ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 861 ของกำนัลจากท่านโหราจารย์ (1)
บทที่ 861 ของกำนัลจากท่านโหราจารย์ (1)
……….
ผีเสื้อที่กอปรขึ้นจากหมอกบินวนไปวนมา หลังจากบินวนเวียนอยู่หลายรอบเหนือหัวสวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางก็กลายร่างเป็นชายชราเครายาว ผมยาว มีแขนเสื้อกระพือเพยิบราวกับปีกอยู่เบื้องหน้าพวกเขาสองคน
ท่านโหราจารย์!
สวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจแต่มิได้แปลกใจ เขารีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะพลางแย้มยิ้ม
“ไม่ได้เจอกันครึ่งปี ท่านโหราจารย์สบายดีหรือไม่?”
“ข้าได้แต่กังวลว่าจะหาทางช่วยเหลือท่านหรือหาทางติดต่อสื่อสารกับฮวงอย่างไร”
เขามีท่าทีนอบน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านโหราจารย์เป็นเพียง ‘ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า’ แต่นิสัยตามธรรมชาติของฆ้องเงินสวี่เป็นคนมีสัมมาคารวะกับผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งยังรักใคร่ผู้เยาว์ดุจดังโสเภณีสีขาว
เรือล่มในรางน้ำของท่านโหราจารย์เมื่อตอนช่วงต้นฤดูหนาว ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา ใกล้เคียงกับตอนช่วงต้นฤดูร้อนเมื่อเกือบครึ่งปีที่แล้วพอดี
ท่านโหราจารย์ยืนเอามือไพล่หลังแล้วตะโกนว่า
“ไม่เห็นหรือว่าข้ามาจนสุดเชือกแล้ว มันจะสบายได้อย่างไร?”
ข้าก็แค่มีมารยาท…สวี่ชีอันนึกค่อนขอดตาเฒ่าเหรียญปากผีอยู่ในใจด้วยความเคารพ
“อะไรทำให้เจ้ามาถึงที่นี่?”
เมื่อโดนคำถามนี้เข้าไป สวี่ชีอันก็รู้สึกเหมือนเข้าสู่ลานประลอง เขามีลางสังหรณ์ว่า เขาต้องประลองกับท่านโหราจารย์ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนเกาะแห่งนี้แน่
ส่วนเนื้อหาที่จะประลองกัน โดยมากก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเทพมารและมหาเคราะห์ในอนาคต
ตลอดจนการตระเตรียมและแผนติดตามผลสำหรับตาเฒ่าเหรียญปากผี อะไรทำนองนี้
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกาะนี่คือที่ไหน?”
“ที่นี่เป็นสนามรบโบราณของเทพมาร สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพื้นที่ต้องห้ามที่ก่อตัวขึ้นหลังจากเทพมารล่มสลาย ที่นี่จึงมีแต่จิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์”
จิ้งจอกเก้าหางตอบคำถามแทนสวี่ชีอัน
ท่านโหราจารย์พยักหน้า “ถ้าจะให้แม่นยำก็คือ สถานที่นี้เป็นสนามรบสุดท้ายของเทพมารและยังเป็นจุดเริ่มแห่งจุดจบยุคเทพมารด้วย เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เทพมารล่มสลายอยู่ในใจกลางเกาะแห่งนี้แล้ว”
“ครั้งนี้ฮวงขึ้นเกาะมาก็เพราะสิ่งที่อยู่บนเกาะแห่งนี้”
สวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางโพล่งถามโดยไม่รู้ตัว
“ของสิ่งนั้นมันคืออะไร?”
