ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 869 ความลับของมหาเคราะห์ (3)
บทที่ 869 ความลับของมหาเคราะห์ (3)
……….
‘จอมยุทธ์ผู้ต่ำทราม’…จิ้งจอกเก้าหางทำท่ากรุ่นโกรธเล็กน้อย นางตวัดสายตามองค้อนด้วยความรู้สึกอยากลองดี
สวี่ชีอันยังทุกข์ทนจาก ‘ความไม่รู้หนังสือ’ เขาไม่เข้าใจทฤษฎีหรือปรัชญาลึกลับใดๆ จำพวกนี้ หลักสูตรประเภทนี้ไม่มีสอนในการศึกษาภาคบังคับเก้าปีในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
ดังนั้นในแง่นี้ เขาจึงเป็นจอมยุทธ์ผู้ต่ำทรามอย่างแท้จริง
“ฟ้าคือผู้ตัดอารมณ์ความรู้สึก ทว่าดินกลับเป็นผู้มีคุณธรรมเอื้อเฟื้อนำพาทุกสิ่งทุกอย่างมาให้”
จิ้งจอกฟ้าเก้าหางให้คำตอบที่กระชับและรัดกุม
นางฉลาดมาก นางใช้พลังภายในของนิกายสวรรค์อย่างชาญฉลาดเพื่อสรุป ‘ฟ้า’ สวี่ชีอันแอบก้มหัวให้
“นั่นคือฟ้าดินที่เจ้าเห็นตอนนี้ แท้จริงแล้ว กฎฟ้าดินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่โลกเปลี่ยนแปลง ทุกๆ พันปีปราณย่อมมีการเปลี่ยนแปลง”
ท่านโหราจารย์พูดจาลึกซึ้งถึงอารมณ์
“ในเวลานี้ เจ้าต้องมีสุราสักขวด”
“ท่านดื่มไม่ได้” สวี่ชีอันสวนกลับทันควันด้วยความไม่พอใจ
เมื่อท่านโหราจารย์ได้ยินดังนั้นเขาก็มีสีหน้าผิดหวัง
สวี่ชีอันหันไปหาสาวหูจิ้งจอกผมเงินน่าหลงใหลที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า
“แต่เราดื่มได้”
ทันใดนั้น เขาก็หยิบขวดสุราออกมาจากเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี และแบ่งปันให้กับจิ้งจอกฟ้าเก้าหางทีละตัว
ความผิดหวังบนหน้าท่านโหราจารย์กลายเป็นความโกรธทันที
เขาถอนหายใจ มองเลยออกไปจากสุนัขทั้งตัวผู้และตัวเมีย ทอดสายตามองไปในระยะไกลแล้วพูดช้าๆ
“คราแรกเมื่อฟ้าดินเปิดออก มีแต่ความไม่รู้และความรกร้าง นอกจากฟ้าสูงส่งเวิ้งว้างแล้ว ไม่มีสิ่งใดในจิ่วโจว ฟ้าดินรกร้างสงัดเงียบไร้ชีวิต บางทีอาจรกร้างเกินไป หลังจากผ่านไปนับปีไม่ถ้วน เทพมารองค์แรกจึงได้ถือกำเนิดขึ้น”
“จากนั้น ก็มีเทพมารเกิดใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตกำเนิดขึ้นมา เทพมารแต่ละองค์ล้วนมีพลังน่าสะพรึงกลัวและควบคุมพลังฟ้าดินบางส่วนไว้”
“เจ้าอาจเรียกต้นกำเนิดของพลังเหล่านี้ว่าการสั่งสมจิตวิญญาณ”
“ดูเหมือนฟ้าดินจะค้นพบอนาคต ‘ของตัวเอง’ แล้ว จากนั้นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็เริ่มถือกำเนิดขึ้น ผลก็คือ ปรากฏมีเผ่าพันธุ์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ”
“แต่ถ้าเจ้าคุ้นเคยประวัติศาสตร์โบราณ เจ้าจะรู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจในสมัยโบราณไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ใดๆ พวกเขาจึงไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ทำได้เพียงสอดส่องจิตวิญญาณของเทพมารแล้วขโมยจิตวิญญาณที่สั่งสมมาบางส่วนจากเทพมารเท่านั้น”
