ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ
บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ
……….
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธผู้แสนขี้ขลาดก็มีเหตุผล อีกอย่างสิ่งนั้นที่สามารถเรียกว่าเป็นแผลใจในวัยเด็ก จริงๆ แล้วหากอยู่นอกเหนือทะเลก็จะเป็นสัญลักษณ์อันไร้เทียมทานแทน
ในเมื่อเขาตัดสินใจจะนำจิ้งจอกเก้าหางและผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ล่วงหน้าไปยังเกาะเทพมาร ถ้า ‘จะลอง’ ความคิดนี้ก็คงไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ต้องสืบเสาะให้วุ่นวาย
นางปีศาจผมขาวยิ้มแย้มเอ่ย
“เจ้าจะไปก็ได้นะ!”
ถึงอย่างไรซากที่อยู่อาศัยรกร้างก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยนำทางพาไป
จะให้ข้าไป? เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเริ่มใจโลเลแล้ว หลังจากนั้นก็พบว่าแม้ราชินีเงือกจะใบหน้าซีดขาว ราวกับตื่นตกใจจนไร้เรี่ยวแรง ทว่านางกลับไม่มีทีท่าจะยอมถอยแต่อย่างใด
เมื่อเจินจูเห็นเขามองมาที่ตน ก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า
“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ก็แค่ไม่เข้าไปใกล้มากก็พอ”
บุรุษร่างสูงกำยำจากเผ่ามังกรผู้หนึ่งแสดงท่าทีลังเลชั่วขณะ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มว่า
“ขะ…ข้าเองก็จะลองดูเช่นกัน…”
แม้เขาจะยังขุ่นเคืองใจอยู่ แต่กระนั้นก็จะลองไปเกาะเทพมารดู
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเชื่อว่าจิ้งจอกเก้าหางและผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ไม่ใช่พวกไร้สมองหรือหยิ่งยโส อีกทั้งยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์แต่ละคนก็ไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย ดังนั้นสาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมถอย คงเพราะอยากจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เกาะเทพมาร’
“ไม่อาจปล่อยให้ฮวงกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง มิเช่นนั้นอนาคตของต้าฟ่งคงได้เผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเก่า อาจย่ำแย่ถึงขั้นให้ผู้คนสิ้นหวังได้เลย”
จิ้งจอกเก้าหางลูบปอยผมส่วนหน้าผากที่ปกปิดใบหน้างามไร้ที่ติ ยามนี้นางเพียงแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังเท่านั้น ซึ่งหาได้ยากที่ไม่มีพฤติกรรมยั่วยวนดั่งปกติ
“เข้าเกาะกันก่อนเถอะ!”
แน่นอนเขารู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้ ‘ฮวง’ กลับไปสู่จุดสูงสุดอีก ทว่าปัญหาคือ ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ หรือแม้ว่าจะรวมกับพลังจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของฮวงอยู่ดี
ส่วนราชินีเงือกกับเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธก็แค่เหมือนเป็นส่วนเสริมที่ทำให้ดูดีขึ้นเพียงภายนอก ซึ่งไม่สามารถถ่วงดุลพลังต่อสู้ของฮวงได้
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า แล้วส่งกระแสจิตว่า
‘เจ้าอย่าลืม ท่านโหราจารย์ก็อยู่ด้วย’
นางมองออกว่าสวี่ชีอันกำลังเคร่งเครียดและท้อแท้ใจอยู่หน่อยๆ
ข้ารู้ว่าท่านโหราจารย์ยังอยู่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถเดิมพันทุกอย่างกับท่านโหราจารย์ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่…สวี่ชีอันถอนหายใจ แล้วกลืนคำพูดดังกล่าวลงไป
อีกอย่างเพราะเขาเองก็รู้สึกว่าจะเชื่อใจท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
และแน่นอนว่านี่หมายไม่ได้ความว่าเขาเดิมพันทุกอย่างกับท่านโหราจารย์ ถ้าตาแก่นั่นทำเป็นหมดทุกอย่าง ก็คงไม่โดนผนึกอยู่ในเขายาวของฮวงหรอก และสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามีบางคำพูดของท่านโหราจารย์ที่บอกว่าจะลองไปเกาะดูก็ไม่เป็นไร
ฉะนั้นก็ลองไปเกาะดูก่อน
ยังไม่ทันได้เลื่อนขั้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับฮวง ช่างดวงซวยจริงๆ…สวี่ชีอันคิดเช่นนี้พลางพูดในใจว่า ไม่ใช่ว่าข้าคือบุตรแห่งโชคชะตาหรอกหรือ? มันคือเรื่องหลอกงั้นรึ!
