ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 844 ดินแดนของกู่
บทที่ 844 ดินแดนของกู่
……….
หลังจากข้อความถูกส่งไปแล้ว ฮว๋ายชิ่งที่กำลังว่างก็ส่งข้อความตอบกลับเป็นคนแรก
‘ทางวังส่งจดหมายมาถึงจวน เรียกตัวเจ้ากลับไปด้วยเหตุนี้เองหรือ’
สวี่ชีอันจรดนิ้วกำลังจะส่งข้อความตอบ แต่เห็นหลี่เมี่ยวเจินชิงส่งข้อความมาถามก่อน
หมายเลขสอง ‘เจ้ามาทำอะไรที่วัง!’
มากับท่านป้าไง…สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ
หมายเลขสาม ‘นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญตรงที่ข้อมูลของเทพเจ้ากู่ต่างหาก’
หมายเลขสี่ ‘น้ำค้างยามสารทฤดูคือสิ่งบอกกาล เปรียบดั่งฤดูใบไม้ร่วงหมุนเวียนมาบรรจบ สวี่หนิงเยี่ยน เรื่องพวกนี้เจ้าไม่รู้เลยหรือ’
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกทึ่ง
อ๋อ น้ำค้างยามสารทฤดูคือสิ่งบอกกาลงั้นหรือ ฤดูกาลของข้าในชาติที่แล้วไม่มีอะไรแบบนี้น่ะ…สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ
‘ข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ แต่เรื่องสำคัญของข้าคือสาเหตุที่เทพเจ้ากู่จงใจกล่าวถึงน้ำค้างยามสารทฤดูต่างหากเล่า’
ปกติเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องวันเวลา จึงไม่ค่อยเข้าใจฤดูกาลของโลกนี้มากนัก
สวี่ชีอันคิดว่า ‘น้ำค้างยามสารทฤดู’ หมายถึงชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์ หรือไม่ก็น้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงเสียอีก
หมายเลขเจ็ด ‘เห็นได้ชัดว่านี่แสดงถึงช่วงเวลาของบางสิ่งบางอย่าง หรือเวลาของสิ่งที่สำคัญมากกว่า ส่วน ‘หากไม่แปลงกู่ ย่อมหนีไม่พ้นมหาเคราะห์’ คงไม่จำเป็นต้องแปลความกันอีก’
เทพบุตรที่งานยุ่งทั้งวันสละเวลามาตอบคำถาม
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าว่าเราต้องแยกแยะให้ออก ว่าเทพเจ้ากู่ส่งข้อความถึงหนิงเยี่ยนผ่านหลิงอิน หรือว่าต้องการส่งข้อความถึงหลิงอินตรงๆ กันแน่’
หนิงเยี่ยน?! หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้นโดยสัญชาตญาณ
ฮว๋ายชิ่งคนนั้นแทบจะไม่เคยเรียกสวี่ชีอันแบบนี้อย่างเปิดเผยเลย
พอนึกเชื่อมโยงว่าสวี่ชีอันกลับจวนมาจากวัง จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินก็กัดฟันกรอดทันที
‘พูดถึงน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง เมื่อไม่นานมานี้เว่ยกงเพิ่งข้อความลับมา บอกว่าสำนักพุทธเตรียมจะจัดประชุมธรรมะในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร รวมกำลังพลผู้ศรัทธา’
หมายเลขแปด ‘เช่นนั้น น้ำค้างยามสารทฤดูก็เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธและประชุมธรรมะน่ะสิ?’
