจัง
คราวหน้าคราวหลัง ถ้านอนไม่ได้ก็ไปค้างที่บ้านโทริโกะแล้วกันเนอะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็งอนกันอีก 555
(ว่าแต่ คนตัวแดงที่มาโผล่อยู่ตรงตาแมวนี่เป็นใคร หรือเป็นอะไรกันแน่เนี่ย ขนาดหลังเคลียร์ห้องข้างๆ ไปก็ไม่เห็นพูดถึงเลยแฮะ)
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r