ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 849 เจินจู
บทที่ 849 เจินจู
……….
เหตุผลที่อาจื่อไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือไม่เพราะในชีวิตนี้นางไม่เคยพบเจอเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อน เคยแต่ได้ยินผู้อาวุโสในเผ่าบรรยายรูปร่างหน้าตาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ฟังจากปากต่อปากเท่านั้น
ลูกหลานเทพมารมักอาศัยอยู่แถบโพ้นทะเลและไม่เคยติดต่อกับจิ่วโจว แม้จะมีบ้างบางครั้งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกขึ้นฝั่งมาสอบถามเหตุการณ์และทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์ของจิ่วโจว
จึงมักมีตำนานเกี่ยวกับมนุษย์เงือกแถวชายฝั่งแต่ก็ไม่แพร่หลายนัก
ยิ่งใกล้บ้าน ลูกหลานเทพมารก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น ถึงพวกมันจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ แต่พวกมันยังคงลักษณะร่างกายรูปร่างหน้าตาดั้งเดิมบางอย่างไว้ เว้นแต่พวกมันจะปกปิดด้วยภาพลวงตา ซึ่งก็ยากที่จะควบคุม
อย่างเช่น เมื่อราชินีแปลงร่างเป็นมนุษย์ สีตาและสีผมของนางกลับไม่เปลี่ยนแปลงและในร่างกายของนางยังมีบางส่วนเป็นเกล็ด
อาจื่อไม่เห็นว่าชายผู้นั้นมีลักษณะอะไรแปลกไป ดังนั้นนางจึงเดาอย่างกล้าหาญว่าเขาเป็นผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์
‘ใช่แล้วและยังมีจิ้งจอกเก้าหางอยู่ด้วย’…อาจื่อพูดเสริมว่า
“ผู้หญิงอีกคนเป็นลูกหลานเทพมาร นาง…”
อาจื่อบรรยายลักษณะของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอย่างละเอียด เน้นยกย่องความงามไร้ผู้เปรียบและเสน่ห์อันเร้าใจของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องความแข็งแกร่ง
เพราะนางไม่เห็นจิ้งจอกเก้าหางลงมือ
ราชินีเงือกขมวดคิ้วงดงามของนาง จากนั้นแสดงท่าทางประหลาดใจและรำพึงเบาๆ
“ข้ารู้แล้ว เป็นนางนั่นเอง”
นางมองอาจื่อ รอยยิ้มของนางอ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับสายน้ำไหลริน นางพูดเสียงแผ่วเบา
“เจ้าผิดแล้ว ควรเป็นมังกรชั่วร้ายยอมจำนนต่อจิ้งจอกเก้าหาง ไม่ใช่ผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์”
อาจื่อประหลาดใจและคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์แข็งแกร่งมาก นางเห็นด้วยตาตัวเองว่ามังกรชั่วร้ายเคารพนบนอบเขา แล้วใครคือจิ้งจอกเก้าหางล่ะ?
หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ
ราชินีเงือกพยักหน้าเล็กน้อย
“ทางชายแดนตอนใต้ของแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว มีดินแดนหนึ่งชื่อว่าอาณาจักรหมื่นปีศาจ เจ้าอาณาจักรเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง นางเป็นลูกหลานสุนัขจิ้งจอกชิงชิวเทพมารสมัยโบราณ เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว จิ้งจอกเก้าหางเคยมาที่เกาะมนุษย์เงือก ขณะนั้น อาจื่อยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทรงพลังมาก เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นแนวหน้าในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวและแถบโพ้นทะเล”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่นานมานี้ ข้าสัมผัสกลิ่นอายของนางได้ พูดตามหลักการแล้ว นางไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไปทะเล หรือเป็นไปได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว…”
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นางสัมผัสกลิ่นอายของเจ้าอาณาจักรได้บนเกาะมนุษย์เงือก อีกฝ่ายเพิ่งผ่านไปแท้ๆ แต่กลิ่นอายของนางกลับหายวับไปแล้ว นางไม่ได้หยุดอยู่ที่เกาะมนุษย์เงือก
สิ่งที่ราชินีพูดนั้นสมเหตุสมผล อาจื่อพลันตระหนักว่านางพลาดไปแล้ว กลายเป็นว่าแท้จริงแล้วคนสำคัญก็คือจิ้งจอก ไม่สิ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
นางเป็นผู้กำราบมังกรชั่วร้าย
หัวหน้าองครักษ์ยิ้ม
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่นางกำราบมังกรชั่วร้ายให้ก็เป็นเมตตาอันใหญ่หลวงต่อพวกเรา เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกแล้ว”
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือก
อาจื่อใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้จึงรีบพูดว่า
“ข้าเจอนางอยู่ข้างนอก นางมาขอพบท่าน”
ราชินีเงือกไม่ได้ตกลงทันที หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็พยักหน้าช้าๆ
“พวกนางอยู่ที่ไหน? ข้าจะพาคนในเผ่าออกไปทักทายพวกนางเป็นการส่วนตัว”
นางคิดทำข้อตกลงกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ถึงแม้จิ้งจอกจะมีเสน่ห์และดื้อรั้น แต่ท่าทีที่นางมีต่อมนุษย์เงือกกลับอ่อนโยน อย่างน้อยพวกนางก็มิใช่ศัตรู
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระดับตบะของอีกฝ่าย การจะใช้กำลังบุกเข้าไปในเกาะมนุษย์เงือกย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่อาจื่อไม่จำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้ให้รู้
ขณะที่พูดนางก็ลุกขึ้นจากเตียงหินโมราและถลาลงไปในน้ำเบาๆ ดูเหมือนน้ำจะกลับฟื้นคืนชีวิตและพวยพุ่งขึ้นราวน้ำพุ เข้ารองรับร่างบอบบางของราชินีเงือกไว้
‘คลื่น’ พานางออกจากวัง โดยมีหัวหน้าองครักษ์กับอาจื่อตามหลังราชินีมาติดๆ
ทั้งสามคนออกจากวัง ในเวลานี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกรวมตัวกันอยู่นอกวังค่อนข้างหนาแน่น บ้างก็ยืนอยู่ในน้ำบ้างก็นั่งที่โต๊ะ พูดคุยกันเสียงดัง
ข่าวที่อาจื่อนำมาทำให้เกิดการถกเถียงมากมาย แต่ไม่มีใครกล้าไปตรวจสอบ
ในเวลานี้ประตูพระราชวังเปิดออก ราชินียืนอยู่บนน้ำพุ โน้มตัวเข้าหาคนในเผ่า
เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกหยุดพูดคุยกันทันที พวกเขาตระหนักว่าราชินีจะให้คำตอบที่ถูกต้องแก่พวกเขา
“พี่น้องร่วมเผ่า!”
ราชินีเงือกมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาสีทองของนาง เสียงของนางช่างนุ่มนวลอ่อนหวานเสียจริง
“มังกรชั่วร้ายถูกสหายจากแดนไกลกำราบแล้ว วิกฤตของพวกเราสิ้นสุดลงแล้ว”
มนุษย์เงือกมองหน้ากัน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังก้องถ้ำและดังก้องอยู่เป็นเวลานาน
อาจื่อไม่ได้โกหก
ผู้แข็งแกร่งที่กำราบมังกรชั่วร้ายคือใครกัน?
