ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 856 ฮวง! โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน
บทที่ 856 ฮวง! โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน
……….
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าราวกับมหาสมุทร มหาสมุทรเป็นสีฟ้าเฉกเช่นท้องฟ้า
ไร้ซึ่งลมและเมฆ
ผิวทะเลมีคลื่นเล็กน้อย ดวงอาทิตย์อันร้อนแรงแขวนอยู่เหนือศีรษะ ลมทะเลที่ปะทะเข้ามาก็ร้อนผะผ่าว
เรือขนาดยาวห้าจั้ง สูงหนึ่งจั้งแล่นฝ่าคลื่น โดยทิ้งไว้เพียงระลอกน้ำที่กระเพื่อมไว้เบื้องหลัง
บนดาดฟ้ากว้าง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเจ้าเสน่ห์กำลังนอนตะแคงเล่นหางที่มีขนปุกปุยเส้นหนึ่ง หลังจากตากแดดจ้ามาหลายวัน เขี้ยวเล็บสวยงาม และใบหน้าขาวสะอาดสวยหยาดเยิ้มยังคงขาวนวลละเอียดอ่อน
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิบนดาดฟ้า นางเงือกที่ตัวอ่อนปวกเปียกคอยรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย และช่วยเขาแกะเปลือกหอยสีแดงเปล่งปลั่งแวววาวแต่ละตัวที่ดูราวกับหินโมรา
เปลือกหอยชนิดนี้เรียกว่า ‘หอยเพลิงแดง’ เจริญเติบโตบริเวณภูเขาไฟใต้ทะเลในทะเลใต้ พวกมันกินพลังวิญญาณเปลวไฟเป็นอาหาร เป็นธาตุสิ่งมีชีวิตที่พบเจอได้ยาก
เปลือกนอกของหอยเพลิงแดงแฝงไปด้วยพลังระเบิดสูงมาก หลังจากถูกขยี้ละเอียดจะเกิดพลังระเบิดที่พอจะเทียบกับกระสุนปืนใหญ่ได้
แต่สิ่งที่ดึงดูดสวี่ชีอันคือเนื้อของมัน หอมหวานนุ่มลิ้น ละลายในปาก ไม่มีกลิ่นคาว รสชาติยอดเยี่ยม
“อยู่ๆ ก็ไม่อยากจากไปแล้ว โพ้นทะเลโภคทรัพย์อุดมสมบูรณ์ อาหารรสชาติดี สิ่งที่ควรมีก็มีพร้อม”
สวี่ชีอันกินเนื้อหอยเพลิงแดงตัวสุดท้ายลงไป เขามองดูเปลือกหอยที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้า และลูบท้องด้วยความพอใจ
“ขอบคุณราชินีเจินจูมาก ภายหน้ามีปัญหาอันใดก็มาหาข้าได้เลย”
เขารับปากอย่างง่ายๆ
เป็นผู้นำทางเหมือนกัน แต่ราชินีเงือกกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกลับไม่เหมือนกัน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคุ้นชินกับเส้นทางเรือเท่านั้น ทุกครั้งที่ออกทะเลก็ไปมาอย่างเร่งรีบ และแสวงหาสิ่งของอย่างมีจุดหมาย
แต่ราชินีเงือกเป็นชาวโพ้นทะเล ไม่เพียงแต่รู้รูปแบบของโพ้นทะเลเป็นอย่างดี ยังรู้ว่าที่ไหนมีอาหารรสเลิศด้วย
สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวแค่ครู่หนึ่ง พลังก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นางปีศาจผมเงินเอาคำพูดของคนอื่นมาพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าสามารถเชื่อเขาได้ มนุษย์เพศผู้ตัวเหม็นผู้นี้ไม่เคยผิดคำสัญญากับสตรีมาก่อน พูดได้ทำได้”
ข้าเคยผิดคำสัญญากับบุรุษมาก่อนหรือ ใครเลยจะไม่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่ยึดถือคำพูดดั่งทองพันชั่ง…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ
เจินจูแสดงออกว่าดีใจมาก และโปรยรอยยิ้มบริสุทธิ์งดงามออกมา
นางย่อมมีความคิดที่จะเอาใจยอดผู้แข็งแกร่งในเผ่ามนุษย์ผู้นี้ มุ่งหวังจะได้รับมิตรภาพจากเขา ตามระบบการแบ่งระดับขั้นของเผ่ามนุษย์ ระดับสุดยอดเทียบเท่ากับเทพมารที่แข็งแกร่งที่สุด และต่ำกว่าระดับสุดยอดลงมาหนึ่งขั้น แม้แต่ในบรรดาเทพมารก็ไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอ
แน่นอนว่าเจินจูยังไม่ค่อยเข้าใจตำแหน่งของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งในระดับขั้นหนึ่ง มิเช่นนั้นคงจะสัมผัสกับความน่ากลัวของสวี่ชีอันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นางปีศาจผมเงินกล่าวเตือนได้เหมาะเจาะกับเวลา
“แต่เจ้าก็ต้องระแวดระวังตลอดเวลา มิเช่นนั้นไม่แน่ว่าผ่านไปไม่กี่ปี เจ้าต้องอุ้มลูกเลือดผสมกลับไปยังเกาะมนุษย์เงือกด้วย”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธนั่งฟังเงียบๆ อยู่ตรงกราบเรือ จากการสังเกตมาหลายวัน เขาค้นพบว่ามนุษย์เพศผู้คนนี้อาจเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
สิ่งนี้สามารถดูได้จากท่าทีของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกับราชินีเงือก
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธระแวดระวังเป็นอย่างมาก แต่ที่มีมากไปกว่านั้นคือความดีใจ พันธมิตรยิ่งแข็งแกร่ง โอกาสในการสืบเสาะเกาะเทพมารก็มีมากขึ้น
สวี่ชีอันลุกเดินไปยังกราบเรืออีกด้าน ทอดสายตามองทะเลไร้ขอบเขต สิ่งที่ยากจะต้านทานไหวในขณะออกทะเลก็คือ ทิวทัศน์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จืดชืดจนทำให้คนบ้าคลั่งได้
จากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ยิ่งลงไปทางใต้ก็ยิ่งร้อนอบอ้าว เขาประเมินการว่าเข้าใกล้เส้นศูนย์สูตรแล้ว
รอภายภาคหน้าหากมหาเคราะห์สงบลง และยังมีชีวิตอยู่ จะพาพวกหลินอันออกทะเลเที่ยวเล่น พาราชินีเงือกที่เป็นผู้นำทางผู้นี้ไปด้วย ไปถึงที่ไหนก็กินของอร่อยที่นั่น…สวี่ชีอันมีความสุขกับชีวิตในอนาคตของเขาอยู่พักหนึ่ง
แม้จะพอใจกับความตื่นเต้นดีอกดีใจ แต่พอคิดว่าหากพาพวกนางไปด้วย ก็จะทำให้เกิดความไม่สะดวกอย่างมาก
เช่นตอนที่เขาเสียบบุปผา ปลาน้อยตัวอื่นๆ จะมาล้อมดูหรือไม่ ตอนที่เขาเกี้ยวพาราสีกับหลินอันปลาน้อยตัวอื่นๆ จะพอใจหรือไม่
มีความเป็นไปได้มากกว่านั้นคือ ข้ากับปลาน้อยแต่ละตัวต่างเคารพซึ่งกันและกัน อีกทั้งต้องถลำอยู่ในทุ่งอสูรอันน่ากลัวตลอดวัน…เขาทอดถอนใจอย่างไร้สุ้มเสียง และละความคิดที่จะพาปลาน้อยออกทะเลไป
ขณะนี้ในขอบเขตสายตาที่มองเห็นของบรรดาระดับเหนือมนุษย์บนเรือ มีจุดสีดำเล็กๆ ปรากฏบนลูกคลื่นสีฟ้าบนผิวทะเลที่อยู่ไกลๆ
ขณะที่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ลดลง สวี่ชีอันก็เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ที่มุ่งหน้าเข้ามาคือใคร ไม่ใช่สิ คือทายาทของเทพมารอะไร
พวกเขาคือ…เต่าเทพนินจา!