“อาชาดำมีนิสัยกลับกลอกและต่ำช้า แต่ก็ปรับตัวตามสถานการณ์ได้เก่งมากที่สุด ข้าไม่แปลกใจเลยที่มันจะยอมจำนนต่อคนผู้นั้น ด้านวาฬมังกรก็ทรงพลังแต่กำเนิด กล้าหาญชอบทำสงคราม และมีนิสัยโหดเหี้ยม แม้ว่าพลังจะอยู่ระดับเดียวกับข้า แต่ก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย
“ส่วนวิหคเพลิง เขาไม่น่าจำนนต่อคนผู้นั้นเลย ท้องนภากว้างไกลเยี่ยงนี้ เขาสามารถเหาะบินไปได้ไกลแท้ๆ ไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่งเลย เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นให้คำมั่นสัญญาว่าจะได้รับผลประโยชน์ต่อกัน”
ตอนนั้นเองเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธพินิจมองสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็พบว่าไม่ว่าจะราชินีเงือก จิ้งจอกเก้าหาง หรือผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ล้วนมีท่าทีไม่สดใสดูหม่นหมองกันทั้งสิ้น
เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม แล้วนิ่งเงียบไปแทน
บัดนี้เรือกำลังแล่นไปทางใต้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้เพิ่มความเร็ว ทว่าหลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าก็ปรากฏแนวชายฝั่งให้เห็นแล้ว ซึ่งเป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
หากมองด้วยตาเปล่า แล้วคิดว่านี่คือแผ่นดินผืนใหญ่ก็ไม่แปลกใจเลย
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
“ที่นี่คือซากที่อยู่อาศัยรกร้างโผล่ออกมาจากเกาะเทพมาร ทว่ามันปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวไปแล้ว คลื่นน้ำทะเลจึงไม่อาจเข้าไปยังส่วนนั้นได้”
นี่เรียกว่าเกาะไม่ได้ด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันแอบแขวะอยู่ในใจ ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็กำลังจับจ้องไปที่เกาะเทพมาร
แผ่นดินผืนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจางๆ ตอนนั้นเองก็ราวกับว่าในท่ามกลางส่วนลึกของม่านหมอกได้มียักษ์หกกรสูงร้อยจั้งกำลังเดินออกมา
ลวดลายบนผิวเขียวแกมน้ำเงินของยักษ์ตนนั้นแปลกตายิ่งนั้น ประกอบกับกล้ามเนื้อพองโต และลวดลายดังกล่าวที่กลับดูเรียบง่าย แต่ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกถึงพลังต่อสู้อันไร้คู่ต่อกรได้โดยสัญชาตญาณ
ใบหน้าของเขาดูดุร้ายหาใดเทียบเคียง อีกทั้งบริเวณมุมปากยังมีเขี้ยวสองซี่ยื่นโค้งงอออกมาเล็กน้อย และดวงตาปูดโปนสีแดงฉาน
หลังจากเขาก้าวย่างเดินบนริมชายฝั่งอย่างช้าๆ อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็หันตัวกลับไปยังส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ ก่อนจะหายลับไปจากสายตาของสวี่ชีอัน
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขาดูสงบนิ่งยิ่งยวด ส่วนสถานการณ์นอกเกาะนั้นก็หาได้สนใจแม้แต่น้อยไม่ เสมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
มีเทพมารจริงๆ ด้วย ทว่าสถานการณ์ดูผิดปกติ…จนแยกไม่ออกไปชั่วขณะเลยว่าเป็นภาพลวงตาหรือเรื่องจริง มีแต่ต้องจอดเทียบท่าเข้าเกาะก่อนแล้วค่อยไปตรวจสอบเท่านั้นแล้ว…สวี่ชีอันทอดถอนใจพลางดึงสายตากลับ จากนั้นก็หันไปมองดูสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบๆ เกาะเทพมาร
โดยไกลออกไปสิบจั้งมีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายม้าสูงสามจั้งตัวหนึ่ง มันกำลังยืนนิ่งอยู่บนผิวน้ำ
ตัวของมันดำสนิททั้งร่าง รูปร่างไม่ได้แตกต่างจากม้ามากนัก แต่ตรงศีรษะมีเขางอกออกมาหนึ่งอัน และส่วนท้ายมีหางยาวดั่งงู ส่วนคอเรียวบางไร้แผงขน ทว่ากลับแทนที่ด้วยเหงือกเหมือนของปลาดวงตาของมันเป็นรูม่านตาแนวตั้งสีทองอร่าม ดูเฉียบขาดและเย็นชาประหนึ่งอสรพิษ ซึ่งกำลังจับจ้องไปยังเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีพลังระดับเหนือมนุษย์
อาชาดำ!
ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันก็เห็นแผ่นหลังขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาผิวทะเลอยู่รำไรจากทางด้านซ้ายของอาชาดำ มันสูงใหญ่ประหนึ่งเนินเขา ทว่ากลับถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ
ยามนี้น้ำทะเลรอบข้างอาชาดำและวาฬมังกรเป็นสีแดงอ่อน ไม่รู้ว่าเปื้อนเลือดจากสิ่งมีชีวิตใด
หากลองใคร่ครวญจากคำบอกเล่าของเต่าเทพ ก็คงโดนฮวงตามฆ่า หรือไม่ก็ถูกลูกหลานเทพมารที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์ทั้งสามร่วมมือกันสังหาร
พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับพลังเหนือมนุษย์สองตน อีกทั้งลูกหลานเทพมารนับร้อยที่กระจัดกระจายอยู่ที่แห่งนี้ โดยมีทั้งพวกที่แข็งแกร่งสูงและอ่อนแอ สวี่ชีอันหรี่ตามองสำรวจ จากนั้นเขาก็พบว่าลูกหลานเทพมารที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์มีอยู่หกตนเท่านั้น
และที่แน่ๆ เขายังไม่รู้ว่าที่ใต้น้ำมีอีกมากน้อยเพียงใด
“อาชาดำ สุดท้ายแล้วเจ้าก็เลือกจะภักดีกับเจ้าคนสติฟั่นเฟือนนั่น และเต็มใจที่จะเป็นลูกสมุนของเขา! ลืมไปแล้วหรือว่าบรรพบุรุษของตัวเองตายอย่างไร?”
ลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์ตนหนึ่ง กล่าวตำหนิจากที่ไกลๆ
เหล่าลูกหลานเทพมารที่สามารถขึ้นอยู่ระดับพลังเหนือมนุษย์ได้นั้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนจะมีสายเลือดบริสุทธิ์กันอย่างมาก ปกติแล้วหากถัดไปอีกสักรุ่นสองรุ่น มักจะเป็นสายรอง มีจำนวนน้อยมากที่จะเป็นสายหลัก
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจุบันนี้ลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์ที่อยู่พื้นที่นอก พวกเขามีความแค้นฝังลึกกับฮวงที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อาชาดำที่ตัวเป็นสีนิลกาฬทั่วร่างพลันพ่นลมหายใจออก เชิดคอเรียวยาว พลางมองไปเหล่าลูกหลานเทพมาด้วยความดูถูก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสว่า
“นับตั้งแต่โลกถูกสร้างขึ้นมา การเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากพวกเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ก็จะสามารถทำให้ข้าเชื่อฟังได้ แต่หากทำไม่ได้ ก็รีบถอยไปให้ไวเสีย นายท่านไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก เพราะพวกเจ้าคงอับอายจนไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ
“และหากยังไปป้วนเปี้ยนต่อแถวๆ ซากที่อยู่อาศัยรกร้าง หลังจากนายท่านกลับมา ข้าก็จะขอร้องให้นายท่านฆ่าพวกเจ้าจนหมดสิ้น และแบ่งเลือดแก่พวกข้าทั้งสาม”
คำพูดคำจาของมันหาได้มีความอับอายในนั้นสักครึ่งไม่ กลับเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ ดวงตาที่พินิจมองเหล่าลูกหลานเทพมาร ก็ราวกับไม่ได้เห็นทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน
อาชาดำพูดพลางพ่นลมทางจมูก และแสยะยิ้มไปด้วย
“รสชาติเฉิงหวงไม่เลวเลยจริงๆ”
