ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 848 สยบเชื่อฟัง
บทที่ 848 สยบเชื่อฟัง
……….
มนุษย์เงือกหญิงตะเกียกตะกายหนีพร้อมกับเผยสีหน้าหวาดกลัว หางเรียวยาวสะบัดดิ้นไม่หยุดหย่อน ดูราวกับปลาที่โดนมนุษย์จับขึ้นไปอยู่กลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนั้นเองสวี่ชีอันถึงค่อยเห็นท่อนล่างของมนุษย์เงือกหญิงตนนั้นชัดเจน หากเทียบกับมนุษย์เงือกทั่วไปอาจไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ทว่าส่วนครีบหางนั้นจะหนาและใหญ่กว่า จนรู้สึกได้ว่าสามารถตีคนตายได้เลย
หางมนุษย์เงือกช่างมีพละกำลังยิ่ง ซ้ำยังดูงดงาม หากเทียบกับมนุษย์สตรีเพศ ขาก็คงเรียวยาว ไม่สิ ก็คงเป็นขาที่น่ามองและแข็งแกร่ง…เมื่อสวี่ชีอันสังเกตเห็นเกราะไม้หวายบนตัวนางและสร้อยคอที่ร้อยเรียงจากไข่มุกระคนเปลือกหอย เขาก็ส่งกระแสความคิดไปว่า
‘เจ้าคือผู้คุ้มกันของราชินีเงือกหรือ?’
มนุษย์เงือกย่อมไม่สามารถพูดภาษามนุษย์อยู่แล้ว โชคดีที่จิตเดิมแข็งแกร่งขึ้นในระดับที่มั่นคงแล้ว จึงสามารถส่งกระแสความคิดแทนการพูดได้
วิธีการที่ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตัวเองได้ง่ายดายที่สุด ก็คือการใช้กระแสความคิดแทนการพูดนั่นเอง ซึ่งจิตเดิมต้องอยู่อย่างน้อยระดับเหนือมนุษย์ (สำหรับส่งหาจอมยุทธ์เท่านั้น)
“พวกเจ้าเป็นใครกัน!”
มนุษย์เงือกตนนั้นกล่าวโพล่งออกมา
แต่มนุษย์เงือกพูดภาษาเทพมาร ซึ่งเป็นภาษาที่ถูกสืบทอดมาจากสมัยบรรพกาล ดังนั้นสวี่ชีอันจึงฟังไม่ออก
จากนั้นปีศาจสาวผมสีเงินโฉมสะคราญก็เอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาถามพวกข้า จงตอบคำถามของข้ามาเสีย”
นางปลดปล่อยกลิ่นอายข่มขู่ทันที ทำให้มนุษย์เงือกหญิงถึงกับหางสั่นไหวและเผยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะออกแรงเพื่อผงกศีรษะ
ใบหน้าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางดูขึงขังและเย็นชาสุดขีด ฉะนั้นยามนี้นางถึงค่อยดูมีราศีอันสูงส่งเยือกเย็นอย่างราชินีขึ้นมาบ้าง จากนั้นนางก็ถามว่า
“เกาะมนุษย์เงือกของพวกเจ้ากำลังเจอปัญหาอยู่ใช่หรือไม่”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น สายตาของนางก็เหลือบเห็นศพมนุษย์เงือกที่เหลือครึ่งท่อนบนดาดฟ้าเรือ
มนุษย์เงือกหญิงที่ถูกสวี่ชีอัน ‘หิ้ว’ อยู่กลางอากาศ สายตาพลันหยุดนิ่งค้างอยู่ตรงซากศพบนดาดฟ้าเรือ แล้วเผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา “ไม่นานนี้ มีผู้ทรงพลังที่เป็นลูกหลานของเทพมารมายังเกาะมนุษย์เงือก และกลืนกินคนในเผ่าเราไปไม่น้อย ส่วนราชินีก็นำผู้คุ้มกันออกทะเลไปสู้รบ ไม่สามารถขับไล่อีกฝ่ายได้ เหล่าพี่สาวน้องสาวจึงล้วนโดนจับกินไปมากมาย”
