ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 833 ศีรษะ
บทที่ 833 ศีรษะ
“ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…”
เสียงร้องขอความช่วยเหลืออันน่าหดหู่ดังลอดที่ข้างหู ราวกับเป็นแว่วเสียงที่มาจากแดนอเวจี
ทว่าเกรงว่าบัดนี้วิสัยทัศน์และตบะของสวี่ชีอันไม่ได้มีมากมาย เขาจึงรับรู้ได้เพียงเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่น่าหดหู่เกินทนนี้
ตอนนั้นเอง เสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้ก็ทำให้เขาพลันนึกถึงช่วงแรกที่อยู่ซังผอ เมื่อตั้งใจฟังดีๆ ก็พบว่าเป็นเสียงขอความช่วยเหลือเช่นเดียวกับของเสินซู
แต่น้ำเสียงไม่เหมือนกัน
“ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงดังกังวานข้างหูไม่หยุด ทว่าแท้จริงแล้วเสียงนี้ดังสะท้อนจากในหัวสมอง ราวกับเป็นกระแสจิตมากกว่า มิใช่เสียงที่เปล่งออกมาจริงๆ
หลังจากที่สวี่ชีอันเดินวนต้นโพธิ์ไปได้ครึ่งรอบ ก็ชะงักติดอยู่ที่มุมหนึ่งตรงหลังต้นไม้ บริเวณนั้นไม้เถาวัลย์ได้ห้อยลงมาดูประหนึ่งม่านกั้นที่ปิดบังลำต้นไม้อันหนาใหญ่
เมื่อเขาเอื้อมมือไปปัดไม้เถาวัลย์แน่นทึบเหล่านั้นออก ก็พบลำต้นไม้หนาใหญ่ และยังเห็นใบหน้าหนึ่งที่ฝังประทับอยู่บนลำต้นดังกล่าว เนื่องจากใบหน้านี้มีรอยเหี่ยวย่น จึงทำให้รู้ว่าเป็นผู้ชราวัย
ใบหน้านี้โดยรวมมีลักษณะคล้ายคลึงกับพระเฒ่าถ่าหลิง แต่ก็มีบางรายละเอียดจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เหมือนกัน
ตอนนั้นเองเจดีย์พุทธะที่กำลังลอยเหนือศีรษะ ‘สวี่ชีอัน’ พลันส่งเสียงครึกโครม จากนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นของพระเฒ่าถ่าหลิงบริเวณข้างหูของเขา
“นายท่าน…”
ใบหน้าที่อยู่บนลำต้นไม้เผยอารมณ์เฉยชา ประหนึ่งประติมากรรมธรรมดาทั่วไป ทว่ากลับพึมพำพร่ำเพ้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…”
เป็นพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้จริงๆ หรือ ไฉนเขาถึงมาอยู่ที่แห่งนี้ได้? ต้องเกี่ยวกับผู้มีพลังระดับสุดยอดแห่งอรัญตาเป็นแน่ ตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันนะ…สวี่ชีอันเอื้อมมือไปกดค้างที่ ‘ใบหน้า’ พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ ก่อนจะพลันแสดงปฏิกิริยาออกมา
“เหลือเศษเสี้ยววิญญาณเพียงส่วนเดียวเท่านั้นแล้ว”
ประโยคนี้เขากล่าวกับพระเฒ่าถ่าหลิง
พระเฒ่าถ่าหลิงไร้หนทางออกจากเจดีย์พุทธะ แต่ด้วยฐานะนายท่านในปัจจุบัน สวี่ชีอันจึงสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เศร้าโศกของมัน
“เจ้ามีวิธีการใดบ้างหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
แม้ว่าเขาจะบำเพ็ญฝึกซินกู่ แต่ซินกู่ก็เป็นแค่สิ่งที่แตกแขนงมาจากขอบเขตจิตเดิม ครั้นเจอสถานการณ์เช่นนี้ต่อหน้า เขาก็ไร้ซึ่งความคิดและแนวทางจัดการไปโดยปริยาย
พระเฒ่าถ่าหลิงนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง พอสงบสติอารมณ์เบื้องต้นได้แล้ว ก็ส่งกระแสจิตตอบว่า
“ข้าสามารถใช้ ‘ร่างธรรมแห่งปัญญา’ ให้เขาฟื้นสติชั่วคราวได้ ส่วนจะซ่อมแซมจิตวิญญาณได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือจากผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์แห่งลัทธิเต๋าแล้ว”
แต่ต่อให้ซ่อมแซมจิตวิญญาณได้ ก็มีความน่าจะเป็นเกินครึ่งที่ไม่อาจฟื้นความทรงจำได้อยู่ดี
เนื่องด้วยสถานการณ์พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ในตอนนี้ จิตวิญญาณได้สูญสลายไปเกินครึ่งแล้ว ถึงจะสามารถจะซ่อมแซมได้ แต่ก็ไม่อาจเหมือนดั่งเดิม จะเสมือนกับผู้เกิดใหม่ที่หลงเหลือความทรงจำเก่าบ้างเล็กน้อยมากกว่า
หวังว่าเขาจะยังมีความทรงจำเหลืออยู่บ้างนะ…จากนั้นสวี่ชีอันก็พยักหน้าพูดว่า “เริ่มกันเลยเถิด!”