อีกทั้งยังเป็นเต่าเทพนินจาที่ขี่พาหนะที่ภายนอกดูคล้ายกับปลาโลมา สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือเต่าเทพนินจาเหล่านี้เป็นสีดำไม่ใช่สีเขียว
นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังสังเกตเห็นว่าเต่าเทพนินจาหลายตัวมีบาดแผลบนตัว บ้างก็มีรอยร้าวปกคลุมบนกระดองเต่า บ้างก็ผิวหนังหนาแน่นบนตัวปริออก ตัวที่สาหัสที่สุดไม่มีแม้แต่แขน
มนุษย์มังกรคลื่นพิโรธเดินมายืนเคียงไหล่สวี่ชีอัน และส่งกระแสจิต
“พวกเขาคือ ‘เผ่าพยากรณ์’ ที่มาจากเกาะเต่าเทพในทะเลตะวันออก ว่ากันว่าเป็นสายเลือดเทพมารที่เชี่ยวชาญการพยากรณ์ท่านนั้น สายเลือดนี้มีพลังต่อสู้ที่อ่อนแอมาก ในเผ่าไม่มีระดับเหนือมนุษย์เลย”
พูดมาถึงจุดนี้มนุษย์มังกรก็หัวเราะเยาะทีหนึ่ง
“ไม่นึกเลยว่าจะกล้ามาสืบเสาะเกาะเทพมารด้วย”
เขาเริ่มใช้ภาษาเทพมารตะโกนออกไป
“ผู้อาวุโสใหญ่เผ่าพยากรณ์ พวกท่านถูกใครโจมตีหรือ”
เดิมทีเต่าเทพนินจากลุ่มนั้นคิดจะหลบเลี่ยงเรือที่ไม่รู้จัก พอเห็นคลื่นพิโรธเอ่ยปากทักทาย ดูเหมือนผู้เฒ่าเต่าเทพที่เป็นหัวหน้าจะรู้จักเจ้าเกาะมนุษย์มังกร จึงรีบบังคับพาหนะเข้ามาประชิด
“เจ้าเกาะคลื่นพิโรธนี่ พวกท่านก็ไปสืบเสาะ ‘เกาะเทพมาร’ ด้วยหรือ”
ผู้เฒ่าเต่าเทพที่เป็นหัวหน้าได้รับบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ดูเหมือนจะอายุมากแล้ว ผิวหนังจึงหย่อนยาน
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธพยักหน้าเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเต่าเทพโบกมือติดต่อกัน และกล่าว
“อย่าไปเลย ที่นั่นอันตรายมาก”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธคิดว่าเขาหมายถึงกลิ่นอายเทพมารที่ทำให้คนบ้าคลั่งได้ จึงกล่าวออกมา
“ข้ารู้ ก่อนที่พวกท่านจะมาถึงที่นี่ข้าเคยค้นหามาแล้ว ข้ารู้ว่าจะหลบเลี่ยงกลิ่นอายมารได้อย่างไร”
ใครจะรู้ล่ะว่าผู้เฒ่าเต่าเทพยังคงโบกมือและส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้ หลายวันหลายคืนก่อน มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมาจากนอกเกาะเทพมาร เขากินมายาทเทพมารที่รวมตัวอยู่นอกเกาะไปจำนวนไม่น้อย และขับไล่ทายาทเทพมารออกไปร้อยลี้ ใช้อำนาจคุกคามไม่ให้พวกเราเข้าใกล้เกาะเทพมาร มิเช่นนั้นเห็นหนึ่งคนก็จับกินหนึ่งคน”
‘เทพมารที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวหรือ!’ คลื่นพิโรธ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ราชินีเงือกต่างก็มองหน้ากัน
เป็นเพราะสวี่ชีอันไม่เข้าใจภาษาเทพมาร จึงขับออกจากวงสนทนาชั่วคราว
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธกล่าวอย่างลังเล
“มันคือผู้ใด”
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน บรรดาทายาทเทพมารที่รวมตัวอยู่นอกเกาะก็ไม่รู้จัก”
ขณะที่พูด ผู้อาวุโสใหญ่ที่ผิวหนังหย่อนยานก็หวนรำลึกไปด้วย
“ร่างของเขามีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก พอจะเทียบได้กับเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนหัวมีเขายาวโค้งงออยู่หกอัน เขาอันหนึ่งมีรอยแหว่ง มีใบหน้าใกล้เคียงกับมนุษย์ กลิ่นอายของเขาเหมือนกับการฟื้นคืนชีพเทพมาร…”
ขณะที่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพเล่า สีหน้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็เปลี่ยนไปมาก นางมองไปทางสวี่ชีอันและกล่าวด้วยความตกใจ
“ฮวง คือฮวง…”
นางรู้จักลักษณะพิเศษจำเพาะของ ‘ฮวง’ จากสวี่ชีอัน
ฮวงก็มาเกาะเทพมารแล้ว? จุ๊ๆ โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน ไม่ เกาะเทพมารมีความเกี่ยวข้องกับเทพมารบรรพกาล ย่อมดึงดูดเขามาเป็นธรรมดา…สวี่ชีอันฟังคำแปลของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเสร็จก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