มุมมองความรักของมนุษย์เงือกนั้นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่จนแทบจะผิดปกติ ซึ่งมักจะเจอคู่รักที่ยืนกรานจะมีลูกแค่คนเดียว เรื่องมีลูกสามคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่สองคนพวกเขาก็ไม่ยินยอมแล้ว
ดังนั้น แม้การสืบเผ่าพันธุ์จะไม่ได้สิ้นสุดลง แต่จำนวนประชากรมนุษย์เงือกก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น บางครั้งถึงกับลดลงด้วยซ้ำ
มนุษย์เงือกทุกตนในเผ่าจึงสำคัญล้ำค่ายิ่ง
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “เหตุใดมังกรน้ำนั่นถึงอยากจะกินพวกเจ้าล่ะ”
มนุษย์เงือกหญิงส่ายหน้าอย่างหดหู่ใจ แล้วตอบว่า
“ข้าไม่รู้
“ตอนนี้คนในเผ่ากำลังหลบซ่อนอยู่ในถ้ำที่เกาะ ไม่กล้าออกทะเล อีกทั้งองค์ราชินียังได้รับบาดเจ็บ และกำลังรักษาตัวในวัง ส่วนข้าก็แค่ออกมาตรวจสอบสถานการณ์เท่านั้น แล้วเมื่อครู่ก็ได้ยินเสียงร้องของมันดังจากทางนี้ จึงเข้ามาดู”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงความน่ากลัวที่ถูกสัตว์ประหลาดเข้าครอบงำ นัยน์ตาที่ดั่งเศษเม็ดทองสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก นางมองซ้ายแลขวา ก่อนจะเอ่ยอย่างสั่นเทาว่า
“พวกเจ้าก็เคยเจอการจู่โจมของมันแล้วสินะ
“ข้าเพียงแค่มาตรวจสอบสถานการณ์ มิได้มีเจตนาร้ายอันใด พวกเจ้าได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด หากให้มันพบข้า มันอาจคลุ้มคลั่งขึ้นมา”
เมื่อเห็นว่าสวี่ชีอันและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนไม่มีท่าทีจะตระหนักถึงความร้ายแรงจากปัญหาเลยสักนิด นางก็พูดอย่างร้อนใจกว่าเดิมว่า
“พวกเจ้าคงจะยังไม่รู้ว่า หากมันพบมนุษย์เงือกก็อาจเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ มีครั้งหนึ่งมันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้น แม้แต่องค์ราชินีก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้มันด้วยซ้ำ”
ต่อให้มันไปแล้ว ก็อย่าได้คิดว่าจะไร้ซึ่งปัญหาอะไรอีก
สวี่ชีอันที่ฟังภาษาเทพมารไม่ออก ก็หันหน้าไปหาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง นางจึงถ่ายทอดความหมายคำพูดของมนุษย์เงือกหญิงให้เขาฟัง
ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนทันใด เขาพลันชี้ไปที่เบื้องล่างของมนุษย์เงือกหญิง แล้วพูดอย่างตื่นตกใจว่า
ครั้นมนุษย์เงือกหญิงก้มลงมอง นางก็เห็นลูกคลื่นเหนือผิวน้ำ ก่อนจะปรากฏหัวมังกรที่ดูดุร้าย ดวงตาแดงฉานของมันกำลังจดจ้องมาที่ตัวนาง พร้อมกับค่อยๆ อ้าปากกว้างสีเลือดนั้นออก