“หรืออาจสังเวยสตรี สืบทอดเผ่าพันธุ์เทพมาร แบ่งปันจิตวิญญาณส่วนหนึ่งมาให้กำเนิดลูกหลาน”
“บำเพ็ญเพียรไม่ได้รึ?” สวี่ชีอันสะดุดใจคำพูดท่านโหราจารย์
ในสมัยโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจควบคุมพลังเหนือธรรมชาติผ่านการเรียนรู้และเลียนแบบรูปร่างจิตวิญญาณเทพมาร เขารู้เรื่องนี้มาเนิ่นนาน
แต่นั่นเป็นเพราะมนุษย์และปีศาจต่างเป็นเด็กรุ่นใหม่ ยังคิดหาวิธีบำเพ็ญเพียรของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่เรียนรู้และเลียนแบบเทพมารเท่านั้น
จนกระทั่งในเวลาต่อมาจึงเริ่มมีการสำรวจระบบบำเพ็ญเพียรว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นต้นว่า ‘ยุทธ์’ แบบดั้งเดิมและ ‘เต๋า’ ต่อมาก็คือ ‘พุทธศาสนา’ ‘คาถา’ ‘ลัทธิขงจื๊อ’ และ ‘โหร’
แต่ที่ท่านโหราจารย์พูดคือ…ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้!
ไม่ใช่ ‘ไม่รู้จักบำเพ็ญเพียร’
จิ้งจอกฟ้าเก้าหางขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางได้ยินปุจฉาข้อนี้
ท่านโหราจารย์เหลือบมองทั้งสองคนแล้วถามว่า
“พวกเจ้าได้จัดการฮวงไปแล้ว เทพมารโบราณผู้นั้นแข็งแกร่งขนาดไหนรึ?”
ไร้สาระทั้งนั้น…สวี่ชีอันพูดว่า
“แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนน่ากลัว”
ท่านโหราจารย์ถามต่อ
“จิตวิญญาณของเขาได้รับความเสียหายจากมหาสงครามโบราณ เขาไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป เขาทำงานหนักเพื่อซ่อมแซมจิตวิญญาณของตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน จนถึงตอนนี้เขาคงสิ้นหวังไปแล้ว”
“เขาไม่คิดจะบำเพ็ญเพียรตามระบบของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อเสริมสร้างรากฐานให้ตัวเองเลยรึ?”
ก่อนที่ทั้งสองคนจะตอบอะไร ท่านโหราจารย์ก็ได้ให้คำตอบเสียเอง
“แต่เพราะเทพมารไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ พวกเขาจึงอยู่ในระดับเดิมระดับเดียวกับที่พวกเขาถือกำเนิดมา”
สวี่ชีอันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อหันไปมองจิ้งจอกเก้าหาง ก็พบว่านางมีสีหน้าประหลาดใจ
เขาอดนึกถึงที่จิ้งจอกเคยบอกเขาไม่ได้ว่าวิธีการบำเพ็ญเพียรของลูกหลานเทพมารนั้นแตกต่างจากวิธีบำเพ็ญเพียรของมนุษย์และปีศาจ
หลังจากนึกถึงเรื่องนี้แล้ว สวี่ชีอันก็ผนวกรวมเอาสิ่งที่ท่านโหราจารย์พูดเมื่อครู่เข้าไปและคาดเดาว่า
“ในยุคนั้น มีเพียงเทพมารที่ถือกำเนิดขึ้นมาในฟ้าดินเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังเหนือธรรมชาติได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการใด เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้เว้นแต่พวกเขาจะเลียนแบบเทพมารกระมัง?”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า
