ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 867 ความลับของมหาเคราะห์ (1)
บทที่ 867 ความลับของมหาเคราะห์ (1)
……….
หากถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของสวี่ชีอันแล้ว ถึงแม้จะไม่ถูกดูดกลืนง่ายดายเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีหนทางที่จะหลุดพ้น เมื่อเวลาผ่านไป ก็ยังคงเหลือเพียงหนทางสู่ความตายเท่านั้น
ฮวงเป็นเทพมารที่รุนแรงเช่นนั้น มันมีพลังวิเศษฟ้าประทานเพียงอย่างเดียวคือ ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง
แม้แต่ในสมัยโบราณ มันก็ยังเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาเทพมาร
เมื่อมันใช้พลังวิเศษฟ้าประทานอย่างสุดกำลังโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้ว มันแทบจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับสุดยอดทั้งปวง
ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันไม่ได้เลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ เขาย่อมไม่มีทางต่อกรกับฮวงในสถานะเช่นนี้ได้
ในเวลานี้เอง ดาบไท่ผิงก็ชูม่านแสงรูปวงกลมขึ้นมาปกคลุมสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางไว้ เพื่อปิดกั้นแรงดูดกลืนอันน่าสะพรึงกลัว
แต่ไม่นาน ม่านแสงรูปวงกลมนี้ก็กลายเป็นเหมือนฟองอากาศในสายลม มันสั่นอย่างรุนแรงและพร้อมจะแตกออกทุกเมื่อ
“ข้าต้องนอนแล้ว…”
ความคิดอันเลือนรางของดาบไท่ผิงไหลเข้ามาในทะเลสมองของสวี่ชีอัน
มันยังไม่กำจัดดาบเล่มนั้นรึ? เวลาเดียวกับที่ความคิดแล่นเข้ามาในสมองของสวี่ชีอัน เขาก็ยกมือคว้าความว่างเปล่าในอากาศที่อยู่ไกลออกไป
พวกเขาทั้งสองและหนึ่งดาบหายตัวไปในฉับพลันแล้วปรากฏตัวขึ้นในระยะไกล และในเวลานี้ พลังดูดกลืนที่เหนือธรรมชาติของฮวงก็ทำให้จิตวิญญาณของมิติว่างนี้เกือบจะหายไปทั้งหมด สวี่ชีอันที่ไม่ถูกความเชื่องช้าควบคุมกะพริบตาติดต่อกันหลายครั้ง เขาหลุดพ้นจากฮวงโดยสมบูรณ์แล้ว
หลังจากที่หลุมดำไล่ไปตามทิศทางที่สวี่ชีอันหายตัวไประยะหนึ่งแล้ว มันก็ค่อยๆ หยุดลงจนกระทั่งไม่เคลื่อนไหวอีก
ฮวงจมสู่สภาวะหลับลึก
ส่วนหลุมดำก็ยังคงดูดกลืนทุกสิ่งอย่างรอบๆ ตัวมันต่อไป
อยู่ดีๆ ร่างของสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางก็ปรากฏขึ้นที่ขอบเกาะเทพมาร หลังจากที่สวี่ชีอันมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว เขาก็เทเสื้อผ้าผู้หญิงออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พร้อมกับตรวจสอบสภาพของดาบไท่ผิง
เหตุผลที่เขานำชุดกระโปรงผู้หญิงออกมาก็เพราะว่าตอนนี้จิ้งจอกเก้าหางอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ไร้ขน และร่างอันบอบบางที่ขาวผ่องก็อาศัยเพียงหางจิ้งจอกในการบดบังทิวทัศน์อันงดงามเท่านั้น
“มันเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้ว สตรีผมสีเงินก็มองไปที่ดาบไท่ผิงก่อน
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์จมสู่ห้วงนิทราแล้ว ข้าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน” สวี่ชีอันส่ายศีรษะ
ทั้งสองมองพิจารณาดาบไท่ผิงด้วยกัน ใบมีดสีทองเข้มถูกปกคลุมไปด้วยลายเส้นที่มีลักษณะคล้ายเถาวัลย์ที่บิดเป็นเกลียว จิ้งจอกเก้าหางเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้สึกลายตาจนคลื่นไส้
นอกจากนั้นแล้ว ภายนอกของดาบไท่ผิงก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก
ดาบก็อยู่ในมือแล้ว สิ่งที่อยู่ในลำแสงคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงนำไปสู่ภัยพิบัติได้ ข้าไม่รู้อะไรเลย รู้สึกไร้ประโยชน์จริงๆ…สวี่ชีอันพึมพำด้วยความไม่พอใจ
“ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
เขาเสนอคำแนะนำอย่างมั่นคง
“อืม!” จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า
…
ที่นอกเกาะเทพมาร คลื่นสีฟ้ากระเพื่อมเป็นระลอกยกเรือให้ลอยไปตามกระแสน้ำ
ราชินีเงือกและเจ้าเกาะคลื่นพิโรธที่รออยู่ด้านนอกมาเกือบสองเดือนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวเรือและกำลังรอต่อไปอย่างอดทน
ทายาทของเทพมารที่เหลืออยู่กระจัดกระจายไปในทุกที่ บ้างก็พูดคุย บ้างก็กำลังรับประทานอาหาร แต่ไม่มีใครจากไปสักคน
เวลาไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักกับทายาทเทพมารที่มีอายุยืนยาว
พวกเขาไม่แม้แต่จะจับเวลาเสียด้วยซ้ำไป
เวลาสองเดือนนั้นไม่สั้น แต่ก็ไม่ยาว เมื่อคำนึงถึงความสำคัญของเกาะแห่งนี้และความปรารถนาหลิงอวิ้นในเกาะของเหล่าทายาทเทพมาร พวกเขาย่อมเฝ้ารอได้ตลอดไป
“เจ้าเกาะคลื่นพิโรธ ราชินีเงือก พวกท่านว่าจิ้งจอกเก้าหางและเผ่ามนุษย์ผู้แข็งแกร่งท่านนั้นตายอยู่บนเกาะไปแล้วหรือไม่”
ชายหนุ่มรูปงามที่ลอยอยู่บนเปลือกหอยถามด้วยรอยยิ้ม
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธส่ายศีรษะ “ไม่”
“นั่นเป็นสัตว์ประหลาดที่กลืนกินผู้แข็งแกร่งในบรรดาทายาทเทพมารจนหมด”
เขาไม่เชื่อว่าจิ้งจอกเก้าหางและเผ่ามนุษย์ผู้แข็งแกร่งนั้นจะสามารถต้านทานเทพมารท่านนี้ได้และยังมีชีวิตอยู่
สองคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธมองเกาะเทพมารที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาและกล่าวว่า “สัตว์ประหลาดนั่นเคยไปแผ่นดินเมืองหลวงมาก่อน แต่ก็ถูกขับไล่กลับมา จึงต้องข้ามโพ้นทะเลมาอีกครั้ง และผู้ที่ไล่เขากลับมาก็คือเผ่ามนุษย์ผู้แข็งแกร่งคนนั้น”
หนุ่มรูปงามตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เสียงอันนุ่มนวลของเจินจูยังคงดำเนินต่อไป “เขาบอก”
หนุ่มรูปงามหัวเราะเยาะ “เจ้าเชื่อที่เขาพูดรึ? ใครๆ ก็พูดปดได้ทั้งนั้น”
ทายาทเทพมารที่อยู่ในระยะไกลก็พากันหัวเราะร่า
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธชายตามองเขาและกล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของสัตว์ประหลาดนั่น ก็เลยเข้าเกาะไปรนหาที่ตายรึ?”
สีหน้าของหนุ่มรูปงามแข็งทื่อทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พึมพำอย่างไม่ค่อยอยากจะยอมรับนัก “มันก็จริงอยู่ แต่สัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ากลัวเพียงใด ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้”
เวลานี้เอง ก็เกิดกระแสลมแรงพัดอยู่ที่ผิวน้ำทะเล เป็นกระแสลมแรงที่แปลกประหลาดมาก
กระแสลมนั้นพัดเข้าไปยังส่วนลึกของเกาะเทพมาร
ทายาทเทพมารที่อยู่นอกเกาะต่างก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า หมอกหนาบนท้องฟ้ากำลังทลายลงและยุบตัวไปรวมกันที่ใดสักแห่งของเกาะ จู่ๆ เกาะทั้งเกาะก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่บนผิวน้ำทะเล
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวลอยออกมาจากในเกาะ ราวกับเทพมารที่ทรงพลังที่สุดในสมัยโบราณได้ตื่นขึ้นแล้ว
ทายาทเทพมารที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้น?”
