ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 866 ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
บทที่ 866 ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
……….
“ข้าเป็นสิ่งของประเภทใดกัน?” ท่านโหราจารย์ถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงระคนความเศร้า “ข้าเป็นเพียงคนที่ถูกลืม ถูกลูกศิษย์ชิงบัลลังก์ ถูกดูหมิ่นโดยจอมยุทธ์หยาบคาย ก็แค่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า!”
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้กับข้า!” ฮวงคำรามขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่ดุร้าย
‘บุคลิกของท่านโหราจารย์ดูย่ำแย่มากจริงๆ เขาสั่งสอนศิษย์นิสัยแปลกเหล่านั้นออกมา ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล’…จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่อยู่ข้างๆ คิดในใจ
พูดตามความเป็นจริง หากนางเป็นฮวง เมื่อได้ยินคำตอบของท่านโหราจารย์ก็คงอดที่จะตีเขาสักทีไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันที่มีหูตาแหลมคม ทั้งการสนทนาของท่านโหราจารย์และฮวงก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะลดน้ำเสียงลง เขาจึงได้ยินทั้งหมดอย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก แต่กลับมีความรู้สึกราวกับปล่อยวาง
การคาดเดาบางอย่างในใจของเขาได้รับการยืนยันในวินาทีที่ท่านโหราจารย์พูดออกมาว่า “ช่วยเขาให้กลายเป็นผู้พิทักษ์ประตู”
เขาเปลี่ยนไปมุ่งความสนใจที่ลำแสง “สิ่งที่ทำให้เทพมารสูญสิ้นคือดาบเล่มหนึ่งอย่างนั้นรึ? ดาบที่ถูกสร้างขึ้นจากแสงทั้งหมด…”
สวี่ชีอันทั้งมีความเชื่อเล็กน้อย ทั้งไม่เชื่อเล็กน้อย
เชื่อเพราะดาบเล่มนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามันสามารถตัดทะลุทุกสรรพสิ่งได้ ดังนั้นมันน่าจะเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง
แต่มันก็ไม่คู่ควรกับฐานะและความสำคัญของ ‘ต้นเหตุภัยพิบัติ’ ตามตำนาน
“ท่านโหราจารย์เคยบอกว่า นี่คือต้นเหตุของภัยพิบัติครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งที่สอง เพราะสิ่งนี้รึ?” ในขณะที่คิด เขาก็ถอนสายตากลับมาและก้มลงไปมองด้านล่าง
กระดูกสีขาวกองรวมกันอยู่บนพื้นราบ บ้างก็ผุพัง ไม่สมบูรณ์ บ้างก็ผุกร่อนเป็นฝุ่นผง จนมองไม่ออกว่ารูปลักษณ์ก่อนหน้านี้ตอนมีชีวิตเป็นอย่างไร
ยิ่งเข้าใกล้ลำแสงมากเพียงใด กระดูกสีขาวก็จะยิ่งสะสมมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งถึงจุดศูนย์กลาง กระดูกสีขาวก็กลายเป็นแท่นสูงราวกับบัลลังก์ของกษัตริย์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเทพมารรึ?
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น กำแพงที่ทำจากม่านแสง เมื่อถูกผิวหนังที่แข็งแรงของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปะทะเข้าก็กระเพื่อมราวกับริ้วของผืนน้ำ
เขาไม่สามารถเข้าใกล้ลำแสงได้
ดูเหมือนว่าฮวงก็กำลังรอช่วงเวลานี้อยู่ ดวงตาสีทองเฉียบคมขึ้นทันที
‘คลิก’…จิ้งจอกเก้าหางที่อยู่บนร่างของสวี่ชีอันได้ยินเสียงของกล้ามเนื้อที่ปริตัวและกระดูกที่แตกหัก
