ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 850 ไปนอน
บทที่ 850 ไปนอน
……….
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ราชินีเงือกก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าเคร่งขรึม
“ร่างกายของเขาถูกสลักไว้ด้วยพลังทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาด มันไม่ใช่พรสวรรค์แต่กำเนิดของเขา พรสวรรค์แต่กำเนิดของเขาคือระบบน้ำกับกายเนื้อ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสามารถควบแน่นพลังงานจิตวิญญาณได้หลังจากรับมันมาแล้ว”
“ข้าคิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบ้าคลั่ง น่าเสียดายครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเขาคือเมื่อห้าฤดูร้อนที่แล้ว ข้าไม่รู้เลยว่าเมื่อเร็วๆ นี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหันกลับมาและแปลบทสนทนานี้เป็นภาษาของสวี่ชีอัน
บ้าไปแล้วแต่ยังมาหานาง แสดงว่าอาจเป็นความรักจริงๆ…สวี่ชีอันมองใบหน้าละมุนละไมของราชินีเงือกแล้วพูดว่า
“เราจะสื่อสารกันด้วยกระแสความคิดของเราได้หรือไม่? ข้าไม่เข้าใจภาษาเทพมาร”
ในระดับราชินีเงือก การสื่อสารด้วยกระแสความคิดย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหันหน้ามายิ้ม มองราชินีเงือกแล้วพูดว่า
“เขาบอกว่าต้องการสื่อสารกับเจ้าด้วยวิธีพิเศษ”
“วิธีพิเศษ?” ราชินีเงือกถามน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใช่แล้ว!” นางปีศาจผมขาวยิ้มมุมปากแล้วพูดจาเจ้าเล่ห์แสนกล
“เหมือนการเสพสม!”
ใบหน้าอ่อนละมุนของราชินีเงือกแดงก่ำ นางจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความตกใจ โกรธและอับอาย
“ไม่ ไม่ได้…”
มนุษย์เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่อุทิศตนเพื่อคู่เพียงคนเดียวในชีวิต
นางปีศาจผมขาวถามด้วยความประหลาดใจ
“เจ้ามีคู่แล้วหรือ?”
“ไม่…” ราชินีเงือกส่ายหัวเล็กน้อย
“เหนือมนุษย์นั้นมีอายุขัยยืนยาว ข้ายังเยาว์นัก ข้าไม่รีบร้อนหาคู่ การเสพสมนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้าจะเสพสมเฉพาะกับคู่ของตัวเองเท่านั้น”
หลังจากพูดออกไปเช่นนั้นแล้ว นางก็รู้สึกว่าปฏิเสธเด็ดขาดมากเกินไป เกรงว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งผู้นี้จะไร้ความปรานี ดังนั้นนางจึงนิ่วหน้าอ้อนวอนขอร้องน่าเวทนา
“ท่านเจ้าอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ โปรดช่วยข้าพเจ้าวิงวอนด้วยเถิด”
พวกนางกำลังพูดเรื่องอะไร ราชินีเงือกยกสำนวนโวหารมามากมาย ถ้าท่านไม่เคยเรียนภาษาต่างเผ่าพันธุ์ก็ยิ่งเสียเปรียบ! โอ้เทพยดา เหตุใดข้าคิดที่จะเรียนภาษาต่างเผ่าพันธุ์หลังจากเดินทางข้ามเวลาอีกล่ะ นี่มันแย่มากเลยนะ…แม้ภายนอกสวี่ชีอันดูสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปมายาหลากสีสันเปี่ยมชีวิตชีวา
“ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะขอร้องให้เจ้าเอง” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหันไปบอกสวี่ชีอัน “นางคิดว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และอยากเสพสมกับเจ้า นางหวังว่าข้าจะเป็นแม่สื่อให้นางได้”
กัดฟันสะกดอารมณ์ไว้ก่อน…สวี่ชีอันมองนางด้วยสายตาเย็นชา
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะผลักเจ้าลงพื้นแล้วตีเจ้าต่อหน้าทุกคนเดี๋ยวนี้”
เขาไม่ใช่คนบ้าตัณหา ดังนั้นเขาจึงนึกได้ว่าจิ้งจอกเก้าหางเห็นเขาเป็นตัวตลก
เนื่องจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่จริงจังและรักเดียวใจเดียว การเลือกคู่ครองจึงเป็นเรื่องจริงจังอย่างยิ่ง
ราชินีเงือกไม่ใช่หญิงร่านที่เห็นผู้ชายแล้วแข้งขาอ่อน หากนางยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่งง่ายๆ นางคงยอมจำนนต่อมังกรน้ำไปนานแล้ว
นางปีศาจผมขาวชักสีหน้าเล็กน้อยราวกับกำลังหวนนึกถึงความทรงจำอันเลวร้าย นางจ้องมองเขาแล้วพูดเสียงดัง
“ข้าล้อเล่นน่ะ!”