ท่านโหราจารย์ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“เป็นสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วจะรู้เองว่ามันคืออะไร”
ความลับที่ทำให้เทพมารล่มสลายในใจกลางเกาะแห่งนี้มันคืออะไร? ช้าก่อน ลูกหลานเทพมารจากเกาะหนอนหรือไม่บอกข้าว่าที่เทพมารสมัยโบราณสูญสิ้นไปเป็นเพราะจู่ๆ พวกมันก็เกิดบ้าคลั่งและต่อสู้กันเอง จนในที่สุด ยุคแห่งเทพมารก็สิ้นสุดลง
ไม่ได้บอกสักนิดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอะไรบางอย่าง…สวี่ชีอันขมวดคิ้วและถามว่า
“ฮวงไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวนคืนสู่ขั้นสูงสุดหรอกรึ? หรือนี่อาจเป็นการฟื้นคืนสู่ความแข็งแกร่งระดับสุดยอด? หรือจะพูดอีกอย่างว่า ของสิ่งนั้นสามารถทำให้เขากลับไปสู่ขั้นสูงสุดได้”
นี่แตกต่างจากสิ่งที่เขาคิด
เดิมทีเขาคิดว่าฮวงมายังเกาะเทพมารเพื่อกลับคืนสู่ขั้นสูงสุด สะสมกำลังไปประลองกับเหล่าระดับสุดยอดทั้งสามคนในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว
ไม่คาดคิดว่าจะข้องเกี่ยวกับความลับที่ยิ่งใหญ่กว่า
“การหวนคืนสู่ขั้นสูงสุดเป็นจุดประสงค์อย่างหนึ่งของฮวงแต่ก็ไม่ได้ขัดกับการนำของสิ่งนั้นออกไป” ท่านโหราจารย์กวาดตามองไปรอบๆ
“ฮวงเป็นหนึ่งในเทพมารที่ทรงพลังที่สุดในยุคโบราณ มีพลังต่อสู้ระดับสุดยอด แต่ในการสู้รบระหว่างเทพมาร เขาสร้างศัตรูมากเกินไปและกลายเป็นเป้าโจมตีของเทพมารเสียเอง”
“สุดท้ายแม้จะโชคดีรอดมาได้ แต่จิตวิญญาณของเขาก็เสียหายและไม่อาจไปถึงขั้นสูงสุดได้อีกเลย”
“เขาปลอมตัวเป็นลูกหลานเทพมารและตระเวนสังหารไปทั่ว ต่อมาเขาถูกปรมาจารย์เต๋าขับไล่ออกจากจิ่วโจว แต่ก็ยังไม่หยุดสังหารลูกหลานเทพมารเพื่อซ่อมแซมจิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของตัวเอง เพื่อหวนคืนสู่ระดับขั้นสุดยอด”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยปากถาม
“การกลืนกินจิตวิญญาณแตกต่างจากการซ่อมแซมจิตวิญญาณของตัวเองอย่างไร?”
‘นางไม่แปลกใจเลย ร่างกายฮวงต้องมีบางอย่างผิดปกติทำให้เขายังต้องไล่ล่าสังหารลูกหลานเทพมารต่อไป ทีนี้นางก็รู้สองเรื่องแล้ว’
“นั่นเพราะพลังเหนือธรรมชาติเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเขา จิตวิญญาณที่ถูกกลืนกินเข้าไปจึงสามารถเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณของตัวเขาเองได้ ดังนั้นการซ่อมแซมข้อบกพร่อง ในแง่หนึ่งก็คือการรวบรวมจิตวิญญาณนั่นเอง” ท่านโหราจารย์หันไปมองสวี่ชีอันและยิ้มแย้มพูดจา
“น่าเสียดายที่ลูกหลานเทพมารส่งผลกับเขาน้อยเกินไป เช่นเดียวกับเจ้า ผู้แข็งแกร่งธรรมดาสามัญขั้นสามย่อมไม่มีประโยชน์กับเจ้าเช่นกัน เจ้าแค่อยากเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว แต่สิ่งที่เขาต้องการคือการกลับไปสู่ระดับขั้นสุดยอด”
สวี่ชีอันใจสั่น
“ท่านเพิ่งบอกให้ข้าโยนกระดูกชิ้นนั้นเพื่อบังคับให้เขาดูดซับจิตวิญญาณอย่างนั้นรึ?”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า
“หลังจากที่เขาเข้าไปในเกาะ เขาก็ได้กลืนพลังงานจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเข้าไปอย่างต่อเนื่องและมาถึงจุดคอขวดแล้ว หากเขายังกลืนกินมันต่อไป เขาก็ต้องหลับเพื่อย่อยพลังงานจิตวิญญาณ หากเขาไม่อยากหลับ เขาก็ทำได้แค่หยุดกลืนเท่านั้น”
อย่างนี้นี่เอง ข้าเพิ่งรู้ว่ากระดูกพวกนั้นกำราบฮวงได้อย่างไร…แล้วสวี่ชีอันก็เอาหัวข้อนี้กลับมาพูดถึงอีกครั้งโดยถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับเกาะเทพมารแห่งนี้? เหตุใดมันจึงถูกซ่อนไว้ในซากปรักหักพัง และเหตุใดมันถึงเพิ่งโผล่ขึ้นมา?”
