ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 838 เปิดเผยตัวจริง
บทที่ 838 เปิดเผยตัวจริง
‘ศพโบราณที่ยงโจว อรหันต์ตู้ฉิงเป็นคนสังหาร?!’
หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียนหันหน้ามองไปที่สวี่ชีอันอย่างแปลกใจ
พวกเขารู้จักศพโบราณที่วังใต้ดินดีที่สุดและ รู้ว่าศพโบราณที่ถูกทิ้งไว้หลายพันปีก่อนนั้นได้ ‘ตายอย่างโหดร้าย’ เมื่อไม่นานมานี้
แต่อย่างไรก็ไม่คาดคิดว่า ‘การตาย’ ของศพโบราณจะเกี่ยวข้องกับอรหันต์ตู้ฉิง
อาซูหลัวและจ้าวโส่วรวมถึงซุนเสวียนจี ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าใดนัก สีหน้าจึงไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ อยู่ด้านข้างและอยากรู้จุดประสงค์ที่สวี่ชีอันเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ในคุก แสงตะเกียงเล็กราวกับเม็ดถั่วส่องแสงสีเหลืองสลัวราง อรหันต์ตู้ฉิงนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบ
“ผู้ละทิ้งทางโลกไม่มุสา ดังนั้นจึงนิ่งเงียบ ถือเป็นการยอมรับเรื่องปลอมกายใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันหัวเราะ
“ตอนแรกในหมู่ยอดฝีมือเหนือสามัญที่ยงโจวนั้น นอกจากเจ้ากับระดับเพชรสองคนแล้ว ก็ยังมีเทพเจ้าหยางสองคนจากนิกายสวรรค์และข้ากับราชครู สองคนท้ายตอนนี้ตัดออกไปได้เลย ดังนั้นผู้ที่สังหารศพโบราณยงโจว นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครทำได้อีกเล่า”
ในตอนนั้นศพโบราณอยู่ในสภาวะถูกผนึก หากระดับเพชรขั้นสามคิดจะสังหารศพโบราณก็ไม่นับว่ายากเย็น แต่จะต้องทำให้เกิดความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ทว่าในเวลานั้นเมื่อสวี่ชีอันกลับไปยังสุสานโบราณของวังใต้ดินก็เห็นเพียงแค่ศพโบราณที่ถูกทำลายสติปัญญาไปโดยที่ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ดุเดือดใดๆ
ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ จะต้องมีระดับพลังขั้นกดดันจนแหลกลาญและอรหันต์ขั้นสองคนหนึ่งก็สอดคล้องอยู่พอดี
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วเอ่ย
“แต่ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเจ้ากล่าวว่าเจ้าของสุสานโบราณกลับมาหรอกหรือ? อีกอย่าง เหตุใดตู้ฉิงถึงต้องสังหารศพโบราณด้วย?”
ความชอบความสนใจในด้านสืบสวนคดีของหลานเหลียนถูกดึงออกมาแล้ว
ทุกคนต่างพากันมองไปที่สวี่ชีอัน
จากนั้นก็เป็นการเชื่อมโยงเบาะแสของฆ้องเงินสวี่ที่ใครๆ ต่างก็จับจ้อง…สวี่ชีอันเล่นมุกตลกอยู่ในใจ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวอธิบายเสียงเบา
“เริ่มแรกข้าก็มีความคิดนี้อยู่จริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจพวกสำนักพุทธ แต่ถ้าหากผู้ที่สังหารศพโบราณคือเจ้าของสุสานคนนั้น ด้วยระดับขั้นของข้าและพลังฝึกตนของเขา เหตุใดเขาไม่พุ่งมาที่ข้าตรงๆ เลยล่ะ?
กลับไปฆ่าปิดปากศพโบราณเหมือนกับทำลายหลักฐานอย่างนั้น”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความคิดของเขาในตอนนั้นคือ เจ้านายของสุสานกังวลเรื่องเหตุต้นผลกรรมที่อยู่บนตัวของฆ้องเงินสวี่ จึงไม่ได้หุนหันลงมือ
ความคิดนี้ก็ย่อมมีเหตุผล บวกกับตอนนั้นพลังฝึกตนยังมีจำกัด ศัตรูตัวฉกาจที่สุดคือสวี่ผิงเฟิงจากสำนักพุทธ ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่ได้สนใจเจ้าของสุสานโบราณ ถือคติว่าปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก ไม่ใช่ต้องคิดจนสมองแตกเพื่อไปไล่ตาม
“ต่อมาตอนที่ไปนิกายสวรรค์เพื่อพาตัวเมี่ยวเจินไป ข้าก็ได้รู้จากเทพสวรรค์ว่าร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นข้าจึงคิดว่าถ้าหากร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋ายังไม่ตาย เขาจะเป็นใครกันนะ? วันเวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เขาไปที่ใดแล้วนะ?”