…
“ท่านราชครู การแผดเผาร่างกายด้วยไฟแห่งกรรมไม่ใช่การละเล่นของเด็กๆ ผิดพลาดเพียงครั้งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจแก้ไข”
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้ววิตกกังวลแล้วพูดว่า
“นอกจากนี้ เมื่อบุคคลหนึ่งได้ปลูกฝังพลังภายในของลัทธิเต๋าจนถึงระดับเหนือมนุษย์แล้ว เมื่อนั้นก็จำต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกไฟแห่งกรรมแผดเผา ข้าควรทำเช่นไร…”
พูดจบ เขาก็เห็นไม้ปัดฝุ่นในมือลั่วอวี้เหิงกระทบตัวเขาเบาๆ สัญชาตญาณของฉู่หยวนเจิ่นบอกให้หนี แต่เขายังควบคุมตัวเองได้
ไม้ปัดฝุ่นปัดโดนแขนเขาไม่แรงนัก แต่สิ่งที่ตามมาคือความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ความรัก ความชั่วร้ายและความปรารถนา…อารมณ์เหล่านี้รุนแรงมากเหมือนน้ำท่วมทลายเขื่อน ท่วมทับเหตุผลของฉู่หยวนเจิ่นทันที
บางครั้งก็โกรธจนอยากทำลายโลกทั้งใบ โลกมนุษย์ที่แสนขุ่นมัว บางครั้งก็เศร้า คิดว่าตัวเองเป็นคนขี้แพ้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย บางครั้งก็มีความสุข จนอยากลุกขึ้นมาร้องเพลงและเต้นรำ…
ในเวลานี้ เสียงดึงดูดใจของลั่วอวี้เหิงก็แจ่มชัด เยือกเย็นดังน้ำแข็งกระทบกันพลันก้องอยู่ในหู
“กอดหยวนกลับหนึ่ง หมั่นใช้วิธีลับขัดเกลาจิตวิญญาณเลี้ยงจิตไว้เพื่อควบคุมอารมณ์ทั้งเจ็ด”
คำพูดของนางมีพลังบางอย่างที่ช่วยบรรเทาวิญญาณอันวุ่นวายของฉู่หยวนเจิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาคว้าด้ายแห่งความชัดเจนนี้เพื่อรักษาจิตเดิมของเขาให้มั่นคง จากนั้นก็เริ่มใช้พลังภายใน ‘เลี้ยงจิต’ ซึ่งก็คือการพยายามเปลี่ยนอารมณ์ทั้งเจ็ดให้เป็นกระบี่
สิ่งที่เรียกว่าการเลี้ยงจิตคือการสะสมและบีบอารมณ์ลงไปในกระบี่ วันแล้ววันเล่า จากเล็กๆ น้อยๆ ก็เพิ่มมากขึ้นและในที่สุดก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน
โดยแก่นแท้แล้ว จำต้องใช้อารมณ์และความตั้งใจอันแข็งกล้า
ไฟแห่งกรรมที่เผาผลาญกายอยู่ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ลั่วอวี้เหิงกวาดตาไปทั่วใบหน้าฉู่หยวนเจิ่นและมองไปที่กระบี่ยาวด้านหลังเขา กระบี่อยู่ในฝัก แต่แสดงความคมออกมาแล้ว
หลังถอดออกจากฝัก พลังของมันจะเป็นเช่นไร?
นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและใช้ไม้ปัดฝุ่นปัดไหล่ฉู่หยวนเจิ่นอีกครั้ง เพื่อดึงอารมณ์ที่ฝังอยู่ในร่างกายเขากลับคืนมา
ในระดับเซียนครองพิภพ ไฟแห่งกรรมมิใช่ภัยคุกคามอีกต่อไปและยังสามารถจัดการเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูได้อีกด้วย
หลังจากนำไฟแห่งกรรมกลับมา อาการของฉู่หยวนเจิ่นก็ดีขึ้นทันที เขาลืมตาขึ้น รู้สึกทั้งมีความสุขและหวาดกลัวไปพร้อมกัน เขาจ้องมองใบหน้าไร้ที่ติของท่านราชครูลั่วอวี้เหิง แล้วถอนหายใจ
“ปรากฏว่านี่คือไฟแห่งกรรมเผาผลาญร่างกาย ปรากฏว่าท่านราชครูต้องอดทนกับความเจ็บปวดเช่นนี้”
แน่นอนว่าทุกคนที่สามารถบรรลุความสำเร็จในขั้นแรกได้คือบุคคลผู้มีความอุตสาหะ มีความสามารถยอดเยี่ยมและมีโอกาสอันยิ่งใหญ่
หากไม่มีอะไรอื่น หากไฟแห่งกรรมของลัทธิเต๋าเผาผลาญร่างกายทว่าจิตตานุภาพไม่แข็งแกร่งพอ ผู้คนจะถูกลดสถานะลงกลายเป็นทาสของอารมณ์ทั้งเจ็ดเป็นเวลานาน จนจิตอาจสลายแล้วตายจากไป
แต่ลั่วอวี้เหิงอดทนกับมันมายี่สิบปี
“ท่านราชครู ข้าจะรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดด้วยตัวเองเช่นไร?” ฉู่หยวนเจิ่นขอคำแนะนำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว
เขาไม่ได้ปลูกฝังพลังภายในลัทธิเต๋า แม้ว่าวิธีการของลั่วอวี้เหิงจะถูกต้อง แต่ก็ไม่มีความหมายหากไม่สามารถผลิต ‘พลังงาน’ ได้ด้วยตัวเอง
ลั่วอวี้เหิงพูดเบาๆ
“สำรวจดูด้วยตัวเอง!”