ทายาทเทพมารท่านหนึ่งตะโกนด้วยความตกใจ
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของเขาได้
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธและราชินีเงือกหันมาสบตากัน ความกลัวแฝงอยู่ในแววตาของฝ่ายแรก ราวกับกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะวิ่งหนีดีหรือไม่ ส่วนฝ่ายหลังกลับเต็มไปด้วยความกังวลมากกว่า
สวี่ชีอันยังมีมิตรภาพต่อเจินจูและราชินีหมื่นปีศาจอยู่บ้าง
‘เริ่มสู้กันจริงๆ แล้วรึ? ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ การถอยออกไปก่อนเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว’…ในขณะที่เจ้าเกาะคลื่นพิโรธกำลังหนีด้วยการ ‘กระโดดลงทะเล’ ก็มีร่างของมนุษย์ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า นั่นก็คือสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางที่เข้าเกาะนับเดือน
ใบหน้าอันงดงามและนุ่มนวลของเจินจูเผยรอยยิ้มขึ้น
“ในที่สุดพวกเจ้าก็ออกมา”
ด้วยความประหลาดใจ นางจึงลืมใช้จิตสัมผัสในการถ่ายทอดข้อความ
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่ตอบสนองนาง
“พวกเจ้าเจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นหรือไม่?”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธถาม
ชายหนุ่มรูปงามที่เหยียบอยู่บนเปลือกหอยและทายาทเทพมารที่อยู่รอบๆ ต่างก็มองไปที่เขา
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราต่อสู้กับมัน มันกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ในเกาะ”
‘กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ในเกาะ’…มีความซับซ้อนปรากฏขึ้นบนสีหน้าของชายหนุ่มในทันที ความหมายของจิ้งจอกเก้าหางคือ พวกเขาทั้งสองบีบบังคับสัตว์ประหลาดนั่นจนเข้าตาจนแล้วรึ?
ต่อให้ไม่ใช่ ก็เกือบจะใกล้เคียงกระมัง
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนสัตว์ประหลาดตนนั้นจะไม่กล้าไล่ตามออกมา จึงทำได้เพียงคลุ้มคลั่งอยู่ในเกาะด้วยความโกรธ?
เขาชายตามองผู้ชายเผ่ามนุษย์คนนี้อย่างระแวดระวัง พร้อมความรู้สึกทึ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจอย่างฉับพลัน
ทายาทเทพมารที่อยู่รอบๆ ยังคงนิ่งเงียบ ในสายตาพวกเขา สวี่ชีอันกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวและทรงพลังไม่น้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นแม้แต่น้อย
ราชินีหมื่นปีศาจกล่าวสั้นๆ ได้ใจความว่า “กลับเรือ ไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยพูด”
“อืม!”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธมีความกระตือรือร้นมากและเต็มใจที่จะทำหน้าที่เป็นกะลาสี ขับเคลื่อนเรือผ่านระลอกคลื่นทีละชั้นแล่นตรงไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเกาะเทพมารอย่างรวดเร็ว
เหล่าทายาทเทพมารต่างก็มองหน้ากันราวกับกำลังลังเล ไม่รู้ว่าควรตามเรือออกไปด้วยหรือไม่
เวลานี้เอง ‘เสียงดังตูม’ ก็ดังขึ้นที่เกาะเทพมารพอดี รอยแตกแยกบนพื้นดินทำให้ ‘เส้นฝั่งทะเล’ แยกออกจากกัน เกาะลูกนี้กำลังยุบตัวลง
คราวนี้ไม่มีทายาทเทพมารตนใดลังเลอีกต่อไป และพากันตามเรือออกไปทันที
สวี่ชีอันยืนอยู่ที่หัวเรือ มองเส้นฝั่งทะเลในระยะไกลที่แยกตัวออกและกำลังจมสู่ทะเลทีละชิ้นๆ
ดูแล้ว หลิงอวิ้นเทพมารในเกาะเวลานี้กำลังพรูเข้าไปในหลุมดำ กลายเป็นอาหารบำรุงเติมเต็มให้กับฮวง
น่าเสียดายที่ในเกาะไม่พบหลิงอวิ้นที่คล้ายกับระบบจอมยุทธ์ อืม ดาบไท่ผิงได้นำสิ่งที่เรียกว่าแหล่งกำเนิดภัยพิบัติไป ซึ่งเป็นความยินดีที่ไม่คาดคิด รอมันตื่นขึ้นมา ข้าจะถามว่าของเล่นชิ้นนั้นเป็นอะไรกันแน่…จากนั้นสวี่ชีอันก็หันไปให้ความสนใจกับทายาทเทพมารที่อยู่รอบๆ
พิจารณาว่าจะเปิดฉากสังหารและช่วงชิงแก่นโลหิตของพวกเขามาดีหรือไม่
ช่างเถอะ ก็แค่พวกไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา…เขาพ่นลมหายใจ การเดินทางโพ้นทะเลครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ แต่กลับมีเรื่องน่ายินดีอย่างไม่คาดคิด
จิ้งจอกเก้าหางทอดกายนอนอยู่บนเตียงนุ่มอย่างอ่อนล้า นางดึงปกเสื้อที่หน้าอกขึ้นมาและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เสื้อผ้านี่พอดีกับข้าเลย”
แสดงว่าจิตใจของเจ้ากว้างขวางพอๆ กับมู่หนานจือ…สวี่ชีอันกล่าวคล้อยตามว่า “เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วใช่หรือไม่?”