อาซูหลัวที่แอบอ่านเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะส่งข้อความมา
ฉู่จ้วงหยวนสเคราะห์
หมายเลขสี่ ‘หาก ‘น้ำค้างยามสารทฤดู’ เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ เช่นนั้นคำพูดนี้ย่อมเป็นข้อความที่ส่งถึงหนิงเยี่ยนผ่านหลิงอิน’
สาเหตุนั้นเรียบง่ายเทพเจ้ากู่ไม่มีทางส่งข้อความถึงหลิงอิน เพราะนางยังเป็นแค่เด็ก
ทำแบบนั้นไปไม่มีความหมาย
หากมองเช่นนี้ แสดงว่างานประชุมธรรมะมีอะไรไม่ชอบมาพากลน่ะสิ เทพเจ้ากู่ต้องการจะเตือนข้างั้นหรือ หรือต้องการจะยืมมือข้าทำลายแผนการของพระพุทธเจ้า ซึ่งแผนนี้เกี่ยวข้องกับงานประชุมธรรมะ…สวี่ชีอันดำดิ่งในห้วงความคิด
หมายเลขสอง ‘แต่ที่แน่ๆ ประโยคที่สองไม่ได้พูดกับสวี่ชีอันไอ้คนหน้าซื่อใจคดนี่หรอก’
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความไปด้วยความไม่พอใจ
ทำไมอยู่ดีๆ ข้าถึงกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดไปเสียได้…สวี่ชีอันส่งข้อความยืนยันคำพูดของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน
‘ข้าก็คิดเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเทพเจ้ากู่จะส่งคำเตือนไปถึงหลิงอิน หากไม่แปลงกู่ ก็หนีมหาเคราะห์ไม่พ้น เท่านี้ก็เข้าเค้าแล้ว’
ใจความของคำพูดนี้เกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์ เทพเจ้ากู่เตือนว่าหากไม่แปลงกู่ จะหนีไม่พ้นมหาเคราะห์ กลับกัน หากกลายเป็นกู่แล้ว จะหลีกหนีมหาเคราะห์ได้อย่างนั้นหรือ
แล้วสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้แปลงเป็นกู่จะเป็นอย่างไร
หมายเลขหนึ่ง ‘จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยังจำคำพูดของลี่น่าได้หรือไม่ พวกศาสดาพยากรณ์ของเผ่าเทียนกู่เคยทำนายว่า วันที่เทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพ จิ่วโจวจะกลายเป็นดินแดนของกู่’
!!!
คำพูดของฮว๋ายชิ่งเรียกความทรงจำเมื่อสองปีที่แล้วของทุกคนกลับมา
ตอนที่ลี่น่าส่งข่าว ‘รูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อแตกร้าว’ ในพรรคฟ้าดิน นางเคยกล่าวว่าการปกป้องเทพเจ้ากู่เป็นปณิธานที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของเผ่าพันธุ์กู่ เนื่องจากศาสดาพยากรณ์ของเผ่าเทียนกู่เคยทำนายเอาไว้ว่า เมื่อใดที่เทพเจ้ากู่คืนชีพ เมื่อนั้นทั้งจิ่วโจวจะกลายเป็นดินแดนของกู่
หรือคำทำนายของศาสดาพยากรณ์แห่งเผ่าเทียนกู่ จะทำนายถึงมหาเคราะห์? กล่าวคือ เป็นส่วนของมหาเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้ากู่…ฉู่หยวนเจิ่นเกิดประกายความคิดขึ้นมา เขาคิดว่าสิ่งที่เขาคาดเดาเป็นความจริง
‘หากไม่แปลงกู่ มหาเคราะห์จะมาเยือน เช่นนั้นเทพเจ้ากู่ต้องการจะเปลี่ยนจิ๋วโจวให้กลายเป็นดินแดนแห่งกู่อย่างนั้นหรือ? ที่แท้พวกเราก็ได้เห็นเสี้ยวมุมหนึ่งของมหาเคราะห์โดยไม่รู้ตัว…’ หลังจากหลี่เมี่ยวเจินเชื่อมโยงเบาะแสต่างๆ เข้าด้วยกัน นางก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลัน
‘อมิตตาพุทธ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’ ไต้ซือเหิงหย่วนที่ซุ่มอ่านข้อความอยู่เข้าใจขึ้นมาทันใด
เช่นนั้น เทพเจ้ากู่ก็หวังจะให้หลิงอินบรรลุวิชากู่ขั้นสูงให้ได้ในเร็ววัน หรือกระทั่งสละทิ้งร่างมนุษย์และกลายเป็นกู่อย่างนั้นหรือ มิฉะนั้นเมื่อมหาเคราะห์มาถึง จะหลีกหนีความตายไม่พ้น นี่มันความสัมพันธ์ศิษย์-อาจารย์ประสาอะไรกันวะ…สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ
อาซูหลัวและหลี่หลิงซู่เข้าร่วมพรรคเร็วที่สุด แต่ติดต่อหลังสุด พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก จึงทั้งตกใจและประหลาดใจ
หมายเลขห้า ‘ข้าพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่ว่ามันเกี่ยวกับการที่เทพเจ้ากู่เข้าฝันหลิงอินตรงไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับประโยคสุดท้ายด้วย’
ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดและสับสนกันอยู่นั้น ลี่น่าจะจ้องมองหน้าจออยู่นานก็เผยความสงสัยของนางออกมา
แต่ไม่มีใครสนใจนาง…
หมายเลขเก้า ‘ข้าคิดมาตลอดว่าประโยคหลังที่ว่า ‘หากไม่แปลงกู่ ย่อมหนีไม่พ้นมหาเคราะห์’ จะมีความหมายแฝงล้ำลึกเสียอีก แค่คิดไม่ทะลุปรุโปร่งเท่านั้นเอง’
เมื่อคืนนักบวชเต๋าจินเหลียนสนุกกับการหยอกเล่นกับพวกแมวบนหลังคาและตามตรอกซอกซอยจนลืมกลับบ้าน หลังจากที่พวกแมวแยกย้ายกันไปในตอนเช้า นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงกลับมานอนอาบแดดในสวนบ้านของตน
เดิมทีเขาไม่อยากยุ่งกับกลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดินสักเท่าไร แต่เจ้าพวกเด็กอมมือพวกนี้เอาแต่คุยกันไม่หยุดไม่หย่อน เขางีบหลับไม่ได้เพราะใจสั่นตลอดเวลา นักบวชจึงจำใจต้องเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ข้อมูลที่ล้ำค่าขนาดนี้
หมายเลขสอง ‘ท่านนักบวชมาแล้ว ข้านึกว่าท่านจะปลีกวิเวกเสียอีก พวกข้าคุยกันตั้งนานสองนานไม่เห็นท่านจะโผล่มาเลย’
แต่ละคนทยอยทักทาย ขณะเดียวกันก็บ่นในใจไปด้วย
‘นักบวชเต๋าจินเหลียนคงไม่ได้สิงร่างแมว ออกไปเที่ยวเตร่ตอนกลางคืนอีกนะ…’
‘สวี่หนิงเยี่ยนกล้าพูดเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย ไม่ให้เกียรติท่านนักบวชสักนิด…’ สมาชิกกลุ่มต่างคิดในใจ
‘เหตุใดทุกคนถึงไม่ตอบคำถามของข้าเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ ลี่น่ายังคงครุ่นคิดอยู่ในใจ
หมายเลขเก้า ‘สามหาว! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อาตมาจำต้องใช้เวลาครุ่นคิดน่ะสิ ตอนนี้อย่าเพิ่งถกกันเรื่อง ‘แปลงกู่’ เลย ‘น้ำค้างยามสารทฤดู’ น่าจะหมายถึงช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เทพเจ้ากู่น่าจะบอกว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงสำนักพุทธจะมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