ท่าทางเช่นนี้คล้ายมีกลิ่นหอมลอยลมปนอยู่ แต่กลิ่นหอมลอยลมเป็นอารมณ์อ่อนโยนมีน้ำใจ ไม่มีทางเป็นจิ้งจอกที่แก่นแท้แล้วชอบล้อเลียนผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองดูราชินีเงือกและพูดว่า
“ข้าจะช่วยเจ้าโน้มน้าวเขาเอง”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็นำหัวข้อนี้กลับมาและเสนอให้สื่อสารผ่านกระแสความคิด
ราชินีเงือกพยักหน้าเล็กน้อย
“ทะเลตะวันตกอยู่ที่ไหนและอยู่ห่างจากที่นี่เพียงใด?”
ราชินีเงือกคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ว่ายน้ำไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเวลายี่สิบวันยี่สิบคืนก็จะถึงอาณาเขตของเขา ข้าเคยไปที่นั่นและการที่เขาเป็นอะไรไปก็ไม่น่าเกี่ยวข้องกับอาณาเขต”
ยี่สิบวันยี่สิบคืน หากมนุษย์เงือกสามารถควบคุมน้ำได้ การเดินทางย่อมไม่ล่าช้าเกินไป แม้ข้าจะเหินฟ้าเต็มกำลังก็อาจใช้เวลาประมาณสิบวัน แต่มันอยู่ไกลเกินไป…สวี่ชีอันพยักหน้า
สถานที่นั้นไม่อยู่ใน ‘ช่องทางปลอดภัย’ ที่อยู่ในความควบคุมของจิ้งจอกเก้าหาง
หลังจากพูดคุยกันสองสามคำ สวี่ชีอันก็ยกเรื่องพวกนี้ไว้ทีหลังและถามถึงจุดประสงค์ในการเดินทางไปทะเลครั้งนี้
“เจ้ารู้จักผู้แข็งแกร่งในระดับเหนือมนุษย์แถบโพ้นทะเลหรือไม่ ถ้าเป็นระดับขั้นสองหรือระดับขั้นหนึ่งก็ยิ่งเป็นการดี” สวี่ชีอันเอ่ยปากถาม
ราชินีเงือกส่ายหัว
“แถบโพ้นทะเลมีระดับขั้นสองหรือสูงกว่าน้อยมาก รวมไปถึงลูกหลานเทพมารที่อยู่ในระดับขั้นสองด้วย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว
“ตามข้อมูลที่บรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อน เทพมารผู้ทรงพลังได้มายังโพ้นทะเล สังหารลูกหลานเทพมารผู้แข็งแกร่งและปล้นเอาจิตวิญญาณของพวกเขาไป จนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่มีเทพมารที่มีพลังสูงกว่าขั้นสองตนใดหลงเหลืออยู่เลย”
“แม้อาจมีลูกหลานเทพมารระดับนี้เกิดขึ้นในภายหลัง แต่ข้ายังหาไม่พบ”
เช่นเดียวกับนาง นางเป็นดาวรุ่งน้องใหม่ที่มีอายุไม่ถึงพันปี
ราชินีเงือกเหลือบมองสวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหาง “ข้าไม่เคยเห็นฆาตกรในตำนานมาก่อน แต่ข้าคิดว่ามันยังมีชีวิตอยู่และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านต้องระวังยามออกทะเล
“โดยเฉพาะท่านเจ้าอาณาจักร เพราะท่านก็เป็นลูกหลานเทพมาร ท่านเป็นเหยื่อของเขา”
สิ่งเหล่านี้เป็นความลับโบราณที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกควบคุมอยู่ ตามปกตินางไม่เคยพูดถึง แต่คราวนี้เจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจและจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์มีน้ำใจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือก ดังนั้น นางจึงบอกทุกอย่างที่รู้และเตือนพวกเขาด้วยความมีน้ำใจ
สวี่ชีอันกับจิ้งจอกเก้าหางมองหน้ากัน ผู้มาก่อนถอนหายใจ
