cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
Advanced
Sign in Sign up
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Sign in Sign up
Prev
Next
สล็อตเว็บตรง

ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 125.5 ไฟล์ 13 แพนโดร่าข้างห้อง & ต้องห้าม -แพนโดร่า-

  1. Home
  2. All Mangas
  3. ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง
  4. ตอนที่ 125.5 ไฟล์ 13 แพนโดร่าข้างห้อง & ต้องห้าม -แพนโดร่า-
Prev
Next

TN: นี่เป็นการเสริมข้อมูลเฉยๆ นะครับ ใครไม่สนใจสามารถข้ามได้เลย หรือใครที่อยากอ่านขำๆ ก็แวะอ่านดูได้นะครับ

แหล่งอ้างอิงจากเรื่องลี้ลับของจริงที่ถูกเล่าขานกันมา และตำนานในอินเตอร์เน็ตมากมายหลายเรื่อง ที่ถูกนำมาใช้ใน “ไฟล์ 13 : แพนโดร่าข้างห้อง”

 

เรื่องเล่าทางอินเตอร์เน็ตที่โด่งดัง [ต้องห้าม -แพนโดร่า- (禁后 -パンドラ- : Kinkisaki -Pandora-)] ถูกโพสต์อยู่ในกระดาน “怖い話し投稿: ホラーテラー” (Kowai Hanashi Toukou: Horaa Teraa แปลว่า ส่งเรื่องเล่าน่ากลัว : Horror Teller) (11/2/2009) แล้วเดือนต่อมา รายละเอียดของพิธีที่ทำในเรื่องนี้ก็ถูกลงในกระดานเดียวกันนี้ต่อ (17/3/2009) งานนี้ก็ยืมใช้การบรรยายภาพมาจากทั้ง 2 โพสต์ดังกล่าว

ส่วนภาพของเพื่อนข้างห้องกำลังเปิดประตูด้วยมือที่ดูแปลกๆ นั้น ได้ยืมมาจากเรื่องที่เคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้อย่าง “新耳袋 第一夜 現代百物語” (Shinmimibukuro Daiichiya Gendai Hyaku Monogatari แปลว่า 100 นิทานสมัยใหม่ ชินมิมิบุคุโระ คืนที่ 1) (ฮิโระคัตสึ คิฮาระ/อิชิโระ นาคายามะ, สำนักพิมพ์มีเดียแฟกโตรี, 1998 / คาโดคาวะ, 2002) เรื่องที่ 48 [ผู้หญิงข้างห้อง (隣の女 : Tonari no Ona)]

 

TN: จบจากส่วนของอาจารย์ผู้แต่งแล้วนะครับ คราวนี้มาที่ส่วนของผู้แปลบ้างดีกว่า

เรื่อง [ต้องห้าม -แพนโดร่า- (禁后 -パンドラ- : Kinkisaki -Pandora-)] ผมแปลจากต้นฉบับ ผสมกับ ver. Eng นะครับ ซึ่งมันยาวขนาดที่ว่า ต้องแบ่งพาร์ทลงเลย… ขออนุญาตพึ่ง Google Translate ซะเยอะนะ

ต้นฉบับ: https://xn--u9jv84l7ea468b.com/kaidan/55wa.html
ver. Eng: https://okaruto.tumblr.com/search/pandora

 

ฉันจะเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับบางสิ่งที่เรียกว่า [禁后] ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สืบทอดมาจากบ้านเกิดของฉัน ฉันไม่รู้วิธีออกเสียงที่ถูกต้องของ [禁后] หรอก แต่เราทุกคนเรียกมันว่า [แพนโดร่า]

ฉันโตมาในเมืองชนบทที่เงียบสงบ มันค่อนข้างจะอ้างว้างเพราะไม่มีสถานที่สังสรรค์ที่เห็นได้ชัดเจน แต่มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจริงๆ นอกเมือง กลางนาข้าวอันกว้างใหญ่ มีบ้านร้างหลังหนึ่งตั้งอยู่ แม้แต่ในเมืองชนบทที่ล้าสมัยของเรา มันยังโดดเด่นในเรื่องความเก่าแก่ยิ่งกว่า มันอยู่ในสภาพที่แย่มาก และดูเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว

แน่นอน ถ้าทั้งหมดมันมีอยู่แค่นั้น มันก็คงจะเป็นแค่บ้านร้างแบบที่มีให้เห็นแบบดาดดื่น แต่ว่า บ้านหลังนี้น่ะ มันไม่ใช่บ้านร้างแบบดาดดื่นที่ว่าน่ะสิ  

เหตุผลแรกที่ทำให้มันโดดเด่นสำหรับเราก็คือ พ่อแม่ของเรา กับพวกผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ในเมืองไม่ชอบที่นั่นเท่าไหร่ แค่พูดถึง เราโดนดุแล้ว บางครั้ง พวกเราก็ถึงขั้นโดนตบเลย เพราะพ่อแม่รับมือไม่ถูกตอนที่มีเรื่องนี้ถูกพูดขึ้นมา

ทุกบ้านเป็นแบบนี้กันหมด บ้านฉันก็ด้วย

 

อีกเหตุผลหนึ่งที่เราสนใจบ้านร้างหลังเก่านั่น คือ: มันไม่มีประตูหน้าบ้าน

แน่นอนว่ามีหน้าต่าง และมีประตูกระจกออกไปด้านข้างของตัวบ้านนะ… แต่ถ้าใครเคยอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน ปกติแล้วเขาจะเข้าจะออกได้ยังไงล่ะนั่น? คลานออกทางหน้าต่างหรือเดินไปรอบๆ บ้านจากประตูบานเลื่อนงั้นเหรอ? ดูยุ่งยากชะมัดเลยนะ

ความลึกลับพวกนี้นี่แหละที่กระตุ้นความสนใจของเรา แล้วพอรวมกับชื่อเล่นว่า [แพนโดร่า] ที่เคยตั้งให้ตั้งแต่ก่อนสมัยของเรา บ้านหลังนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่เราพูดถึงมากที่สุด (ตอนนั้นเรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ [禁后])

เด็กส่วนใหญ่ต่างก็อยากรู้ว่ามีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับบ้านนี้จริงๆ มั้ย ฉันเองก็ด้วย… แต่ด้วยการที่ว่าแค่พูดถึงเรื่องนี้ พ่อแม่ของเราโกรธแล้ว เราก็เลยไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบเรื่องพวกนี้จริงๆ จังๆ ซักที

ตัวบ้านน่ะต่อให้เป็นเด็กก็เข้าถึงง่าย มันไม่ได้อยู่ในย่านที่มีประชากรหนาแน่นเป็นพิเศษ เพราะแบบนั้น ฉันเลยคิดว่าอย่างน้อยพวกเราทุกคนก็เคยไปดูมันมาแล้วครั้งนึง สำหรับพวกเรา แค่เพลิดเพลินกับความน่าขนลุกของบ้านโดยไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยก็พอแล้วมาได้พักใหญ่

 

แต่ไม่กี่เดือนหลังจากที่ฉันเริ่มเรียนชั้นมอต้น เด็กชายคนหนึ่งที่สนใจเรื่องของ [แพนโดร่า] ก็ตัดสินใจว่าเขาอยากจะไปดูบ้านนี้ด้วยตัวเอง

ชื่อของเขาคือ A

แม่ของ A มาจากเมืองของเรานี่แหละ แต่เธอแต่งงานกับชายคนนึงจากจังหวัดอื่น แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นกับเขา แต่สุดท้ายพวกเขาก็หย่ากัน ก่อนที่เธอก็กลับมาที่นี่และย้ายไปอยู่กับยายของ A

A ไม่เคยมาที่เมืองของเรามาก่อนเลยจนกระทั่งเขาย้ายเข้ามา เพราะงั้น เขาก็เลยไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ [แพนโดร่า] มาก่อนเหมือนกัน

ตอนที่เขาย้ายเข้ามา ฉันสนิทกับ B คุง, C คุง และ D จังมาก แล้ว B กับ C ได้ไปเป็นเพื่อนกับ A เพราะงั้น เขาก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเราไปโดยปริยาย

 

วันนึง เมื่อเรา 5 คนกำลังออกไปเที่ยวกับคุยเล่นกัน เรื่องของ [แพนโดร่า] ก็ผุดขึ้นมาในบทสนทนา A สนใจเรื่องนี้มาก และเขาก็ขอให้เราเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังที

 

“แม่กับยายฉันก็เกิดที่นี่ทั้งคู่… คิดว่าพวกเขาจะโกรธมั้ยถ้าฉันถามพวกเขาเกี่ยวกับ [แพนโดร่า]?”

“ยังต้องถามอีกเหรอ?”

 

พวกเราคนหนึ่งพูดราวกับว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนที่สุดในโลก

 

“พอพูดถึงเรื่องนี้ พ่อกับแม่ก็ฟาดฉันเลย!”