“ในขณะนั้น หยิน หยาง ธาตุทั้งห้าและพลังอื่นๆ ในฟ้าดินล้วนตกอยู่ในภาวะโกลาหลทั้งสิ้น บางครั้งดวงตะวันจะปรากฏบนฟากฟ้าเป็นเวลาหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี บางครั้งก็อาจมีดวงจันทราเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงแหล่งเดียวในท้องฟ้า”
“สถานที่ที่ไม่มีพลังแห่งจิตอัคนีย่อมไม่มีวันเกิดไฟลุกไหม้ แต่บางแห่งก็มีเปลวไฟเผาไหม้ไปทั่วทุกพื้นที่และไม่มีวันดับสูญ นี่คือยุคโบราณ”
ไม่แปลกใจเลยที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้และพลังจิตวิญญาณที่วุ่นวายไร้ระเบียบนั้นย่อมไม่สามารถใช้การได้ มีเพียงเทพมารที่เกิดมาเพื่อควบคุมกฎเท่านั้นจึงจะมีพลังเหนือธรรมชาติ เพราะพลังของพวกมันมีมาแต่กำเนิดและคงที่มาตั้งแต่แรกเกิด…สวี่ชีอันตระหนักได้ทันที
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกเก้าหางกระซิบบอกตัวเองว่า
“ความสงัดเงียบไร้ชีวิตหลังฟ้าดินถือกำเนิด จนถึงสมัยโบราณที่พลังจิตวิญญาณวุ่นวายโกลาหลไร้ระเบียบ จนถึงหยินและหยางที่เป็นระเบียบในปัจจุบัน ธาตุทั้งห้าที่แตกต่างกัน…”
ท่านโหราจารย์ยิ้มและพูดว่า
“ฟ้าดินที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่ได้สร้างขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ต้องวิวัฒนาการขึ้นทีละขั้น”
“เมื่อถือกำเนิดมาสัตว์ทั้งหลายย่อมเสื่อมถอยไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสถาปนาราชวงศ์ขึ้น ก็ย่อมเดินทางไปสู่ความเสื่อมสลายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“ฟ้าดินก็เช่นเดียวกัน ความรกร้าง ณ ปฐมกาล ความโกลาหลในยุคเทพมาร ดวงตะวันจันทราผันเวียนเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของทั้งสี่ฤดูกาลล้วนเป็นผลมาจากวิวัฒนาการทั้งสิ้น”
“‘วิวัฒนาการ’ คือกฎของทางสายหลัก ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามกฎนี้”
“เมื่อฟ้าดินกำเนิดจนถึงยุคเทพมารนับเป็นวิวัฒนาการครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่เมื่อวิวัฒนาการไปสู่ขั้นที่สอง…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางก็มองหน้ากันและตระหนักว่าประเด็นสำคัญที่แท้จริงกำลังมา
ท่านโหราจารย์พูดเสียงแผ่วเบา
“มันก็ล้มเหลว”
ความสงสัยมากมายแวบขึ้นในใจพวกเขา แน่นอนพวกเขาย่อมไม่เข้าใจ
“ล้มเหลวรึ?”
ท่านโหราจารย์พยักหน้าเล็กน้อย
“เนื่องจากฟ้าดินล้วนขาดแคลนไม่สมบูรณ์พร้อม จึงไม่สามารถเปลี่ยนความสับสนวุ่นวายไปสู่ความเป็นระเบียบได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง โลกนี้ควรจะล่มสลายถล่มทลายไปนานแล้วตั้งแต่ยุคโบราณ ทว่าความโกลาหลวุ่นวายก็ยังคงอยู่จนถึงขณะนี้”
จิ้งจอกเก้าหางขมวดคิ้วและนึกฉงน
“เหตุใดเหตุการณ์จึงเป็นเช่นนี้?”