‘นั่นคือ ‘ประชุมธรรมะ’ ที่หมายเลขหนึ่งพูดถึง เทพเจ้ากู่คงคิดจะยืมมือเจ้าทำลายพระพุทธเจ้า’
บวชเต๋าจินเหลียนคาดเดาเหมือนกับข้าไม่มีผิด…สวี่ชีอันแอบพยักหน้า
หมายเลขเจ็ด ‘เหตุใดจึงไม่ใช่ยามมหาเคราะห์มาเยือนเล่า’
เทพบุตรเอ่ยถึงการคาดเดาอย่างหนึ่งอย่างอาจหาญ
หมายเลขสาม ‘ถ้าถึงวันมหาเคราะห์มาเยือน เทพเจ้ากู่จะเปิดเผยตัวกับข้าหรือ อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นศัตรูกับท่าน’
หลี่หลิงซู่คล้อยตาม
หลังจากพุดคุยกันสั้นๆ และสรุปกันอีกเล็กน้อย สวี่ชีอันก็ ‘ออกจากกลุ่มแชต’ เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างดี ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
สวี่หลิงอินเป็นเหมือนกระต่ายตะกละ ริมฝีปากของนางเคี้ยวตุ้ยๆ ขณะที่กินขนมสุดหอมหวาน
“หยิบขนมแล้วก็ออกไป พี่ใหญ่อยากอยู่เงียบๆ”
สวี่ชีอันไล่เสี่ยวโต้วติงออกไป และนั่งครุ่นคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ จนกระทั่งแสงตะวันคล้อยไปทางทิศตะวันตก และเปลี่ยนเป็นสีส้ม
ในที่สุด เขาก็รู้สึกตัว หันไปมองนาฬิกาน้ำหยดที่มุมห้อง และพบว่าตอนนี้เป็นยามโหย่ว สามเค่อแล้ว
บังเอิญในตอนนี้เอง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออกส่งเสียงดัง ‘แอ๊ด’ นางข้าหลวงของหลินอันก้าวเข้ามา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ท่านราชบุตรเขย ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าเพคะ”
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน เขาลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยถาม
“องค์หญิงล่ะ”
เขาอยู่ที่ห้องหนังสือตลอดช่วงบ่าย ทว่าหลินอันไม่มาหาเขาเลย หรือความรักจืดจางไปเสียแล้ว
นางข้าหลวงตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฝ่าบาทกำลังเล่นวางหมากกับฮูหยินมู่เพคะ”
ป้ามู่เป็นชื่อที่สวี่ชีอันเรียก ขณะที่เหล่าคนรับใช้ผู้ดูแลเทพดอกไม้ต่างเรียกนางว่าฮูหยินมู่
ฮูหยินมู่ผู้นี้หน้าตาธรรมดา อายุสี่สิบกว่าปี ว่ากันว่านางเป็นหญิงหม้าย ได้มาอาศัยอยู่ที่จวนเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายหญิงบ้านสกุลสวี่
มีข่าวลือในหมู่คนรับใช้ว่าฮูหยินมู่เป็นคนสนิทของฆ้องเงินสวี่ ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกัน
ที่ช่วงนี้ฝ่าบาทหลินอันทำทุกวิถีทางเพื่อจะขุดคุ้ยข้อมูลของฮูหยินมู่ พยายามแก่งแย่งชิงดีกับนาง ก็เป็นเพราะเชื่อข่าวลือเหลวไหลเหล่านี้
เมื่อเดินออกมาจากห้องหนังสือ ผ่านโถงทางเดินและสวนที่หอมตลบอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้ เขาเดินมาจนถึงโถงชั้นใน เห็นอาสะใภ้ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ทรงสูง พลางรดน้ำหัวไชเท้าสีเขียวสวย
เห็นสวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าก้มตา นิ้วหยกเรียวจรดปลายเข็มปักลายเมฆอันวิจิตรบนเสื้อคลุมสีดำอย่างขะมักเขม้น