เจดีย์พุทธะพลันสั่นสะเทือนพร้อมกับทอประกายแสงสีทอง ก่อนจะมีร่างธรรมที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลางพนมมือโผล่ขึ้นเหนือยอดเจดีย์นั่น พร้อมกับปรากฏวงแสงเจ็ดสีหนึ่งที่เบื้องหลังศีรษะ
วงแสงเจ็ดสีนั้นแรกเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังด้านหน้า
ประหนึ่งว่าแสงเจ็ดสีได้กลายเป็นสะพานยาว ชักนำพาพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ที่อยู่ในลำต้นไม้ให้เขาได้ชะล้างสติกลางแสงสว่าง
พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ยังคงมีสีหน้าเซื่องซึม ทว่าก็สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า จากแววตาที่ดูขาดจิตวิญญาณก็เริ่มค่อยๆ หวนคืน ดูมีเสน่ห์น่าเคลิบเคลิ้มแล้ว
คราแรกเขาสังเกตเห็นหมีไร้ขนอยู่เบื้องหน้าสายตา จากนั้นจึงหันไปมองเจดีย์พุทธะที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ
“เป็นเจ้านี่เอง…
“ข้าอยู่ที่ไหน ไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มิใช่ว่าเจ้าไปผนึกแขนขาของเสินซูที่เหลยโจวหรือ…”
“นายท่าน!” น้ำเสียงของเจดีย์พุทธะฟังดูตื่นเต้นอีกครั้ง ทว่าก็เจือความสั่นเครือเล็กน้อย
“เจ้าหายตัวไปสามร้อยกว่าปีแล้วนะ หลายปีมานี้ สำนักพุทธออกตามหาไม่เคยพบ ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่แห่งนี้นี่เอง”
“แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน?” พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ถามอีกครั้ง
ถ่าหลิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ที่แห่งนี้คือสุสานสงฆ์ เป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ตอนนี้จะ…เจ้าอยู่ในลำต้นโพธิ์ และเหลือเศษเสี้ยววิญญาณเพียงส่วนเดียวแล้ว”
พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้นิ่งอึ้งไป ก่อนพึมพำว่า
“สุสานสงฆ์ อยู่ในลำต้นโพธิ์…สุสานสงฆ์ อยู่ในลำต้นโพธิ์…”
เขาพูดพึมพำกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ทำเอาคนอื่นรู้สึกเหมือนว่าตัวเขาเป็นศพเดินได้ จำเป็นต้องปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์เสียที
สวี่ชีอันจึงถามเพิ่มอีกว่า
“พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ พอจะจำได้หรือไม่ว่าตัวเจ้าเจอเรื่องอะไรมา?”