“กรี๊ด…”
นางกรีดร้องสุดเสียง ใบหน้าพลันบิดเบี้ยวจากความกลัว หางของนางสั่นเทาปานชักกระตุก จากนั้นก็มีของเหลวสีใสพ่นออกมาจากจุดใดจุดหนึ่งของบริเวณส่วนหาง
ตกใจจนปัสสาวะเล็ดเชียว หืม? เดี๋ยวก่อนนะ มีเขี้ยวด้วย…ยามมนุษย์เงือกหญิงตนนี้กรีดร้อง สวี่ชีอันถึงสังเกตเห็นเขี้ยวเล็กๆ อันแหลมคมสองซี่ที่อยู่ในปากของนาง
เช่นนี้เผ่ามนุษย์เงือกก็ไม่ได้ลิ้มรสของดีน่ะซี…เขามีความคิดเสียดายอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขู่อีกฝ่ายต่อ จากนั้นจึงควบคุมให้มังกรน้ำลงสู่ใต้ทะเลลึกไป เมื่อมนุษย์เงือกหญิงสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาถึงค่อยกล่าว
“มันโดนข้าสยบลงจนเชื่อฟังแล้ว ตอนนี้จงพาพวกข้าไปพบองค์ราชินีเงือกเสีย”
สายตาของมนุษย์เงือกหญิงเหลือบมองไปยังผิวน้ำอยู่บ่อยครั้ง มีท่าทีไม่เชื่ออีกฝ่ายหมดใจ และสีหน้ายังมีความหวาดกลัวอยู่
สวี่ชีอันจึงควบคุมมังกรน้ำโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และสั่งให้มันแหวกว่ายวนรอบเรืออย่างเชื่อฟัง
มนุษย์เงือกหญิงได้เห็นฉากนี้เองกับตา ถึงค่อยๆ ยอมรับความจริงและเลือกที่จะเชื่ออีกฝ่าย จากนั้นนางก็มองไปทางสวี่ชีอันด้วยแววตาที่ตื่นตะลึงจนยากที่เก็บซ่อนเร้น
เป็นที่รู้กันว่าเจ้ามังกรน้ำตนนี้แข็งแกร่งกว่าองค์ราชินีเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่นึกเลยว่าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังปานนี้ จะยอมสยบเชื่อฟังด้วยความเต็มใจ
นี่มันยากกว่าลงมือสังหารมันเสียอีก
เพราะนางรู้มาว่าสติปัญญาของมังกรอำมหิตตนนี้เข้าขั้นบ้าคลั่ง หาได้มีคุณธรรมไม่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มนุษย์เงือกหญิงก็รู้สึกทั้งเคารพและหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่นางก็ยังส่ายหน้าด้วยความแข็งข้อ
“ขะ…ข้าต้องไปทูลกับองค์ราชินีก่อน”
นางไม่อาจพาผู้แข็งแกร่งที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้เข้าพบราชินีเป็นการส่วนตัวได้ นี่คือจิตสำนึกที่พึงมีของผู้คุ้มกันของราชินี เป็นจิตสำนึกที่สูงส่งยิ่งกว่าชีวิต
สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ
“รีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
…
ณ เมืองหลวง
ภายในลานเล็กๆ ของอารามรัตนะนั้น ฉู่หยวนเจิ่นกำลังนั่งทำสมาธิกลางห้องสงบจิต พลางมองลั่วอวี้เหิงผู้มีรูปโฉมงามดั่งเซียนสวรรค์ชั้นเก้านั่งอยู่เบาะฝ่ายตรงข้ามเขา
“ราชครูคิดว่า ข้าควรจะเดินในหนทางของตนอย่างไรดี ถึงจะเลื่อนขึ้นก้าวสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้?”