หูแหลมทั้งสองข้างบนศีรษะนางปีศาจผมขาวตั้งขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่นางไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่เขม้นมองท่านโหราจารย์
“ข้าไม่สามารถตอบคำถามแรกของเจ้าได้!” ท่านโหราจารย์ส่ายหัวก่อนจะพูดต่อว่า
“ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าการล่มสลายของเทพมารครั้งนั้นเป็นมหาเคราะห์ครั้งแรก บัดนี้มหาเคราะห์ครั้งที่สองกำลังจะมา และสาเหตุของการทำลายล้างครั้งก่อนก็ย่อมเกี่ยวข้องกับมัน…”
น้ำเสียงของท่านโหราจารย์สงบราบเรียบ
แต่หลังจากได้ยินความลับที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ทั้งสวี่ชีอันทั้งจิ้งจอกเก้าหางก็ใจเต้นระทึกพร้อมๆ กัน ทั้งยังมีอาการใจสั่นร่วมด้วย
สวี่ชีอันลดเสียงลงและดูจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม
“สิ่งนั้นเรียกว่ามหาเคราะห์เลยรึ?!”
เขาไม่เคยเข้าใกล้ความจริงเลย!
ในเวลาเดียวกัน ความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้าก็เกิดขึ้นในใจเขา จู่ๆ ก็อยากรู้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่บนเกาะแห่งนี้คืออะไร
ท่านโหราจารย์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าช้าๆ
“เจ้าจะว่าอย่างนั้นก็ได้”
สวี่ชีอันรู้สึกว่า ท่านโหราจารย์พูดไม่จบ แต่ท่านน่าจะมีเหตุผลจึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
“เป็นไปไม่ได้!”
จิ้งจอกเก้าหางส่ายหัวแล้วโต้กลับ
“ถ้าเจ้าสิ่งที่อยู่บนเกาะเป็นสิ่งที่เรียกว่ามหาเคราะห์ ทั้งเทพกู่ เทพพ่อมดและพระพุทธเจ้าไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเช่นนี้แน่”
สวี่ชีอันมองไปทางท่านโหราจารย์ที่เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มแย้มพูดจา
“มหาเคราะห์ทั้งสองครั้งย่อมแตกต่างกัน สิ่งที่อยู่บนเกาะนั้นเป็นแก่นแท้และเป็นกุญแจสำคัญของมหาเคราะห์ แต่นั่นเป็นมหาเคราะห์ครั้งแรกและตอนนั้นก็อยู่ในยุคของเทพมารซึ่งยังไม่มีผู้เฝ้าประตู”
“ผู้เฝ้าประตูคืออะไรแล้วมันเฝ้าอะไร?” จิ้งจอกเก้าหางถามสวี่ชีอันด้วยความสงสัย
“ถ้าเจ้าเข้าถึงใจกลางเกาะนี้เมื่อไหร่ เจ้าก็จะรู้ทันทีที่เมื่อเห็นมัน” ท่านโหราจารย์พูด
สวี่ชีอันมองไปทางจิ้งจอกเก้าหางและเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินปูดโปนออกมาจากหน้าผากเรียบเนียนของนางจิ้งจอก นางดูไม่พอใจอย่างยิ่งแต่ต้องฝืนอดทนไว้
ถ้าเจอเช่นนี้บ่อยๆ ถึงเป็นโหรก็คงไม่แคล้วถูกทุบตี…เขาแช่งอยู่ในใจเงียบๆ
ซึ่งรวมถึงท่านโหราจารย์กับเหล่าศิษย์ของเขาด้วย ยกเว้นนักชิมกับหญิงผู้โชคร้าย
“กุญแจสำคัญและแก่นแท้ของมหาเคราะห์ครั้งที่สองคือโชคชะตา!” สวี่ชีอันจ้องมองท่านโหราจารย์