…
ฉู่หยวนเจิ่นอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ
นิสัยของท่านราชครูนั้นไม่น่าคบจริงๆ
จอหงวนอันดับหนึ่งกล้าเพียงส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ ในใจ จากนั้น เขามองไปรอบๆ คล้ายปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าแบบมีเงื่อนไขและรู้สึกโล่งใจเมื่อไม่เห็นผู้พิทักษ์หยวน
เช่นเดียวกับสวี่หนิงเยี่ยนและคนอื่นๆ เขาป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า ‘โรคเครียดผู้พิทักษ์หยวน’
ลั่วอวี้เหิงมีใบหน้าเย็นชาและพูดน้ำเสียงเยียบเย็น
“ออกไป!”
นางเคยเห็นสวี่ชีอันทำท่านี้หลายครั้งและมันก็เหมือนกันทุกประการ
ฉู่หยวนเจิ่นตาเป็นประกายและพบว่าตัวเองถูกส่งออกมานอกประตูอารามรัตนะทันที
“ฟู่…”
เขาพ่นลมหายใจ โค้งคำนับไปที่อารามรัตนะหันหลังกลับและเดินจากไป
เขาจะเดินไปตามทางที่เหลือด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มในชุดเสื้อสีเขียวกำลังเดินต่อไปเหมือนตอนที่เขาละทิ้งวรรณกรรมไปฝึกวรยุทธ์
…
ในท้องทะเลปั่นป่วน จู่ๆ สวี่ชีอันก็เห็นพื้นผิวทะเลตรงหน้าเขายกตัวขึ้น ก่อตัวเป็นคลื่นพวยพุ่งออกมา
บนน้ำพุ มีนางมนุษย์เงือกสาวสะพรั่งงดงามยืนอยู่ เส้นผมสีเขียวเข้มของนางเกล้าสูงแบบง่ายๆ ประดับดอกเป้ยหมู่ (ดอกลิลลี่หัวงู) สองดอก ดวงตาสีทองของนางงดงามราวภาพฝัน ใบหน้าและรูปหน้าของนางผสานกันเป็นความงดงามน่าทึ่ง งดงามสะคราญตาและในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนโยนน่าสงสาร
รูปลักษณ์ใจดีอ่อนโยนเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงสวี่หลิงเยวี่ยน้องสาวผู้ลึกลับของเขา หญิงสาวอ่อนแอที่เหมือนจะคว่ำทุกคนได้ในหมัดเดียว
ช่วยกระตุ้นความปรารถนาอยากปกป้องและอยากครอบครองของบุรุษเพศ
รอบคอนางมีสร้อยคอไข่มุกห้อยอยู่ หน้าอกนางห่อหุ้มด้วยหนังปลาเหนียว ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสื้อคลุมตัวเล็กๆ เผยให้เห็นเอวขาวแข็งแรงและชายเสื้อกล้ามตัวสั้น ลำตัวส่วนล่างของนางเป็นหางปลาแข็งแรงเรียวยาว ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีน้ำเงิน
รอบตัวนางมีน้ำพุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บนน้ำพุแต่ละแห่งล้วนมีมนุษย์เงือกยืนอยู่
มองดูคร่าวๆ อาจมีมากกว่าสองพันตน
“โอ้ จัดทัพใหญ่โตจริงๆ”
นางปีศาจผมขาวกอดอกแสดงท่าที ‘ก้าวร้าว’ โดยยกคางแหลมขึ้นเล็กน้อยราวกับราชินีที่รอทูตมาพบ
ราชินีเงือกโบยบินไปพร้อมกับ ‘คลื่น’ หยุดอยู่ห่างจากเรือมากกว่าสิบเมตร ทักทายอย่างมีสัมมาคารวะ แล้วพูดเบาๆ
“คารวะท่านเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ”
“ไม่เจอกันสามร้อยปี ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรับคำว่า “อืม” มองดูราชินีเงือกแล้วยิ้มแย้มพูดจา
“เช่นกัน”