ท่านโหราจารย์จ้องมองทั้งสองคนแล้วถามว่า
“ฟ้าดินขาดแคลนอะไร ขาดแคลนตรงไหน?”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง รูม่านตาของสวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางก็หดตัวลง พวกเขาเริ่มหายใจเร็วขึ้นและโพล่งออกมาพร้อมกัน
“เทพมารรึ?!”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า
“ถูกต้อง เทพมารเกิดจากฟ้าดินและควบคุมกฎฟ้าดินส่วนหนึ่งไว้ ดังนั้นวิถีแห่งฟ้าในโลกนี้จึงไม่สมบูรณ์และพลังส่วนหนึ่งยังอยู่ในมือเทพมาร หากต้องการวิวัฒนาการต่อไปต้องสะสมจิตวิญญาณไว้เพื่อฟื้นฟูส่วนที่บกพร่องให้สมบูรณ์ดังเดิม”
“นี่เป็นความจริงส่วนหนึ่งในมหาเคราะห์ครั้งแรก”
ปรากฏว่านี่คือเหตุผลที่เทพมารล่มสลาย ไม่แปลกใจเลยที่วันนั้นไหมอเวจีบอกว่า จู่ๆ เทพมารก็บ้าคลั่งและเริ่มฆ่ากันเอง ไม่แปลกใจเลยที่ฮวงซ่อมแซมจิตวิญญาณของตัวเองได้ยากยิ่ง เพราะจิตวิญญาณส่วนหนึ่งที่หายไปของเขาได้กลับมายังโลกใบนี้แล้ว…สวี่ชีอันครุ่นคิดหนักหน่วง
‘กลายเป็นว่าจุดจบของเทพมารเกิดจากจิตวิญญาณของตัวเองเวียนว่ายตายเกิดสู่ฟ้าดินเพื่อซ่อมแซมตัวเอง’…จิ้งจอกฟ้าเก้าหางรู้สึกว่าความคิดของนางกระจ่างแจ้งขึ้นทันใด ความสงสัยที่คอยกวนใจนางอยู่เสมอได้รับคำตอบแล้ว
แต่แล้วก็เกิดความสงสัยมากมายทวีคูณ
นางกำลังจะเอ่ยปากถามก็ได้ยินสวี่ชีอันพูดว่า
“ความจริงส่วนหนึ่งรึ?”
“นอกจากนี้ ท่านหมายความว่าเทพมารได้รับผลกระทบจากกฎฟ้าดิน จนกลายเป็นบ้าและฆ่ากันเอง จิตวิญญาณจึงเวียนว่ายตายเกิดคืนสู่ฟ้าดินหลังความตาย?”
พอสวี่ชีอันถามจบ จิ้งจอกเก้าหางก็ถามต่อด้วยเสียงแผ่วเบา
“แล้วเกี่ยวอะไรกับประตูแสงวิถีเต๋าล่ะ?”
ท่านโหราจารย์เรียบเรียงคำพูดของเขาครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า
“คำพูดของเจ้าไม่ถูกต้อง กฎฟ้าดินจะไม่เป็นไปในเชิงรุกและจะไม่ส่งอิทธิพลให้เทพมารฟื้นคืนสติเพื่อสั่งสมฟื้นฟูจิตวิญญาณตัวเอง จึงมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เทพมารเข่นฆ่ากัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงบอกว่าการฟื้นคืนเพื่อสั่งสมจิตวิญญาณเป็นเพียงความจริงส่วนหนึ่งเท่านั้น”
สวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางกลั้นหายใจพร้อมกันและตั้งใจฟัง
ท่านโหราจารย์พูดต่อไปว่า
“ข้าบอกไปแล้วว่า วิวัฒนาการเป็นกฎของทางสายหลักและทุกสิ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ฟ้าดินขาดแคลนจึงยากที่จะวิวัฒนาการ ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดยุคโบราณ ‘ประตู’ จึงปรากฏขึ้น”
“ประตูนี่เองที่ทำให้เทพมารทั้งปวงบ้าคลั่ง”
จิ้งจอกเก้าหางพูดโดยไม่รู้ตัวว่า
“ประตูอยู่ในเกาะเทพมาร”
สวี่ชีอันใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้มองตรงไปที่ดาบไท่ผิงซึ่งแปลว่าสันติภาพที่วางพาดเข่าท่านโหราจารย์อยู่