เฉิงหวงคือลูกหลานเทพมารที่มีระดับพลังเหนือมนุษย์ ซึ่งถูกพวกเขากินไปไม่นานมานี้
จากคำพูดดังกล่าว สีหน้าของเหล่าลูกหลานเทพมารที่อยู่ห่างไกลก็พลันเปลี่ยน ก่อนจะค่อยๆ ล่าถอยทีละน้อย
ตอนนั้นเองศีรษะของวาฬมังกรก็โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ และเผยดวงตาของมันที่แดงฉาน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ไอ้พวกเศษสวะ รีบไสหัวออกไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเจ้าแต่ละคนก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อเลย”
จังหวะนั้นเอง ลูกหลานเทพมารที่มีหัวเป็นนกร่างดั่งเสือและมีปีกแต่กำเนิดผู้หนึ่ง ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า
“พวกข้าเพียงแค่จะดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่ออย่างเงียบๆ และมาสำรวจสถานการณ์ของเกาะเทพมารเท่านั้น มิได้จะขึ้นฝั่ง พวกเจ้าทั้งวาฬมังกรและอาชาดำ พวกเราทุกคนมาทำความรู้จักกันเถิด เหตุใดต้องทำตัวเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยเล่า”
“ทำความรู้จักกัน เจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
อาชาดำแสยะยิ้ม
“อย่าได้พูดเชียวว่าก่อนหน้านี้ข้ารังเกียจพวกเจ้า ตอนนี้หากเทียบกับนายท่านแล้ว พวกเศษสวะอย่างพวกเจ้า ก็พอคู่ควรกับมิตรภาพของข้า เดิมทีพวกเจ้าไม่รู้ความเป็นมาของนายท่านด้วยซ้ำ
“และอย่าได้เอื้อนเอ่ยว่าทั้งนอกทะเล หรือกระทั่งจิ่วโจวที่อยู่แผ่นดินใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา”
ลูกหลานเทพมารที่มีหัวเป็นนกร่างดั่งเสือก็บ่นพึมพำว่า
“มิใช่ว่าโดนปรมาจารย์เต๋าขับไล่ออกจากจิ่วโจวไปแล้วรึ แต่ก็น่าจะมีความสามารถกลับจิ่วโจวอยู่หรอก”
พวกลูกหลานเทพมารที่มาที่แห่งนี้ได้ล้วนมี ‘ความรู้ที่ถ่ายทอดจากต้นตระกูล’ กันทั้งสิ้น และเคยได้ยินเหตุผลที่บรรพบุรุษของพวกเขาต้องอพยพไปยังพื้นที่อื่นด้วย
“บังอาจ!”
อาชาดำตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับพ่นลมออกทางจมูกถึงสองครา แล้วเคลื่อนตัวเข้าไปร้อยกว่าจั้งในทันที จากนั้นก็ฉีกร่างลูกหลานเทพมารที่มีหัวเป็นนกร่างดั่งเสือออกเป็นชิ้นๆ จนทะเลเจือไปด้วยเลือด และมีซากศพลอยอยู่ผิวน้ำ
ด้านอาชาดำกลับยืนตระหง่านเหนือทะเลและแกว่งหางงูอย่างภาคภูมิ “หากพวกเจ้าคิดอยากจะเข้ามาใกล้เกาะเทพมาร ก็ทำได้เพียงลองใช้จิตวิญญาณที่อาจสอดคล้องกับพลังแห่งสายเลือดดู แต่ข้าขอแนะนำพวกเจ้าว่าอย่าคิดเพ้อฝันไปเลย ถ้านายท่านไม่อนุญาตให้เข้ามาใกล้ได้ ใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดเข้าใกล้เกาะเทพมาร”
นอกจากลูกหลานเทพมารที่มีพลังระดับเหนือมนุษย์อยู่ไม่กี่คน ลูกหลานเทพมารที่เหลือก็พากันล่าถอยด้วยความกลัวและเคืองโกรธ ที่แท้อาชาดำก็เป็นพวกไร้ความเมตตาเช่นนี้นี่เอง
“ไอ้เศษสวะต่ำช้าไร้ยางอายนี่ ด้วยการสนับสนุนของคนคนนั้น ถึงกับกล้าอวดดีเพียงนี้เชียว”
“น่ารังเกียจ ไฉนใต้เท้าเหล่านั้นไม่ลงมือจัดการกันนะ?”