“เขาคิดจะพูดอะไรกันแน่” อาซูหลัวขมวดคิ้ว
“อย่ามาทำอุบอิบจะได้หรือไม่”
สวี่ชีอันไม่สนใจเขา เพียงหัวเราะหึๆ “ความจริงข้าเคยพบกับร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าแล้วล่ะ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนชะงักนิ่ง น้ำเสียงร้อนใจเล็กน้อย
“เจ้าของสุสานโบราณก็คือร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋า!”
เมื่อเอ่ยออกมา เหล่าเหนือสามัญที่อยู่ในที่นั้นก็พากันตกตะลึง
อาซูหลัว ซุนเสวียนจี และจ้าวโส่วเพียงรู้สึกว่าได้พบเจอเรื่องครั้งใหญ่ ทั้งยังได้รู้ความลับโบราณอีกด้วย
ในสมองของหลี่เมี่ยวเจินกลับคิดถึงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับภายในสุสานขึ้นมา…หลังจากพวกสวี่ชีอันออกมาจากวังใต้ดินก็ได้บรรยายสภาพของวังใต้ดินอย่างละเอียดลออให้กับพรรคฟ้าดินแล้ว
ตอนนี้เบาะแสทั้งสองอย่างได้รับการยืนยันแล้วและยังสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจ
“อาตมารู้สึกแปลกๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่เอาชนะด่านเคราะห์ล้มเหลวจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต แต่ผู้อาวุโสแห่งนิกายมนุษย์ผู้นั้นไม่เพียงรอดชีวิตมาได้ ทว่ายังละทิ้งกายเนื้อและได้เกิดใหม่อีกด้วย ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ในลัทธิเต๋ามีเพียงปรมาจารย์เต๋าเท่านั้นจึงจะทำให้คนตะลึงถึงขนาดนี้ได้”
สวี่ชีอันกล่าวเสริม
“อีกอย่างยังสอดคล้องในเรื่องเวลาด้วย ยังจำได้หรือไม่ ฉู่หยวนเจิ่นเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มา จากเบาะแสด้านเครื่องแต่งกายของบุคคลในภาพฝาผนังและกฎเกณฑ์กับเครื่องมือยามทำพิธีเซ่นไหว้แล้ว เมื่อคิดวิเคราะห์ออกมาอย่างน้อยนั่นก็เป็นเวลาสองพันปี ถึงขั้นอาจเป็นยุคสมัยที่เนิ่นนานกว่าด้วยซ้ำ ทว่าในภาพฝาผนังยังบันทึกว่าผู้อาวุโสนิกายมนุษย์ท่านนั้นเคยสังหารงูยักษ์ และได้รับการขนานนามว่าเป็นราชครู นอกจากนี้ยังสามารถคาดเดาได้ว่า ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคสมัยที่ทายาทรุ่นหลังของเทพมารแผลงฤทธิ์”
ซุนเสวียนจีขมวดคิ้วแล้วกระแอมไอเสียงดัง
ผู้พิทักษ์หยวนเริ่มอ่านใจอย่างไม่ต้องให้บอก จึงเอ่ยถามแทนเขา
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสำนักพุทธด้วยเล่า?”
สวี่ชีอันกวาดตามองทุกคน กล่าวว่า
“ในหมู่พวกเจ้าอาจมีคนที่ไม่ค่อยรู้นัก ศพโบราณนั่นหลับใหลอยู่ในวังใต้ดินมาหลายพันปี มันทำหน้าที่เฝ้าตราหยกแห่งโชคชะตาและรอให้เจ้าของกลับมา แต่เจ้าของของมันไปทีหนึ่งก็หลายพันปี ไม่เคยกลับมาเลย จนลี่น่าเข้าไปในวังใต้ดิน มันจึงตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ โชคชะตานั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้อยู่เหนือระดับมาก ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอ่ยซ้ำ แต่เพราะเหตุใดของที่สำคัญขนาดนี้ เจ้าของวังใต้ดินจึงไม่เคยกลับมาเอามันไปเลยล่ะ?”
อาซูหลัวเอ่ยพึมพำ
“บางทีโอกาสอาจยังมาไม่ถึง หรือไม่ก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายบางอย่าง…”
สวี่ชีอันเม้มปากยิ้มแล้วพูดว่า
“เช่นถูกผนึก!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนในที่นั้นก็เข้าใจแล้ว แต่ละคนต่างพากันปากอ้าตาค้าง สีหน้าตะลึงงัน
คำพูดของสวี่ชีอันนั้นมีเพียงความหมายเดียว…พระพุทธเจ้าคือเจ้าของวังใต้ดินแห่งนี้ เขาคือนักพรตนิกายมนุษย์ผู้นั้น
คิ้วขาวของอรหันต์ตู้ฉิงยกขึ้นมาทันที ใบหน้าแก่ชราไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป ในแววตาฉายประกายความสับสนและรู้ชัดแจ่มแจ้ง
ความเงียบงันดังอยู่พักหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันเผาไหม้อยู่เงียบๆ
อาซูหลัวถอนหายใจยาวดั่งกำลังทอดถอนใจเป็นการทำลายความเงียบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา
“ปรมาจารย์เต๋าก็คือพระพุทธเจ้า…เจ้ามีหลักฐานอะไร”
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นในจิ่วโจวเป็นแน่
คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร พวกเขายังคงกำลังขบคิดข้อมูลเรื่องนี้อยู่ พร้อมทั้งพยายามตามหาช่องโหว่เพื่อพลิกทฤษฎีวิเคราะห์ของสวี่ชีอัน
เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะต้องยืนยันให้ได้แน่ชัด จะให้มี ‘ความไม่แน่ใจ’ สักนิดไม่ได้
จ้าวโส่วที่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาตลอดก็ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไม่ถูกสิ ถ้าหากเป็นเช่นนี้เขาย่อมไม่จำเป็นต้องให้เสินซูไปพิชิตอาณาจักรหมื่นปีศาจหรอก บุกเข้ามาภาคกลางตรงๆ แล้วนำโชคชะตาในสุสานโบราณกลับไปก็เป็นพอ หากถอยออกมาก้าวหนึ่ง ต่อให้โชคชะตานั้นมีไม่พอ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ถ้าหากพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของวังใต้ดิน เขาก็มีวิธีการมากมายที่จะส่งคนไปนำตราหยกกลับมา”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกว่าจ้าวโส่วพูดได้มีเหตุผล นางขมวดคิ้วกล่าวว่า
“แต่ถ้าหากพระพุทธเจ้าไม่ใช่เจ้าของวังใต้ดิน แล้วเหตุใดเขาต้องส่งอรหันต์ตู้ฉิงไปสังหารศพโบราณด้วยล่ะ?”
อรหันต์ตู้ฉิงเอ่ยพูดอย่างทนไม่ไหว
“อาตมายังไม่ได้ยอมรับ!”
นักพรตหญิงคนนี้ช่างเอาตัวเองเป็นที่ตั้งจริงๆ ตัดสินไปตรงๆ แล้วว่าเขาเป็นมือสังหารศพโบราณตัวนั้น…
สวี่ชีอันเหลือบมองอรหันต์คิ้วขาวแล้วเอ่ย
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง”
จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวโส่วแล้วตอบข้อสงสัยของเขา
“นั่นคือความเป็นไปได้แบบที่สอง โอกาสวาสนายังไม่มา ตอนนี้พวกเราสามารถตัดสินได้แล้วว่าผู้อยู่เหนือระดับมีเป้าหมายที่จะช่วงชิงโชคชะตา ถึงขั้นก่อสงครามเพื่อโชคชะตา เช่นนั้นการที่พระพุทธเจ้าซ่อนโชคชะตาชิ้นนี้ไว้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด”
‘ใช้เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาไว้ที่ก้นหีบสมบัติ…’ ทุกคนพยักหน้าช้าๆ และยอมรับคำพูดของสวี่ชีอัน
“อีกทั้งยังมีเรื่องหนึ่งที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่าสำนักพุทธมีความคิดจะให้ข้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เมื่อใด?” เขาเอ่ยถาม
“พิธีประลองสำนักพุทธ!” หลี่เมี่ยวเจินไม่แม้แต่จะคิด
“แต่หลังจากที่ข้าเข้าไปในวังใต้ดินและได้ตราหยกมา นับตั้งแต่นั้น สำนักพุทธก็คลั่งและพยายามให้ข้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ให้ได้ นั่นเป็นเพราะพุทธมหายานเท่านั้นจริงๆ หรือ?”
‘อ่า เรื่องนี้ ภายนอกทำเพื่อพุทธมหายาน แต่ความจริงคิดจะชิงโชคชะตาภายในร่างของสวี่หนิงเยี่ยนกลับไป…’ หลี่เมี่ยวเจินเม้มปากแล้วชำเลืองมองสวี่ชีอัน รู้สึกชื่นชมเล็กน้อย
คนผู้นี้กลับคิดวิเคราะห์อะไรมากมายอยู่ข้างหลัง
นางยังคิดว่าวันๆ ฆ้องเงินสวี่ที่เจ้าชู้ประตูดินเช่นนี้จะคิดแต่เรื่องที่ว่าจะนอนกับเทพดอกไม้และราชครูแบบไหนดีเสียอีก อืม ยังมีหลินอันอีกด้วย
“แต่แบบนี้ยังไม่พอจะพิสูจน์ได้ว่าพระพุทธเจ้าคือร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าหรอก จนถึงคืนนี้ข้าก็เพิ่งจะแน่ใจนี่ล่ะ” สวี่ชีอันบอก
ตอนนี้เอง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมา
“คืนนี้พอเจ้าฟังเรื่องที่เสินซูเล่าจบ ก็เพิ่งจะแน่ใจอย่างแท้จริงว่าพระพุทธเจ้าคือร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าล่ะสิ”
สวี่ชีอันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
‘นี่หมายความว่าอย่างไร…’ ทุกคนตกตะลึง
ม่านตาของอาซูหลัวหดเกร็งแล้วโพล่งออกมาว่า
“ไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่!?”
เขาฝึกฝนวิชานี้
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า
“วิธีการที่พระพุทธเจ้าแยกตัวเสินซูออกมานั้น เหมือนกันกับวิธีที่เจ้าของวังใต้ดินสร้างศพโบราณและเรื่องเหล่านี้ก็เป็นวิธีใช้แบบง่ายๆ ของวิชาไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่”
จ้าวโส่วส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“ร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่งนัก ด้วยสายการฝึกตนแบบย้อนกลับของผู้อยู่เหนือระดับ แม้ว่าการจะสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นมาอีกครั้งนั้นจะง่ายดาย แต่พรสวรรค์ของปรมาจารย์เต๋าก็กล่าวได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”
ประโยคต่อไปเจ้าจะพูดใช่หรือไม่ว่า แต่แล้วอย่างไร ก็ยังถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราสยบอยู่ดี…สวี่ชีอันว่าร้ายอยู่ในใจ
“แค่กๆๆ!”
ซุนเสวียนจีไออย่างรุนแรง เรื่องนี้ทำให้นึกถึงผู้พิทักษ์หยวนที่ทึ่มทื่อเพราะได้ยินความลับมากเกินไปขึ้นมาทันที
เขาก็ยังคิดจะมีส่วนร่วมในการระดมความคิดอย่างแข็งขันเช่นกัน
ผู้พิทักษ์หยวนสูดลมหายใจลึก พยายามอ่านใจออกมา
“ข้ายังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจหนึ่งเรื่อง ร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใด?”
ในความคิดของซุนเสวียนจี ร่างอวตารของปรมาจารย์เต๋านี้ทำเกินความจำเป็น
ตัวของปรมาจารย์เต๋านั้นอยู่เหนือระดับขั้นอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องเปลืองแรงสร้างสายการฝึกตนใหม่ที่ไม่ค่อยคุ้มค่าขึ้นมาแล้วละทิ้งฐานะในอดีตไปด้วย?
สวี่ชีอันและนักบวชเต๋าจินเหลียนมองหน้ากัน สวี่ชีอันหัวเราะกล่าว
“ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง แต่ไม่อาจยืนยันได้ นี่คือเรื่องของลัทธิเต๋า ให้นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดดีกว่า”
โอกาสแสร้งวางท่าเช่นนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นหยางเชียนฮ่วนจะต้องกระโดดออกมายกมือว่า
‘ข้าพูดเองๆ…’
แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนเพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยช้าๆ
“หลานเหลียน ยังจำที่เราเคยพูดได้หรือไม่ เรื่องภาพการผ่านด่านเคราะห์บนภาพฝาผนังนั่นน่ะ?”
“ท่านนักพรต ท่านเรียกข้าว่าเมี่ยวเจินเถอะ” จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินประท้วงขึ้น จากนั้นก็เอ่ยตอบ
“หลังจากนักพรตนิกายมนุษย์ได้เป็นราชครูก็แย่งชิงบัลลังก์เพื่อรวบรวมโชคชะตา จากนั้นพยายามใช้โชคชะตานั้นมาผ่านด่านเคราะห์ แต่ต่อมาก็ล้มเหลว”
นักบวชเต๋าจินเหลียนตอบรับ ‘อืม’ ก่อนพูดขึ้น
“ตอนนี้พอคิดดูแล้ว การคาดเดานี้น่าจะผิด ในเมื่อเขาเป็นร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋า เช่นนั้นการรวบรวมโชคชะตาจะไม่ใช่เพื่อผ่านด่านเคราะห์ ที่เขาชิงบัลลังก์นั้นมีเป้าหมายอื่น แต่ว่าต่อมาก็พบว่าผู้ได้รับโชคชะตาไม่อาจมีชีวิตยืนยาว ดังนั้นจึงทำได้เพียงยืมเคราะห์สวรรค์มาสังหารตัวเองแล้วกำจัดร่างเดิมทิ้ง โชคชะตาจะต้องแยกออกมาในช่วงเวลานั้นแน่”
นี่มัน…หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึงไปพักหนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ไม่รู้หลักการที่ว่าผู้มีโชคชะตายิ่งใหญ่จะไม่มีชีวิตยืนยาวเช่นนั้นหรือ?”
จ้าวโส่วผู้เป็นปัญญาชนกล่าวพูด
“เจ้าไม่อาจใช้มุมมองของคนในปัจจุบันไปตัดสินแทนศพโบราณ ยุคสมัยที่ปรมาจารย์เต๋ายังมีชีวิตอยู่นั้น เผ่ามนุษย์เพิ่งจะโผล่ออกมา ลูกหลานเทพมารยังสร้างความวุ่นวายไปทั่วจิ่วโจว ในเวลานั้น แผ่นดินจิ่วโจวมีชนเผ่าและอาณาจักรมากมายผุดเป็นดอกเห็ด จึงไม่อาจรวบรวมชะตาแผ่นดินอย่างยิ่งใหญ่ได้เหมือนราชวงศ์ในภาคกลางปัจจุบัน ปรมาจารย์เต๋าก็เหมือนข้ามแม่น้ำด้วยก้อนหิน เขาไม่รู้กฎเกณฑ์ฟ้าดินเรื่องนี้ก็ปกติ”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าช้าๆ เป็นการยอมรับคำพูดของเขา จากนั้นจึงเอ่ยถาม
“เช่นนั้นเขาขึ้นครองบัลลังก์และรวบรวมโชคชะตาเพราะเหตุใดกัน?”
พูดจบ นางก็รู้คำตอบได้เอง
“เกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์ประตูหรือไม่?”
ปรมาจารย์เต๋าในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาได้วางแผนและพยายามอย่างหนักเพื่อผู้พิทักษ์ประตูมาตลอด ร่างอวตารของฟ้าดินเป็นเช่นนี้ ร่างอวตารของนิกายมนุษย์ก็ย่อมเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“นี่ไม่ถูกต้อง” อาซูหลัวขมวดคิ้วมองนักบวชเต๋าจินเหลียน
“ผู้พิทักษ์ประตูไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวิถีแห่งควันธูปและสายการฝึกตนโหรหรอกหรือ? เหตุใดถึงเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิโลกมนุษย์ได้เล่า”
ร่างอวตารนิกายปฐพีของปรมาจารย์เต๋าทำลายวิถีแห่งควันธูปแล้วปล้นชิงผนึกภูผาธาราเพื่อผู้พิทักษ์ประตู
และโหรก็สืบทอดวิถีแห่งควันธูปมา ท่านโหราจารย์จึงเป็นผู้พิทักษ์ประตูอย่างแน่นอน
ผู้พิทักษ์ประตูกับสายการฝึกตนโหรเกี่ยวข้องกัน นี่คือความจริงที่เที่ยงแท้แน่นอน
สวี่ชีอันโบกไม้โบกมือ
“เมื่อกี้ก็พูดแล้วไม่ใช่หรือ เขาเดินมาผิดทาง เช่นนี้ก็จะอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไปก่อตั้งสำนักพุทธที่ดินแดนประจิมทิศ บางทีครั้งนี้ต่างหากเขาจึงจะเดินถูกทางจริงๆ”
แต่วิธีการลอกโชคชะตาออกมาเช่นนี้ของปรมาจารย์เต๋า ข้าสามารถเรียนรู้ได้ แบบนี้ก็สามารถหลุดออกจากข้อจำกัดที่จะต้องมีอายุสั้นแล้ว
สวี่ชีอันสรุปครั้งสุดท้ายออกมาทันที
“ร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าในปีนั้นชิงบัลลังก์มา แต่กลับพบว่าผู้ที่ครอบครองโชคชะตาไม่อาจมีชีวิตยืนยาว ดังนั้นจึงยืมเคราะห์สวรรค์มาสังหารตัวเองเพื่อให้กำเนิดใหม่หลังจากสิ้นชีวิต จากนั้นก็หลุดออกจากเปลือกเก่าได้สำเร็จ และเดินทางไกลไปยังดินแดนประจิมทิศเพื่อก่อตั้งสำนักพุทธ เดิมทีเขาคิดจะทิ้งโชคชะตาของตราหยกไว้เป็นหนทางสุดท้ายที่ก้นหีบ ไหนเลยจะคิดว่าข้าจะชิงลงมือก่อน ดังนั้นจึงส่งยอดฝีมือเหนือสามัญมาจับตัวข้าหลายครั้งโดยอ้างว่าจะหลอมรวมพุทธบุตรสู่สำนักพุทธ
“อรหันต์ตู้ฉิง ถ้าข้าเดาไม่ผิด การที่เจ้ามายังภาคกลางคงไม่ใช่แค่เพื่อจับตัวข้าอย่างเดียว การสังหารศพโบราณปิดปากก็คือหนึ่งในเป้าหมายด้วยกระมัง”
สีหน้าของอรหันต์ตู้ฉิงเคร่งขรึม ไม่มีวาจาใดจะกล่าว สองมือประนมไว้แล้วก้มหน้าเอ่ยออกมา
“อามิตตาพุทธ”
“เหตุใดต้องสังหารศพโบราณปิดปาก?” หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วเอ่ยถาม
พระพุทธเจ้า หรือไม่ก็หนึ่งในพระโพธิสัตว์ทั้งสามได้ส่งอรหันต์ตู้ฉิงมาฆ่าปิดปาก นี่จะต้องไม่ใช่แค่การรักษาความลับของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแน่
เรื่องประเภทนี้ คนนอกรู้ก็แค่รู้ ไม่อาจสะเทือนสำนักพุทธได้แม้แต่เส้นผมด้วยซ้ำ
ไม่มีความจำเป็นใดต้องสังหารศพปิดปากเลยสักนิด
อรหันต์ตู้ฉิงก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ต้องถามแล้ว ขั้นสองธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่มีคุณสมบัติมารู้เรื่องเหล่านี้”
‘ขั้นสองธรรมดาๆ เท่านั้น…’ นักบวชเต๋าจินเหลียนและพวกอาซูหลัวชำเลืองมองเขาเงียบๆ
จอมยุทธ์หยาบกระด้าง
อรหันต์ตู้ฉิงถอนหายใจ
“ได้ยินมานานแล้วว่าการสืบคดีของฆ้องเงินสวี่นั้นราวกับเทพเซียน อาตมาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ความหมายในคำพูดนี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าตนได้รับคำสั่งจากสำนักพุทธให้มาสังหารศพโบราณปิดปาก
“การสังหารศพโบราณปิดปากจะต้องมีเหตุผล ทว่าเรื่องนี้ก็ถูกสรุปออกมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไป” จ้าวโส่วเอ่ยบอก
ยังไงก็เปิดเผยตัวจริงของผู้อื่นลงมาแล้ว…สวี่ชีอันกล่าว
“นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านรู้หรือไม่ว่าเจ้าของวังใต้ดินลอกโชคชะตาออกมาอย่างไร”
………………………………………….