“สถานการณ์ของฮวงนั้นพิเศษมาก เกิดอุบัติเหตุที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนกับร่างกายจนตัวเขาหลับลึก และใช้พรสวรรค์แต่กำเนิดที่เขามีได้เพียงบางส่วนเท่านั้น การล่าลูกหลานเทพมารก็น่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อปลุกร่างกายให้ตื่น”
หลังจากรู้ว่า ‘ฮวง’ เป็นเทพมาร ในตอนนั้นสวี่ชีอันก็เปลี่ยนคำเรียกชื่อเป็น ‘เขา’
บุคคลระดับสุดยอดทุกคนล้วนมีตัวตนดั่งเทพเจ้า
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า
“เจ้าเองก็อาจหาญมากกว่าเดิมเหมือนกัน เขาพยายามจะฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดและกลับสู่ระดับสุดยอด”
“เขากลืนกินเทพมารผู้ทรงพลังทั้งหมดทั้งมวลในโพ้นทะเลแล้ว แต่ยังไม่สามารถฟื้นคืนสู่ระดับสุดยอดได้ ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้าไปที่ท่านโหราจารย์ โดยคิดว่าพลังงานทางจิตวิญญาณของผู้เฝ้าประตูจะช่วยให้เขากลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ทั้งหลายทั้งปวงดังเดิมได้”
“ครั้งที่แล้ว เจ้าอาจเอาชนะเขาได้ด้วยกำลังอันดุร้าย แต่ครั้งต่อไปเขาจะบดขยี้เจ้า”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและรู้สึกปวดหัว
ลำพังระดับสุดยอดทั้งสามคนในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวยังไม่เพียงพออีกหรือ หาก ‘ฮวง’ ในโพ้นทะเลกลับคืนสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง จะเป็นสถานการณ์ที่ระดับสุดยอดหลักทั้งสี่คนในที่ราบลุ่มภาคกลางแก่งแย่งแข่งขันกัน
เสินซูกับข้าคงทำได้เพียงเอามือป้องหัวตัวเองแล้วนั่งยองๆ พลางตะโกนว่า “ใต้เท้า โปรดเมตตาด้วย”…สวี่ชีอันคิดว่าเรื่องนี้คงทำให้เขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนไม่น้อย
ราชินีเงือกตกอยู่ในอาการงุนงงหลังฟังคำสนทนาของทั้งสองคน
พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร?
‘เขาหมายถึง…ผู้ใด? เจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจบอกว่า ใครเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์?’
เจินจูปรารถนาแรงกล้าที่อยากจะรู้
เมื่อเห็นดวงตาสีทองของนางเบิกกว้างและมองเขาด้วยความสงสัย สวี่ชีอันก็อธิบายง่ายๆ
“ชายผู้นั้นชื่อ ‘ฮวง’ เขามายังแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาชิงชังข้า การตามหาเขาเป็นเป้าหมายหนึ่งของข้าในการออกทะเลครั้งนี้”
เพื่อรักษาคุณภาพของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เขาไม่ได้ให้คำอธิบายยืดยาวนัก
แต่ราชินีเงือกก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ดี ปากเล็กๆ ของนางเผยอออกเล็กน้อย นางจ้องมองเขาอย่างคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
‘จอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์คนนี้ได้ต่อสู้กับผู้เป็นตำนานของเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกและกระทั่งเอาชนะได้เชียวรึ? เขามีพลังมากขนาดไหน แล้วชายผู้ทรงพลังขนาดนี้เพิ่งเกี้ยวพาราสีนางงั้นหรือ?’