ตอนนั้นเองใบหน้าพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้บิดเบี้ยวทันใด น้ำเสียงก็กลับกลายเป็นแหลมสูงฟังดูน่าเวทนา
“พระพุทธเจ้าคือเสินซู เสินซูก็คือพระพุทธเจ้า
“เป็นพระองค์เองที่กินข้า เป็นพระองค์เองที่กินข้า…”
“เหตุใดพระพุทธเจ้าต้องกินเจ้า?” สวี่ชีอันรีบถามไถ่
พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด กลับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและน่าหดหู่ใจแทน
“พระองค์มิใช่พระพุทธเจ้า พระองค์มิใช่พระพุทธเจ้า”
เวลานี้สวี่ชีอันไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกของพระเฒ่าถ่าหลิงได้เลย แต่เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังขนลุกวาบไปทั่วสรรพางค์กาย
“แล้วพระองค์คือใคร?” สวี่ชีอันถามเสียงดัง
เสียงร้องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ค่อยๆ หยุดลง ใบหน้าที่โผล่ออกมายังชั้นผิวของต้นไม้เริ่มเชื่องซึมอีกครา และเอ่ยวาจาเพ้อละเมอว่า
“ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…”
ทันใดนั้นเองเสียงของพระเฒ่าถ่าหลิงก็ดังลอดจากภายในเจดีย์ ซึ่งเจือไปด้วยโศกเศร้าและอ้างว้าง
“ถึงเวลาแล้ว ข้าทำได้เพียงถึงขั้นนี้ รบกวนดึงจิตวิญญาณเข้าไปในเจดีย์อย่างนิ่มนวลที”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ประตูเจดีย์เล็กๆ ทว่าประณีตก็ถูดเปิดขึ้น เขาโยนลำแสงหนึ่งเข้าไปป ต่อมาก็กลายเป็นกระจกสำริดภายในมือสวี่ชีอัน
หมีใช้กรงเล็บถือกระจกเทพฮุ่นเทียนเอาไว้ แล้วส่องไปที่พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้
จากนั้นใบหน้าดั่ง ‘ประติมากรรม’ ที่อยู่บนลำต้นก็โดนดึงออกทีละเล็กละน้อย ระหว่างขั้นตอนนี้เอง ด้านสวี่ชีอันก็ได้ครุ่นคิดใช้มันสมองขยับขยายความคิดตามสัญชาตญาณ
“พระพุทธเจ้าคือเสินซู นี่เหมือนกับข้อมูลที่ได้รับก่อนหน้านี้เลยนะ…สำนักพุทธมีพระโพธิสัตว์มากมายปานนี้ ไฉนพระพุทธเจ้าต้องอยากกินพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ด้วยเล่า? ส่วนที่บอกว่าพระองค์มิใช่พระพุทธเจ้า ก็คงเพราะพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ไปเจอความลับนี้มา หรือว่ายังมีเหตุผลอื่นอยู่อีก?
“หากผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดในอรัญตาไม่ใช่พระพุทธเจ้า แล้วจะเป็นใครได้อีก? บัดซบ เสินซูเข้าไปยังลำธารสะกดปีศาจแล้ว…”
…
ณ ยอดเขาแห่งอรัญตา
เมื่อพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ตื่นจากการเข้าฌาน การกระทำแรกหลังลืมตานั้นก็คือถือตราอันเป็นสัญลักษณ์ของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี เช่นนี้ถึงจะมองไปรอบด้านอย่างมั่นใจได้
ในสายตาของพระโพธิสัตว์องค์นี้ อรัญตายามนี้สรรพสิ่งล้วนเปี่ยมไปด้วยลักษณะธรรม กระทั่งต้นไม้หนึ่งต้น หินหนึ่งก้อน หรือผืนดินหนึ่งชุ่นต่างก็มีลักษณะธรรมอย่างล้ำลึกและเปล่งแสงพุทธะจางๆ อยู่ทั้งสิ้น
นี่คือพระอาทิตย์ซึ่งก่อให้เกิดของวัฏจักรร่างธรรม และเป็นสถานที่ที่มีแสงพุทธะคอยสาดส่อง นั่นคือดินแดนพุทธ
ยามเขาได้ตื่นขึ้นนั้น ขณะเดียวกันอาซูหลัวที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้ตื่นขึ้นเช่นกัน แต่ผู้ทรยศคนนี้ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ ซ้ำยังกระโจนออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อตีตัวออกห่างอีกด้วย
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป กลับรักษากิริยาในท่ามุทราเช่นเดิม เขายังไม่พบว่าสวี่ชีอันอยู่แห่งหนใด และไม่รู้ว่าเสินซูกำลังจับตาดูอยู่ด้วยหรือไม่
“ไม่เห็นเสินซูแล้ว!”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่จึงปลดร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีออกทันที เผยสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม แล้วลุกขึ้นค่อยๆ กวาดตามองไปที่ด้านหลัง
