ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 112 ไฟล์ 12 เรื่องราวของฟาร์มนั้น 7
หลังจากที่พวกเราตรวจดูตึกที่อยู่อาศัยเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกมา จัดแจงกลุ่มกันใหม่ โอเปอร์เรเตอร์บางคน—มีมาร์คัสที่เกือบโดนชายตกตึกเอาตัวไปแล้วด้วย—สลับที่กับสมาชิกของทีมสำรองและกลับไปประจำที่ฐานแทน
ตึกหลังสุดท้ายคือ [คอกวัว] ผู้ติดต่อประเภท 4 ที่ยังเหลือรอดอยู่ของลัทธิน่าจะโดนจัดการหมดแล้วนะตอนนี้ แต่ทุกคนก็ยังเครียดกันอยู่ แทบจะไม่พูดอะไรกันเลยซักคำ
ที่ชั้นแรกของ [คอกวัว] มีการตีล้อมของคอนกรีต กั้นด้วยรั้วไม้อยู่หลายช่อง แต่ไม่มีตรงไหนที่ดูเหมือนจะผ่านการใช้งานมาเลยนะ และตรงซองกั้นอันนึง มีบันไดขึ้นไปที่ชั้นบนอยู่
ชั้น 2 ของที่นี่ดูเหมือนกับตึกที่อยู่อาศัยเลย ห้องแต่ละห้องตลอดทางถูกตกแต่งเอาไว้เพื่อให้เชื่อมต่อกับโลกเบื้องหลังได้ ห้องน้ำที่มีโถฉี่เยอะจนแปลก ห้องครัวที่มีหุ่นลองเสื้อครึ่งตัวบนตั้งทิ้งเอาไว้ ห้องเด็กเล่นที่มีหมึกสีแดงเขียนคำว่า [ช่วยด้วย] เอาไว้ที่กำแพง
แต่จากการมองด้วยตาขวาของฉัน มันก็ทำให้ฉันแปลกใจมากเลย ไม่มีห้องไหนซักห้องที่มีเกทเปิดอยู่เลย เพราะพวกที่สร้างไว้ก่อนพวกนี้ยังไม่เสร็จดีเหรอ? หรือมีแผนจะสร้างอะไรที่มันลึกล้ำกว่านี้อีก?
พวกเราเดินลงไปตามทางที่ไม่รู้จะซับซ้อนแบบนี้ทำไมจนไปถึงชั้นใต้ดิน ในอุโมงค์ใต้ดินที่ทั้งมืดทั้งเงียบ เสียงหึ่งๆ นิดๆ จากหลอดฟลูออเรสเซนซ์ที่ติดเป็นจุดๆ อยู่บนเพดานดังก้องออกมา
ห้องขังที่ฉันถูกโยนเข้าไป กับห้องที่ผู้ติดต่อประเภท 4 ถูกกักขังเอาไว้ว่างเปล่าหมดแล้วตอนนี้ ถ้าไม่เป็นงั้นล่ะก็ คงมีปัญหาแล้วล่ะ เพราะคุณมิงิวะมาที่นี่ก่อนแล้ว การตรวจสอบของพวกเราก็เลยราบรื่นกว่าที่คิด พวกเราไม่เจอเกทเพิ่มเลยด้วย… ไม่แน่ ตึกที่อยู่อาศัยอาจจะจงใจสร้างเอาไว้เพื่อให้มันเชื่อมต่อกับโลกเบื้องหลังก็ได้นะ
แต่ฉันรู้ดี ว่าที่ [คอกวัว] น่ะมีเกทที่ใหญ่ที่สุดอยู่: [โพรงกลมใต้ดิน] ไงล่ะ
ในทางเดินชั้นใต้ดิน ตรงแยกตัว T ในห้องส้วมห้องสุดท้าย มีบันไดที่จะลงไปให้ลึกกว่านี้ซ่อนไว้อยู่ ไม่ว่าเราจะลงมาจากห้องน้ำชายหรือห้องน้ำหญิง เราก็จะมาเจอกันตรงที่พักระหว่างบันไดตรงกลางก่อนจะลงไปต่ออยู่ดี
แล้วเราก็จะมาเจอกับวงแหวนเหล็กอันใหญ่ในห้องคอนกรีตกว้างอึมครึม ชั้นฟิลม์สีเงินเรืองๆ ที่มีแต่ตาขวาของฉันที่มองเห็นอยู่ในวงแหวนอันนั้นเต็มไปหมด เหมือนเป็นฟองสบู่เลย
โพรงกลมใต้ดิน—เกทอันใหญ่ที่อุรุมิ รูนะใช้บุกเข้าศูนย์วิจัย DS
คอกวัวจะมาถึงทางตันแล้วที่ตรงนี้ ในที่สุด ฉันก็รู้สึกโล่งใจได้ซักที เพราะตลอดทางมานี่ เราก็ไม่เจอศัตรูเลยซักคน
“คุณคามิโคชิครับ ที่นี่ยังเชื่อมอยู่กับศูนย์วิจัย DS หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิคะ… อยากให้ลองเปิดมั้ยล่ะคะ?”
“ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ รบกวนด้วยนะครับ”
ได้ยินแบบนั้น ฉันก็หันไปหาโทริโกะ
“ฝากด้วยนะ”
“โอเค”
โทริโกะถอดถุงมือข้างซ้ายของเธอออก และเดินตรงไปหาโพรงกลมนั่น หลังจากทำแบบนี้มาหลายครั้ง เธอก็ชินกับมันไปแล้ว มือโปร่งแสงของเธอถูกแสงเรืองสีเงินโอบล้อมเอาไว้ พอเธอกระชากมันออก ในอากาศก็มีเสียงลั่นดัง แล้วก็มีสถานที่อื่นปรากฏขึ้นในวงแหวนนั้น เป็นลานจอดรถใต้ดินของศูนย์วิจัย DS นั่นเอง
โอเปอร์เรเตอร์ที่มองดูอยู่อ้าปากค้างกันเลย
“เปิดแล้วนะ”
พอฉันหันไปรอบๆ คุณซาซาสึกะก็จ้องเขม็งไปที่เกทนั่น
“มันเชื่อมต่อตรงๆ เลยเหรอ? ไปที่อาคารศูนย์วิจัย DS ที่สถานีทาเมอิกะ-ซันโนะน่ะนะ?”
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะคะ เกทที่เชื่อมต่อระหว่างโลกเบื้องหน้ากับโลกเบื้องหลังทั้งหมดจะทะลุผ่านพื้นที่คั่นกลางอยู่ประมาณนีง แต่ที่นี่ พื้นที่คั่นกลางที่ว่ามันสั้นมาก จนแทบจะหาไม่เจอเลย”
“เรื่องแบบนั้น เป็นไปได้ด้วยเหรอ?”
“ในลัทธิของรูนะ มีผู้ติดต่อประเภท 4 คนนึงที่มีหน้าที่เปิดเกทค่ะ เพราะเขา เรื่องแบบนี้ก็อาจจะทำได้ก็ได้”
ผู้ติดต่อประเภท 4 ที่มีห้องใหญ่ๆ ที่โดนอุรุมะ ซัทสึกิจัดการไปแล้วที่โลกเบื้องหลังคนนั้นน่ะ เขาใช้หัวทั้งหัวของตัวเองในการเปิดเกทออกได้ แต่พอมาลองนึกย้อนดูนี่ ความสามารถของเขาอาจจะเป็นการรวมกันระหว่างตาของฉันกับมือของโทริโกะก็ได้นะ
พอได้ยินแบบนั้น คุณซาซาสึกะก็พึมพำขึ้นมา
“น่ากลัวจริงๆ… นี่เธอจะบอกว่าลัทธิทำลายล้างนั่นมีช่องทางการเดินทางอย่างอิสระแบบนี้เลยน่ะนะ? แค่คิดว่าถ้าหยุดพวกนั้นเอาไว้ไม่ได้แล้วพวกนั้นจะไปทำอะไรต่ออีกก็ทำฉันขนลุกแล้ว”
“มั่นใจเลยครับว่าต้องมีคนต้องการเกทอันนี้เยอะมากแน่นอน มูลค่าของมันสูงจนประเมินค่าได้ยากเลย พวกคุณคงเข้าใจดีว่าทำไม แต่ขอให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ”
“เรื่องที่เธอลากเราเข้ามาเอี่ยวครั้งนี้มันบ้ามากเลยนะ ทำเอากลัวเกินกว่าจะเอาไปพูดต่อด้วยซ้ำ”
คุณซาซาสึกะบอกคุณมิงิวะพร้อมกับยิ้มแหยๆ
“ต้องเปิดเอาไว้อีกนานมั้ยเนี่ย?”