“ถูกต้อง”
คราวนี้ตาเฒ่าเหรียญปากผีให้คำตอบเชิงบวก
“แล้วพระพุทธเจ้า เทพพ่อมดกับเทพกู่ล่ะ ระดับสุดยอดทั้งสามคนนี้ไม่ได้ส่งใครไปโพ้นทะเลเลยรึ?” จิ้งจอกเก้าหางโพล่งถามทันที
หากท่านโหราจารย์ยังตอบไม่ตรงคำถามนางอีก ตอนนางกลับถึงจิ่วโจวนางจะเผาหอดูดาวให้วอด
ท่านโหราจารย์ส่ายหัว
“นอกจากเทพกู่แล้ว อีกสองคนล้วนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเกาะแห่งนี้ นี่เป็นความลับที่มีแต่เทพมารเท่านั้นที่รู้”
ข้าว่าระดับสุดยอดรู้ทุกอย่าง…สวี่ชีอันยังไม่ยอมแพ้และเอ่ยถามว่า
“ท่านโหราจารย์ นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดท่านถึงตั้งใจให้ฮวงผนึกใช่หรือไม่? ความตั้งใจที่แท้จริงของท่านคือสิ่งที่อยู่ใจกลางเกาะแห่งนี้ใช่หรือเปล่า?”
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“ข้าพลิกคว่ำในรางน้ำจริงๆ ป้องกันตัวไม่ได้เลย อนิจจา ข้าแก่แล้วจริงๆ…”
ข้าเชื่อท่านแล้ว!
สวี่ชีอันรู้ข้อห้ามของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าดี ดังนั้นเขาจึงไม่ถามรายละเอียด เขาเหลือบมองจิ้งจอกเก้าหางแล้วพูดว่า
“ท่านมาหาข้าเพราะท่านอยากให้ข้าหยุดแผนการของฮวงและคว้าเอาเจ้าสิ่งนั้นที่อยู่บนเกาะ”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า
“ถ้าเจ้าสิ่งนั้นตกอยู่ในมือฮวง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญสิ้นไปหมด”
“เจ้าไม่ได้บอกว่าของสิ่งนั้นเป็นผลมาจากมหาเคราะห์ครั้งแรกและไม่เกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์ครั้งที่สองหรอกรึ?” จิ้งจอกเก้าหางแย้ง
ท่านโหราจารย์อธิบายด้วยความใจเย็น
“มันเป็นกุญแจสำคัญสู่มหาเคราะห์ครั้งแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าสิ่งนั้นมันไร้ประโยชน์ ไม่ว่ามหาเคราะห์ครั้งแรกหรือมหาเคราะห์ครั้งที่สองจะเป็นอย่างไร แก่นแท้ก็ยังเหมือนเดิม แต่วิธีการเท่านั้นที่เปลี่ยนไป”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราต้องสู้ให้ถึงที่สุด…มหาเคราะห์ทั้งสองครั้งนั้นก็เหมือนกัน เหตุใดจึงมีทั้งการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้าและภายหลัง? เป็นเพราะมีผู้เฝ้าประตูอยู่รึเปล่า? สวี่ชีอันอดรนทนไม่ไหวต้องพูดออกมา
“แต่ท่านก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ข้ากับท่านเจ้าอาณาจักรไม่ใช่คู่มือเขาเลยแม้ว่าเราจะร่วมมือกันก็ตาม”
ท่านโหราจารย์พูดน้ำเสียงเรื่อยๆ ไม่ได้รีบเร่งหรือชักช้า
สวี่ชีอันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“ต้องเป็นพลังที่จะทำให้เขาล้มลงได้ในหมัดเดียว”
ท่านโหราจารย์พูดน้ำเสียงโกรธๆ
“มันคือความสามารถในการหลบหนี!”