ภาพที่เห็นคือมีสิ่งหนึ่งรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ดำไหม้กำลังพุ่งไปเบื้องหน้า เมื่อมองดูจากดาบสยบดินแดนที่อยู่ในมือ ย่อมเป็นสวี่ชีอันไม่ผิดแน่
‘ไม่มีกลิ่นอายชีวิตอยู่เลย ตายไปแล้วหรือ?’ พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ดึงสายตากลับ จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นได้ว่าสายตาของหลิวหลีและกว่างเสียนไม่อยู่ที่ร่างสวี่ชีอัน กลับกำลังจดจ้องบางสิ่ง ซึ่งก็คือรอยเท้าขนาดยักษ์ที่ดำขลับวาวมัน จนสามารถจินตนาการออกได้เลยว่านายท่านต้องทนความเจ็บปวดขณะก้าวย่างไปเบื้องหน้าเช่นไร
จากนั้นรอยเท้าก็หายไปในส่วนที่ลึกที่สุดของอรัญตา
เสินซูไปลำธารสะกดปีศาจเพื่อตามหาศีรษะของเขาแล้ว
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ใจกระตุกวูบ แต่ก็ไม่ได้ปล่อยโอกาสนี้ไป กล้ามเนื้อส่วนขาของเขาพลันพองโตขึ้น ก่อนจะระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมาแล้วพุ่งไปหาสวี่ชีอัน
ด้านพระโพธิสัตว์หลิวหลีใช้โอกาสนี้ขยายขอบเขตร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี จากนั้นขอบเขตขาวดำได้แพร่กระจายครอบคลุมพื้นที่ประหนึ่งน้ำ สีสันของทุกพื้นที่ที่พาดผ่านก็ซีดจางลง จนกลายเป็นสีขาวดำ
‘กึกกึก!’
ยามนี้มีแผ่นโลหะกำลังหมุนวนอยู่เหนือศีรษะของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ขณะเดียวกันคำว่า ‘มนุษย์’ ในภาษาสันสกฤตที่ถูกสลักไว้ก็ส่องสว่างขึ้นมา จากนั้นตัวอักษร 卍 ที่อยู่ใจกลางแผ่นโลหะดังกล่าวก็เข้าประจันหน้าสวี่ชีอัน
จนตอนนี้พวกเขาไม่สนใจเหล่าผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์ที่หลบหนีไปด้วยซ้ำ เพราะต้องร่วมมือกันเพื่อขจัดปัญหาจอมยุทธ์อันดับหนึ่งที่กำลังคุกคามผู้นี้ จากนั้นก็ต้องไปลำธารสะกดปีศาจเพื่อรับมือกับเสินซู
…
ณ ลำธารสะกดปีศาจ
เสินซูที่ไร้ศีรษะกระจายร่างธรรมลงมาถึงก้นเหว ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าถ้ำ
ผิวกายของเสินซูที่ถูกปกคลุมด้วยสีดำไหม้เกรียม เริ่มมีน้ำแข็งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างบางๆ ชั้นหนึ่ง
อุณหภูมิลำธารสะกดปีศาจลดต่ำลงถึงขีดสุด หากมนุษย์ธรรมดามาอยู่ที่แห่งนี้ เพียงหายใจหนึ่งครา ปอดคงถูกทำลายจากความหนาวเย็น
ที่แห่งนี้เงียบงันจนน่ากลัว แม้แต่ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่มี ราวกับที่นี่คือโลกันตนรกแสนเยือกเย็น
จากนั้นเสินซูก็ยกเท้าก้าวเข้าไปถ้ำโดยไร้ความลังเล
ย่างก้าวของเขามั่งคงไม่เร็วหรือช้าเกินไป ผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงหายใจอันยืดยาวดังมาจากความมืดมิด
จากนั้นคลื่นลมเย็นที่ประหนึ่งลมหายใจของมังกรยักษ์ก็โหมเข้าใส่เขา
เสินซูยกนิ้วขึ้นจุดไฟ ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกดังพรึ่บ ปัดเป่าความมืดมิดเพิ่มแสงสว่างแก่รอบด้าน
เขาจึงเห็นสภาพของทั้งสี่ทิศ ซึ่งเป็นภาพฉากที่สร้างความสยดสยองน่าขนลุกให้กับผู้คนได้เลยทีเดียว
กำแพงหินในถ้ำเป็นสีแดงอ่อนของเลือดเนื้อ และยังถูกปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดที่กำลังเต้นตุบๆ ตามจังหวะเสมือนการเต้นของหัวใจ
โดยที่เบื้องหน้าของเสินซู ก็คือศีรษะหนึ่งที่ถูกฝังไว้กับ ‘กำแพงหินสีเลือดเนื้อ’ นั่น
ซึ่งมีลักษณะตามแบบเผ่าอสูรทั่วไป ใบหน้าเหลี่ยม จมูกโด่ง ริมฝีปากไม่หนาไม่บางจนเกินไป และบริเวณโหนกคิ้วนูนไร้ขน ดูน่าองอาจเป็นอย่างยิ่ง
คิดดูแล้วคงเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากในเผ่าอสูร
และเสียงหายใจก็มาจากศีรษะนี้ เวลานี้ศีรษะได้แทรกซึมเข้าไปในเลือดเนื้อและเติบโตในนั้น พูดให้ถูกคือเสียงลมหายใจมาจาก ‘เจ้าสัตว์ประหลาด’ ขนาดใหญ่ตัวนี้มากกว่า
“เจ้ามาแล้ว!”