เห็นหลินอันและมู่หนานจือนอนคว่ำอยู่ข้างกระดานหมากล้อม สีหน้าเคร่งเครียด คิ้วงามขมวดมุ่น ทั้งสองสูสีไล่เลี่ย ไม่อาจจบตาได้
เห็นเย่จีนั่งอยู่ข้างหลินอัน เฝ้ามองสำริดสองอันกำลังฟาดฟันกัน ตรงข้ามกับนางคือสวี่หยวนซวง
เห็นลี่น่านั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะ รอคอยอาหารอย่างเบื่อหน่าย
เห็นจีไป๋ฉิงถือหนังสืออยู่ในมือ นางจิบชาพลางอ่านหนังสือไปด้วย…
เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น จู่ๆ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยกลัวว่าจะทำลายภาพของความกลมเกลียว อบอุ่นนี้ลง
ในเวลานี้เอง เสวี่หลิงเยวี่ยก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นพี่ใหญ่ยืนอยู่นอกห้องโถง ดวงตาของนางก็เป็นประกาย เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“พี่ใหญ่…”
สาวๆ ในห้องต่างหันมามอง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ดอกไม้พลันเบ่งบานในชั่วพริบตา
สวี่ชีอันก้าวเข้าไปในห้องโถง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการแข่งขันระหว่างหลินอันและเทพดอกไม้
“ท่านแม่ เย็นนี้จะอยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่หรือไม่”
“อีกเดี๋ยวหยวนไหวจะตามมา”
สวี่ชีอันมองไปรอบๆ เห็นอาสะใภ้ที่สวยวันสวยคืนนับตั้งแต่กินโอสถเสริมความงามเข้าไป “อารองกับเอ้อร์หลางล่ะขอรับ”
พวกเขาแยกย้ายกันไปตั้งแต่ต้นยามเซิน ตอนนี้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว
เห็นได้ชัดว่าอาสะใภ้ไม่ได้สนใจลูกชายและสามีเลยสักนิด นางยังเล่นกับกระถางต้นไม้แสนรักของนาง พลางตอบส่งๆ
“คงจะไปสังสรรค์ข้างนอกกระมัง”
ไม่ว่าจะเป็นเอ้อร์หลางหรือสวี่ผิงจื้อ ยิ่งยศตำแหน่งสูงเท่าไร งานเลี้ยงสังสรรค์ก็มากขึ้นเท่านั้น
อาสะใภ้คิดว่าตราบใดที่ลูกชายและสามีไม่ไปเถลไถลที่สำนักสังคีตหรือหอนางโลม นางก็ขี้คร้านจะไปเจ้ากี้เจ้าการกับทั้งสอง
แน่นอนว่าหอคณิกาก็ห้าม เพียงแต่หอคณิกานั้นระดับต่ำเกินไป ผู้ชายบ้านสกุลสวี่ไม่มีทางไปกินดื่มในที่ชั้นต่ำเช่นนั้นได้ ดังนั้นสถานที่แห่งนั้นจึงไม่อยู่ในขอบเขตความกังวลของอาสะใภ้
ขณะที่สองอาหลานกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น อารองสวี่ก็กลับมาพอดี
อารองสวมเกราะเบาของกองดาบ ดาบเหน็บเอว ทุกย่างก้าวของเขามีเสียงกระทบของชุดเกราะดังขึ้น เขาวางมือข้างหนึ่งบนดาบ อีกข้างถือถุงกระดาษไข
“อืม ไม่ได้ซื้อส้มเขียวหวานมาตั้งนาน”
อาสะใภ้ชินชาไปเสียแล้ว จึงตอบกลับ “เดี๋ยวข้าจะเอาไปต้มแกงให้หลิงอินดื่ม บำรุงม้าม เรียกน้ำย่อย”
อารองสวี่พยักหน้า เห็นหลานชายเพ่งมองส้มเขียวหวานในมือตน อารองก็เอ่ยขึ้นโดยไม่ลังเล ถึงขั้นแอบหยามเล็กๆ
“หนิงเยี่ยนอยากกินด้วยหรือ ได้สิ เดี๋ยวให้อาสะใภ้ของเจ้าเตรียมให้เจ้าสักชามก็แล้วกัน”
สวี่ชีอันที่ไม่ได้บริสุทธิ์ใจนักหันไปเงียบๆ
“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว!”