คำถามของโทริโกะช่วยดึงสติของคุณมิงิวะกลับมาได้พอดี
“ตอนนี้ปิดได้เลยครับ ขอบคุณมากเลย”
พอโทริโกะปล่อยมือ เกทก็ปิดลงทันที พร้อมกับลมที่พัดผ่านมาวูบนึง
คุณมิงิวะกับคุณซาซาสึกะคุยกันต่อว่าจะเอายังไงกับที่นี่ดี ฉันกับโทริโกะก็มายืนอยู่ข้างๆ กัน ฟังพวกเขาคุยกันอยู่แบบนั้น เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรที่ดีนี้จะทำอีก
“ถ้าเดินทางไปศูนย์วิจัย DS จากตรงนี้ได้ก็สะดวกดีนะครับ ถึงการเดินทางไปข้างนอกจากตรงนี้มันจะยากไปหน่อยก็เถอะ”
“ก็จริง เพราะที่นี่มันเชื่อมกับลานจอดรถใต้ดินด้วย ถ้าเอารถขับลอดผ่านเกทไปได้ล่ะก็…”
“ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าพวกลัทธิจะไม่คิดแบบนั้นด้วย ตอนที่พวกเรามาตรวจสอบกันเมื่อวันก่อน เราได้เจอว่าข้างหลังอาคารนี้เริ่มมีการใช้เครื่องจักรหนักทำการขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วด้วย อาจเป็นแค่การสมมติของผมเฉยๆ แต่ผมคิดว่าพวกเขาอาจจะตั้งใจจะตัดถนนเข้ามาที่ห้องนี้ก็ได้ เพื่อจะขับรถเข้ามาในโพรงกลมนี้”
“อ้อ แบบนั้นก็ฟังดูสมเหตุสมผลนะ แล้วเธอจะก่อสร้างต่อเลยมั้ยล่ะ?”
“ผมคิดว่านั่นก็เป็นหนึ่งในทางเลือกนะครับ แต่ว่า เราจำเป็นต้องพิจารณาถึงเรื่องงบประมาณที่เราจะลงทุนกับที่นี่ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจำเป็นต้องทำการตรงสอบรายวันอย่างแน่นอน การทุบทำลายที่นี่ให้หมดอาจจะเป็นทางที่ปลอดภัยกว่านะครับ”
โอ๊ะโอ ถ้าพวกเขาจะทุบที่นี่ทิ้งล่ะก็ เป็นปัญหากับเราแน่
ตอนที่ฉันเริ่มจะกังวลกับเรื่องที่ฟังจากพวกเขาอยู่แล้ว โทริโกะก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน กลิ่นเดิมนั่น อันเดียวกับตอนที่เธอกอดฉันเอาไว้ก่อนหน้านี้ลอยเข้ามาในจมูกของฉันอีกแล้ว ทำเอาว้าวุ่นไปหมดเลย
“กำลังคิดอะไรอยู่สินะ?”
“ก็… ประมาณนั้นแหละ”
พอฉันประคับประคองตัวเองกลับมาอีกทีนึงเรียบร้อย ฉันก็พูดออกไป
“คุณมิงิวะคะ ฉันอยากจะปรึกษาอะไรด้วยหน่อย…”
“ครับ?”
“ยก [ฟาร์ม] นี้ให้ฉันได้มั้ยคะ?”
ความงุนงงลอยฟุ้งไปทั่วบรรยากาศเลยแฮะ
“ที่ว่ายกให้นี่… หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
สีหน้าของคุณมิงิวะเองก็งงไปหมดเหมือนกัน ฉันเลยรีบอธิบายออกไปให้เขาเข้าใจ
“ที่นี่น่ะ คนทั่วๆ ไปรับมือไม่ได้หรอกค่ะ มันเหมือนกับว่าทั่วทั้ง [ฟาร์ม] นี้ พรมแดนระหว่างโลกมันบางไปหมด จนถึงตอนนี้ พวกเราจัดการตามจุดทุกจุดที่มันสะดุดตาพวกเราหมดแล้วก็จริง แต่พวกเราอาจจะพลาดอันไหนไปบ้างก็ได้ แล้วเกทอันอื่นก็อาจจู่ๆ ก็เปิดออกมาก็ได้เหมือนกัน ด้วยตาของฉันกับมือของโทริโกะ พวกเราซ่อมตรงจุดนั้นได้ค่ะ แต่กับคนอื่นๆ ที่มองไม่เห็นหรือแตะมันไม่ได้ การอยู่ที่นี่ก็ออกจะอันตรายไปหน่อย”
“อย่างนี้เอง…”
“ฉันไม่ได้ขอให้ยกที่ดินตรงนี้ให้หรอกนะคะ อ้อ แต่ว่าถ้าจะยกให้จริงๆ ก็ยินดีรับนะคะ แต่ประเด็นที่ฉันอยากพูดไม่ได้อยู่ตรงนั้น ที่ฉันหมายถึงคือสิทธิในการจัดการกับที่นี่ค่ะ!”