“จอมยุทธ์ผู้ต่ำทราม”
‘จอมยุทธ์ต่ำทราม’…จิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ข้างๆ ทวนคำพลางนึกเห็นด้วย
“พลังต่อสู้ของเจ้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะสู้รบกับฮวง เจ้าไม่ได้ต้องเอาชนะเขา เจ้าแค่ต้องคว้าของสิ่งนั้นมาจากเขา ดังนั้นการลอบโจมตีและการหลบหนีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น…”
ท่านโหราจารย์หยุดชั่วครู่ มองไปรอบๆ แล้วพูดไปยิ้มไป
“เจ้าต้องการพลังจากพื้นที่แห่งนี้”
พื้นที่ที่พวกเขาอยู่มีแต่พลังของพื้นที่ที่กระจัดกระจายและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
“ก่อนอื่น ข้าอยากมอบอาวุธเวทมนตร์ให้เจ้า!”
หลังจากพูดเช่นนั้น ท่านโหราจารย์ก็ยื่นมือขวาออกมาแล้วจ้วงคว้าไปในอากาศว่างเปล่า ปรากฏระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ชัดเจนในพื้นที่นั้น เหมือนกับพื้นผิวน้ำสงบนิ่งกำลังปั่นป่วน
ท่านโหราจารย์คลำหาครู่หนึ่งแล้วคว้าบางสิ่งออกมาจากอากาศว่างเปล่า
สิ่งนี้ดูเหมือนลูกแก้วกลมดิกใสแจ๋ว ข้างในลูกทรงกลม มีรูม่านตาแนวตั้งสีดำสนิท เห็นเส้นเลือดปูดโปนบิดเบี้ยวยื่นออกมาจากขอบรูม่านตาแนวตั้ง
“ลูกตารึ?”
สวี่ชีอันเดาว่ามันเปลี่ยนมาจากจิตวิญญาณของเทพมารดั้งเดิม และมีคุณสมบัติดุจเดียวกับกระดูกสันหลังที่เกิดขึ้นจากอัคคี
ท่านโหราจารย์ไม่สนใจเขาแต่หันไปมองจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง และใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่ทำท่าเหมือนหยิบอะไรบางอย่างจากนาง
จิ้งจอกเก้าหางเจ็บจี๊ดที่ศีรษะ ดูเหมือนว่านางจะถูกดึงขนอย่างรุนแรง
จากนั้น นางก็เห็นกระจุกปอยผมสีขาวของนางถูกท่านโหราจารย์ดึงออกและลอยไปหาชายชราอย่างเชื่องช้า
ผมสีเงินจำนวนหนึ่งลอยไปทางลูกแก้วทรงกลม ทันทีที่มันสัมผัสลูกแก้ว เปลวไฟลุกโชนแผดเผาก็พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือท่านโหราจารย์และสิ่งของทั้งสองอย่างก็บิดตัวอย่างรวดเร็วราวกับเหล็กอ่อนตัวหลอมเหลวคล้ายจะละลาย
พวกมันปะปนกัน พัวพันกัน จนในที่สุดก็กลายเป็นเชือกคล้องข้อมือ
เชือกคล้องข้อมือทอจากผมสีขาวเงินร้อยด้วยลูกปัดแก้วขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ข้างในลูกปัดนั้นมีรูม่านตาสีเข้มแนวตั้ง แต่ปราศจากดวงตาสีแดงก่ำ
ท่านโหราจารย์โยนเชือกให้สวี่ชีอัน แล้วพูดว่า
“หยดโลหิตจดจำเจ้าของ!”
……………………………………….
……….