ในตอนนี้เอง สวี่หลิงอินที่แบกไป๋จีไว้บนหัวก็วิ่งแจ้นเข้ามาอย่างร่าเริง พอเห็นส้มเขียวหวานบนโต๊ะจากไกลๆ ฝีเท้าที่เปี่ยมสุขก็หยุดชะงัก
นางเผยสีหน้าหวาดระแวงราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจ
“หิวแล้วหรือ มากินส้มเขียวหวานสิ”
อารองสวี่รีบปอกเปลือกส้มเขียวหวานให้ลูกสาวตน น้ำส้มสาดกระจายไปทั่ว กระตุ้นประสาทรับกลิ่นของอาสะใภ้และหญิงสาวคนอื่นๆ ในห้องโถง
“คนบ้าที่ไหนกินส้มเขียวหวานรองท้องกัน!”
สวี่ชีอันบ่นในใจ อารองท่านนี่มันเหลือเกินจริงๆ
อารองสวี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้ลูกสาวตนกินจริงๆ แต่ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“เช่นนั้นทิ้งไปก็แล้วกัน”
‘ทิ้งหรือ…’ สวี่หลิงอินจัดการกับส้มเขียวหวานเงียบๆ หยิบใส่ปากแล้วเคี้ยวกร้วมๆ
เมื่อนางกินส้มเขียวหวานหมดแล้ว สวี่เอ้อร์หลางก็กลับมาพร้อมกับถุงส้มเขียวหวานอีกถุงหนึ่ง
“ส้มเขียวหวานมันอร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ”
จีไป๋ฉิงมองส้มเขียวหวานในมือสวี่เอ้อร์หลางด้วยสายตาสงสัย
ถ้าจำไม่ผิด สวี่หยวนไหวซื้อส้มเขียวหวานทุกวันมาสักพักหนึ่งแล้ว และยังกินเองจนหมดไม่เหลืออีกด้วย
ทีแรกจีไป๋ฉิงไม่ได้สนใจนัก แต่พอวันนี้ได้เห็นสวี่ผิงจื้อและสวี่ซินเหนียนซื้อส้มเขียวหวานกลับมาซ้ำกัน ก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา
อาสะใภ้และหลิงเยวี่ยต่างเคยชินกับเรื่องแปลกๆ พรรค์นี้ไปแล้วจึงเอ่ยขึ้นก่อน
“ส้มเขียวหวานเป็นยากระตุ้นความอยากอาหาร ไม่อร่อยเท่าไร แต่ดีต่อร่างกาย”
นี่เป็นความคิดที่สามนายท่านแห่งบ้านสกุลสวี่ปลูกฝังให้กับอาสะใภ้
สวี่เอ้อร์หลางยัดถุงส้มเขียวหวานใส่ในอ้อมแขนของน้องสาว แล้วพูดกำชับ
“อย่าลืมกินให้หมดล่ะ”
จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะ และรับชาร้อนจากลวี่เอ๋อมาซดดับกระหาย
เสี่ยวโต้วติงมองส้มเขียวหวานบนโต๊ะถุงหนึ่ง ในมืออีกถุงหนึ่ง ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น
กินส้มเขียวหวานสามถุงคือสถิติสูงสุดของนาง เคยผ่านพายุมรสุมมาแล้ว
ตอนนี้มีแค่สองถุงเท่านั้น สบายๆ…
อีกอย่างที่บ้านยังมีท่านอาจารย์กับไป๋จีช่วยกินแทนด้วย
จีไป๋ฉิงทอดสายตามองออกไปนอกโถง รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้น “หยวนไหวกลับมาแล้ว”
นอกห้องโถง ตามทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน สวี่หยวนไหวสวมเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สะพายฆ้องทองแดงบนอก เหน็บดาบไว้ที่เอว มือซ้ายถือถุงส้มเขียวหวานมาถุงหนึ่ง…
สวี่หยวนไหวเข้าไปในโถง ทันใดนั้นก็พบว่าทุกคนต่างจ้องมองถุงส้มในมือของตน สีหน้าพลันแปลกประหลาดขึ้นมา