“เหมือนกันเลย… ไม่เข้าใจจริงๆ”

 

ตอนที่เราบอก A เกี่ยวกับ [แพนโดร่า] เราก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับพ่อแม่ของเราไปด้วย พอบทสนทนามันเริ่มจะเงียบไป เราก็เริ่มคุยกันว่าภายในบ้านที่ว่างเปล่าแบบนั้นจะเป็นยังไงกันแน่

 

“แสดงว่า ไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในบ้านงั้นสินะ?” A ถาม

“ไม่อะ ไม่มีใครเคยเข้าไปเลย แถมต่อให้ไปถามใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ต้องโดนดุกลับมาแน่ คนที่รู้ก็มีแต่พวกผู้ใหญ่เท่านั้นแหละ”

“ถ้างั้น เรามาดูกันเถอะว่าพวกเขากำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่!”

 

A พูดด้วยความตื่นเต้นที่เต็มเปี่ยมในดวงตาของเขา

พวกเรา 4 คนกลัวว่าจะถูกทำโทษ ตอนแรกเราก็เลยลังเล

แต่ท้ายที่สุด A เขาก็ทำให้เราเห็นด้วยจนได้ เราทุกคนเองก็อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็กลัวเกินไป แถมนี่ก็อาจเป็นโอกาสของพวกเราที่จะได้เปิดเผยทุกสิ่งออกมาก็ได้ พวกเราทุกคนก็เลยเห็นด้วยกับ A

หลังจากที่คุยกันตอนแรก D บอกน้องสาวเธอเกี่ยวกับแผนการของเรา เวลาเราไปเที่ยวกัน น้องเธอมักจะมาพร้อมกับ D ด้วย เพราะงั้น เราก็เลยตัดสินใจกันว่าเราทั้ง 6 คนจะไปที่บ้านหลังนั้นในบ่ายวันอาทิตย์

 

◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆

 

พอวันอาทิตย์มาถึง เราก็นัดเจอกันที่หน้าบ้าน ตื่นเต้นที่ในที่สุด เราก็จะได้เข้าไปในที่ที่เราพูดถึงกันมานานซักที

แล้วเพราะอะไรไม่รู้ พวกเราแต่ละคนก็เลยเอาเป้ที่ยัดขนมมาเต็มติดมาด้วย จำได้ดีเลยล่ะว่าเรามีความสุขกันแค่ไหนที่จะได้ออกไปผจญภัย

ก็อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละว่าบ้านหลังนี้ล้อมรอบไปด้วยนาข้าว แล้วก็ไม่มีประตูหน้าบ้าน มันเป็นบ้าน 2 ชั้น หน้าต่างมันดูเหมือนจะสูงเกินกว่าจะปีนขึ้นไปได้ไหว วิธีเดียวที่จะเข้าไปได้ก็คือพังประตูกระจกบานเลื่อนที่อยู่ชั้น 1 เข้าไป

 

“ไม่ต้องไปจ่ายค่าซ่อมหรอก”

 

A พูดขึ้นพลางทุบกระจกให้แตก จากนั้นเขาก็เข้าไปในบ้าน

ถึงมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราทุกคนก็รู้ว่าเราต้องเจอปัญหาใหญ่ในเรื่องนี้แน่ ก่อนที่เราจะเดินตามเข้าไป แล้วก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว

ด้านซ้ายเป็นห้องครัว และด้านหน้าเป็นโถงทางเดินไป จะมีห้องน้ำอย่างทางซ้ายและห้องสุขาอยู่สุดทาง; บันไดขึ้นไปชั้นบนอยู่ทางขวามือ แล้วก็มีประตูหน้าบ้านอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่ามันจะอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว

ตอนนี้เป็นช่วงเที่ยง แดดกำลังแรงเลย แต่เพราะตรงโถงทางเดินไม่มีประตูหรือหน้าต่าง ตรงที่เรากำลังยืนอยู่ก็เลยแทบจะมืดสนิท

เทียบกับสภาพข้างนอกที่ดูเก่าๆ แล้วเนี่ย ข้างในก็ดูดีกว่าที่เราคาดไว้เยอะเลยนะ… หรือจะบอกว่า ไม่มีอะไรในบ้าน ‘ให้มัน’ ดูแย่เลย ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีของตกแต่ง ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นว่ามีใครเคยอาศัยอยู่ที่นี่เลยซักอย่าง ห้องนั่งเล่นกับห้องครัวค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ธรรมดามากๆ เหมือนกัน

 

“ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนี่นา!”

“มัน… ธรรมดาจัง นึกว่าอย่างน้อยก็จะมีอะไรบางอย่างทิ้งไว้ซะอีก”

 

หลังจากมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นและห้องครัวเรียบร้อย เด็กชายทั้ง 3 คนก็เริ่มเบื่อ ก่อนจะเริ่มกินอาหารที่พวกเขาเอามาด้วย

 

“ถ้างั้น บางทีความลับอาจจะอยู่ที่ชั้นสองก็ได้นะ”

 

ฉันกับ D จับมือน้องสาวของเธอไว้ แล้วค่อยๆ เดินไปตามโถงทางเดินไปยังบันได

แต่ บันไดนั่น… พอเรามาถึงโถงทางเดิน ฉันกับ D ก็หยุดกึกตรงกลางทาง

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าครึ่งทางของห้องโถงคือห้องน้ำ และสุดปลายทางเป็นห้องสุขา ประมาณกึ่งกลางระหว่างประตู 2 บานนั้นมีโต๊ะเครื่องแป้งตั้งอยู่ ด้านหน้าโต๊ะก็มีอะไรซักอย่างที่ดูเหมือนเสาค้ำยันของบางอย่างอยู่

 

ที่เสานั่น มีผมห้อยลงมาด้วย

 

ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันดูเหมือนจะเป็นวิกนะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นหลังของผู้หญิงผมยาว ต้องขอโทษด้วยถ้ามันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่

แม้แต่ความสูงของเสาเองก็ดูเหมือนจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ส่วนบนสุดก็เลยมีความสูงพอๆ กับความสูงเฉลี่ยของผู้หญิง มันเหมือนกับว่ามีคนพยายามสร้างภาพผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้ากระจกขึ้นมาเลย

ฉันกับ D ขนลุกเกรียวกันขึ้นมาเลย

 

“อะไรน่ะ!? พระเจ้า! นี่มันอะไรกันเนี่ย!” เราร้องลั่นออกมากันอย่างตื่นตระหนก

“อะไรฟะนั่นน่ะ?”

 

เราได้ยินเมื่อพวกผู้ชายเข้ามาในห้องโถงด้วย ทุกคนก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เราเจอนี่เหมือนกัน มีแค่น้องสาวของ D คนเดียวเองที่ดูมันอยู่เงียบๆ ไม่แสดงท่าทีจะกลัวอะไร

 

“นี่มันอะไรล่ะเนี่ย? นั่นผมจริงเหรอ?” A ถาม

“ไม่รู้ดิ ทำไมไม่ลองแตะมันดูล่ะ?” B ตอบกลับไป

“ถ้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็อย่าไปยุ่งกับมันเซ่!” พวกเราที่เหลือเริ่มตะโกนร้องกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “ทำเอาตกอกตกใจหมด! มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่!”

“ใช่ๆ! อย่าไปแตะมันเลยขอล่ะ!”

 

ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่พวกเราทุกคนก็กลัวกันหมด ก่อนจะกลับมาที่ห้องนั่งเล่นกัน

ถึงเราจะมองไม่เห็นได้มันจากห้องนั่งเล่นก็เถอะ แต่แค่มองไปทางโถงทางเดินก็ยังทำเอาขนลุกแล้วเนี่ย

 

“เราควรจะทำยังไงดี… ถ้าไม่เดินผ่านโถงทางเดินไปก็ขึ้นชั้นบนไม่ได้นะ”

“ฉันไม่ไปนะ” D พูดอย่างหนักแน่น “น่าขยะแขยงจะตาย! ไอ้นั่นน่ะ!”

“นั่นดิ ฉันก็ลางไม่ดีจากมันเหมือนกัน” C บอก

 

C, D และฉันเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คาดไม่ถึง แล้วเราก็เสียความรู้สึกของการผจญภัยไปหมดเลย

 

“แค่ทำเป็นมองไม่เห็นมันก็ไม่เป็นไรแล้วนี่! ถ้ามันมีอะไรอยู่บนนั้น ที่ต้องทำก็แค่กลับลงมาชั้นล่าง แถมประตูมันก็อยู่ตรงนั้นด้วยน่ะเห็นมั้ย? ห้องนั่งเล่นเองก็อยู่ตรงนี้”

 

A กับ B เตรียมจะขึ้นไปชั้นบนแล้ว และพวกเขาก็พยายามจะเร่งให้พวกเราที่เหลือขึ้นไปต่อ

 

“มันก็ใช่ แต่…”

 

เราทุกคนต่างมองหน้ากัน พยายามตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ

ตอนนั้นแหละ ที่ฉันเพิ่งสังเกตเห็น

 

“D? ooจังล่ะ?”