ฉู่หยวนเจิ่นขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
ในฐานะศิษย์ในนามแห่งนิกายมนุษย์ ทางที่ต้องเดินย่อมคือมรรคกระบี่ ฉะนั้นบุคคลเดียวที่ฉู่หยวนเจิ่นสามารถขอคำชี้แนะได้จึงมีเพียงลั่วอวี้เหิง
ทั้งคำพูดก่อนออกเดินทางของสวี่ชีอัน รวมถึงเรื่องบรรดาสมาชิกพรรคฟ้าดินได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับเหนือมนุษย์อย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้เขาเกิดความกดดันมหาศาล และยังทำให้เขาร้อนอกร้อนใจอยากจะเลื่อนขั้นของตัวเอง เพื่อก้าวผ่านมนุษย์ธรรมดาเข้าสู่ขอบเขตเหนือมนุษย์
ลั่วอวี้เหิงยามอยู่ต่อหน้าคนนอก จะมีท่าทีเย็นชาหยิ่งยโสเสมอ ดูเข้มงวดจนไม่อาจล่วงเกินได้เลย
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วค่อยๆ กล่าวขึ้นว่า
“วิชากระบี่ของนิกายมนุษย์ประกอบด้วยสามหลักการ ซึ่งคือ การควบคุม จิตใจ และลมปราณ สองอย่างแรกหากคิดอยากจะแสดงออกมาให้เต็มที่สุดๆ ก็ต้องได้จิตเดิมอันแข็งแกร่งหนุนช่วยด้วย เจ้าที่ไม่ได้ฝึกพลังภายใน ขั้นสี่ก็ถือเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ส่วนเรื่องลมปราณและการเลี้ยงจิตของเจ้านั้น มันได้เปิดหนทางใหม่ทั้งหมดแล้ว
“เพียงแค่ให้ความสำคัญและมุมานะมากพอ ก็จะสามารถให้มันกลายเป็นเครื่องมือสังหารได้ ทว่ายามปกติที่เผชิญกับศัตรูก็ไม่ได้จะงัดออกมาใช้ได้ง่ายๆ”
ฉู่หยวนเจิ่นฝืนยิ้มพลางเอ่ย
“ราชครูช่างสายตาหลักแหลม”
ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสริม
“การเลี้ยงจิตหรือจิตวิญญาณที่ถูกเลี้ยง มันก็คืออารมณ์ความรู้สึก ในเมื่อไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์คือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แล้วไฉนไม่ลองสำรวจด้านเหล่านี้ดูหน่อยเล่า”
ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเปล่งประกายปราดหนึ่ง ทว่าก็กลับเผยสีหน้าที่ดูซับซ้อนออกมา
เขารู้สึกว่าราชครูได้เปิดประตูโลกใบใหม่ให้แก่ตนแล้ว แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าหลังประตูนั้นอาจจะเป็นเหวลึกไปด้วย
‘หากข้าโดนไฟแห่งกรรมกัดเซาะจะทำอย่างไรดี หรือต้องตามหาสวี่ชีอันแล้วฝึกฝนหนักเป็นสองเท่ากันนะ…’ เวลานี้สีหน้าฉู่หยวนเจิ่นดูซับซ้อนยิ่งกว่าเก่า
…
ภายในถ้ำบนเกาะมนุษย์เงือก
ท่ามกลางหมู่เกาะมีถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติกระจายไปทั่ว โดยทางเข้าออกถ้ำจะเชื่อมกับใต้ท้องทะเล ยามน้ำทะเลไหลเข้าไปในถ้ำ มันก็จะกลายเป็นที่หลบภัยให้มนุษย์เงือกได้พักพิงพอดี
อาจื่อสะบัดครีบหางอันแข็งแกร่งจนกระแสน้ำปั่นป่วน แล้วพุ่งตัวไปยังใต้ท้องทะเลอย่างรวดเร็ว จากนั้นบริเวณเนื้อหนังตรงใต้วงแขนก็ปริแยกออก ก่อนจะเผยให้เห็นเหงือกที่สามารถหายใจใต้น้ำได้
ไม่นานนัก นางก็กลับถึงเกาะมนุษย์เงือกแล้ว