ประตูนี้เป็นสัญลักษณ์ของอะไร? เหตุใดต้องทำให้เทพมารบ้าคลั่ง? เขามีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ท่านโหราจารย์พูดต่อไปอาจเป็นเนื้อหาที่สำคัญที่สุด
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“ประตูนี้เกิดจากการควบแน่นของกฎฟ้าดิน เป็นแนวคิดว่าจิตวิญญาณมีการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าผ่านประตูนี้ไปจิตวิญญาณจะสามารถกลับคืนสู่ฟ้าดินเพื่อเติมส่วนที่ขาดแคลนให้สมบูรณ์ นี่ย่อมหมายความว่า ถ้าผ่านประตูนี้ไป เจ้าก็สามารถสัมผัสระดับแกนกลางที่สุดของโลกใบนี้ได้”
“ระดับแกนกลางที่สุด?!” สวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางใจเต้นระทึกพร้อมกัน ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ทำให้เลือดของพวกเขาสูบฉีดเร็วขึ้นและหัวใจของพวกเขาก็เต้นเร็วขึ้น
ทันใดนั้นเสียงของท่านโหราจารย์ก็เบาลงแล้วเขาก็พูดออกมาช้าๆ
“เจ้าสามารถเข้าใจได้ว่า จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองโลกใบนี้ จะกลายเป็น…วิถีแห่งฟ้า!”
เปรี้ยง! ดูเหมือนจะมีฟ้าผ่าลงในใจพวกเขา กระทั่งโฉมงามจิ้งจอกฟ้าเก้าหางยังหน้าซีด ดูเหมือนพวกเขาจะยอมรับแล้วว่าไม่สามารถหันหลังกลับไปได้จึงพูดเสียงสั่นเทาว่า
“เป็นไปได้อย่างไร….”
ท่านโหราจารย์พูดเสียงแผ่วเบา
“เทพมารมีคุณสมบัตินี้เพราะพวกเขาถูกกฎแห่งฟ้าดินเปลี่ยนแปลง พูดให้ชัดยิ่งขึ้นคือกฎแห่งฟ้าดินให้กำเนิดจิตสำนึกและกลายเป็นสิ่งมีชีวิต”
“เมื่อ ‘ประตู’ มายังโลก ฟ้าดินก็ให้จิตวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดและคุกที่ขังเทพมารไว้ก็เปิดออก พวกเขารู้ว่า ถ้าพวกเขาเสริมกำลังตัวเองด้วยการปล้นชิงจิตวิญญาณที่สั่งสมไว้ของกันและกัน ก็สามารถผ่านประตูไปได้ ประตูที่มาแทนที่กฎแห่งจิตใต้สำนึกของฟ้าดินจึงกลายเป็นวิถีแห่งฟ้า”
“ดังนั้นพวกเขาจึงบ้าคลั่งและการต่อสู้ที่โหดร้ายที่สุดนับตั้งแต่กำเนิดโลกก็ได้เริ่มต้นขึ้น”
ในขณะนี้ แรงบันดาลใจนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจสวี่ชีอัน ความคิดนับไม่ถ้วนพลันปรากฏ รายละเอียดและเบาะแสมากมายล้วนเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในตอนนี้นี่เอง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เทพมารสามารถแปลงร่างเป็นเกาะหลังความตายได้ พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน โอกาสที่จะทำให้กฎแห่งฟ้าดินสมบูรณ์นั้นยังเป็นโอกาสของพวกมันที่จะทำให้ตัวเอง ‘สมบูรณ์’ และเข้าแทนที่กฎแห่งฟ้าดิน
ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำทำนายที่ศาสดาพยากรณ์เผ่ากู่ทิ้งไว้…เมื่อเทพกู่ตื่นขึ้น โลกจะกลายเป็นโลกของกู่!
การตีความที่แท้จริงของประโยคนี้คือเทพกู่จะกลืนกฎแห่งฟ้าดินและกลายเป็นวิถีแห่งฟ้าเสียเอง!
โลกนี้จะกลายเป็นโลกของกู่
……………………………………….
……….