“เอ๊ะ?”

 

ดูเหมือนทุกคนเองก็จะรู้ตัวแล้ว

 

น้องสาวของ D ooจัง หายตัวไป

 

พวกเราทุกคนยืนกันอยู่หน้าทางออกทางเดียวของบ้าน เพราะงั้นน เธอไม่มีทางออกไปข้างนอกโดยที่เราไม่ทันสังเกตแน่นอน พวกเรารีบมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นและห้องครัว แต่ก็ไม่เห็นเธอเลย

 

“oo!” D ร้องขึ้นมาอย่างร้อนรน “oo! อยู่ไหน!? ตอบสิ!?”

 

ไม่มีคำตอบอะไรกลับมาเลย

 

“เฮ้! คิดว่าเธออาจจะขึ้นไปรึเปล่า…?”

 

เราทุกคนจ้องมองไปที่โถงทางเดิน

 

“ไม่มีทาง! ทำไมล่ะ? นี่เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!?”

 

น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของ D ขณะที่เธอร้องออกมา

 

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ! ขึ้นไปชั้นบนแล้วตามหาเธอกันก่อนเถอะ!”

 

ไม่มีเวลามาสนใจแล้วว่าเรากลัวกันขนาดไหน พวกเรารีบเดินผ่านห้องโถงและเริ่มขึ้นบันได

 

“น―――นี่! ooจัง!”

“ooจัง! นี่ไม่ตลกนะ! ออกมาเดี๋ยวนี้เลย!”

 

ทุกคนตะโกนเรียกเธอขณะที่ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับมาเลย

พอขึ้นบันไดมาก็พบว่ามีห้องนอนอยู่ 2 ห้อง ประตูห้องถูกปิดอยู่ทั้งคู่

เราเปิดประตูตรงหน้าเราก่อน มันคือห้องที่เราเห็นจากข้างนอก ห้องที่มีหน้าต่างนั่นแหละ ในห้องนั้นไม่มีอะไรเลยooจังเองก็เหมือนกัน

 

“เธอต้องอยู่อีกห้องหนึ่งแน่!”

 

เราเดินตรงไปที่อีกห้องนึง ก่อนจะเปิดประตูออกช้าๆ

ooจังอยู่ในนั้น

แต่พวกเราไม่มีใครพูดอะไรออกเลยซักคำ เราทุกคนแข็งค้างอยู่กับที่อยู่แบบนั้น

ตรงกลางห้องก็เหมือนกันทุกประการ… สิ่ง… ที่เราเห็นที่ชั้นล่างตรงโถงทางเดิน

โต๊ะเครื่องแป้งที่มีไม้ค้ำรวมกับของที่ดูเหมือนเส้นผมของมนุษย์ เราทุกคนกลัวจนขนหัวลุก ขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

 

“พี่ นี่อะไรน่ะ?”

 

จู่ๆ ooจังก็ถามก่อนที่จะทำในสิ่งที่พวกเราไม่กล้าพอที่จะทำ

เธอเข้าหาโต๊ะเครื่องแป้ง มันมีลิ้นชักอยู่ 3 อัน แล้วเธอก็เปิดลิ้นชักด้านบนออก

 

“อะไรล่ะเนี่ย?”

 

สิ่งที่เธอดึงออกมาและแสดงให้เราเห็นดูเหมือนบันทึกที่เขียนบนเศษกระดาษ

ที่เขียนไว้บนนั้นคือ [禁后] — [จักรพรรดินี] กับ [ต้องห้าม]

เราไม่รู้เลยว่ามันหมายถึงอะไร สิ่งที่เราทำได้ก็มีแต่มองดูที่ooจัง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเราถึงไม่สามารถออกไปจากตรงนั้นได้

ooจังดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นความรู้สึกไม่สบายของเราเลย เธอพับกระดาษนั่นไปแล้วก็ปิดลิ้นชัก จากนั้นก็เปิดลิ้นชักกลางออกมา

สิ่งที่เธอดึงออกมาก็เป็นกระดาษที่เขียนไว้แบบเดียวกันเลย จักรพรรดินีต้องห้าม

เราทั้ง 5 คนไม่เข้าใจเลย ทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ในที่สุด D ก็สามารถขยับตัวได้ซักที เธอรีบวิ่งไปหาน้องสาวของเธอ ร้องไห้ไปด้วย เริ่มกรีดร้องไปด้วย

 

“ทำบ้าอะไรของเธอน่ะฮะ!?”

 

เธอตะโกนเสียงดังใส่oo กระชากกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากมือของเด็กหญิงตัวเล็กๆ และเปิดลิ้นชักอันนึงเพื่อนำกระดาษกลับเข้าไปข้างใน

ปัญหาคือ ooจังเปิดลิ้นชักอันตรงกลาง แต่ด้วยความโกรธของเธอ D ก็เลยไปเปิดลิ้นชักด้านล่างแทน

ทันทีที่ลิ้นชักด้านล่างถูกดึงเปิดออก D ก็ยืนนิ่ง จ้องมองเข้าไปข้างใน ไม่ขยับตัวหรือส่งเสียงอะไรออกมาเลย

 

“ม- มีอะไร? มันมีอะไรน่ะ?!”

 

ในที่สุด พวกเราที่เหลือก็กล้าพอจะขยับตัว และเราเริ่มเข้าหาพี่น้องคู่นี้ นั่นคือตอนที่ D กระแทกลิ้นชักปิดเสียงดัง

D ซึ่งมีผมยาวเลยไหล่ เริ่มจะเอาผมของเธอใส่เข้าปาก และเริ่มแทะมัน

 

“เอ๊ะ? เฮ้ เป็นอะไรไป?”

“D? ตั้งสติหน่อยสิ!”

 

เราทุกคนตะโกนเรียกเธอ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรซักคำ ยังคงเคี้ยวผมของเธอต่อไป

ไม่รู้ว่าooจังกลัวสิ่งที่พี่สาวเธอกำลังทำอยู่นี่หรือเปล่า แต่เธอเริ่มร้องไห้แล้ว พวกเราทุกคนเองก็กังวลกันสุดๆ เลย

 

“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นกับยัยนั่นน่ะ!?”

“ฉันก็ไม่รู้! เกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย?”

“ไว้ค่อยมาคิดเรื่องนี้กันทีหลัง เราต้องกลับบ้านก่อน! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ไปนานกว่านี้แล้วนะ!”

 

เด็กชายทั้ง 3 คนช่วยกันอุ้ม D ออกจากบ้าน และฉันก็จับมือooจังขณะที่เรารีบออกไป

ขนาดตอนที่พวกเราหนีออกมา D ก็ยังดูดยังเคี้ยวผมของเธอต่อไป ฉันรู้ว่าเราต้องเจอปัญหาแน่ๆ แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องพาเธอไปหาพวกผู้ใหญ่ บ้านของฉันอยู่ใกล้บ้านหลังนี้ที่สุด เพราะงั้นเราก็เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น

พอมาถึงประตูหน้า ฉันก็ตะโกนเรียกแม่

 

ฉันกับooจังร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนเด็กผู้ชายก็พากันมองดูด้วยสายตาว่างเปล่า เหงื่อท่วมตัวจากการอุ้ม D มาตลอดทางจากบ้านร้าง D ยังคงยืนเคี้ยวผมของเธออย่างเหม่อลอย ฉันพยายามคิดหาวิธีบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด จนกระทั่งเรามาถึงประตูหน้าบ้านฉัน

 

“แ―――ม่!”

 

ฉันพยายามอธิบายทุกอย่างโดยที่ยังร้องไห้ขณะที่ฉันพูดอยู่ แต่แม่ก็ตบหน้าฉัน แล้วก็เด็กชายทั้ง 3 คนจนหน้าหัน ก่อนที่เธอจะตะโกนใส่พวกเราทุกคน

 

“นี่ไปมาแล้วสินะ!? บ้านร้างหลังนั่นน่ะ!”

 

พวกเราทำได้แต่พยักหน้า พูดสิ่งที่เราจำเป็นต้องพูดออกไปไม่ได้เลย

 

“เข้ามาข้างใน! ทุกคนนั่นแหละ! แม่จะไปโทรเรียกพ่อแม่คนอื่นๆ ด้วย”

 

จากนั้นแม่ของฉันก็พา D ขึ้นไปชั้นบน

ฉันทำตามที่บอกแล้วนั่งเงียบๆ ในห้องนั่งเล่น คิดอะไรไม่ออกเลย ฉันคงจะนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นมาได้ซักชั่วโมงนึง ก่อนที่พ่อแม่ของทุกคนจะมาถึง แม่ของฉันและ D ก็อยู่ชั้นบนตลอด

พอพ่อแม่ของทุกคนมาถึงแล้ว แม่ของฉันก็ลงมาชั้นล่างเอง

 

“เจ้าตัวแสบพวกนี้ไปที่บ้าน ‘หลังนั้น’ มา” นั่นคือทั้งหมดที่แม่พูด

 

พวกพ่อๆ แม่ๆ เริ่มพูดคุยกันพร้อมๆ กันหมด และพวกเขาก็เริ่มทั้งอารมณ์เสียทั้งโกรธเลย

 

“นี่! พวกเธอไปเห็นอะไรมา!? บอกสิว่าพวกเธอไปเห็นอะไรที่นั่นมา!?”