ซึ่งนางก็ค้นหาจนเจอทางเข้าออกของถ้ำใต้ท้องทะเลได้อย่างแม่นยำ จากนั้นก็แหวกว่ายเข้าไปด้วยความปราดเปรียว
ในไม่ช้านางก็ข้ามผ่านช่องทางดังกล่าวที่ทั้งคับแคบและยาวไกล จากนั้นนางก็เริ่มลอยขึ้นสู่ข้างบน เพียงไม่กี่เสี้ยวพริบตา โผล่พ้นเหนือผิวน้ำอย่างราบรื่นแล้ว
อาจื่อเปลี่ยนวิถีการหายใจของตัวเอง โดยกระตุกจมูกที่สูงโด่ง แล้วออกแรงสูดอากาศสดชื่นสักสองสามครั้ง
ที่แห่งนี้เป็นถ้ำขนาดใหญ่ บนเพดานถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่ดูดุจเขี้ยวตัดสลับกันห้อยลงมา ตรงกลางเป็น ‘แม่น้ำ’ แสนกว้างใหญ่ แม้พื้นทั้งสองด้านของแม่น้ำจะขรุขระไม่เรียบเสมอกัน แต่ก็ยังพอเดินได้อยู่
อาจื่อก็แหวกว่ายไปตามทางของแม่น้ำต่อ หลังจากว่ายไปสักพัก ในที่สุดนางก็เห็นวังที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ในกลางถ้ำใหญ่
วังแห่งนี้อยู่ใกล้กับกำแพงหิน ซึ่งครึ่งหนึ่งจมใต้น้ำ อีกครึ่งโผล่เหนือผิวน้ำ
รูปแบบสถาปัตยกรรมก็เรียบง่าย แค่หินก้อนใหญ่ถูกวางเป็นกองพะเนิน และมียอดแหลมอยู่บ้าง จึงไม่ได้มีความหรูหราโอ่อ่าเท่าไรนัก
ไม่ว่าจะภายในถ้ำหรือด้านนอกวัง ก็ยังปรากฏมนุษย์เงือกจำนวนมากทั้งสิ้น บางทีพวกเขาก็จะอยู่ในน้ำบ้าง บางครั้งก็ไปนั่งที่ชายฝั่งเอาครีบหางแช่น้ำทะเล พลางบ่นพึมพำด้วยใบหน้าอมทุกข์บ้าง
ทว่านับตั้งแต่มังกรชั่วร้ายตนนั้นโผล่มา เหล่ามนุษย์เงือกก็ไม่กล้าออกทะเลอีกเลย
เนื่องจากเผ่ามนุษย์เงือกมีประชากรอยู่สองพันกว่าตน เรื่องอาหารการกินจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ไป
ในช่วงตอนแรกยังพอจะมีเงือกที่ยอมเสี่ยงออกจากถ้ำใต้ทะเลลึก ไปหาอาหารบริเวณใกล้เคียง แต่รอบๆ เกาะมนุษย์เงือกก็เริ่มไม่มีปลาให้จับเป็นอาหาร
ประกอบกับทุกๆ ครั้งที่ออกไปล้วนมีเงือกที่ถูกฆ่าตายตลอด จึงยิ่งทำให้ไม่มีเงือกตนใดกล้าออกไป
แหล่งที่มาของอาหารในปัจจุบันนี้จึงเป็นผลไม้ป่าบนเกาะและสัตว์ที่อยู่อาศัยภายในเกาะแทน
แต่หากต้องดูแลทั้งเผ่ามนุษย์เงือก อาหารเหล่านี้ก็ยังน้อยเกินกว่าจะแก้ปัญหาได้
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่รอดแน่ ข้าหิวมาสองวันแล้ว ก็ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย แทบจะบ้าอยู่แล้ว”
“ไม่มีอาหารในบริเวณแถวนี้แล้ว”
“ได้เคี้ยวสาหร่ายก็ยังดี ออกไปก็ตาย จะหลบซ่อนอยู่ที่นี่ก็ตายเหมือนกัน”
“เหตุใดมังกรชั่วร้ายต้องมาเล่นงานพวกเรามนุษย์เงือกด้วยนะ? ซ้ำองค์ราชินีเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้มันอีก จะทำอย่างไรกันดี…”
เสียงแอบกระซิบกระซาบในหมู่มนุษย์เงือกดังขึ้น
แต่ละตนมีสีหน้าเคร่งเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวดไร้ซึ่งรอยยิ้ม ในกลุ่มดังกล่าวเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดันและกลัดกลุ้มใจ
มนุษย์เงือกบางตนหิวโซมากถึงขั้นร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่แล้ว
“ใต้เท้าอาจื่อกลับมาแล้ว!”