จิ้งจอกเก้าหางเอียงศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่งและส่ายศีรษะ
“ไม่รู้สิ อาณาจักรข้าไม่ค่อยสนใจสี่ฤดูกาลที่แปรผันหรือกระแสแห่งเทศกาล นั่นเป็นเรื่องที่เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าให้ความสนใจ”
เพราะเผ่ามนุษย์จำเป็นต้องเพาะปลูก
สวี่ชีอันกำลังจะพูด แต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงก้มลงไปมองที่ข้อมือ
สร้อยข้อมือลูกปัดสว่างขึ้นอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง แต่เขาก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ควบคุมมันแต่อย่างใด
เสื้อผ้าสีขาว ผมขาวและเคราสีขาว ดวงตาทั้งสองข้างราวกับเหวลึกที่ไม่มีก้นบึ้ง
“ท่านโหราจารย์? นี่ท่านเล่นตุกติกตอนกลั่นอาวุธรึ?”
สวี่ชีอันรู้สึกได้ว่า นี่เป็นเพียงกระแสความคิดหนึ่งที่จะสลายไปในอีกไม่ช้า
ท่านโหราจารย์พยักหน้าช้าๆ “กระแสความคิดนี้ถูกใส่เข้าไปตอนที่ข้ากลั่นอาวุธ มันคงอยู่ได้เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น”
“เวลามีจำกัด ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า เจ้านำ ‘ประตู’ มาแล้วก็จะมีคุณสมบัติของผู้พิทักษ์ประตู มีบางเรื่องที่ตอนนี้ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้อย่างชัดเจน”
จิ้งจอกเก้าหางที่นอนอยู่บนเตียงด้านหลังลุกขึ้นนั่งหลังตรงทันทีและให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่
….
แดนประจิม เมืองเป่ยชาง
จู๋ไล่สวมชุดกระโปรงสะอาด สวมหมวกสูงเป็นชั้นๆ จูงอูฐนำคาราวานเดินไปที่หน้าประตูเมืองอย่างช้าๆ
คาราวานที่อยู่ด้านหลังประกอบด้วยคนหนึ่งร้อยยี่สิบคน และเกวียนจำนวนแปดเกวียนที่ถูกลากโดยม้า
สถานะตอนนี้ของจู๋ไล่คือพ่อค้า มีกองคาราวานเป็นของตนเอง ซึ่งตอนนี้กำลังไปทำการค้าที่เมืองป้านเยว่ที่อยู่ติดๆ กัน
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการปลอมตัว คาราวานกองนี้ประกอบด้วยสมาชิกนิกายมหายาน หากต้องการโยกย้ายคนจำนวนมากโดยไม่ให้ถูกจับได้ก็จำเป็นต้องปลอมตัว
การย้ายถิ่นฐานในฐานะของกองคาราวานแก้ปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะออกจากเมืองในฐานะกองคาราวาน เมืองเล็กๆ อย่างเป่ยชางจะมีคาราวานมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?
โชคดีที่การเรียกประชุมนิกายพุทธที่อรัญตากลายเป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับชาวพุทธนิกายมหายานที่จะลากครอบครัว ขนเงิน ทองและของมีค่าอื่นๆ ออกไปนอกเมือง
กลับมาที่หัวข้อเดิม เหตุผลที่จู๋ไล่สามารถอพยพครั้งนี้ได้ในฐานะเจ้าของกองคาราวาน ก็เพราะตอนนี้เขาเป็นผู้นำน้อยแห่งนิกายมหายานฝ่ายเป่ยชาง
และสาเหตุที่เขากลายเป็นผู้นำน้อยก็เพราะเขาพาเพื่อนขอทานทั้งหมดมานับถือนิกายมหายาน
มีผลงานอันโดดเด่น!
ถึงแม้กำลังจะไปจากบ้านเกิด แต่จู๋ไล่ก็ไม่มีความอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ความประทับใจเดียวที่เหลืออยู่เกี่ยวกับบ้านเกิดสำหรับเขาคือความหิวโหย ความหนาวเย็น และความยากจน
เมื่อเทียบกันแล้ว ที่ราบกลางที่มีสภาพอากาศดีและผืนดินอุดมสมบูรณ์ย่อมทำให้เขาโหยหามันมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นิกายมหายานกำลังจะก่อตั้งเร็วๆ นี้ มีอาณาเขตเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ศรัทธาทุกคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเข้าใกล้ประตูเมือง จู๋ไล่ก็รีบกวักมือให้เหล่าสหายสำนักเดียวกันที่อยู่ข้างหลังให้เร่งความเร็วขึ้น
“เดี๋ยวก่อน!”
จู่ๆ ทหารสังเกตการณ์สองนายก็ขัดขวางเขา
………………………………………………..
……….