 

พวกเขาเริ่มตะโกนใส่เราทันที เราทุกคนตกใจมากจนไม่กล้าตอบ ในที่สุด A กับ B ก็สามารถอธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟังได้ซักที

 

“เราเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง กับเส้นผมแปลกๆ… แล้ว ก็ทำกระจกแตก…”

“มีอะไรอีก!? เห็นกันแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ!?”

“นอกนั้น… ก็มีกระดาษที่มีคำเขียนอยู่ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกนิดหน่อย…”

 

ห้องเงียบลงทันที แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นบน

แม่ของฉันวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรีบร้อน และหลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็กลับลงมาพร้อมกับประคองแม่ของ D อยู่ด้วย น้ำตาไหลอาบแก้มทั้ง 2 ข้างของเธอเลย

 

“D… มองเข้าไปในลิ้นชักเหรอ?” แม่ของเธอเดินเข้ามาใกล้เรามากขึ้น

“ได้เปิดลิ้นชักแล้วดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า?”

“ลิ้นชักที่ 3 ในโต๊ะเครื่องแป้งชั้นบน ได้ดูข้างในนั้นแล้วรึยัง?” พ่อแม่คนอื่นๆ ก็เริ่มถามเราเหมือนกัน

“2 อันแรกที่เราเห็นกันทุกคน… แต่อันที่ 3… มีแค่ D คนเดียวที่เห็น…”

 

ทันทีที่ฉันพูดแบบนั้น แม่ของ D ก็เข้ามาจับไหล่พวกเราแต่ละคนแล้วพูดต่อพลางกรีดร้องไปด้วย

 

“ทำไมไม่หยุดเธอไว้!? ทุกคนก็เป็นเพื่อนของเธอไม่ใช่เรอะ! ทำไมไม่ห้ามเธอ!? ทำไม!”

 

พ่อของ D กับพ่อแม่คนอื่นๆ พยายามช่วยกันทำให้เธอสงบลง

 

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ!”

“ขอล่ะที่รัก! ตั้งสติก่อนเถอะ!”

 

พวกเขาพยายามปลอบเธอ และหลังจากนั้น ที่แม่ของ D พาooจังกลับขึ้นไปที่ชั้นสองได้ไม่นาน เรา 4 คนก็ถูกพาไปที่บ้านของ B ก่อนที่พ่อแม่เขาจะเริ่มอธิบายสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ให้ฟัง

 

“บ้านที่พวกเธอไปดูน่ะ ไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ที่นั่นหรอก” แม่ของ B พูดขึ้นอย่างเงียบๆ

“มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโต๊ะเครื่องแป้งและเส้นผมที่พวกเธอเห็นโดยเฉพาะเลย มันอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ตอนที่เราทุกคนยังเป็นเด็กแล้ว”

“โต๊ะเครื่องแป้งนั่นเคยถูกใช้งานมาแล้ว เส้นผมนั่นก็ของจริง” พ่อของเขาว่าต่อ

“ยังไงก็ตาม ที่บอกว่าเห็นข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ…”  

 

เขาหยิบปากกาแผ่นหนึ่งออกมาแล้วเขียนคำว่า [禁后] ลงไป

 

“…พวกเธอเห็นแบบนี้หรือเปล่า?”

“ใช่… นั่นแหละที่พวกเราเห็น”

 

ฉันตอบ พ่อของ B ก็รีบขยำกระดาษแผ่นนั้นให้เป็นลูกบอล โยนลงในถังขยะ ก่อนจะพูดต่อ

 

“คำนี้ จริงๆ แล้วมันเป็นชื่อ—ชื่อของผู้หญิงเจ้าของผมที่อยู่ในบ้านหลังนั้น การออกเสียงมันไม่ปกติสำหรับตัวคันจิหรอก”

 

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะว่าต่อ

 

“สิ่งที่พวกเธอต้องรู้จริงๆ ก็คือ: ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามแต่ ห้ามพูดถึงบ้านหลังนั้น แล้วก็ อย่าเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น เข้าใจมั้ย? …ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พวกเธอจะนอนค้างที่นี่ก็ได้นะ”

 

เขาลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะตัดบทไปแค่นี้ ตอนนั้นแหละ B ก็รวบรวมความกล้าพอที่จะพูดออกไปได้

 

“จะเกิดอะไรขึ้นกับ D! ทำไมเธอ…”

 

B เดินตามออกไป และพ่อ B ก็พูดอีกครั้ง

 

“ลืมเธอไปซะ… จากนี้ไป เธอจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และเธอจะมาเจอพวกเธอไม่ได้อีก ยังไงก็…”

 

เขามองมาที่เราและพูดต่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ

 

“แม่ของ D จะต้องโทษพวกเธอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ไปตลอดชีวิตแน่ แม่เขาไม่ได้จะให้พวกเธอรับผิดชอบอะไรหรอก แต่เห็นท่าทีตอนที่เธอมองมาที่พวกเธอแล้วใช่มั้ย? เธอจะไม่มีทางยอมให้พวกเธอได้เจอกับ D อีกแล้วแน่นอน”

 

พ่อของ B ออกจากห้องไป เราคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี และเราไม่รู้ว่าจะใช้เวลาต่อกันยังไง มันเป็นวันที่ยาวนานมาก

 

◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆

 

หลังเหตุการณ์ผ่านไป ชีวิตเราก็กลับมาเป็นปกติได้ในเวลาไม่นาน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งพ่อแม่ฉัน ทั้งพ่อแม่ของคนอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกเลย ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ D จน 1 เดือนต่อมา ทางโรงเรียนก็ได้รับแจ้งว่าเธอย้ายไปที่ไหนซักที่แล้ว

เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในเมืองก็ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย เพราะเด็กคนอื่นๆ ถึงกับหยุดพูดถึงบ้านร้างหลังนั้นกันไปเลย ประตูกระจกที่ A ทุบไปนั่นก็ถูกกั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่มีทางที่จะมีใครแอบเข้าไปได้

พวกเรา 4 คนไม่เคยเข้าใกล้บ้านหลังนั้นอีกเลย รวมทั้งแยกตัวออกจาก D กับครอบครัวของเธอด้วย ตอนที่พวกเราเข้าโรงเรียนมอปลาย เราทุกคนก็ออกไปโรงเรียนอื่นนอกหมู่บ้านเล็กๆ ของเรา นี่ก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว…

 

ต้องขอโทษด้วยที่เสียเวลาไปมากกับเรื่องยาวขนาดนี้ แต่ก็ยังมีอะไรต่อมีอะไรอีกเยอะมากที่ฉันยังไม่เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้เกิดขึ้น

เป็นช่วงที่ฉันเรียนจบวิทยาลัย ตอนที่แม่ของ D ส่งจดหมายถึงแม่ฉัน แม่ฉันปฏิเสธที่จะบอกฉันว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร แต่สิ่งที่เธอพูดมันยังหลอกหลอนฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลย

 

“เธอเลือกที่จะหลบหน้าไปเพราะเธอเป็นแม่ของ D ถ้าเกิดลูกกลายเป็นคนหนึ่งที่ลงเอยแบบนั้น แม่เองก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม่จะรู้ดีว่ามันเป็นทางเลือกที่ผิดก็เถอะ”

 

ในบางครอบครัว แม่จะส่งต่อพิธี 3 อย่างที่ทำให้กับลูกสาวของตัวเอง ขอฉันอธิบายเกี่ยวกับครอบครัวเหล่านั้นซักหน่อยแล้วกันนะ

อย่างแรกเลยคือ ลูกสาวเป็นสมบัติของแม่และได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งให้กำเนิดลูกสาว 2 หรือ 3 คน เธอจะเลือกคนหนึ่งให้เป็น [สมบัติ] ของเธอ (แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่เด็กผู้ชายจะเกิดมา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น)

ลูกสาวที่ถูกเลือกจะได้รับ 2 ชื่อ หนึ่งในนั้นคือชื่อจริงๆ ของเธอ ซึ่งไม่มีใครรู้ นอกจากแม่

ชื่อนี้จะมีการอ่านที่แตกต่างจากการออกเสียงคันจิทั่วไปโดยสิ้นเชิง ในกรณีที่มีใครก็ตามรู้ว่าชื่อจริงๆ ของเธอนั้นคืออะไร ถึงจะรู้จักตัวเขียนก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าจะมันอ่านว่าอะไร