เมื่อคนในเผ่าเห็นอาจื่อกลับมา ก็ทั้งดีใจที่นางไม่ได้ตายในปากมังกรน้ำ แต่ขณะเดียวกันก็ถามด้วยความหวังว่า
“มีอาหารกลับมาบ้างหรือไม่?”
อาจื่อส่ายหน้า
“แถวนี้ไม่มีปลาหรือกุ้งนานแล้ว”
คนที่เอ่ยถามเผยใบหน้าผิดหวัง เหล่ามนุษย์เงือกที่อยู่ข้างๆ จากแววตาที่กระตือรือร้น ก็ปรากฏสีหน้าที่มืดมนลงแทน
หลังจากนั้นไม่นาน คนในเผ่าก็ถามขึ้นว่า
“แล้วเจ้ามังกรน้ำชั่วนั่นเล่า? อาจื่อเจ้าเจอมันหรือไม่?”
คนในเผ่าคนอื่นๆ ต่างก็พากันเงยหน้ามองมาที่นางอีกครั้ง
อาจื่อพยักหน้า
“มันถูกสังหารแล้ว”
ตอนนั้นเองภายในถ้ำพลันเงียบสงัด กระทั่งพวกมนุษย์เงือกที่อยู่ไกลออกไปก็ยังหันหน้ามองมาทางนี้ด้วยสายตาตื่นตะลึงและสงสัย รวมถึงความหวังอันเล็กน้อยอีกด้วย
“อาจื่อ เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
มนุษย์เงือกเฒ่าตนหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“จริงหรือ อาจื่อ ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ?”
“อย่ามาหลอกพวกเงือกนะ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจะโดนฆ่าได้อย่างไร องค์ราชินียังต้องรักษาตัวอยู่ในวังด้วยซ้ำ”
“อาจื่อ ถะ…ถ้าเจ้าโกหก ข้าจะไปทูลรายงานต่อองค์ราชินีเรื่องของเจ้า”
เหล่ามนุษย์เงือกที่อยู่โดยรอบเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา พร้อมกับพากันถามเสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่จนวุ่นวาย
ตอนนั้นเอง ประตูห้องโถงใหญ่ที่อยู่ไกลๆ พลันเปิดออก จากนั้นมนุษย์เงือกหญิงวัยกลางคนตนหนึ่งก็แหวกว่ายออกมาพร้อมกับถือไม้ง่ามเหล็ก มองดูกลุ่มมนุษย์เงือกที่กำลังรวมตัวกันอยู่ในแม่น้ำ ก่อนจะตักเตือนว่า
“องค์ราชินีกำลังรักษาตัวอยู่ อย่าส่งเสียงดัง”
นางมีรูปโฉมงามงด ทว่าเห็นได้ชัดว่ากาลเวลาได้ทิ้งริ้วรอยบนหน้าของนางเอาไว้ เพราะปลายหางตาปรากฏรอยตีนกาอยู่บางๆ
แต่ในด้านเสน่ห์ นางกลับมีกลิ่นอายที่น่าดึงดูดมากกว่าเงือกสาวเสียอีก
มนุษย์เงือกหญิงวัยกลางคนตนนี้พลันจดจ้องไปที่อาจื่อทันที จากนั้นใบหน้าเยือกเย็นของนางก็ดูอ่อนโยนลง แล้วกล่าวว่า
“กลับมาก็ดีแล้ว”
อาจื่อบิดเอว แล้วสะบัดครีบว่ายไปหาอีกฝ่าย เอ่ยว่า
“หัวหน้าผู้คุ้มกัน ข้าอยากจะขอเข้าเฝ้าองค์ราชินี มีเรื่องต้องทูลพระองค์”
มนุษย์เงือกหญิงวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ
“ตามข้ามา”
จากนั้นมนุษย์เงือกทั้งสองก็ว่ายเข้าไปในวังทันที ซึ่งโครงสร้างภายในวังเรียบง่าย โดยมีสระน้ำขนาดใหญ่หนึ่งสระ และบนผนังก็ถูกประดับประดาไปด้วยไข่มุกประกายราตรีจำนวนนับไม่ถ้วน ตกแต่งจนดูเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า