ราชินีเงือกใจเต้นแรง ช่วงหนึ่งนางบอกไม่ได้ว่าเป็นความคาดหวังหรืออาการต่อต้าน ความสุขหรือความกลัว
แต่ในฐานะสตรีผู้งามสะท้านฟ้า ความหยิ่งยะโสของนางก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
จากนั้นเขาได้ขอให้ราชินีเงือกจัดทำ ‘แผนที่โพ้นทะเล’ ที่บันทึกการตั้งถิ่นฐานของลูกหลานเทพมารให้
น่าเสียดายว่าลูกหลานเทพมารที่พบตามแผนที่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก อีกทั้งยังไม่มีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ตนใดคอยดูแล
แต่มีอยู่สองแห่งที่ถูกระบุว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือก แห่งหนึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งว่ากันว่าเป็นสนามรบในสมัยโบราณ ในสนามรบนั้นมีเหวลึกและมีสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวอาศัยอยู่ในเหวนรกนั่น
ใครเข้ามาใกล้ต้องมอดม้วยวายปราณ
อีกแห่งคือภูเขาไฟใต้น้ำในทะเลตะวันตก ลึกลงไปในภูเขาไฟ มีสัตว์ประหลาดที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง บรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกคาดเดาว่ามีเทพมาร ‘นกเพลิง’ จากสมัยโบราณอาศัยอยู่ที่นั่น
ข้าจำได้ว่านกเพลิงตายไปนานแล้ว นี่คือสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเทพกู่…สวี่ชีอันรวมเอาสถานที่ทั้งสองแห่งเข้าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของเขา ถ้าไม่ได้อะไรจากการเดินทางนี้ เขาจะไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งนี้เพื่อสำรวจ
หลังจากพูดคุยเรื่องภารกิจแล้ว สวี่ชีอันก็ถูมือ
“ข้าได้ยินมาว่าน้ำอมฤตภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกสามารถค้นหาเนื้อคู่ได้ ข้าบังอาจขอสักขนานไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”
แน่นอนว่าราชินีเงือกย่อมบอกปัดไม่ได้ สิ่งที่เผ่าพันธุ์มีอยู่อย่างไม่มีวันขาดมือคือไข่มุกนางเงือก
“ไข่มุกนางเงือกธรรมดาย่อมส่งผลกับคนธรรมดาเท่านั้น หากเจ้าต้องการค้นหาคู่รักของเหล่าเหนือมนุษย์ผู้ทรงพลัง เจ้าต้องมีไข่มุกนางเงือกที่ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทิ้งไว้ให้ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นผู้ได้มันไปจึงจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงได้”
ราชินีเงือกเม้มริมฝีปากแล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย
“ข้าจะส่งคนไปเอาเดี๋ยวนี้”
สั่งให้หัวหน้าองครักษ์ผู้มีตีนกาที่รอคอยอยู่นอกศาลาไปเอาไข่มุกนางเงือกมาให้ทันที
สี่ชั่วโมงต่อมา หัวหน้าองครักษ์ผู้มีตีนกาก็กลับมา ในมือถือหอยขนาดใหญ่ไว้ แล้วยื่นให้ราชินีเงือก
ราชินีเงือกโบกมือเบาๆ แล้วหอยยักษ์เปลือกสีดำรูปร่างเหมือนอ่างทองแดงก็ลอยหวือไปที่โต๊ะหินแล้วค่อยๆ เปิดออก
ตรงกลางเนื้อหอยสีขาวนุ่มนิ่มมีลูกปัดใสขนาดเท่าไข่สีขาวนวลไม่มีสิ่งใดเจือปนปรากฏอยู่
ดูจากรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจประเมินค่าได้แล้ว
จิ้งจอกเก้าหางมองดูลูกปัดด้วยดวงตาลุกโชน เพ่งความสนใจไปที่มัน ราวกับว่าคาดหวังให้สวี่ชีอันหยิบลูกปัดขึ้น
ท่านสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อหลอกลวงหลี่หลิงซู่ในภายหลังได้ ปล่อยให้เขาหยิบไปต่อหน้าสาวงามคนสนิท…สวี่ชีอันยื่นมือออกไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้น เขาก็ฉุกคิดได้ รีบหันหน้าไปมองนางปีศาจผมขาวแล้วพูดจากรุ่นรอยยิ้ม
“เจ้ามารับมันไปสิ!”
ด้วยนิสัยของนางจิ้งจอกตนนี้ สมบัติที่น่าสนใจเช่นนี้ นางต้องเป็นคนแรกที่ได้หยิบจับมัน เพราะนางไม่ใช่คนดีขนาดที่จะยืนดูเฉยๆ ได้
จิ้งจอกเก้าหางหรี่ตาลงแล้วยิ้ม
“เหตุใดฆ้องเงินสวี่ไม่กล้านำไข่มุกมามอบให้ข้าเอง เขากลัวจะเผยความจริงว่าที่แท้แล้วเขาแอบชื่นชมเจ้าอาณาจักรของเขาอยู่รึ?”