ต่อให้แม่กับลูกสาวจะอยู่กันตามลำพัง ชื่อที่ซ่อนอยู่นี้ก็จะไม่มีวันถูกนำมาใช้

ดูเหมือนเป็นชื่อมรณกรรมในทางหนึ่ง แต่ก็เป็นการกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวให้แน่นแฟ้นกันมากขึ้น และเป็นการแสดงหลักฐานให้เห็นว่าแม่เป็นเจ้าของลูกสาวเธอ

นอกจากนี้ ในวันที่แม่จะตั้งชื่อให้ลูกสาว เธอจะต้องจัดโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้ด้วย ลูกสาวจะไม่ได้รับอนุญาตให้ดูโต๊ะเครื่องแป้งในวันอื่นเลยนอกจากวันเกิดปีที่ 10, 13 และ 16 ของเธอ ทั้งหมดนี้ก็เป็นแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นสำหรับวันๆ หนึ่งในอนาคต…

เพื่อจะเพิ่มมูลค่าให้กับ [สมบัติ] ของเธอเอง ผู้เป็นแม่จะต้องบังคับลูกสาวของเธอเองให้ได้รับการศึกษาแบบพิเศษตั้งแต่อายุยังน้อย (ลูกสาวคนไหนที่ไม่ได้รับเลือกก็จะถูกเลี้ยงดูตามปกติ) ตัวอย่างเช่น:

 

ลูกสาวคนนั้นจะถูกบังคับให้เชือดหน้าแมวหรือสุนัข

จากนั้นเธอก็จะเก็บส่วนลำตัวที่ไม่มีหัวไว้เป็นสัตว์เลี้ยง (เห็นได้ชัดว่าทุกคนรอบตัวลูกสาวจะทำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงยังมีชีวิตอยู่เพื่อหลอกให้เด็กผู้หญิงเชื่อว่ามันเป็นของจริง)

แม่จะสอนลูกสาวให้ใช้เวทมนตร์เพื่อฆ่าหนูโดยใช้หูแมวและหนวดแมว

เธอจะถูกบังคับให้แยกแมงมุมออกเป็นส่วนๆ แล้วก็ทำการประกอบกลับคืนสภาพเดิม

เธอจะต้องกินอุจจาระและดื่มปัสสาวะ (ทั้งของเธอเองและของคนอื่น)

แล้วก็อื่นๆ

 

นี่เป็นแค่รายการเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่มีทางที่ฉันจะเขียนทุกอย่างที่ทำได้หรอก เชื่อฉันเถอะว่าเรื่องนี้น่ะ แค่ได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ได้ฟังคลื่นไส้ได้แล้ว

สัตว์และแมลง โดยเฉพาะแมว ดูเหมือนจะเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด อาจดูแปลกๆ นะ แต่ก็มีเหตุผลอยู่สำหรับเรื่องนี้ ในครอบครัวเหล่านี้ เหตุผลเดียวที่ผู้หญิงจะไปข้องเกี่ยวกับผู้ชายก็คือต้องตั้งครรภ์และมีลูก ทันทีที่แม่มีลูกสาวเพียงพอ เธอก็จะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับพ่อทิ้ง แม้ว่าผู้ชายหลายคนจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่บางคนก็ยังแสวงหาความลับของเชื้อสายครอบครัวและเวทมนตร์ของพวกเขาอยู่

เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ทางครอบครัวจึงเริ่มทำการร่ายมนตร์ใส่ผู้ชายที่พวกเขามีลูกด้วย คาถาเหล่านี้จะเสกสรรบางสิ่งให้คอยตามหลอกหลอนผู้ชายและสร้างการเชื่อมโยงบางอย่างกับเขาเอาไว้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำเรื่องเลวร้าย อย่างการฆ่าแมว พลังงานด้านลบทั้งหมดที่สร้างขึ้นจะไหลมาสู่ผู้ชายผ่านการเชื่อมโยงที่ว่านี้ ว่ากันว่าเหตุเภทภัยนานาจะตามติดชายคนนั้นไปชั่วชีวิตเลย

นี่คือวิธีที่พวกเขาปกป้องความลับของพวกเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ชายบางคนจะพยายามเปิดเผยความลับของพวกเขาแล้วก็ตาม

แม้ว่าความพยายามจากทางภายนอกในการค้นหาความลับของพวกเขาจะยังคงดำเนินต่อไป แมวและสัตว์อื่นๆ ก็เลยมักจะถูกนำมาใช้ใน [การศึกษา] จากรุ่นสู่รุ่น ฝ่ายแม่ก็ยังคงดำเนินคำสอนของตนต่อไปเป็นเวลากว่า 13 ปี เพื่อปลูกฝังความรู้สึกและสามัญสำนึกอันผิดปกติ ค่านิยมที่บิดเบี้ยว และความสนใจอันแปลกประหลาดในตัวลูกสาวของพวกเขา

 

ในช่วง 13 ปีแรก พิธี 2 อันแรกจะถูกจัดขึ้น

พิธีแรกสุดจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กหญิงอายุ 10 ปี แม่จะให้เธอนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และสั่งให้เธอมอบเล็บของตัวเองเป็นเครื่องบูชา

นี่จะเป็นตอนที่ลูกสาวรู้ครั้งแรกเกี่ยวกับการมีอยู่ของโต๊ะเครื่องแป้ง

ลูกสาวจะต้องเสนอเล็บจำนวนเท่าไหร่ก็ได้จากทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าของเธอ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของเด็กและแม่ และแน่นอนว่าการบูชานี้ทำโดยการฉีกเล็บนิ้วมือและเล็บนิ้วเท้าออกจนหมด

ลูกสาวจะถอนเล็บออกเองแล้วมอบพวกมันให้แม่ของเธอ จากนั้น ผู้เป็นแม่ก็จะนำเล็บและกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีชื่อลับของลูกสาวของเธอเขียนเอาไว้ เก็บไว้ในชั้นบนสุดของลิ้นชัก 3 ชั้นของโต๊ะเครื่องแป้ง

หลังจากนี้ แม่จะใช้เวลาที่เหลือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เป็นอันสิ้นสุดพิธีแรก

พิธีที่ 2 จะดำเนินการเมื่อลูกสาวอายุครบ 13 ปี เหมือนกับพิธีแรก ลูกสาวจะต้องถวายเครื่องบูชา คราวนี้เธอจะต้องถวายฟันของเธอ และก็เหมือนกับพิธีแรก จำนวนฟันจะเปลี่ยนไปจากรุ่นสู่รุ่น

ลูกสาวจะต้องถอนฟันที่ต้องการออกด้วยตัวเอง จากนั้นแม่จะพาไปวางไว้ในลิ้นชักอันกลางของโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมด้วยกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีชื่อซ่อนอยู่เขียนอยู่ ต่อด้วยการใช้เวลาที่เหลือนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้งนึง เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีที่ 2

เมื่อพิธีที่ 2 เสร็จสิ้น [การศึกษา] ของลูกสาวจะหยุดลงไปจนกว่าเธอจะอายุครบ 16 ปี ลูกสาวคนนี้จะได้รับอิสรภาพอย่างปุบปับโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นสัญญาณว่าการเตรียมการทั้งหมดสำหรับช่วง 13 ปีแรกของหญิงสาวได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

เมื่อถึงเวลานี้ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คงกลายเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตตามอุดมคติของคุณแม่ แต่มีเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ยังคงมีความรู้สึกเข้มแข็งพอที่จะใช้ชีวิตตามปกติได้

 

3 ปีต่อมา เมื่อลูกสาวอายุได้ 16 ปี พิธีสุดท้ายก็จะถูกจัดขึ้น

พิธีสุดท้าย แม่จะกินผมของลูกสาวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้คำว่ากินอาจจะฟังดูแรงไปหน่อย แต่สิ่งสำคัญคือแม่ต้องเอาเส้นผมเข้าไปเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ผมของเด็กสาวจะถูกโกนออก และแม่จะต้องจ้องมองไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เคี้ยวกินเส้นผมไปราวกับอยู่ในภวังค์ สิ่งเดียวที่ลูกสาวทำได้คือเฝ้าดูอย่างเหม่อลอยเท่านั้น

เมื่อแม่กินเส้นผมเสร็จแล้ว เวลานั้นเองที่แม่จะพูดชื่อจริงของเด็กสาว

นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้ได้ยินชื่อที่แท้จริงของตัวเธอเอง

 

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการและบรรลุเป้าหมายแล้วเรียบร้อย ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป แม่จะดูดเส้นผมของเธอตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนราวกับว่าเธอเป็นเพียงเปลือกนอกของมนุษย์ ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต

และเพียงเท่านี้ แม่ก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เธออาจจะดูเหมือนมนุษย์ แต่ก็จะไม่มีอะไรเป็นมนุษย์อีกแล้ว เธอจะถูกพาไปที่ไหนสักแห่งที่ที่ไม่มีใครเคยได้ยินหรือเคยพบเห็นเธอมาก่อน