นางหันไปมองในฉับพลัน สิ่งที่เห็นคือปากขนาดใหญ่ที่เปื้อนเลือดของฮวง มันเหมือนเหวลึกสีแดงเข้มอย่างไรอย่างนั้น
ฮวงหักร่างกายตัวเอง ตำแหน่งตั้งแต่เอวลงไปถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ตั้งแต่เอวลงไปยังคงอยู่ในขอบเขตเวลาที่เชื่องช้า ส่วนตั้งแต่เอวขึ้นไปได้รับอิสระ
ในฐานะเทพมารสมัยโบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยขาดแคลนวิธีการรับมือกับความลำบาก
เพราะก่อนหน้านี้ถือไพ่เด็ดอย่างท่านโหราจารย์อยู่ จึงไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เลือกที่จะใช้วิธีทำร้ายตัวเองจนนองเลือดเพื่อให้หลุดพ้นจากความลำบาก
ตอนนี้ ในเมื่อโหราจารย์พูดออกมาแล้วว่าตั้งใจที่จะสนับสนุนสวี่ชีอันให้เป็นผู้พิทักษ์ประตู ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เขาก็จำเป็นต้องลงมือจัดการ ไม่สามารถปล่อยให้พัฒนาไปเป็นเช่นนั้นได้
ถูกแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ ฮวงก็ยังไม่เชื่อคำพูดของท่านโหราจารย์อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบกับร่างอันมหึมาของฮวงแล้ว จิ้งจอกเก้าหางเป็นเหมือนฝุ่นผงขนาดจิ๋ว ซึ่งไม่เพียงพอแม้แต่จะอุดช่องระหว่างฟันของเขาเสียด้วยซ้ำไป
สตรีผมสีเงินต้องการหลีกเลี่ยงไปโดยสัญชาตญาณ แม้ว่านางจะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้สำเร็จแล้ว แต่การถูกเทพมารกลืนกินทุกสรรพสิ่งเข้าไปในท้องไม่ใช่เรื่องตลก
แต่ในไม่ช้านางก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่ฮวงต้องการกลืนกินเข้าไปอย่างแท้จริงไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นสวี่ชีอัน
นี่คือการโจมตีโดยการหลอกล่อ และเหตุผลในการทำเช่นนี้ก็คือ บีบบังคับให้นางกลัวและถอยไป เพราะนางที่เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะเอาชนะฮวง ‘ครึ่งก้าวสู่ระดับสุดยอด’ ไม่ได้ ก็มีทุนที่พัวพันกับเขา
และเวลาก็เป็นสิ่งที่ฮวงขาดแคลนมากที่สุดพอดี
หลังจากคิดจนกระจ่างแล้ว สตรีผมสีเงินลืมตาคู่สวยขึ้น ละทิ้งความคิดที่จะหลบหนี หางทั้งเก้าที่ด้านหลังชูขึ้นมาในฉับพลัน ราวกับเสาขนาดยักษ์ที่ชูขึ้นไปบนท้องนภา
หางจิ้งจอกขยายตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนหนึ่งเผชิญหน้ากับขากรรไกรบนของช่องปากมหึมาที่เป็นเหวลึก อีกส่วนหนึ่งจมลงไปด้านล่าง ต้านทานขากรรไกรล่างเอาไว้
หางทั้งเก้าหนาราวกับเสาค้ำยันสวรรค์ เหมือนกับหนวดปลาหมึกที่ต้านทานปากโชกเลือดของฮวง ทำให้มันปิดปากได้อย่างยากลำบาก
ในเวลาเดียวกันนั้น จิ้งจอกเก้าหางก็นอนราบไปกับพื้น เรียวแขนขาวราวกับหิมะกลายสภาพเป็นขาหน้า ชั้นแผงขนสีขาวที่ทั้งหนาและยาวก็งอกขึ้นมาจากใต้ผิวหนังที่ขาวดั่งหยก
พวงแก้มยาวขึ้น พร้อมกับขนสีขาวราวกับหิมะที่งอกยาวออกมา ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นดวงตาของสัตว์สีเขียว
เสียงคำรามใสกังวานดังสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก
จิ้งจอกสีขาวร่างขนาดเท่าภูเขาปรากฏตัวขึ้น นางสง่าและสูงส่ง มีเสน่ห์เย้ายวนราวกับสัตว์วิญญาณที่งดงามที่สุดในโลก
“โฮว!”