ศีรษะพลันลืมตาขึ้น แล้วมองไปที่เสินซูอย่างเยือกเย็นไร้อารมณ์
“เจ้าไม่ควรมา!”
ศีรษะเปิดปากเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
น้ำเสียงทั้งก่อนหน้านี้และช่วงหลัง ดูอารมณ์แปรปรวนอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าไม่ได้มาจากคนเดียวกัน
น้ำเสียงของช่วงหลังยังพูดเพิ่มอีกว่า
“พระองค์รอมาถึงวันนี้ ก็เป็นระยะเวลาห้าร้อยปีแล้วนะ”
จากนั้น ศีรษะก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“เตรียมร่างของข้าพร้อมให้กลับแล้วใช่หรือไม่”
น้ำเสียงช่วงหลังเยาะเย้ยขึ้นมาทันที
“กลับรึ? การปราบปรามยังคงอยู่ตลอดไป นี่ก็ผ่านไปห้าร้อยปีแล้ว เจ้าคงสะสมพลังได้เพียงพอแล้ว”
น้ำเสียงช่วงแรกตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“เจ้าไม่มีทางเลือก”
ทันใดนั้นเองร่างเสินซูก็กล่าวด้วยโทสะว่า
“หุบปาก! วันนี้ข้าจะเอามันไป ใครหน้าไหนก็รั้งไม่ได้ทั้งสิ้น”
จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ เข้าไป ใช้สองมือประคองศีรษะที่ฝังอยู่ในกำแพงเลือดเนื้อ แล้วออกแรงดึง
แต่หลังออกแรงดึง กำแพงเลือดเนื้อก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทว่าศีรษะยังคงฝังแน่นอยู่ที่เก่า ด้วยพลังอันพิลึกของเสินซู จะไม่สามารถดึงมันออกมาได้เลย
“ดื่ม!”
จังหวะนั้นเองสะดือที่แยกออกมา พลันตะโกนว่าดื่มเสียงดัง แล้วกล้ามเนื้อตามตัวก็ระเบิดออกทันใด พลังปราณที่อยู่ตามเส้นลมปราณก็โลดแล่น และเต็มไปด้วยพลังอันล้นหลาม
ภายใต้พลังทั้งมวล ศีรษะที่ฝังอยู่ในกำแพงเลือดเนื้อก็ค่อยๆ ถูกดึงออกมาทีละน้อย และค่อยๆ หลุดออกจากกำแพงนี้ทีละหน่อย
เวลานั้นเอง ‘กำแพงหิน’ ทั้งสี่ทิศก็มีชีวิตขึ้นมาโดนพลัน มันสั่นไหวอย่างรุนแรง จนผิวเปลือกนอกของหินร่วงกราวเป็นเสียง ‘กึกกึก’ หลังจากเปลือกนอกของหินร่วงหล่นลงมาแล้ว ก็พบว่าด้านในนั้นก็ยังเป็นสีแดงอ่อนของเลือดเนื้อ
ทั้งถ้ำแห่งนี้ ราวกับว่าภายในจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อะไรบางอย่าง
ยามนี้กำแพงเลือดเนื้อหดตัวอย่างบ้าคลั่ง และยังพุ่งหนวดยาวเส้นหนึ่งหมายจะรัดพันร่างเสินซู
………………………………………………