ราชินีเงือกเหลือบมองสวี่ชีอันเหมือนมองไม่เห็น แสร้งทำเป็นไม่สนใจการจ้องมองตรงๆ ของเขาแล้วพูดต่อ
“ข้าได้ยินจากอาจื่อว่าพระองค์ทรงกำราบมังกรชั่วร้ายตัวนั้นแล้ว ขอบคุณท่านเจ้าอาณาจักรที่ช่วยเหลือข้าน้อย เจินจูขอบคุณอย่างยิ่ง”
หลังจากนั้นนางก็พูดด้วยสุ้มเสียงคาดหวัง
“โปรดแสดงให้ข้าดูได้หรือไม่?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้า หางด้านหลังของนางยื่นออกไปในทะเล นางบิดเอวครั้งเดียว ก็ยกมังกรตัวใหญ่ขึ้นมา
มังกรคะนองน้ำยังคงนิ่งเฉยปล่อยให้หางจิ้งจอกยกตัวมันขึ้น
มนุษย์เงือกที่อยู่ไกลออกไปเริ่มปั่นป่วนและตกอยู่ในความหวาดกลัว แต่ไม่นานก็พบว่ามังกรชั่วร้ายนั้นเชื่องกว่าปลาหรือกุ้ง จึงค่อยๆ สงบลง พลางชี้มาทางนี้และส่งเสียงโห่ร้องด้วยความประหลาดใจ
เพราะพวกเขามั่นใจแล้วว่ามังกรน้ำที่ทรงพลังและโหดเหี้ยมถูกกำราบแล้วจริงๆ
ราชินีเงือกตรวจดูมังกร คิ้วละเอียดอ่อนของนางขมวดมุ่นเล็กน้อย “เขา เขาถูกล้างสมองหรือ?”
“เจ้าจะคิดอย่างนั้นก็ได้!” จิ้งจอกเก้าหางตอบ
“ตอนนี้มันกลายเป็นหุ่นเชิดของพวกเราแล้ว”
ราชินีเงือกถอนหายใจ สีหน้าของนางดูซับซ้อน มีทั้งความเกลียดชังและความเสียใจ สุดท้ายก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกจะจดจำน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของท่านเจ้าอาณาจักรไว้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยอมรับอย่างใจเย็นว่านางจับมังกรคะนองน้ำตัวนี้มาก่อน
“ครั้งนี้ข้าไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนข้า บังเอิญมาที่เกาะมนุษย์เงือก มันจึงเป็นเรื่องของความสะดวกสบายเท่านั้น อย่าได้ขอบคุณข้าเลย” นางปีศาจผมขาวเหลือบมองสวี่ชีอัน
ราชินีเงือกมองไปทางสวี่ชีอันพลางยิ้มหวาน
“องค์หญิง นั่นคือ…”
สวี่ชีอันไม่เข้าใจที่นางพูด จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจึงแนะนำว่า
“เขาเป็นจอมยุทธ์เหนือมนุษย์คนใหม่ในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว ฆ้องเงินสวี่ผู้โด่งดังจากราชวงศ์แห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง”
ราชินีเงือกพยักหน้าอย่างสุภาพ บ่งบอกว่ามีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์มากมายในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวและจอมยุทธ์เหนือมนุษย์เหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจ แต่สำหรับฆ้องเงินสวี่แล้ว นางไม่อาจเข้าใจได้
เนื่องจากเขาเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน นางจะไม่ดูถูกเขาอย่างแน่นอน
นางปีศาจผมขาวพูดเสริมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง”
จู่ๆ ราชินีเงือกก็หันหน้าไปมองสวี่ชีอันอีกครั้ง ม่านตาสีทองคำของนางแสดงอาการตกใจไม่มีปิดบัง