ทุกสิ่งที่นำไปสู่ช่วงเวลานี้เพื่อให้แม่มีสิทธิ (และให้พร?) ที่จะไปที่แห่งนั้น นั่นคือสิ่งที่พิธีสุดท้ายมอบให้เธอ

ที่นั่นจะมีแม่อีกหลายคนที่ทำพิธีแบบเดียวกันและได้รับสิทธิในการอาศัยอยู่ที่นั่น ตัวสถานที่เองก็เป็นสรวงสวรรค์ บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ และสะอาดหมดจด

แม่ที่ทำพิธีสุดท้ายเสร็จสิ้นทุกคนจะถูกพาตัวไปที่นั่น… เปลือกนอกของมนุษย์อย่างที่เคยเป็น ดูดเส้นผมกินอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น

ลูกสาวที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังได้รับการเลี้ยงดูจากพวกพี่สาวของแม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม่ถึงจะมีลูกสาว 2-3 คน ไม่ใช่แค่คนเดียว พออแม่หายตัวไปที่สวรรค์แล้ว ลูกสาวที่ถูกเลือกก็จะถูกเลี้ยงดูโดยป้า ‘ธรรมดา’ ของเธอ

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับครอบครัวเหล่านี้ รายละเอียดเพิ่มเติมมันก็มีนั่นแหละ แต่ถ้าจะเขียนทั้งหมดก็คงใช้เวลานานเกินไป นี่เป็นคำอธิบายที่ย่อมาให้เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว แต่ฉันเองก็ยังคิดว่ามันยังยากที่จะรู้เรื่องได้ทั้งหมดอยู่ดี

ทีนี้ ฉันจะบอกพวกคุณทุกคนแล้วนะว่าทำไมฉันต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดข้างต้นนี้ด้วย

 

ในความเป็นจริง ประเพณีสุดเลวร้ายพวกนี้มันก็ไม่ได้คงอยู่นานนักหรอก ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทีละนิดๆ ความสงสัยเหล่านี้รังแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ความสัมพันธ์แม่ลูกในครอบครัวนี้ก็กลายเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากครอบครัวต่างๆ นำแนวทางปฏิบัติในการเลี้ยงลูกที่เป็นมาตรฐานมาใช้มากขึ้น ธรรมเนียมดังกล่าวจึงเริ่มถูกละทิ้งไป และถูกยกเลิกอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

แต่เนื่องจากการปฏิบัติดังกล่าวฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของครอบครัว ประเพณี 2 ประการจึงถูกรักษาไว้อย่างมั่นคง นั่นก็คือชื่อที่ซ่อนเอาไว้และโต๊ะเครื่องแป้ง ชื่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นแม่ และโต๊ะเครื่องแป้งเป็นของขวัญที่ต้องสาปที่ส่งต่อไปยังลูกสาว

หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวเหล่านี้ก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนของตัวเอง และพวกเขาแม้กระทั่งเริ่มแต่งงานและมีครอบครัวกันตามปกติเลยด้วยซ้ำ

 

หลายปีต่อมา ผู้หญิงคนหนึ่งจากครอบครัวดังกล่าวได้แต่งงาน เธอชื่อยาจิโยะ

เธอเกิดมาจากผู้หญิงที่เติบโตมาหลังจากที่ประเพณีอันเลวร้ายของครอบครัวนี้ถูกละทิ้งไปแล้ว และเธอเองก็ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ

ในวัยเด็กของเธอ เธอได้รับความชื่นชมจากชุมชน เธอใช้ชีวิตตามปกติ

เมื่อถึงจุดหนึ่ง เธอก็ได้พบกับชายคนหนึ่ง และหลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่ปี พวกเขาก็ตัดสินใจแต่งงานกัน

ยาจิโยะเคยได้ยินพวกเรื่องเกี่ยวกับอดีตของครอบครัวเธอจากผู้เป็นแม่ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ

หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปี ยาจิโยะก็ตั้งท้อง และมีลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเธอชื่อโยจิโกะ เช่นเดียวกับที่แม่ของเธอทำกับเธอ ยาจิโยะได้ตั้งชื่อที่ซ่อนเอาไว้ให้กับโยจิโกะ และโต๊ะเครื่องแป้งที่เธอได้รับเมื่อตอนเป็นเด็กเหมือนกัน

สำหรับครอบครัวนี้ เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปอย่างสงบดี อย่างน้อยก็จนกระทั่งโยจิโกะอายุครบ 10 ปี ก็ได้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในวันนั้น

ในวันนั้น ยาจิโยะไปเยี่ยมพ่อแม่ของตัวเอง โดยที่ทิ้งโยจิโกะเอาไว้กับสามีตามลำพัง เธอทำทุกอย่างที่ต้องทำเสร็จแล้ว และกลับบ้านในเย็นวันนั้น

พอเธอเข้าไปข้างในบ้าน เธอก็ต้องเผชิญกับภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

 

โยจิโกะตายแล้ว ทั้งเล็บทั้งฟันของเธอหลายชิ้นถูกฉีกออกมา

 

ยาจิโยะค้นไปทั่วทั้งบ้าน จึงได้พบแผ่นกระดาษที่มีชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของโยจิโกะกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เล็บและฟันของโยจิชิโกะเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง

สามีเธอหายตัวไป หาที่ไหนก็ไม่เห็นเลย

ยาจิโยะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แค่กอดอุ้มร่างลูกสาวเธอไว้ขณะที่ร้องไห้โฮเท่านั้น เมื่อรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพื่อนบ้านบางคนจึงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือยาจิโยะกำลังร้องไห้

เพื่อนบ้านของเธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางคนก็เริ่มติดต่อหาพ่อแม่ของยาจิโยะ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ช่วยกันออกตามหาสามีของเธอ

 

แต่ตอนคนอื่นแยกย้ายกันไป ไม่มีใครทันคิดที่จะอยู่กับเธอ

คืนนั้น ยาจิโยะฆ่าตัวตายข้างลูกสาวของเธอ

เมื่อพ่อแม่ของยาจิโยะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาก็สงบสติอารมณ์ลงมาอย่างน่าประหลาดเลย

 

“ฉันว่าฉันรู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น” แม่ของเธอกล่าว

“โยจิโกะคงเคยได้ยินเกี่ยวกับพิธีกรรมจากยาจิโยะแล้ว และเธอก็พยายามจะทำมันเอง ยาจิโยะไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้น โยจิโกะจึงต้องยึดทุกอย่างมาจากเศษข้อมูลที่ได้ยินมา… เธอรอจนอายุ 10 ขวบถึงจะทำมันได้”

 

จากนั้นพ่อแม่ของยาจิโยะก็มุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ

ตอนที่ที่พวกเขามาถึง ยาจิโยะก็ตายไปแล้วด้วยอีกคน ทำเอาเพื่อนบ้านตกอกตกใจกันมาก

แต่พ่อแม่ของยาจิโยะกลับยังคงสงบสติอารมณ์อยู่ได้ไม่เปลี่ยน

 

“ห้ามใครเข้ามาในบ้านอย่างเด็ดขาด จนกว่าเราจะออกมา”

 

พวกเขาพูดก่อนจะเข้าไปข้างใน

หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุด พวกเขาก็ออกจากมาบ้านหลังนั้น

 

“เราจะจัดพิธีไว้อาลัย คุณไม่จำเป็นต้องค้นหาตัวสามีหรอก อีกไม่นาน พวกคุณก็จะเข้าใจทุกอย่าง”

 

จากนั้นพวกเขาก็บังคับให้เหล่าคนมุงทั้งหมดนั้นออกไป

สามีนั้นยังคงหายตัวไปอีกหลายวัน แต่อยู่มาวันนึง ก็มีคนพบเห็นร่างของเขาเสียชีวิตอยู่ที่หน้าบ้านของพวกเขาเอง ในตอนที่เขาตาย ในปากของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมสีดำยาวอัดแน่นอยู่

เพื่อนบ้านของยาจิโยะถามพ่อแม่ของเธอว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง

 

“ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านของยาจิโยะ ก็จะต้องจบลงแบบพ่อหนุ่มนี่แหละ” แม่ของเธอกล่าว

“ฉันลงคำสาปเอาไว้ในบ้านหลังนี้แล้ว เธอจะหลุดพ้นจากความชั่วร้ายของครอบครัวเรา เป็นลูกของคนรุ่นใหม่ มันแย่มากที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่โปรดให้เธอได้จากไปอย่างสงบเถอะ”

 

ตั้งแต่นั้นมา บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงยาจิโยะและโยจิโกะ และหลังจากทำความสะอาดไปแล้ว ตัวบ้านก็ถูกทิ้งเอาไว้ทั้งๆ อย่างนั้น