“กล้าลงมือเสียที่ไหน ยังไม่ต้องพูดถึงด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะเอาชนะวาฬมังกร อาชาดำ หรือวิหคเพลิงได้หรือไม่ หากพวกเขากล้าลงมือ พอหันกลับมาอีกทีคนคนนั้นคงออกมาจากเกาะ มาตามล่าสังหารหมู่จนเลือดนอง เช่นนั้นข้าและเจ้าได้เดือดร้อนแน่”
“สาเหตุที่พวกเขาทั้งหลายยังไม่เดินทางต่อ และไม่กล้าเข้าใกล้ เกรงว่าอาจกำลังรอให้คนคนนั้นออกมาก็เป็นได้ สาบานให้การภักดีกันเลยเถอะ”
“นี่เป็นวิธีการเดียวแล้ว”
ยามนี้เองสี่กีบของอาชาดำเยื้องย่างด้วยความสง่า ขณะเดียวกันก็กำลังพอใจกับท่าทีของพวกลูกหลานเทพมาร
นายท่านต้องการให้พวกมันปกป้องเกาะเทพมาร สิ่งนี้ก็เป็นทั้งหน้าที่และแบบทดสอบ และยามที่พวกมันทำงานเสร็จ นายท่านก็ย่อมตกรางวัลให้
เดิมทีเจ้าพวกเศษสวะเหล่านี้ไม่รู้จักตัวตนของนายท่านด้วยซ้ำ แต่เมื่อเจอเขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเทพมารที่โหดเหี้ยมประหนึ่งงูและแมงป่อง ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่อาจอธิบายอะไรได้ แต่นายท่านก็ได้บอกพวกมันทั้งสามอย่างชัดเจนเอาไว้ว่า
‘หากพวกเจ้าอุทิศตนรับใช้ข้า และเมื่อข้าได้หวนกลับสู่จุดสูงสุดอีกครา ข้าก็จะช่วยให้พวกเจ้าได้ดูดซับจิตวิญญาณ ซ้ำยังเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังแห่งสายเลือดด้วย’
ครั้นอาชาดำลองคิดใคร่ครวญ ก็พบว่าในใจลึกๆ ของตนกำลังหวั่นไหว
ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าพลันเกิดเสียงร้องแหลมสูงดังกึกก้อง ก่อนจะปรากฏเพลิงสีแดงฉานลูกหนึ่ง ซึ่งคือวิหคยักษ์ที่ปีกทั้งสองข้างลุกเป็นไฟกำลังบินดิ่งลงมาจากชั้นเมฆ เพื่อมาเตือนวาฬมังกรและอาชาดำที่อยู่เบื้องล่าง
ด้านลูกหลานเทพมารต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จากนั้นพวกมันก็มองตามไปทิศด้านหลังที่วิหคเพลิงยักษ์บินมาเตือน
โดยตรงนั้นมีเรือลำหนึ่งที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มากกำลังแล่นฝ่าคลื่นมายังเกาะเทพมาร
อาชาดำพ่นลมออกทางจมูก จากนั้นก็ปรากฏระลอกคลื่นสองลูกบนผิวน้ำ
กระทั่งเมื่อระยะห่างของทั้งสองลดน้อยลง ด้วยสายตาอันกว้างไกลของอาชาดำ ครั้นเขากวาดตามองก็เห็นคนจำนวนหนึ่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ เขาก็จำราชินีเงือกและเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธได้ทันที
“เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูนี่เอง”
“เป็นคนใหญ่คนโตสินะ…”
ด้านบรรดาลูกหลานเทพมารก็กระซิบพูดคุยกัน
‘คนใหญ่คนโต…’ อาชาดำเยาะเย้ยในใจ หากเป็นเมื่อก่อน ตอนที่มันได้เจอเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู ย่อมก้มโค้งแสดงความคารวะสามกระบวนการเป็นแน่ แต่ตอนนี้น่ะหรือ…
อาชาดำเงยหน้าเหลือบมองวิหคเพลิง ซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจได้โดยสัญชาตญาณ จึงรักษาระยะห่างเอาไว้ สําแดงฤทธิ์ทว่าไม่ได้โจมตีแต่อย่างใด
“คลื่นพิโรธ เจ้ามาช้านะ”
น้ำเสียงของมันก้องดังไปทั่วผืนทะเล
“เกาะเทพมารถูกนายท่านของข้ายึดครองแล้ว หากเข้าใกล้เกาะในระยะร้อยจั้ง จะสังหารโดยไร้ความปรานี!”