สวี่ชีอันเก้อไปชั่วขณะ
“ใช่ ใช่ ดังนั้นข้าจึงทำได้แค่ให้ท่านเจ้าอาณาจักรรับไปเองเท่านั้น”
นางปีศาจผมขาวสูดลมหายใจอย่างเย็นชาและยกคางแหลมขึ้น
“เจ้าอาณาจักรผู้นี้จะไม่ยอมให้เจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการ”
สวี่ชี่อันถามด้วยความฉงนสงสัย
“ท่านเจ้าอาณาจักรไม่กล้ารับเพราะกลัวจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมารึ?”
ถ้าเป็นสตรีนางอื่นตอนนี้นางต้องหน้าแดงแน่นอน แต่นางจิ้งจอกไม่เป็นเช่นนั้น นางยิ้มมีเสน่ห์และพูดว่า
“เจ้าคิดอย่างนั้นสิ!”
ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชีอันหันไปมองราชินีเงือกส่งยิ้มให้แล้วเจรจา
“ได้โปรดเถิดฝ่าบาท!”
เจินจูทำตามคำขอร้องของเขาด้วยการหยิบไข่มุกนางเงือกขึ้นมา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
นางจิ้งจอกของตายโกหกข้าจริงๆ…สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา พินิจดูไข่มุกนางเงือกแล้วใส่มันเข้าไปข้างใน
มนุษย์เงือกผู้นี้ไม่รอดแน่
…
หลังจากเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยแล้ว ราชินีเงือกก็จัดให้นางมนุษย์เงือกเต้นรำในทะเลสาบ สวี่ชีอันดูระบำของนางมนุษย์เงือกขณะอ่านข้อความ
แม้ว่าสัญญาณจะอ่อน แต่ยังสามารถรับข้อความจากสมาชิกพรรคฟ้าดินได้
หมายเลขสี่ ‘ทุกคน มีวิธีใดบ้างที่สามารถป้องกันไม่ให้ข้าโดนไฟแห่งกรรมแผดเผาตอนเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์?’
เมื่อเห็นฉู่หยวนเจิ่นตั้งคำถามนี้ สมาชิกพรรคฟ้าดินก็เงียบกริบ
หมายเลขห้า ‘เจ้าอยากบำเพ็ญคู่กับสวี่หนิงเยี่ยนงั้นหรือ?’
ลี่น่าฉลาดมาตั้งแต่เด็ก นางเอ่ยปากคาดเดาสิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในใจสมาชิกพรรคฟ้าดินได้
???
ฉู่หยวนเจิ่นรีบส่งข้อความไปอธิบายทันที
หมายเลขสี่ ‘ลี่น่า หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว! ข้าเพิ่งค้นพบหนทางที่จะเลื่อนอันดับสู่ขั้นเหนือมนุษย์ แต่ข้าต้องใช้อารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาหกประการเป็นสื่อกลาง’
ทั้งหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสองและหมายเลขสามต่างถอนหายใจโล่งอก
สาระสำคัญของการปลูกฝังจิตใจคือการสะสมเจตจำนงและอารมณ์ ทว่าไฟแห่งกรรมนั้นเป็น ‘อารมณ์’ ที่ดุร้าย หากสามารถระดมไฟแห่งกรรมได้ตลอดเวลาเพื่อใช้ฝึกฝนจิตใจ พลังต่อสู้ของฉู่หยวนเจิ่นย่อมดีขึ้นแบบก้าวกระโดดแน่นอน จนสามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพได้…สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญการปลูกฝังจิตใจสามารถเข้าใจแก่นแท้ได้ทันที
หมายเลขเจ็ด ‘พี่ฉู่ ไปนอนเถอะ เหตุใดถึงคิดจะเลื่อนอันดับเป็นขั้นเหนือมนุษย์ล่ะ? แนวโน้มทั่วไปในอนาคตก็มีเพียงจอมยุทธ์ระดับสุดยอดกับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ขั้นสองและขั้นสามเท่านั้นที่สามารถแข่งขันกันได้ แม้ว่าเจ้าจะเลื่อนอันดับเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี’
เทพบุตรย่อมไปนอนอยู่แล้ว
ไม่ว่าในความเป็นจริงหรือบนเตียง
นี่เป็นการแสดงทัศนคติในเชิงลบอย่างยิ่ง
อย่างมากที่สุด เขาก็จะลุกขึ้นมาบำเพ็ญวิทยายุทธเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทุกวัน จากนั้นก็ไปที่สำนักโหราจารย์เพื่อขอความช่วยเหลือจากศิษย์น้องร่วมสาบาน เพื่อขอโอสถวิญญาณยาวิเศษไปเสริมสร้างหยางบำรุงไต
……………………………………….
……….