เสียงสั่นๆ ของฉันดังก้องออกไปจากเพดานเหนือห้องเปล่าๆ ที่วางโพรงกลมเอาไว้
“แบบนั้นน่าจะดีที่สุดแล้วนะคะ ที่นี่มันมีปัญหาเยอะกว่าจะให้ใครที่ไหนเข้ามาจัดการด้วย จ้างงานฉันเป็นผู้จัดการด้วยนะคะ อ้อ แล้วก็ ขอค่าจ้างงานนี้ด้วยนะคะ”
โทริโกะหันมามองฉันดว้ยสายตาสงสัย ในขณะที่ฉันพูดข้อเสนอของตัวเองออกไปอย่างไฟแรง
คุณมิงิวะนิ่งคิดอยู่ซักพักก่อนจะตอบกลับมา
“ที่นี่ยังไม่แน่ชัดเลยครับว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกจัดการแบบไหน ฉะนั้น คำตอบที่ผมจะให้ได้จึงเป็นแค่ชั่วคราว ณ ตอนนี้เท่านั้น แต่ว่า… ผมเชื่อว่าการจะจ้างพวกคุณ 2 คนเป็นบุคลากรภายนอกมาทำการบริหารจัดการ [ฟาร์ม]นั้น เป็นไปได้นะครับ”
“จริงเหรอคะ!?”
คุณมิงิวะมองเข้ามาที่ฉันที่กำลังร่าเริงขึ้นมา ก่อนจะถาม
“ผมขอถามเพิ่มเติมหน่อยนะครับ พวกคุณตั้งใจจะทำอะไรในฐานะผู้จัดการสถานที่นี้เหรอครับ?”
“เอ๊ะ? เออ อึม คือ ฉันอยากได้เงินน่ะค่ะ”
“เพราะแบบนั้น เลยต้องการจะเฝ้าสังเกตการณ์ที่ [ฟาร์ม] นี้เป็นงานน่ะเหรอครับ?”
“เออ ค่ะ แบบนั้นแหละ แล้วก็ ที่ตึกนี้ยังเขื่อมต่อกับพื้นที่คั่นกลางด้วย ฉันก็คิดว่าพวกเราอาจจะหาอาร์ติแฟกต์จากโลกเบื้องหลังด้วย เข้าใจมั้ยคะ? ฉันอยากจะตามหาและเก็บพวกมันกลับมา แล้วก็ เพราะแบบนั้น คนที่มองไม่เห็นว่าพวกมันอยู่ที่นี่เองก็จะเป็นอันตรายด้วย ฉันเลยอยากให้คุณให้พวกเรารับหน้าที่รับมือกับของพวกนั้นด้วยค่ะ”
ฉันอธิบายเหตุผลที่นึกออกออกไปแบบน้ำไหลไฟดับ แล้วคุณมิงิวะก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“อย่างที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้ เกทอันนี้มีมูลค่าที่ซ่อนเร้นอยู่สูงจนประเมินไม่ได้ มีความเป็นไปได้ว่าบุคคลอื่นนอกเหนือจากกลุ่มลัทธิอาจเข้ามาที่นี่เพื่อพยายามครอบครองมันก็ได้ ในแง่นั่นแล้ว ที่นี่ก็อันตรายเหมือนกันนะครับ”
“แบบนั้นก็ยิ่งทำให้เหตุผลของฉันแข็งขึ้นนี่คะ ไม่มีใครใช้เกทได้ดีเท่าฉันกับโทริโกะแล้ว คุณต้องการฉันที่นี่นะคะ”
ได้ยินแบบนั้น คุณมิงิวะก็นิ่งคิดไปซักพัก
“แบบนี้เอง… ที่คุณว่ามาก็จริงนะครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะนำเรื่องนี้เข้าที่พิจารณานะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ!”
ฉันขอบคุณคุณมิงิวะอย่างกระตือรือร้น โดยทำเป็นไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าสงสัยของโทริโกะที่หันมามองฉันอยู่ในตอนนี้
TN: อืม… ได้กลิ่นแปลกๆ สัมผัสได้ถึงเจตนาแอบแฝงบางอย่าง…
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r