กลางสระน้ำจะเป็นฐานที่ถูกแกะสลักมาจากปะการังสีแดงพร่างพราว บนฐานดังกล่าวมีเตียงขนาดใหญ่ที่ทำจากหินโมราสีแดง โดยมีผ้าม่านบางดั่งปีกจักจั่นบดบัง ซึ่งบนเตียงนั่นมีร่างหนึ่งที่เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนชวนมอง ผิวพรรณดุจหยกกำลังนอนตะแคงข้างอยู่
รูปโฉมของนางไร้ที่ติ สวยจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสาวงามล่มเมืองได้เลย
เรือนผมยาวสีเขียวเข้มดั่งสาหร่ายนุ่มสลวยปล่อยสยาย ทรวงอกที่ได้ทรวดทรงกำลังสวมเกราะที่ทำจากหนังปลาที่ผิวหนาแข็งแกร่ง หน้าท้องส่วนล่างราบแบน ส่วนสะดือก็ยังดูน่ารักน่ามอง
เพียงแต่ใบหน้านางค่อนข้างซีดเซียว คิ้วเรียวงามขมวดเล็กน้อย ยามนี้นางดูอ่อนแอจนชวนให้คนรู้สึกสงสาร เหมือนมิใช่ราชินีผู้หยิ่งยโสเลยสักนิด
“กลับมาแล้วรึ!”
น้ำเสียงราชินีเงือกดูโรยรายิ่งนัก นัยน์ตาที่ดั่งเศษเม็ดทองของนางประหนึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา
อาจื่อเหลือบมองท้องน้อยของราชินี ซึ่งไม่เห็นแผลฉกรรจ์ของเมื่อวานแล้ว ในใจของนางจึงโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
ราชินีเงือกรับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย จึงกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“หากไม่มีอาหาร คนในเผ่าก็ไม่อาจอยู่รอดได้ พรุ่งนี้บาดแผลของข้าคงดีขึ้นแล้ว ข้าจะลองไปล่อเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น โอกาสที่พวกเจ้าจะได้ออกไปล่าหาอาหารก็คงจังหวะนี้แล”
สีหน้าหัวหน้าผู้คุ้มกันเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางอ้าปากเหมือนอยากจะห้ามปราม แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบแทน
มังกรน้ำตนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ขณะเดียวกันยังมีพลังวิเศษด้านน้ำอีก ราชินีไม่มีทางหลบการโจมตีของมันพ้นแน่
โดนลากเข้าไปพัวพันกันจนอีนุงตุงนัง ทั้งยังเป็นสงครามที่ลำบากแสนเข็ญ และมีความเสี่ยงจะตายด้วยซ้ำ
แต่นี่ก็เป็นหนทางเดียวที่เหลือแล้ว
อาจื่อสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครา ราวกับต้องการให้จิตใจสงบลง จากนั้นก็พูดว่า
“องค์ราชินี หม่อมฉันได้พบกับมังกรชั่วร้ายนั่นที่ด้านนอกแล้ว ทั้งยังเจอผู้แข็งแกร่งที่ดูลึกลับอีกสองคนด้วย
“ส่วนจะ…เจ้ามังกรชั่วร้ายนั่นก็โดนหนึ่งในนั้นที่เป็นมนุษย์เพศชายจัดการจนสยบเชื่อฟัง”
อืม น่าจะเป็นเผ่ามนุษย์แหละ
……………………………………………………..
……….