ฮวงปล่อยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก พ่นน้ำลายออกมาราวกับสายฝน ศีรษะขนาดมหึมาจมลงอย่างกะทันหันและกระแทกเข้ากับใบหน้าของจิ้งจอกขาวอย่างแรง แรงกระแทกทำให้ศีรษะของนางเอียงไปด้านข้างพร้อมกับร่างที่โซเซ
‘พรวด’…เขายูนิคอร์นที่ปิดผนึกโหราจารย์ไว้แทงเข้าไปที่หน้าอกของจิ้งจอกขาวอย่างดุเดือด เลือดสีแดงสดสาดลงมาราวกับสายฝน
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของจิ้งจอกขาวขมวดย่นด้วยความเจ็บปวด มันแยกเขี้ยวออกและกัดเข้าที่หลังคอของฮวงอย่างแรง จนเนื้อของฮวงหลุดออกมาเป็นชิ้น
ในเวลาเดียวกัน หางทั้งเก้าก็พันรอบร่างของฮวงอย่างรวดเร็ว แรงรัดกระชับแน่นราวกับงูเหลือมที่กำลังรัดคอเหยื่อ
สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่สองตัวต่อสู้และกัดกันด้วยวิธีดั้งเดิมที่สุด ทุกๆ การเคลื่อนไหวทำให้เกิดผลกระทบคล้ายแผ่นดินไหว ทุกๆ การปะทะกันทำให้เกิดพายุร้ายอันน่าสะพรึงกลัว
การต่อสู้ของพวกเขาราวกับย้อนเวลากลับไปสมัยโบราณ ยุคป่าเถื่อนที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและไร้กฎระเบียบ
…
“นางยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว”
สวี่ชีอันใช้มือซ้ายทุบลงไปบนม่านแสงอย่างดุเดือด ม่านแสงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันทนทานต่อพลังอันน่าสะพรึงของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้จริงๆ
หากต้องการทำลายกำแพงนี้ อย่างไรก็ต้องเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์…กระแสความคิดของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปในฉับพลัน และมองดาบไท่ผิงในมือ
เขายกดาบไท่ผิงที่อยู่ในมือขวาขึ้นและแทงเข้าไปที่ม่านแสงสุดแรงโดยไม่ลังเล
ม่านแสงถูกผ่าแยกออกอย่างเงียบๆ แต่มันก็ไม่ได้พังทลายลงทั้งหมด ราวกับผ้าชิ้นหนึ่งที่ถูกมีดเฉือน
เป็นดั่งที่คาด…เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด เพียงแค่คิดว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ดาบไท่ผิงเป็นดาบที่ท่านโหราจารย์กลั่นขึ้น วัสดุก็มาจากท่านโหราจารย์เช่นกัน
ตอนที่ท่านโหราจารย์ให้เขานำดาบไท่ผิงมาด้วย สวี่ชีอันก็มีลางสังหรณ์อยู่ในใจแล้ว
สวี่ชีอันกระตุกข้อมือขึ้น ดาบไท่ผิงเฉือนม่านแสงจนเกิดเป็นช่องโหว่ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในม่านแสง
หลังจากเข้าไปในม่านแสงแล้ว การรับรู้ของสวี่ชีอันที่มีต่อ ‘ดาบ’ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันยังคงเปี่ยมด้วยพลังอันรุ่งโรจน์ ราวกับว่าสามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งได้
แต่เบื้องหลังความเฉียบคมไร้ที่ตินั้นกลับมีความรู้สึกหนักใจอยู่
ความรู้สึกหนักใจนี้มีแหล่งที่มาจากการปกป้องอารักขา
ในใจของสวี่ชีอันมีความปรารถนาที่อยากจะปกป้องบางอย่างซึ่งไม่สามารถอธิบายได้
แม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ต้องการปกป้องอารักขาคืออะไรกันแน่
‘หึ่งๆ’…ดาบไท่ผิงสั่นอย่างรุนแรง ความคิดของวิญญาณดาบส่งไปถึงส่วนลึกในหัวใจของสวี่ชีอัน
“มันคือข้า ข้าก็คือมัน!”
มันคือข้า ข้าก็คือมัน…สวี่ชีอันท่องประโยคนี้ในใจอยู่หลายครั้ง ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ปล่อยดาบไท่ผิงให้เป็นอิสระ
ดาบหักเล่มนี้ที่ไม่มีประโยชน์ตั้งแต่เขาเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง บินลู่ลมไปทางลำแสงดัง ‘ฟวับ’ ไปยัง ‘ดาบ’ ที่สร้างขึ้นจากแสงเล่มนั้น
ทั้งสองค่อยๆ ซ้อนทับเข้าด้วยกัน
“โฮก!”