ไม่มีใครรู้เลยว่ามันมีอะไรอยู่ในบ้าน แต่ชาวเมืองก็ให้ความใส่ใจกับคำพูดของพ่อแม่ของยาจิโยะและไม่เคยเข้าไปข้างในเลย บ้านยังคงไม่มีใครแตะต้องมานานหลายปี

ในที่สุด ผู้คนก็อยากจะรื้อบ้านหลังนั้นทิ้งเพราะมันเริ่มทรุดโทรมแล้ว เมื่อการตรวจสอบเริ่มต้นขึ้น นี่ก็เลยเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว มันมีอะไรอยู่ในบ้านกันแน่

 

สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือสิ่งที่พวกเราเห็นเหมือนกันแน่นอน; โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เส้นผม

 

ตอนที่ยาจิโยะอาศัยอยู่ที่นั่น มันไม่มีชั้นสอง ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกจัดเอาไว้ที่ประตูหน้า ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของยาจิโยะหรอก แต่ฉันคิดว่าผมที่เราเห็นน่าจะเป็นของยาจิโยะและโยจิโกะ เหมือนอย่างที่เคยเป็นตอนที่พวกเธอตาย

เมื่อได้รู้ว่าสิ่งของเหล่านี้ต้องยังมีคำสาปติดอยู่แน่ๆ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนบ้านทุกคนจึงได้ทำการย้ายของทุกอย่างอย่างระมัดระวังที่สุด พวกเขาสร้างบ้านว่างหลังใหม่ขึ้นมาสำหรับสิ่งของพวกนั้นโดยเฉพาะ แล้วเมื่อสร้างเสร็จก็ทำการย้ายของทุกอย่างไปไว้ภายในบ้านหลังใหม่

ดูเหมือนว่า ระหว่างการเคลื่อนย้าย จะมีคนเปิดลิ้นชักและเห็นของข้างในด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันว่าคงเป็นเพราะคนที่เปิดลิ้นชักยังช่วยให้อนุสรณ์นี้ยังคงอยู่ต่อไปก็ได้ล่ะมั้ง

บ้านหลังใหม่นี้สร้างขึ้นนอกเมือง และคนงานต้องแน่ใจว่าไม่มีประตูหน้าบ้านอยู่เพื่อจะเข้าไปข้างในได้ยาก ทำการเพิ่มหน้าต่างและประตูกระจกเข้าไปเพื่อให้แสงแดดและลมถ่ายเท โดยหวังว่าบ้านจะรู้สึกเหมือนเป็นอนุสรณ์รำลึกทั่วๆ ไป

ก็ตามนั้นแหละ ทุกคนในเมืองรู้กันว่าอย่าไม่เข้าไปในบ้านหลังนั้น แล้วก็มีเพียงพวกผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อห้ามนั้นมันคืออะไร

นี่คือคำอธิบายถึงโต๊ะเครื่องแป้งและเส้นผมที่พวกเราเจอ มันเป็นของยาจิโยะและโยจิโกะ ส่วนคำที่เราเห็นเขียนอยู่บนกระดาษนั่น ก็เป็นหนึ่งในชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของพวกเธอ

 

นี่เป็นส่วนสุดท้ายของเรื่องของฉันแล้วนะ

หลังจากที่สร้างบ้านเปล่าๆ ขึ้นมา ก็ไม่มีใครพยายามจะเข้าไปเลย อย่างที่ฉันบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ตอนที่โต๊ะเครื่องแป้งถูกย้ายเข้าบ้านใหม่ก็มีคนมองดูในลิ้นชักด้วย ความจริงที่ว่ามีบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่ในลิ้นชักก็ได้แพร่กระจายไปยังชาวบ้านบางคน

เหมือนกับตอนที่ฉันยังเด็กนั่นแหละ คนในรุ่นพ่อแม่ฉันก็ถูกดุมาอย่างแรงเหมือนกัน ถ้าหากพวกเขาพูดถึงบ้านหลังนั้นแบบเดียวกับเรา พวกท่านโดนดุโดนว่าซะจนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่านเลย

และก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันและเพื่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นกับคนที่พ่อแม่ฉันรู้จักด้วย

ทุกคนอาจจะยังจำได้ว่านะว่า ก่อนหน้านี้ ฉันพูดถึงครอบครัวของ A ไว้เล็กน้อย ทั้งแม่และยายของเขามาจากหมู่บ้านแห่งนี้ พอแม่ของเขาแต่งงาน เธอก็เลยย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น

 

นั่นน่ะ เป็นเรื่องโกหก

 

ตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก ในกลุ่มมี 4 คน— แม่ของ A, พ่อกับแม่ของ B แล้วก็เด็กชายอีกคน (ฉันจะเรียกเขาว่า E ก็แล้วกัน) ก็ไปที่บ้านหลังนั้น พวกเขาไม่เหมือนกับฉันกับกลุ่มเพื่อน พวกเขาออกจากบ้านกันกลางดึกและไปที่บ้านหลังนั้นกัน พวกเขายังเอาบันไดมาด้วยเพื่อที่จะสามารถเข้าไปในหน้าต่างชั้นที่ 2 ได้

ตอนที่พวกเขาเข้ามา ก็ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเลย พวกเขาผิดหวังกันที่มันไม่เป็นไปตามคาดเอาไว้ จากนั้น พวกเขาก็เดินไปดูที่ห้องข้างๆ

พวกเขาเห็นโต๊ะเครื่องแป้งและเส้นผมอยู่ตรงกลางห้อง ตอนนั้นเป็นช่วงกลางดึกด้วย พวกเขาก็เลยตกใจกับสิ่งที่เจอกันยกใหญ่ ยกเว้นแค่แม่ของ A

เธอใจกล้ามาก เธอแหวกผ่านเพื่อนอีก 3 คน เดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง และพยายามเปิดลิ้นชักออกมาเลยด้วยซ้ำ

แล้วเด็ก ๆ ที่กำลังกลัวก็ทำในสิ่งที่พวกเราคาดกันนั่นแหละ พวกเขาพยายามกันอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดเธอ จนในที่สุด พวกเขาก็สามารถคุยกับเธอให้ปล่อยผ่านมันไปได้ แต่นั่นไม่ได้หยุดปัญหาอื่นที่ขวางทางพวกเขาอยู่ดี

พวกเขาทั้ง 4 คนออกมาจากห้องและลงไปชั้นล่างอย่างกลัวๆ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกความกลัวเข้าครอบงำ

 

พวกเขาเจอโต๊ะเครื่องแป้งและวิกผมอีกอันอยู่ที่โถงทางเดิน

ทั้ง 3 คนที่หวาดกลัวเกินกว่าจะอยากออกไป แต่แม่ของ A ปฏิเสธ

ก็เหมือนกับooจัง น้องสาวของ D นั่นแหละ แม่ของ A เริ่มเปิดลิ้นชักและหยิบสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักออกมา

เธอเปิดลิ้นชักอันแรกและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคำว่า [紫逅] ในนั้นให้เพื่อนๆ ของเธอดู พร้อมกับเล็บมือเล็บเท้าอีกหลายอัน

คนอื่นๆ คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่เริ่มจะน่าขนลุกเกินไปแล้ว และพวกเขาก็ฝืนดึงตัวเธอออกไป คนนึงหยิบกระดาษและนำทุกอย่างกลับไปใส่ที่เดิม ในระหว่างที่ตีกัน พวกเขาก็เผลอทำเส้นผมหลุดออกจากเสา

เส้นผมเป็นของที่น่ากลัวที่สุดในบ้านแล้ว แม้แต่แม่ของ A เองก็ยังไม่กล้าจะไปแตะมันเลย ทั้ง 4 คนก็เลยทิ้งมันไว้บนพื้นแบบนั้น แล้วก็แยกย้ายกันกลับไปบ้านของตัวเอง

 

พวกเขาทิ้งมันไว้ที่นั่นอีก 2-3 วัน แต่ทั้งสี่ก็เริ่มสงสัยว่าพ่อแม่ของพวกเขาจะรู้เรื่องมั้ย พวกเขาก็เลยตกลงกันว่าจะกลับไปเก็บเส้นผมไปวางที่ตำแหน่งเดิม

พ่อแม่ของ B ไปด้วยไม่ได้เพราะอะไรซักอย่าง ก็เลยมีแค่แม่ของ A กับเด็กชาย E ที่ไปกันเอง

ทั้งสองเข้าไปในบ้านร้างกลางดึกและใช้บันไดปีนเข้าไปทางหน้าต่างชั้น 2 อีกรอบนึง พวกเขาลงบันไดและใช้ตะเกียบที่พกติดตัวมา คีบเส้นผมขึ้นมาและเอากลับไปวางบนเสาเหมือนเดิม