หนิงเยี่ยนบอกวิธีใช้ส้มเขียวหวานกับหยวนไหวแล้วหรือ อารองสวี่เผยสีหน้าแปลกใจระคนด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
เขารู้สึกว่าลูกหลานในบ้านสกุลสวี่ได้รับมรดกตกทอดจากเขาแล้ว
‘พี่ใหญ่ไอ้คนโง่เง่า ของบางอย่างไม่ควรแพร่งพราย ก็ดันสอนคนไปเรื่อย ถ้าความแตกขึ้นมาจะทำอย่างไร เฮ้อ ไอ้จอมยุทธ์งี่เง่าเอ๊ย…’ สวี่เอ้อร์หลางคิดรอบคอบยิ่งกว่า
‘เคล็ดลับ’ แบบนี้ เขาไม่อยากจะสอนให้กับญาติผู้น้องกระจอกๆ ผู้นี้นัก
‘เหตุใดถึงรู้สึกว่าสายตาของทุกคนดูแปลกๆ กันนะ…’ สวี่หยวนไหวผงะอย่างห้ามไม่ได้
จากนั้น เขาก็พบว่าน้องสาวบ้านรองกำลังกอดถุงส้มเขียวหวานไว้ สายตาตรงแน่ว จ้องมองส้มเขียวหวานในมือของเขาอย่างว่างเปล่า นางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
‘นางอยากกินนี่เอง…’ สวี่หยวนไหวใจเต้น พยายามคลี่ยิ้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดออกมา แล้วยัดถุงส้มเขียวหวานใส่ในมือของเสี่ยวโต้วติง
“โฮฮ…”
งานเลี้ยงอาหารค่ำของบ้านสกุลสวี่เริ่มต้นด้วยเสียงร้องไห้ของสวี่หลิงอิน
…
ในช่วงกลางดึก หลังจากที่สวี่ชีอันและหลินอันเสร็จสิ้นการบำเพ็ญคู่ เขาก็ง่วงนอนผิดจากปกติ และอยากจะหลับไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับยอดฝีมือระดับเขา การนอนหลับเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นมานานแล้ว
หรือนี่คือสัญญาณเตือนของชาวยุทธจักร? ไม่สิ นี่เป็นสัญญาณเตือนของชะตาบ้านเมืองต่างหาก! !
สวี่ชีอันจับจุดผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ทันที สัญญาณเตือนชะตาบ้านเมืองเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในตอนที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึก ต้าฟ่งอยู่ในช่วงวิกฤตใกล้จะล่มสลาย ตอนนั้นชะตาบ้านเมืองเคยส่งสัญญาณเตือนเขาเช่นกัน
สวี่ชีอันทำตามใจตนเอง เข้าสู่ห้วงนิทราทันที
ในอนธการไร้สิ้นสุด เขาเห็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ทางทิศตะวันตก ส่องสว่างขึ้นอย่างช้าๆ ขับไล่ความมืดออกไป
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เขาเห็นเมฆดำหนาทึบปกคลุมท้องฟ้า ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ก้อนเมฆก่อตัวกันเป็นใบหน้าคน จ้องมองแผ่นดินอย่างเฉยเมย
ทางทิศใต้มีดวงตาสีแดงก่ำมองฝ่าขุนเขาลำธารนับพันไปทางทิศเหนือ
ทางใต้ลงไปจากทิศใต้ มีเงาบิดเบี้ยวรูปร่างไม่ชัดเจนแยกเขี้ยวกางเล็บอยู่
ความฝันพังทลายลงฉับพลัน สวี่ชีอันผุดตัวลุกขึ้น ชุดนอนเปียกโชกด้วยเหงื่อเย็น เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับขาดอากาศหายใจ
……………………………………………………….
……….