เสียงคำรามราวกับสัตว์ที่ระเบิดออกมาจากลำคอของฮวงในระยะไกลดังสนั่น ดูเหมือนมันจะตระหนักได้ถึงปัญหาที่ร้ายแรงแล้ว
ดังนั้น นอกจากความโกรธที่มีอยู่ในเสียงคำรามนั้นแล้ว ยังแฝงไปด้วยความกังวลอยู่ด้วย
มันกระทืบกีบเท้าทั้งสองข้างอย่างแรง ตรึงจิ้งจอกเก้าหางไว้บนพื้นอย่างหนาแน่น จากนั้นก็กัดอย่างบ้าคลั่ง ทุกๆ คำล้วนกระชากชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ออกมาด้วย
เป็นฉากนองเลือดที่ไร้ซึ่งความปรานี
กัดกระชากชิ้นเนื้อออกมาและกัดกระดูกจนหัก จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียงร้องโหยหวน สี่ขาของมันเตะถีบอย่างดุเดือด หางทั้งเก้าดูเหมือนสัตว์ร้ายใกล้ตายที่กำลังดิ้นรนต่อสู้ครั้งสุดท้าย
พลังที่นางใช้จัดการกับฮวงถูกกลืนหายไป อ่อนแอและสลายไปด้วยพลังที่มองไม่เห็นเมื่อมันสัมผัสกับร่างของฝ่ายตรงข้าม นี่เป็นการสำแดงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งของฮวง
ประกอบกับพลังดั้งเดิมของนางที่ถือว่าห่างไกลกับเทพมารโบราณมาก ในที่สุดเวลานี้นางก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
ที่สามารถยืนหยัดมาได้นานเช่นนี้ ต้องขอบคุณแก่นโลหิตที่แฝงอยู่ในหางจิ้งจอกที่คอยเติมพลังให้นาง
“สวบ!”
ลำคอของจิ้งจอกเก้าหางถูกกัดจนขาด ส่วนศีรษะก็ถูกฮวงคาบไว้ที่ปาก
ในเวลาเดียวกันนั้น มันก้มลงไปยกร่างของจิ้งจอกขาวขึ้นมา เขายูนิคอร์นสว่างขึ้น รอยริ้วอันแปลกประหลาดและลึกลับก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง
มันจะกลืนกินจิตวิญญาณของจิ้งจอกเก้าหาง ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ตนเองเข้าสู่สภาวะหลับลึกก็ตาม
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮวงก็ไม่สามารถล่าถอยได้แล้วเช่นกัน
จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียงร้องคร่ำครวญอีกครั้ง เสียงโหยหวนของปีศาจดังสนั่นไปทั่วผืนแผ่นดิน
ดวงตาสีทองที่แฝงไปด้วยความดุร้ายฉายแววงุนงงครู่หนึ่ง จากนั้นศีรษะของสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ในปากก็กลายเป็นควันเขียวแล้วสลายไป ขาทั้งสี่ข้างอ่อนเปลี้ยและห้อยตกลงมา ร่างที่แขวนอยู่บนเขายูนิคอร์นกลายเป็นหางพวงหนึ่ง
สตรีผมสีเงินปรากฏตัวในระยะไกล นางกลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง ใบหน้างดงามไร้ที่ติของนางขาวราวกับกระดาษ ลมหายใจอ่อนแรง และหางจิ้งจอกที่อยู่ข้างหลังนางก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างอ่อนล้า ซึ่งมันเหลือเพียงแปดพวงเท่านั้น
นางต้านทานไม่ไหวแล้ว
จิ้งจอกเก้าหางใช้ขาอันเรียวยาวทั้งสองข้างตะบึงวิ่งไปที่ขอบโดยไม่ลังเล
“สวี่หนิงเยี่ยน!”
นางตะโกนเรียก
เมื่อสิ้นสุดเสียงตะโกนเรียกนี้ กีบเท้าทั้งสองของฮวงก็กระโดดพุ่งฝ่าอากาศเข้าหาสวี่ชีอันอย่างดุเดือดราวกับภูเขาลูกหนึ่งที่บินด้วยความเร็วสูง
ในระหว่างกระบวนการนี้ เขายูนิคอร์นของฮวงก็ระเบิดขึ้น ขอบด้านนอกเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าโดยมีแสงสีดำสนิทอยู่ด้านใน
แสงสว่างนี้ขยายตัวออกอย่างกะทันหัน กลืนกินร่างของฮวงและทำให้มันกลายเป็นหลุมสีดำบริสุทธิ์
ลำแสงก็ไม่สามารถส่องสว่างหลุมดำได้ เพราะแม้กระทั่งแสงก็ยังถูกกลืนหายไป
กระแสลมพัดฝุ่นผงและกระดูกเข้าไปในหลุมดำและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สวี่ชีอันยกมือซ้ายขึ้นมา ทำให้สร้อยลูกปัดที่อยู่บนข้อมือสว่างขึ้น จากนั้นเขาก็เล็งฝ่ามือไปที่ฮวง พยายามตัดมิติว่างที่เขาอยู่ทั้งหมดและโยนเขาไปยังสถานที่ห่างไกล
แต่เขากลับล้มเหลว สร้อยลูกปัดดูเหมือนจะสูญเสียพลังไปแล้ว เขาไม่สามารถตัดมิติว่างได้สำเร็จ
ที่เบื้องหน้าหลุมดำ วิชาคาถาทั้งหมดล้วนไร้ผล พลังของหลิงอวิ้นทั้งหมดล้วนถูกกลืนหายไปอย่างหมดจด
จุดประสงค์ของฮวงนั้นชัดเจนมาก มันต้องการใช้ความพยายามครั้งสุดท้าย โดยการกระตุ้นพลังวิเศษฟ้าประทานให้ถึงระดับจุดสุดยอดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเพื่อที่จะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งสวี่ชีอัน จิ้งจอกเก้าหางและดาบเล่มนั้นที่ผสานเข้ากับ ‘ประตู’ แล้ว
ราคาที่ต้องจ่ายคือเข้าสู่ห้วงนิทราลึกเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ถ้าเข้าสู่ห้วงนิทราลึก สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ย่อมอยู่นอกเหนือการควบคุมของมัน หากไม่ถึงวินาทีสุดท้ายอย่างแท้จริง มันก็ไม่คิดที่จะใช้แผนการนี้
ในเวลานี้ ดาบไท่ผิงและ ‘ดาบ’ ลำแสงผสานกันเป็นหนึ่ง จนไม่รู้ว่าสิ่งแรกรองรับสิ่งหลัง หรือสิ่งหลังรองรับสิ่งแรกกันแน่
‘หึ่ง!’