จู่ๆ เขาก็เข้าใจว่าเหตุใด ‘ฮวง’ ถึงต้องการพาท่านโหราจารย์ไปโพ้นทะเลไกล
“การปรากฏตัวของเกาะเทพมารก็เพราะเขาหรือ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางฉลาดมาก ครู่เดียวก็คิดเชื่อมโยงได้เป็นจำนวนมาก
สวี่ชีอันส่ายหน้าเบาๆ
“มีความเป็นไปได้มากกว่านั้นคือ เขารู้ว่าเกาะเทพมารจะปรากฏตัวตอนไหน”
นางปีศาจผมเงินพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของสวี่ชีอัน นางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เขาขับไล่ทายาทเทพมาร คิดจะครอบครองเกาะเทพมารไว้คนเดียวหรือ เกาะแห่งนี้มีความหมายอะไรกับเขากันแน่ อืม บางทีบนเกาะอาจมีอะไรที่เขาสนใจ”
หากต้องการทราบปัญหานี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าเกาะเทพมารคือการดำรงอยู่แบบใดกันแน่
สวี่ชีอันกล่าว
“ข้าเคยบอกเจ้าว่า ร่างเดิมของฮวงเกิดปัญหา จึงหลับลึกมาโดยตลอด ดังนั้นหลังจากผนึกท่านโหราจารย์แล้ว เขาไม่ได้เผยร่างเดิมออกมาทำลายต้าฟ่ง หากตอนนั้นร่างเดิมของเขาตื่น ข้ากับท่านราชครูน่าจะต้านทานไม่ไหว ทว่าเขากลับไม่ แต่กลับพาท่านโหราจารย์ไปจากสถานที่เดิมที่หลับใหล ยังมีอีกเรื่อง แม้ว่าฮวงจะทรงพลัง แต่ไม่ใช่ระดับสุดยอด เขาหิวโหยขนาดนี้ ไม่อาจต่อสู้กับระดับสุดยอดอย่างพระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดได้ เมื่อรวมทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน เจ้ารู้เป้าหมายของเขาหรือยัง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถอนหายใจช้าๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำโดยไม่รู้ตัว
“ฟื้นคืนสู่จุดสูงสุด กลับคืนสู่ระดับสุดยอด”
มีเพียงแค่วิธีการนี้ เขาถึงต่อต้านระดับสุดยอดในแผ่นดินจิ่วโจวได้
เช่นนี้แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในเกาะเทพมารมีสิ่งของที่สามารถช่วยเขากลับคืนสู่ระดับสุดยอดได้
ราชินีเงือกฟังพวกเขาใช้ภาษานกพูดคุยกันกุ๊กกิ๊กๆ อีกทั้งยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ อดทนอยู่พักหนึ่งก็หาช่องว่างถามขึ้นมา
“พวกเจ้าคุยอะไรกัน”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธกับผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพหันมาพร้อมกัน ที่นางพูดเป็นภาษาเทพมาร ทั้งสองสามารถฟังออก
นางปีปีศาจผมเงินทำเสียง ‘ฮ้า’ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้าฟังตำนานน่าสะพรึงกลัวตั้งแต่เด็กมาจากผู้ใดกัน”
คนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับคือเจ้าเกาะคลื่นพิโรธ มนุษย์มังกรที่มีด้ายเงินปะปนอยู่บนแผงคอผู้นี้ มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาตั้งตรงของเขาหดลงอย่างรุนแรง สีหน้าดูซับซ้อนสุดขีด
มันเป็นการผสมผสานระหว่างความโกรธอันลึกซึ้งและความกลัวอันรุนแรง
ในช่วงเวลาที่เนิ่นนานมาแล้ว ผู้แข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวผู้หนึ่งเปิดฉากนองเลือดกลืนกินทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ที่อยู่โพ้นทะเลอย่างกำเริบเสิบสาน มันกำจัดทายาทเทพมารขั้นสามขึ้นไปจนเกือบหมดสิ้น
หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน บิดาของบิดาของเจ้าเกาะคลื่นพิโรธก็ตายภายใต้คมเขี้ยวของผู้นั้น
และบิดาที่เป็นระดับเหนือมนุษย์ เนื่องจากระดับขั้นไม่เพียงพอจึงโชคดีมีชีวิตรอดมาได้
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธไม่ได้ประสบเหตุจลาจลอันน่าสะพรึงนั้นด้วยตัวเอง แต่เขาได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต
ราชินีเงือกกับผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพเข้าใจคำพูดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตามลำดับ เกล็ดของราชินีเงือกตั้งตรงราวกับลูกแมวที่ขนตั้งชู ใบหน้างดงามราวกับบุปผาหยกซีดขาวอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางอาอากาศที่ร้อนอบอ้าว นางกลับหนาวสะท้าน แขนขาวราวหิมะเกิดอาการขนลุกขึ้นมา
เท้าทั้งสองของผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพสั่นเทา ทั้งรู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง และหวาดหวั่นพรั่นพรึง เขาพูดเสียงติดอ่าง
“ลาก่อน ลาก่อน…”
เขากะจะขี่มัจฉายักษ์จากไปทันที หนีกลับไปเกาะเต่าเทพ
หางจิ้งจอกสีขาวราวหิมะที่มีขนปุกปุยยื่นออกมารัดพันผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพไว้
นางปีศาจผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“พูดให้จบแล้วค่อยไป ไม่อย่างนั้นกระดองเต่าบนหลังเจ้าจะถูกลอกออกมาทำหม้อ”
“นี่นี่นี่…”
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพมองดูเจ้าเกาะคลื่นพิโรธหลายครั้ง ดีเลวอย่างไรก็เคยพบเจอกันมาก่อน พอมีมิตรภาพอยู่บ้าง หวังว่าเขาจะช่วยพูดสักสองสามประโยค
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพผิดหวังก็คือ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีทีท่าจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้
อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพทำได้แค่พูดต่อ
“พวกเราไม่กล้าปะทะจึงถอยออกไป คิดว่าเกาะแห่งนั้นมีสิ่งผนึกต้องห้ามอันทรงพลังกั้นอยู่ ถึงอย่างไรเขาก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่า เขาไม่เพียงแต่สามารถเข้าใกล้เกาะเทพมารได้ ยังใช้เขาบนหัวทำลายสิ่งกีดขวางโดยตรง…หากเป็นท่านนั้นล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย“
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธขมวดคิ้วมุ่น
“ทายาทเทพมารคนอื่นๆ ล่ะ ติดตามผู้นั้นเข้าไปหรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพส่ายหน้า
“หลังจากเขาเข้าไปแล้ว ผนึกต้องห้ามก็ปิดลงอีกครั้ง นอกจากนี้เขายังปราบวาฬมังกร อาชาดำ และวิหคเพลิงให้อยู่มือได้ ให้ทายาททั้งสามเฝ้าประตูและขับไล่ทายาทเทพมารที่เข้าใกล้เกาะเทพมาร พวกเขาทรงพลังเกินไป ก่อนข้าถอยออกมาก็มีทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ตายในเงื้อมมือของพวกเขาแล้ว”
ในบรรดาทายาทเทพมารทั้งสาม ราชินีเงือกเคยได้ยินแต่อาชาดำ
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธพยักหน้าและถ่ายทอดความคิดของเขา
“วาฬมังกร อาชาดำ และวิหคเพลิงล้วนเป็นทายาทเทพมารที่ทรงพลังสุด พลังต่อสู้ของอาชาดำเทียบเท่ากับข้า วาฬมังกรก็แข็งแกร่งกว่าข้ามาก”
ส่วนวิหคเพลิงนั้น ท้องฟ้าและมหาสมุทรไม่ใช่อาณาจักรเดียวกัน ใครจะแข็งแกร่ง ใครจะอ่อนแอนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นเจ้าของสนามรบ
หลังจากผู้อาวุโสแห่งเต่าเทพพูดทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ขี่พาหนะพาคนในเผ่าถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ไปให้ห่างจากสถานที่ถูกผิดแห่งนี้
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธใช้สายตามองส่งเต่าเทพ จากนั้นก็หันไปมองจิ้งจอกสวรรค์ก่อนกล่าว
“กลับกันเถอะ เกาะเทพมารถูกผู้นั้นครอบครองแล้ว เข้าใกล้ก็มีแต่ตายสถานเดียว”
นี่ยังไม่รวมถึงผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนเกาะ
………………………………………
……….