นางเข้าใจว่าขั้นหนึ่งหมายถึงอะไร การจำแนกระดับขั้นได้รับการส่งเสริมโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ และนั่นไม่ใช่สิ่งใหม่ ดังนั้น ในฐานะลูกหลานเทพมาร นางจึงเข้าใจระดับที่เป็นสัญลักษณ์ของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้
นั่นคือในสมัยโบราณที่เทพมารออกอาละวาด ยังอาจเรียกได้ว่าเป็นระดับของผู้แข็งแกร่ง
ในตอนนี้ พลังของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ก็เกือบมีชัยเหนือลูกหลานเทพมารในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวและแถบโพ้นทะเล
ราชินีเงือกก้มหัวลงทันที ไม่กล้ามองสวี่ชีอันอีกต่อไป น้ำเสียงนางเก้อเขินและยอมศิโรราบโดยไม่รู้ตัว
“เจินจูคารวะใต้เท้า”
ทันใดนั้นนางพลันตระหนักว่าอาจื่อพูดถูก แต่นางคิดผิด
‘คนที่กำราบมังกรคะนองน้ำและเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดแท้จริงแล้วน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์’
พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร?…สวี่ชีอันมีสีหน้าไร้ความรู้สึก
…
เกาะมนุษย์เงือก ในศาลากลางทะเลสาบ
มนุษย์เงือกเทินจานที่ทำจากหินขัดไว้บนหัวของพวกเขา บนแผ่นหินเต็มไปด้วยอาหารทะเลและถูกส่งไปยังศาลากลางทะเลสาบเป็นชุดๆ
ถ้ำใต้ทะเลสาบเชื่อมต่อกับไหล่เขาและเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ชาวมนุษย์เงือกมักทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ราชินีเงือกเจินจูจัดงานเลี้ยงในศาลาเพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติสองท่านจากจิ่วโจว นางเงือกแสนสวยใช้ประโยชน์จากเวลาในการจัดส่งอาหารเพื่อตรวจสอบเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้แข็งแกร่งอย่างรอบคอบ
พวกเขารู้ว่านี่คือผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่ราชินียังต้องระมัดระวัง
เขาคือผู้กำราบมังกรคะนองน้ำ
เป็นธรรมชาติของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่จะพึ่งพาและบูชาแต่ผู้แข็งแกร่ง
ในขณะที่ สวี่ชีอันกำลังกินอาหารทะเล เขาก็เหลือบมองจิ้งจอกเก้าหาง
ผู้ถูกมองยิ้มแล้วพูดว่า
“น่าเสียดายที่ไม่มีสุรา มนุษย์เงือกไม่รู้วิธีทำสุรา”
หลังจากที่นางถอนหายใจ นางก็มองดูราชินีเงือกที่อยู่ข้างๆ แล้วถามว่า
“เจ้ารู้จักมังกรคะนองน้ำตัวนั้นหรือไม่?”
ราชินีเงือกค่อนข้างระมัดระวังและแอบมองสวี่ชีอันเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจเอ่ยถาม นางก็รีบสงบสติอารมณ์และทำหน้าตาเคร่งเครียด
“เขาเป็นเจ้ายุทธจักรแห่งเกาะมังกรในทะเลตะวันตก เคยพบข้าเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่นั้นมาก็ไล่ตามเกี้ยวพาราสีข้าแทบบ้า ช่างน่ารำคาญมาก”
จิ้งจอกเก้าหางหรี่ตาลง
“แล้วรู้หรือไม่เหตุใดเขาถึงกลายเป็นบ้าไปได้”
……………………………………….
……….