อาชาดำยังคงแสดงท่าทีหยิ่งยโสเช่นเคย
ส่วนเรือลำนั้นก็กำลังแล่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าจะหยุดเพราะคำเตือนของอาชาดำเลยแม้แต่น้อย
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเหลือบมองจิ้งจอกเก้าหางและสวี่ชีอัน เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขาก็นิ่งเงียบตามไปด้วย
ยามนี้เรือกำลังแล่นด้วยความเร็วคงที่ เมื่อผ่านกลุ่มลูกหลานเทพมารที่อยู่รอบๆ ไป ก็ตรงเข้าสู่เกาะเทพมารต่อ
‘หืม? เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเสียสติไปแล้วรึ…’ ตอนนั้นเองเหล่าลูกหลานเทพมารต่างก็ผุดความคิดนี้ขึ้นมาในหัว
“คลื่นพิโรธ นายท่านของมันคือลูกหลานผู้กลืนกินอำนาจในยุคเก่า เป็นผู้ไร้พ่ายที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด คนที่ผู้แข็งแกร่งทั้งหกเผ่าในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูอย่างพวกเจ้าเคยพบเจอคนนั้น”
ลูกหลานเทพมารพลังระดับเหนือมนุษย์ตนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างไกลนักเอ่ยเตือนขึ้นมา
รูปลักษณ์ของมันเป็นหอยกาบสีเงินขนาดใหญ่ ครั้นเปลือกหอยเปิดอ้าออก เนื้อภายในหอยก็แปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจทราบเพศ
‘ข้ารู้แล้ว แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของข้า…’ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธพยักผงกศีรษะโดยไม่แสดงสีหน้า
“รู้แล้ว!”
‘รู้แล้วยังไม่หยุดเรือ แถมยังกล้ามาก่อเรื่องอีก? รนหาที่ตายหรือไร!’
ในเวลานั้นเอง เหล่าลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์หลายคนที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่อาจเข้าใจได้
ตอนที่กำลังพูดคุยกันในจุดนี้นั้น เรือก็ได้แล่น ‘ผ่าน’ เหล่าลูกหลานเทพมารไปอย่างราบรื่น และได้เข้าสู่ ‘ระยะร้อยจั้ง’ ที่เป็นเขตอันตรายอันราวกับมีทุ่นระเบิดในนั้นแล้ว
อาชาดำยิ้มด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด
“เจ้าคงจะเคยชินกับการใช้อำนาจในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูสิท่า ถึงได้ไม่รู้จักตำแหน่งตัวเองแบบนี้ หากวันนี้ฆ่าเจ้าเสีย หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูก็จะกลายเป็นของนายท่านแล้ว”
เมื่อสิ้นประโยคนี้ อาชาดำก็กลายเป็นสายฟ้าสีดำมืด แล้วพุ่งไปโจมตีที่เรือลำนั้น เดิมทีเขาจะต้องประจำอยู่ตำแหน่งเดิม ทว่า ‘รู้ตัวอีกที’ คลื่นก็เริ่มสูงชันขึ้นมาแล้ว
“โฮก!”
อาชาดำคำรามเสียงดังกึกก้องที่ถึงขั้นทำให้หูหนวกได้ โดยยอดเขาบนศีรษะก็ปล่อยลำแสงสีดำออกมาเป็นระลอกคลื่น เขาพุ่งชนใส่ผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์บนดาดฟ้าเรือสี่คน
ขณะเดียวกัน เสียงหวีดแหลมคมบนท้องนภาก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ วิหคเพลิงที่คอยบินวนเพื่อเตือนก่อนหน้าก็พลันบินโฉบลงมา เสมือนกับดาวตกสีแดงสดลูกหนึ่ง
นัยน์ตาอันดุร้ายของมันยามนี้กำลังเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น และเปล่งประกายด้วยความกระหายต่อเลือดของผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์
ส่วนด้านวาฬมังกร แม้ความเร็วของมันจะเทียบกับสองตัวที่กล่าวถึงก่อนหน้าไม่ได้ แต่ด้วยร่างขนาดมหึมาของมันยามจู่โจมหรือเคลื่อนไหวก็ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สั่นสะเทือนตามมา ซึ่งดูเล่นใหญ่กว่าอาชาดำและวิหคเพลิงอยู่มากโข
ปราณโลหิตของเหล่าผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์พลันปะทุและระเบิดออก ทำให้ลูกหลานเทพมารในที่แห่งนี้ต่างพากันรู้สึกจิตใจสั่นวูบ ซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับวาฬมังกรโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
‘ท่าไม่ดีแล้ว รีบถอยเร็ว ต้องหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมา…’ จากนั้นพวกลูกหลานเทพมารต่างก็ตอบสนองกันทันที
ในชั่วเวลานั้นเองบนดาดฟ้าเรือ นางปีศาจผมขาวที่สวมหนังสัตว์คาดอกและกระโปรงขนสัตว์ ก็ยกเท้าที่ขาวดุจหิมะขึ้น แล้วย่ำก้าวออกจากดาดฟ้าเรือ
“ฟู่วว…”
โดยด้านหลังจิ้งจอกเก้าหางเสมือนหางนกยูงที่รำแพนหาง ไม่นานนัก แต่ละหางก็ดูราวกับหนวดของเตียนเอี๋ยง[1]ก็พุ่งไปยังท้องฟ้าและทะเลที่อยู่เบื้องหน้า
สายฟ้าสีดำจึงหยุดชะงักกะทันหัน บัดนี้อาชาดำหยุดอยู่หน้าเรือโดยเว้นระยะห่างไว้สามจั้ง มันหาได้เต็มใจยอมเองไม่ แต่เป็นเพราะหางจิ้งจอกสามหางกำลังจับมันไว้อยู่ต่างหาก
ยามนั้นมีเงาสีขาวดั่งดาวตกพุ่งไปยังกลางอากาศ หางจิ้งจอกที่ดูราวกับหนวดพันธนาการพวกมันไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร หรือกระพือปีกเพียงใด ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ เสมือนว่าวลมที่ลอยค้างอยู่กลางท้องนภา
ส่วนอีกสามหางที่เหลือพุ่งลงใต้ท้องทะเล ทะลุไปยังส่วนลึกของทะเล ปะทะคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาจนมันทลายตัวลง
ผิวน้ำพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เกิดคลื่นลูกใหญ่โหมกระหน่ำ และเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของวาฬมังกรดังตามมา
ยามนี้ทั้งสองฝ่ายประหนึ่งกำลังประชันความแข็งแกร่งกันอยู่
“ไอ้พวกสวะสามตัว กล้ามาโอ้อวดกำลังตนต่อหน้าเจ้าอาณาจักรเช่นข้ารึ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกำลังเย้ยหยัน พลางบิดเอวน้อยๆ จากนั้นก็เกิดดังแควกๆๆ ที่บริเวณหางจิ้งจอก…อาชาดำเป็นตัวแรกที่ถูกฉีกร่าง จากนั้นก็เป็นวิหคเพลิงที่อยู่กลางอากาศ เริ่มแรกส่วนปีกจะถูกฉีกกระชากออกก่อน แล้วหางจิ้งจอกก็บีบรัดแน่นจนร่างของมันหักเป็นสองส่วน
แต่นี่ยังไม่จบ เสียงคำรามอันน่าเวทนาของวาฬมังกรดังขึ้นมาอีกครั้งจากใต้ท้องทะเล แต่ไม่นานนักผิวน้ำทะเลที่ปั่นป่วนก็สงบจากนั้นกระแสโลหิตสีแดงเข้มก็ ‘ผุดโผล่’ ออกมา โดยไร้การเคลื่อนไหวที่ใต้ท้องทะเล
เวลานั้นเอง เหล่าลูกหลานเทพมารที่กำลังจะเตรียมถอยหนี เพื่อเลี่ยงความทรมานก่อนหน้า
แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว บัดนี้ผิวน้ำมีลม มีเมฆ ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว เหลือแต่ความเงียบเท่านั้น
………………………………………………………….
[1] เตียนเอี๋ยง เป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องสามก๊ก มีฐานะเป็นเจ้าเมืองเสียงตง และเป็นหนึ่งในเจ้าเมืองที่ร่วมกองทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองเพื่อปราบตั๋งโต๊ะ
……….