E เริ่มเร่งให้แม่ของ A ออกไปจากบ้านได้แล้ว บางทีเธออาจจะโล่งใจที่ทำงานนี้สำเร็จ จนลืมความกังวลก่อนหน้านี้ของเธอไปเลย หรือไม่ บางทีเธอก็อาจจะอยากจะทำให้ E กลัวก็ได้… ฉันไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นเพราะอะไร แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง เธอก็เลยเปิดลิ้นชักที่ 2 ของโต๊ะเครื่องแป้งออกมา

ในนั้น ก็มีชื่อ [紫逅] อีกรอบนึง เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นเล็กๆ และคราวนี้ ก็มีฟันใส่เอาไว้อีกหลายซี่

E กลัวมากจนดูเหมือนเขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว แม่ของ A คิดว่าท่าทางของเขาดูตลกดี เพื่อจะทำให้เขากลัวเข้าไปอีก เธอก็เลยเปิดลิ้นชักสุดท้ายออกมา ในลักษณะที่จะมีแค่ E คนเดียวที่จะเห็นว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น

แล้ว E เขาก็ยืนจ้องมองเข้าไปในลิ้นชักนั่น นิ่งเหมือนกับจะดูอยู่ในท่าแบบนั้นไปได้ตลอดไปยังไงยังงั้นเลย

อะไรอยู่ในนั้นล่ะเนี่ย? แม่ของ A ได้แต่สงสัยกับตัวเอง ขณะที่ดูท่าทางของ E ไปด้วย เธอกำลังจะมองเข้าไปในลิ้นชักด้วยอีกคนอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ลิ้นชักมันก็ปิดเอง เธอหันไปมองที่ E ซึ่งตอนนี้ก็ยังมองอยู่ที่จุดๆ เดิม สายตาว่างเปล่า ไม่ขยับตัวเลยซักนิดเดียว

แม่ของ A คิดว่า E กำลังแกล้งเธอกลับเพราะเธอแกล้งเขาก่อน แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไปจนแปลกๆ อยู่ๆ เธอก็เลยรู้สึกกลัวขึ้นมา ก่อนจะออกจากบ้านมาคนเดียว ทิ้ง E เอาไว้ตรงที่ที่เขายืนอยู่

พอเธอกลับมาถึงบ้าน แม่ของ A ก็เล่าให้แม่ของเธอฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้น สีหน้าของแม่เธอก็ซีดเผือด และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามมานั่นก็กลายเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่าเดิมอีก

ยายของ A รีบติดต่อพ่อแม่ของ E แล้วพวกผู้ใหญ่ก็รีบไปบ้านร้างนั่นทันที หลังจากนั้นซัก 30-40 นาที หลายๆ ครอบครัวก็กลับออกมาจากบ้านหลังนั้น แม่ของ A เห็น E เพียงแวบเดียว แต่พวกผู้ใหญ่เขาก็อุ้ม E ไปด้วย ดูเหมือนว่าในปากของเขาจะเต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็เห็นเหมือนเส้นผมยาวๆ หลายเส้นห้อยลงมาจากมุมปากของเขา

ในไม่ช้าพ่อแม่ของ B กับพ่อแม่ของพวกเขาเองก็ได้รับการติดต่อด้วยเหมือนกัน แต่พ่อแม่ของ E ไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขาเลย สิ่งที่พวกเขาทำ ก็แค่จ้องไปที่แม่ของ A ด้วยสีหน้าจงเกลียดจงชังจนอธิบายไม่ถูกก็เท่านั้น

ไม่นาน พ่อแม่ของ B กับแม่ของ A ก็ถูกสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน พวกเขาได้รับการบอกเล่าแบบเดียวกันกับที่ฉันกับเพื่อนได้ยินเกี่ยวกับ D เลย

E จะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแบบก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นอีกแล้ว

ประมาณ 1 เดือนต่อมา ครอบครัวของ E ก็ย้ายออกไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะไป พวกเขาเข้าไปหาตายายของ A ทุกวันเลย เรื่องนี้มากเกินกว่าที่แม่ของ A จะรับไหว และในไม่ช้า สภาพจิตใจของเธอไม่มั่นคง จากการถูกเข้ามาหาทุกวันๆ อยู่แบบนั้น ยายของ A ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ด้วยตัวเองได้ ก็เลยส่งเธอไปอยู่กับญาติที่จังหวัดอื่น

 

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นกับ E หรือแม่ของ A บ้าง แต่ในท้ายที่สุด แม่ของ A ก็กลับมาที่หมู่บ้าน ดูเหมือนเพื่อจะชดใช้สิ่งที่เธอทำเอาไว้กับ E นะ

 

ที่ฉันรู้ก็มีแค่นี้แหละ แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวกับโต๊ะเครื่องแป้งในบ้านล่ะก็ ฉันยังมีเรื่องที่รู้อีกอย่างหนึ่ง

โต๊ะเครื่องแป้งบนชั้น 1 เป็นของยาจิโยะ ส่วนของโยจิโกะจะอยู่ที่ชั้นบน

ในโต๊ะเครื่องแป้งของยาจิโยะ ลิ้นชักแรกจะใส่เล็บเอาไว้ และลิ้นชักที่ 2 ก็ใส่ฟันเอาไว้ ลิ้นชักทั้งสองมีกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของเธอเขียนอยู่ด้วย

ส่วนในโต๊ะเครื่องแป้งของโยจิโกะ ลิ้นชักที่ 1 กับ 2 มีแค่กระดาษที่มีชื่อที่ซ่อนเอาไว้เขียนอยู่เท่านั้น

ชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของยาจิโยะคือ 紫逅 ส่วนของโยจิโกะคือ 禁后

 

ในลิ้นชักอันสุดท้าย มีมืออยู่ข้างใน

 

ในโต๊ะของยาจิโยะมีมือขวาของเธอกับมือซ้ายของโยจิโกะอยู่ ส่วนในโต๊ะเครื่องแป้งของโยจิโกะก็มีมือขวาของเธอและมือซ้ายของยาจิโยะ ไม่จำเป็นต้องพูดหรอกใช่มั้ยว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือพวกนั้นอยู่ในสภาพไหน

แต่พอ D กับ E ได้เห็นมือพวกนั้น พวกเขาก็เหมือนจะเป็นบ้ากันไปเลย

 

พูดกันตามตรง เพื่อให้เกิดผลแบบนี้ คนคนนั้นจะต้องเห็นทั้งกระดาษที่มีชื่อซ่อนเอาไว้เขียนอยู่กับมือพร้อมกัน

ชื่อที่ซ่อนอยู่ของยาจิโยะถูกเขียนโดยแม่ของเธอ ส่วนชื่อโยจิโกะก็ถูกเขียนโดยยาจิโยะ การออกเสียงของชื่อที่ซ่อนเอาไว้ของพวกเขาถูกเขียนไว้ในลิ้นชักที่ 3 ของโต๊ะเครื่องแป้งของพวกเขา

 

บ้านร้างหลังนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม แต่เด็กๆ สมัยนี้กลับไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ฉันเดาว่าทุกวันนี้มันมีเรื่องอื่นที่ทำให้เด็กๆ สนใจมากพอแล้วล่ะ แล้วเพราะว่าไม่ได้มีใครเข้าไปในบ้านหลังนั้นจริงๆ มันก็เลยไม่โดดเด่นสำหรับใครเลย

ฉันจะไม่บอกตำแหน่งที่แน่นอนของบ้านหลังนั้นให้พวกคุณรู้หรอกนะ แต่ใบ้ให้ว่าบ้านหลังนั้นไม่ได้อยู่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น

 

ฉันรู้ว่าฉันเคยพูดถึงเรื่องจดหมายจากแม่ของ D ด้วย แต่ฉันจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ  

ทั้ง D ทั้งแม่ของเธอเสียชีวิตกันแล้ว เพราะงั้น ฉันก็เลยขอไม่เปิดเผยอะไรไปมากกว่านี้

 

TN: โชคดีมาก ที่โทริโกะไม่ได้เปิดลิ้นชักที่ 3 ออกมาตามที่โซราโอะบอก 555

เอาล่ะ เท่านี้อพาร์ตเมนต์ก็กลับมาปลอดภัยซักที ทีนี้ก็นอนได้แล้วเนอะ โซราโอะจัง
คราวหน้าคราวหลัง ถ้านอนไม่ได้ก็ไปค้างที่บ้านโทริโกะแล้วกันเนอะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็งอนกันอีก 555

(ว่าแต่ คนตัวแดงที่มาโผล่อยู่ตรงตาแมวนี่เป็นใคร หรือเป็นอะไรกันแน่เนี่ย ขนาดหลังเคลียร์ห้องข้างๆ ไปก็ไม่เห็นพูดถึงเลยแฮะ)

 

ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 125.5 ไฟล์ 13 แพนโดร่าข้างห้อง & ต้องห้าม -แพนโดร่า-"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • BLOG
  • CONTACT US
  • ABOUT US
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Sign in

Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Sign Up

Register For This Site.

Log in | Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Lost your password?

Please enter your username or email address. You will receive a link to create a new password via email.

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF