ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 834 พวกคนที่ทำร้ายข้า จักต้องชดใช้
บทที่ 834 พวกคนที่ทำร้ายข้า จักต้องชดใช้
ด้วยเขตแดนไร้สีของพระโพธิสัตว์หลิวหลี ร่างธรรมสังสารวัฏของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน รวมถึงฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
บัดนี้พระโพธิสัตว์ทั้งสามร่วมมือกันบุกโจมตี แม้แต่ยอดจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่มีวิชายุทธ์สมบูรณ์พร้อมก็ยังถูกพลังฟาดฟันกดทับ
อีกทั้งในยามนี้ตัวสวี่ชีอันสิ้นลมหายใจแห่งชีวิตไปแล้ว เป็นร่างกายประดุจซากศพที่ไหม้เกรียมเท่านั้น
ยามนั้นเอง อาซูหลัวที่อยู่ห่างออกไปได้หยิบอัฐิธาตุอันสว่างไสวออกมา และเอ่ยเสียงทุ้มลึกว่า
“ความปรารถนาประการแรก ข้าขอให้ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งอย่างสวี่ชีอันอยู่เคียงข้างข้า”
เขาเพิ่มคำเรียกขานนำหน้านามของสวี่ชีอัน เพื่อป้องกันไม่ให้อรหัตผลแสดงอิทธิฤทธิ์ผิดคน
เพราะถึงอย่างไรผืนฟ้าใต้หล้าจิ่วโจวก็นับว่ากว้างใหญ่ไพศาล คนแซ่สวี่ นามชีอัน ย่อมมีอยู่มากมายทั่วทุกสารทิศ
อรหัตผลพลันสว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง วินาทีต่อมา สวี่ชีอันที่เผชิญหน้าท่ามกลางวงล้อมของพระโพธิสัตว์ทั้งสามก็หายวับ แล้วปรากฏตัวอยู่ข้างกายอาซูหลัว
ภายในเขตแดนไร้สีที่โอบล้อมรอบเจียหลัวซู่ ร่างธรรมสังสารวัฏจึงไม่สามารถส่องกระทบสวี่ชีอันได้ ส่งผลให้พลังของเขาลดลง
‘นี่ นี่มัน เจ้าคนทรยศ…’ เนื่องจากเจียหลัวซู่ที่ร่างกายอยู่ในเขตแดนไร้สี หัวสมองของเขาเลยใคร่ครวญอย่างเชื่องช้าลง
หลังจากสูญเสียร่างธรรมวชิระไป พลังในการต่อสู้ของเขาก็ได้รับความเสียหาย จึงไม่อาจทำลายเขตแดนของพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้
แน่นอนว่า แม้ในยามที่มีพละกำลังมหาศาล ก็อย่าหาได้มีความคิดที่จะทำลายมัน
ถึงเจียหลัวซู่จะมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถบดขยี้พระโพธิสัตว์อีกสององค์ได้ เพราะพวกเขาต่างอยู่ในขั้นหนึ่งเหมือนกัน จึงไม่ห่างชั้นกันมากมายเพียงนั้น
อาซูหลัวอ้าปากกินอรหัตผลลงไป แล้วอุ้มร่างสวี่ชีอันขึ้นมาก่อนวิ่งผละจากมา
‘สามารถกักตัวเจียหลัวซู่ไว้ในเขตแดนไร้สีของพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้สำเร็จแล้ว ถ้าเขตแดนไม่ได้ถูกทำลายล่ะก็ ก็จำเป็นต้องพาตัวเองรีบหนีไปภายในสิบอึดใจ…นี่ข้าต้องกลั้นสิบลมหายใจระหว่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์หลิวหลีเชียวนะ สวี่หนิงเยี่ยนเจ้ารีบตื่นเร็วเข้าสิ…’ อาซูหลัวคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ขณะเหาะเหินพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของอรัญตา
จังหวะนั้นเองหน้าผากของเขาก็พลันเจ็บปวด ก่อนเสียง ‘ตึง’ และ ‘ตุบ’ จะดังตามมา
จากนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสที่มิอาจบรรยายได้ก็ถาโถมเข้าใส่ ทั้งกลืนกินและทำลายเจตจำนงของตัวเขา
ในสายตาของเขาได้สะท้อนใบหน้างามเย็นชาหมดจดแห่งแดนประจิม อาภรณ์สีขาวปลิวสะบัดพลิ้วไหว ช่างงดงามดุจภาพวาด
ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์หลิวหลีปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ก่อนตอกตะปูตอกวิญญาณกลางหน้าผากเขา
ตะปูตอกวิญญาณนี้เป็นชิ้นเดียวกันกับในตอนแรกที่สวี่ชีอันใช้ตอกลงบริเวณท้องของอาซูหลัว ภายหลังเขาได้ส่งมันคือให้กับตู้เอ้อร์ แล้วอีกฝ่ายได้นำมันกลับไปยังอรัญตา
เพราะถึงอย่างไรแรกเริ่มเดิมทีเขาก็ยังเป็นเพียงพระภิกษุแห่ง ‘อนิจจังทั้งสี่’ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนของผู้ทรยศอย่างเขาถูกพบเจอ ต่อให้ไม่อยากให้ก็จำเป็นต้องให้อยู่ดี
วิญญาณของอาซูหลัวอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในยามนี้ ลางสังหรณ์ต่อสิ่งเลวร้ายของจอมยุทธ์ส่งผลให้มีอาการตอบสนองฉับไว บอกให้เขารีบหนีไป เพราะเบื้องหน้ามีภยันตรายรออยู่…
ทว่าความเร็วของพระโพธิสัตว์หลิวหลี กลับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าลางสังหรณ์ที่มี
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาปูดโปน นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ แสงสว่างเจิดจ้าและเปลวเพลิงแห่งสัญลักษณ์ระดับเต๋าแยกขันธ์ โผล่ขึ้นพันรอบขาขวา ก่อนที่กล้ามเนื้อส่วนขาจะพลันระเบิดออก
‘โพละ…’
ขาขวาของอาซูหลัวเวลานี้ประหนึ่งแส้โบกสะบัดไปมา ทว่าเขาไม่เกรงกลัวการต่อสู้ระยะประชิดกับพระโพธิสัตว์หลิวหลีแต่อย่างใด
ด้วยฐานะที่อยู่บนจุดสูงสุดของขั้นสอง ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าบุคคลส่วนใหญ่ในขั้นสองทั้งหมด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพระโพธิสัตว์หลิวหลี ที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด แม้จะเขาไม่สามารถล้มอีกฝ่ายได้ แต่ก็หาความจำเป็นต้องขลาดกลัวไม่
ท่อนขาดุจแส้สะบัดทำลายเงาร่างของพระโพธิสัตว์หลิวหลี
นางพลันปรากฏตัวขึ้นข้างหลังอาซูหลัวประหนึ่งภูตผี แล้วพุ่งตรงคว้าร่างไหม้เกรียมของสวี่ชีอัน
หลังจากหลิวหลีจับเข้าที่ข้อเท้าของสวี่ชีอันไว้ได้ นางก็ใช้ร่างธรรมธุดงค์เปลี่ยนความรวดเร็วเป็นพละกำลังอันแข็งแกร่ง แล้วออกแรงดึงร่างสวี่ชีอันโยนไปข้างหลัง ซึ่งมีพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และพระโพธิสัตว์กว่างเสียนอยู่
ก่อนปล่อยลำแสงที่เป็นรูปตัวอักษร ‘卍’ ออกมา พุ่งใส่ร่างของสวี่ชีอันอย่างจัง
หลังจากนางโยนสวี่ชีอันออกไป พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็เอามีดหยกสั้นออกจากแขนเสื้อ แล้ววาดแขนเหวี่ยง มีดแหลมคมพลันพุ่งเข้าใส่หลังคออาซูหลัวทันใด
เมื่อสาดซัดประกายวาบวับแยงตาออกไป มีดสั้นก็ตัดศีรษะของอาซูหลัวอย่างง่ายดาย
แต่ยามนี้เอง ร่างกายของอาซูหลัวกลับค่อยๆ เลือนหายไป ประหนึ่งภาพลวงตาของบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายธาร
และขณะเดียว เงาร่างของสวี่ชีอันก็หายไปเช่นเดียวกัน
นี่คือความปรารถนาประการที่สองของอาซูหลัว เป็นการนำของปลอมมาปะปนกับของจริง โดยอัญเชิญ ‘หุ่นเชิด’ ที่มีพลังวิญญาณต่ำออกมา ซึ่งเป็นความสามารถทั่วไปของอรหัตผล
และสาเหตุที่พระโพธิสัตว์หลิวหลีมองไม่ออกนั้น ก็เป็นเพราะหลังจากที่นางตอกตะปูตอกวิญญาณกลางหน้าผากอาซูหลัวแล้ว พลังวิญญาณของเขาก็ลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การรับรู้ของนางสับสนวุ่นวายในช่วงจังหวะนั้นพอดี
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดอาซูหลัวถึงไม่ได้ขอความปรารถนาประการที่สองทันที หลังความปรารถนาประการแรกสิ้นสุดลง เขากลับรอจนกระทั่งตนเองถูกตะปูตอกวิญญาณ ก้นบึ้งของจิตใจถึงได้ขอความปรารถนาประการถัดมา
ณ พื้นที่แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างราบเรียบซึ่งห่างไกลจากยอดเขาหลักเมื่อครู่ อาซูหลัวพลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแบกสวี่ชีอันไว้บนหลัง ยามนี้พวกเขาทั้งสองคนอยู่ใกล้กับลำธารสะกดปีศาจอย่างมาก
“อึก!”
ด้านหลิวหลีที่โดนเล่นลูกไม้ใส่ติดต่อกันถึงสองครั้ง ใบหน้างดงามก็ยิ่งทอความเย็นชา นางโบกสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครา ก่อนจะโผล่มาขวางอาซูหลัวในพริบตา
มิหนำซ้ำตอนนี้เขตแดนไร้สีได้เลือนหายไปแล้ว พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่จึงใช้สองขาเตะ ก่อนมีเสียงดัง ‘ตึง’ ขึ้น พื้นพสุธาเบื้องล่างพลันทรุดถล่ม จากนั้นเจ้าตัวก็พุ่งตัวกระโดดขึ้นสูงเพื่อไล่ตามมา
‘กึกกึก!’ ตัวอักษรรูป ‘卍’ และ ‘人’ บนกงล้อหมุนสว่างวาบขึ้น ก่อนลำแสงจะส่องพุ่งตรงไปยังอาซูหลัวและสวี่ชีอัน
เมื่อเห็นเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามล้อมเพื่อสังหารเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง อาซูหลัวจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขาได้พยายามสุดความสามารถแล้ว
ท่ามกลางสถานการณ์ที่โดนล้อมและไล่ตามสังหารจากศัตรูที่เป็นเหล่าบุคคลขั้นหนึ่งทั้งสามท่าน การที่ตนเองสามารถใช้วิชาอาคมและอาวุธอย่างชาญฉลาด พัวพันกับอีกฝ่ายมาจนถึงตอนนี้ได้ นับว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของชีวิตคนผู้หนึ่งแล้ว
ม่านหมอกดั่งเงาจันทร์พลันแผ่ปกคลุมอาซูหลัว พาให้เขาเลือนหายวับจากที่เดิม
เจียหลัวซู่พุ่งตัวลอยขึ้นในอากาศ ทว่าระหว่างนั้นสายตาของหลิวหลีได้ตกลงบนร่มเงาใต้ต้นไม้ที่ทำมุมทแยงไปทางขวา ณ จุดนั้นค่อยๆ ปรากฏเงาร่างสองร่าง เป็นรูปร่างของอาซูหลัวและร่างที่ดำไหม้เกรียม
“เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก เกือบตายเสียแล้ว…”
ร่างสีดำไหม้เกรียมยืดคลายกล้ามเนื้อและกระดูก เสียงลั่นกรอบแกรบของกระดูกดังขึ้น ผิวหนังตายดำไหม้พลันกะเทาะออกหลุดร่วงทีละชิ้นทีละชิ้น
ร่างธรรมสังสารวัฏไม่สามารถสังหารเขาได้ ทว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ได้พยายามต่อต้านพลังแห่งการทำลายล้างชีวิตมาต่อเนื่อง และฟื้นคืนจากความตายอีกครั้ง
กงล้อของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนค่อยๆ หยุดหมุนลงจนมาบรรจบกัน จากนั้นก็ปรากฏร่างธรรมมหากรุณาขึ้น
ร่างธรรมมหากรุณาเป็นวิชาอันแข็งแกร่งที่สุดของเขา อีกทั้งยังเป็นการรักษาชีวิตและการควบคุม ในยามนี้ที่เปลี่ยนจากการโจมตีมาเป็นการป้องกัน มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการแสดงความกลัวที่มีต่อสวี่ชีอัน
พระพุทธเจ้ากลืนกินพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้…พระพุทธเจ้าหาใช่พระพุทธเจ้า…หลังจากตื่นขึ้น สวี่ชีอันก็ได้รับข้อมูลจาก ‘ร่างแยก’ ของตนเองทันทีและรีบเข้าควบคุมสถานการณ์บางส่วน
เจียหลัวซู่สีหน้าเคร่งขรึมดั่งน้ำลึก เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งช่างโชคดียิ่งนัก ทว่าหลังได้รับการโจมตีจากร่างธรรมสังสารวัฏ ท่านจะยังมีพลังยุทธ์มากมายอีกหรือ?”
สวี่ชีอันมองกวาดพระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ ก่อนเอ่ยพลางแสยะยิ้ม
“แม้พลังการต่อสู้ของข้าจะได้รับความเสียหาย แต่หากเจ้าไม่มีร่างธรรมวชิระก็เป็นเพียงแค่ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ไร้ความสามารถไม่อาจทำสิ่งใดได้”
จากนั้นเขาก็หันมองพระโพธิสัตว์หลิวหลี “ข้ายืนอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเพื่อให้เจ้าใช้ความพยายามโจมตีอยู่นานตั้งสามวัน แล้วนี่เจ้าสามารถหักนิ้วข้าได้สักนิ้วหรือยัง?”
ก่อนกวาดสายตามองพระโพธิสัตว์กว่างเสียน แล้วยิ้มเยาะส่ายหัว
“ส่วนเจ้าแค่ปกป้องตนเองเป็นหลัก แล้วเชื่อฟังคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เถิด พระโพธิสัตว์ทั้งสามอย่างพวกเจ้านั้น จะทำอะไรข้าได้กัน!”
นี่คือความมั่นใจของยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่ไร้ความหวาดกลัว แม้จะกล่าวว่าเหล่าพระโพธิสัตว์จะมีวิธีการอันฉลาดเฉลียวและยังสามารถป้องกันตนเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จดจ่อกับการป้องกันตัวเองมากเกินไป กลับกันแล้วอีกฝ่ายดันใจกล้าบ้าบิ่นคิดทำตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ อรัญตาก็สั่นสะเทือนราวกับจะเผชิญกับแผ่นดินไหว ทุกหนแห่งต่างเกิดดินถล่ม พร้อมกับมีก้อนหินขนาดใหญ่กลิ้งตกลงมา
เมื่อหินกะเทาะแตกออกให้เห็นภายใน พลันปรากฏเป็นก้อนเนื้อนิ่มสีแดงอ่อนที่ขยับไหวสลับกันเดี๋ยวขยายตัวเดี๋ยวหดตัว
เวลานี้ทั่วทั้งอรัญตากลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเลือดเนื้อขนาดใหญ่มหึมา
ในยามนี้เอง สัตว์ประหลาดตนนี้ได้ฟื้นคืนชีพแล้ว
เสินซูตกอยู่ในอันตรายของจริงเข้าแล้ว…ในใจสวี่ชีอันสั่นไหว
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่มีรูปลักษณ์พระภิกษุหนุ่ม ยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง
“เจ้าคิดว่าเสินซูจะนำศีรษะกลับไปได้หรือ? คิดว่าพวกเราไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลย? คงไม่ใช่ว่าเจ้ายังคิดว่าเมื่อภัยพิบัติกำลังจะมาถึง แล้วเราจะประนีประนอมยอมให้เจ้าเอาศีรษะของเสินซูไปหรอกนะ?”
แม้น้ำเสียงของเขาจะดูเย็นชา สีหน้าราบเรียบ ทว่าในคำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับแฝงแววล้อเลียนดั่งมองว่าผู้ฟังนั้นโง่เขลายากจะเข้าใจในสิ่งที่ตนสื่อ
จากนั้นพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้มีสุ้มเสียงไพเราะเสนาะหู เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์อันงดงามของหญิงสาวก็เอ่ยเสริมว่า
“ฆ้องเงินสวี่ เจ้าจะดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว ทั้งยังดูถูกพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน”
ด้านเจียหลัวซู่สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เอ่ยออกมาช้าๆ
“ในดินแดนจงหยวนมีคำกล่าวที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!
“สวี่ชีอัน คนที่สำนักพุทธเชิญชวนก็คือเจ้ากับเสินซู
“เมื่อพระพุทธเจ้าปราบเสินซูลงแล้ว มันก็จะเป็นวันตายของเจ้าเช่นกัน เป็นเรื่องจริงที่พวกข้าไม่อาจสังหารเจ้า แต่ปล่อยให้เจ้ารอดไปก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก ในเมื่อหาเจ้าเจอคู่แค้นในดินแดนจงหยวนแล้วก็ชำระบัญชีมันเสียวันนี้!”
ด้านสวี่ชีอันลอบกระซิบว่า
“รีบไปเสีย กลับไปรวมตัวกับพวกนักบวชเต๋าจินเหลียน ส่วนข้าจะไปช่วยเสินซู”
อาซูหลัวอดทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัส แล้วใช้วิชาลับถอนตะปูตอกวิญญาณออก ก่อนตอบกลับว่า
“ระวังตัวด้วย”
เขากระโจนทะยานสู่ท้องนภาออกไปไกล ในขณะเดียวกันสวี่ชีอันก็ใช้วิชาอั้นกู่อย่างต่อเนื่อง พุ่งตัวไปทางลำธารสะกดปีศาจ
หลังกระโดดเคลื่อนไหวได้ไม่นานก็เห็นลำธารสะกดปีศาจที่อยู่ข้างหน้าแล้ว ทว่าที่นั่นกลับมีรอยแยกปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเองเขาพลันเห็นร่างของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และพระโพธิสัตว์หลิวหลีโผล่ออกมาเบื้องหน้าตน
คนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้ายกแขนขวาไปข้างหลัง กล้ามเนื้อส่วนเอวตึงแน่น ก่อนออกแรงปล่อยหมัดแหวกผ่านอากาศ
ส่วนอีกคนหายตัวมาอยู่ข้างหลังสวี่ชีอัน ยกมีดหยกสั้นในมือหมายแทงทะลุหัวใจ
ระหว่างนั้นเองเขตแดนไร้สีก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จำกัดการเคลื่อนไหวของสวี่ชีอัน
รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวลง เดิมความเร็วของเจียหลัวซู่ไม่ได้รวดเร็วเพียงนั้น ทว่าเป็นเพราะหลิวหลีที่ช่วยเพิ่มระดับให้กับเจียหลัวซู่ดังนั้นความเร็วที่เห็นอยู่มันจึงบ้าคลั่งเช่นนี้…
‘ฉึก!’
ตอนนั้นเองมีดหยกสั้นได้แทงเข้าที่หัวใจสวี่ชีอันจากข้างหลัง ประกายแสงพลันสาดส่อง
สวี่ชีอันใช้ฉิงกู่เพื่อกระตุ้นตัณหาของตัวเอง ทำให้หัวของตัวเองมีแต่ความหมกมุ่นเปี่ยมไปด้วยความกระหายต่อสตรี จากนั้นก็ใช้วิชาซินกู่ผสานจิตกับพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่อยู่ด้านหลัง
ใบหน้าขาวนวลของพระโพธิสัตว์หลิวหลีก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แววตาเจือความลุ่มหลง และตกตะลึงเหลือเกินที่พบว่าตัวเองเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าต่อชายตรงหน้า
โหยหาอ้อมกอดของเขา และแรงกระแทกกระทั้นของเขา
เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ทำให้การขยายเขตแดนไร้สีของพระโพธิสัตว์หลิวหลีเบาบางลง เพราะทนไม่ได้ที่จะโจมตีเขา
ทว่าเขากลับใช้โอกาสเสี้ยวพริบตานี้ หันไปบีบมือของเจียหลัวซู่ที่กำลังพุ่งใส่อย่างแรง
วิชาอั้นกู่ การอำพราง!
‘การอำพราง’ นี้มีผลกับเจียหลัวซู่น้อยกว่าหนึ่งวินาที แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว
เบื้องหน้าเจียหลัวซู่พลันมืดบอดกะทันหัน แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็สว่าง ทว่าเงาร่างสวี่ชีอันได้หายไปแล้ว
ด้านพระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่อยู่ไกลออกไปเห็นภาพฉากนี้ เดิมทีคิดจะอัญเชิญร่างธรรมสังสารวัฏเพื่อโจมตีอีกฝ่ายอย่างแรง แต่หลังจากเห็นว่าสวี่ชีอันชักกระบี่ขู่ เขาก็เลิกคิ้วแล้วปล่อยให้ร่างแยกของอีกฝ่ายหลบหนีไป
การกระทำเมื่อครู่นี้ เป็นการเปิดใช้งาน ‘ศีลธรรม’ ขั้นต้นของอีกฝ่าย
เมื่อเขาใช้ ‘ร่างธรรมมหากรุณา’ ศัตรูจะไร้ความอาฆาตและความเป็นปฏิปักษ์ ไม่มีทางโจมตีเขา แต่หากเปลี่ยนเป็นร่างธรรมสังสารวัฏ ก็จะไม่มีความกังวล แต่ ‘ศีลธรรม’ ของอีกฝ่ายจะน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังไร้ทางหลีกเลี่ยงและไม่อาจต้านทานไว้ได้
ตอนนั้นเองพระโพธิสัตว์หลิวหลีพลันหลุดพ้นจากการผสานจิต ไม่ปรารถนาต่อตัวสวี่ชีอันอีก แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ได้แต่มองดูอีกฝ่ายเข้าไปในกระโดดลงเหว เพื่อไปลำธารสะกดปีศาจ
จากนั้นพระโพธิสัตว์ทั้งสามจึงรีบไล่ตามไปทันใด และพากันเข้าไปลำธารสะกดปีศาจ
…
‘ปัง!’
สวี่ชีอันลงมายังลำธารสะกดปีศาจประหนึ่งดาวตก กระแทกกับพื้นผิวสีแดงอ่อนของเลือดเนื้อ
ตอนนั้นเอง ผิวหินด้านนอกของหน้าผาสูงตระหง่านทั้งสองด้านของลำธารสะกดปีศาจได้ร่วงกราวลงมาจำนวนมาก ซึ่งเผยให้เห็นเลือดเนื้อสีแดงด้านในที่น่าสยดสยองและชวนคลื่นเหียน
เลือดเนื้อเหล่านี้กระตุกเต้นเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว
ภูเขาทั้งลูกมีสิ่งชีวิตหรือ? เป็นสัตว์ประหลาดอะไรกัน? ผิดหลักวิทยาศาสตร์ชัดๆ…สวี่ชีอันเหาะเหินอีกครั้ง ไม่กล้ายืนบนร่างสัตว์ประหลาดนี้ต่อ
เขากวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดอยู่ที่จุดหนึ่งบนหน้าผาเบื้องหน้า ตรงจุดนั้นมีเส้นแนวตั้งที่ได้รูปลงตัวคล้ายคลึงริมฝีปากของสัตว์ประหลาด
นี่คงเป็นทางเข้าถ้ำที่คาดว่ามีศีรษะของเสินซูอยู่ที่อาซูหลัวได้บอกเอาไว้! จากนั้นสวี่ชีอันก็เหาะไปทาง ‘ริมฝีปาก’ นั่นอย่างรวดเร็ว
‘ปัง! ปัง!’
เกิดเสียงระเบิดอันหนักอึ้งดังขึ้นเป็นจังหวะภายในภูเขา เสียงคล้ายระเบิดลูกปืนใหญ่ ด้วยแรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เส้นแนวตั้งที่ได้รูปนั้นเปิดออก แต่มันก็ปิดลงโดยเร็ว ดูท่าคนที่อยู่ข้างในนั้นไม่มีทางจะออกมาได้เลย
เสินซูที่อยู่ข้างในนั้นกำลังเปิดทางให้เข้า…อรัญตา ไม่สิ พระพุทธเจ้ากำลังย่อยสลายเขา…สวี่ชีอันเกิดความคิดขึ้นมากะทันหัน ก็รีบประเมินสถานการณ์ทันใด
เขายกดาบสยบดินแดนพร้อมกับถ่ายเทพลังปราณชีวิตลงไปโดยไร้ความลังเล แล้วฟาดฟันไปยังรอยปริแยกนั่น
‘จี๊ดจี๊ด…’
เสียงที่ทำให้คนรู้สึกเสียวฟันได้พลันดังขึ้น เหมือนว่าดาบสยบดินแดนจะสามารถเชือดเฉือนชั้นผิวกำแพงอันแข็งแกร่งที่ฟันไปนั้นได้สำเร็จ ทว่าเพียงชั่วครู่ เลือดเนื้อก็ฟื้นฟูเสียแล้ว
ดาบสยบดินแดนค่อยๆ ลบล้างปราณชีวิตอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ไม่มีผลต่อความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผล
สวี่ชีอันเพิ่งเคยเจอสถานการณ์เยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก
แต่นี่ก็เป็นการยืนยันว่า สัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือขั้นหนึ่งเสียอีก
เข้าไปไม่ได้เลย…สวี่ชีอันเสียบดาบสยบดินแดนไว้ด้านหน้า สูดลมหายใจเข้า ให้โลหิตในหลอดเลือดสูบฉีดจนผิวกายเปลี่ยนเป็นสีแดงสดดั่งเลือด และมีไออันร้อนผ่าวพวยพุ่งออกตามรูขุมขน
เขาใช้สองมือเจาะเข้าไปในบริเวณรอยปริแยกที่มีผิวสัมผัสดั่งเนื้อหนังมังสาอย่างรุนแรงด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม แล้วค่อยๆ เปิดทางเข้าที่แน่นสนิทนี้ทีละนิด
จากนั้นจิตสำนึกของสวี่ชีอันก็แทรกซึมเข้าไปยังส่วนลึกของกำแพงเลือดเนื้อ ตรวจสอบสถานการณ์ของเสินซู
ตอนนั้นเองร่างกายของเขาก็ถูกพันธนาการโดยหนวดสีแดง รวมถึงแขนทั้งสองข้าง เขาจึงพยายามกระตุ้นปราณชีวิตให้ร่างกายของตนกลายเป็นดั่งปืนใหญ่ที่ระเบิดได้ต่อเนื่อง เพื่อลองเปิดกำแพงเลือดเนื้อที่ปิดสนิทแน่นนี้ออกดู และสลัดหนวดที่กำลังรัดอยู่ด้วย
ในเวลาเดียวกันนั้น สวี่ชีอันยังสังเกตเห็นอีกว่า ช่วงที่พยายามดึงเสินซูออกมาพลางเขย่ากระตุ้นพลังปราณนั้น ภายในรอยแยกขนาดเล็กบนกำแพงเลือดเนื้อที่ถูกเขาเปิดออกชั่วขณะหนึ่ง ได้มีเส้นเลือดเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเชื่อมกับเสินซูและกำแพงเลือดเนื้อ
เส้นเลือดเหล่านั้นเจาะทะลวงร่างเสินซู หมายพยายามจะจัดการเขา
และบริเวณด้านหลังของเสินซูมีศีรษะหนึ่งที่ถูกฝังในกำแพงเลือดเนื้อ
เขายังไม่ได้เอาศีรษะกลับคืนมา แถมยังไม่ได้ถึงครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์อีกด้วย…มือของสวี่ชีอันสั่นรุนแรง จึงรีบชักมือออก แต่ก็พบว่ามือของเขาติดกับกำแพงเลือดเนื้อนี้อย่างหนาแน่นจนเอาออกไม่ได้เลย
อีกทั้งพละกำลังของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
เคราะห์ดีที่มีเพียงมือของเขาเท่านั้นที่ติด หลังจากเพิ่มแรงขึ้นอีกหน่อย ก็เกิดเสียงดัง ‘ฉัวะ’ ขึ้นภายในซึ่งมาจากที่เขาตัดเส้นเลือด และแล้วก็ดึงมือทั้งสองข้างออกได้อย่างราบรื่น
มือของเขาจึงเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ
ส่วนเส้นเลือดที่ถูกเขาเฉือดขาดนั้น มันก็หดกลับไปกำแพงเลือดเนื้ออย่างจำใจ
“เสียแรงเปล่า!”
ตอนนั้นเองก็มีลำแสงสีทองสามสายตกกระทบมายังเหวลึก โดยเว้นระยะห่างจากสวี่ชีอันเอาไว้
“จะเสินซูหรือเจ้าก็ดี สิ่งใดที่ทำให้พวกเจ้าเชื่อว่าจะสามารถชิงศีรษะกลับไปได้ในภายใต้การเฝ้ามองของพระพุทธเจ้า?”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนเท้าเปล่าอยู่กลางอากาศ
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า
“พระพุทธเจ้าเข้าห้วงนิทราในลำธารสะกดปีศาจ และสะกดศีรษะของเสินซูด้วยตัวพระองค์เอง ข้าเดาว่าพระองค์ไม่สามารถสังหารเสินซูได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในการต่อสู้ ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ขั้นสูงสุดหรอก เว้นเสียแต่ว่าร้อยกว่าปีมานี้พระองค์ไม่สามารถออกมาได้”
พระภิกษุหนุ่มยิ้มเยาะเอ่ย
“แล้วมันอย่างไร ถึงมิได้อยู่จุดสูงสุด แต่ก็ยังคงเป็นผู้มีพลังระดับสุดยอดอยู่ดี หาใช่ว่าเสินซูที่ร่างยังไม่สมบูรณ์จะสามารถรับมือได้ไม่”
ระหว่างที่สองคนนี้กำลังพูดนั้น ก็เสียงระเบิดภายในถ้ำก็อ่อนเบาลง ดูเหมือนว่าเสินซูจะสูญเสียพลังมากเกินไป จนเริ่มหมดกำลังจะสู้ต่อ
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เหลือบมองรอยปริแยกในกำแพงเลือดเนื้อ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“เจ้าจะลองเข้าไปช่วยเขาดูก็ได้นะ จัดการเลย!”
บัดนี้พระโพธิสัตว์กว่างเสียนมี ‘ร่างธรรมมหากรุณา’ พร้อมกับตัวอักษรสันสกฤตลอยอยู่เหนือศีรษะ เหวลึกแห่งนี้จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความเมตตา
ด้านพระโพธิสัตว์หลิวหลีพลันขยายเขตแดนออกทันใด โลกที่มีเพียงสีขาวดำได้ขยับขยายไปยังทางสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง
ส่วนพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็นำหน้าพุ่งตัวเข้าไปหาสวี่ชีอัน
พวกเขาไม่ให้โอกาสสวี่ชีอันได้สร้างความเสียหาย และหมายพยายามพันธนาการจอมยุทธ์อันหนึ่งผู้นี้ เพื่อสร้างโอกาสแก่พระพุทธเจ้าแทน
สวี่ชีอันหัวเราะเยือกเย็นพลางเฝ้ามองดูพระโพธิสัตว์ทั้งสาม แล้วยกมือขวาขึ้นก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งที
‘เปาะ!’
ท่ามกลางเสียงดีดนิ้วที่ดังฟังชัด กำแพงเลือดเนื้อทั้งสองด้านก็พลันสั่นสะเทือน แล้วหลั่งเลือดอันแสนข้นจำนวนมากออกมา
ตอนนั้นเองก็มีเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ดูมิใช่เสียงของมนุษย์ดังออกมาจากส่วนลึกของถ้ำภูเขา
หยกสลาย!
พระโพธิสัตว์ทั้งสามสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด
สวี่ชีอันทอดมองพระโพธิสัตว์ทั้งสามที่สงบสติอารมณ์ไม่ได้ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“พวกคนที่ทำร้ายข้า จักต้องชดใช้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีพลังระดับสุดยอด”
…………………………………………………….