ดาบไท่ผิงสร้างระลอกคลื่นแห่งพลังงานขึ้นมา ทุกที่ที่มันเคลื่อนตัวผ่าน สิ่งกีดขวางทั้งหมดก็จะพังทลายลงกลายเป็นกลุ่มพายุที่พัดไปทั่วทุกทิศทาง
ศูนย์กลางพบที่พึ่งพิงของมันแล้ว การจองจำก็สูญเสียความหมายของการดำรงอยู่ไป
หลังจากสิ่งกีดขวางพังทลายลง ลำแสงก็ค่อยๆ ดับลง
ดาบไท่ผิงร่วงสู่พื้นดังเพล้ง แทงทะลุ ‘บัลลังก์’ กระดูกขาว
สวี่ชีอันราวกับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เขาดึงดาบไท่ผิงออกมาทันทีโดยไม่สนใจที่จะตรวจสอบสถานะของมัน ก่อนจะกระโดดฝ่าอากาศไปที่ข้างจิ้งจอกเก้าหาง กดลงบนไหล่บางของนางและพานางกระโดดไปยังบริเวณพื้นที่สุดขอบ
ที่ด้านหลังคืออาณาจักรเวลาที่ไหลผ่านไปช้าๆ
“รีบไป…”
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวกระตุ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
สวี่ชีอันตอบรับ “อืม” โดยไม่ได้มองย้อนกลับไป เพราะเขาสัมผัสได้ถึงหลุมดำที่กำลังไล่ตามเขา และแรงดูดที่กลืนกินทุกสิ่งดูเหมือนจะอยู่ข้างหลังเขา
สร้อยลูกปัดบนข้อมือเปล่งแสงขึ้น
สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปสิบลี้ ทั้งสองประสบกับข้อจำกัดของ ‘ความเชื่องช้า’ อีกครั้ง การกะพริบตาหนึ่งครั้งใช้เวลามากกว่าห้าวินาที การยกมือใช้เวลาสิบวินาที ทั้งหมดล้วนช้าลงถึงสิบเท่า
ในขณะที่สวี่ชีอันยกมือขึ้นและเตรียมตัวจะกระโดดไปยังมิติว่างที่สอง ทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนของมิติว่างอย่างรุนแรง
จากนั้นการไหลของเวลาที่มิติว่างนี้ก็กลับสู่สภาวะปกติด้วยความเร็วสูง
ทันทีที่จิ้งจอกเก้าหางหันไปมองก็ตะโกนสุดเสียงว่า “มันตามมาแล้ว…”
หลุมดำอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงสามสิบลี้ เพียงมันขยับขึ้นหน้ามาไม่กี่จั้งก็จะดูดกลืนพวกเขาเข้าสู่แกนกลาง ถึงเวลานั้น ทั้งสองก็เหลือเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น
สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองและกระโดดไปยังมิติว่างที่สองอย่างช้าๆ
เขากระโดดข้ามมิติว่างสำเร็จ แต่เสียงอันแหลมคมปนหวาดกลัวของจิ้งจอกเก้าหางก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รีบวิ่ง มันจบแล้ว…”
วินาทีต่อมา แรงดูดกลืนทุกสรรพสิ่งก็เข้าปกคลุมพวกเขา
…………………………………………………
……….