ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 829 การล้างแค้นของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
บทที่ 829 การล้างแค้นของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
เมื่อเห็นว่ากำแพงที่พังทลายกลับมามั่นคงอีกครั้ง จอมยุทธ์ภิกษุบนภูเขาก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะพบว่าเหงื่อไหลออกเต็มแผ่นหลังของตน ความหวาดกลัวแล่นเข้าสู่ขั้วหัวใจ
เมื่อครู่ หรือชั่วขณะต่อมา ค่ายกลป้องกันที่ก่อตัวขึ้นจากพลังทั้งหมดของสำนักพุทธถูกสัตว์ประหลาดตัวนี้สำแดงร่างธรรมวชิระทำลายจนย่อยยับ
หมายความว่าสิ่งมีชีวิตประดุจครึ่งเทพครึ่งมารนี้ มีพลังมากพอที่จะท้าดวลกับสำนักพุทธทั้งสำนักได้
โชคดีตรงที่ ผู้คุมค่ายกลคือพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ และพลังต่อสู้โดยรวมแข็งแกร่งที่สุดในสำนักพุทธ ควบคุมร่างธรรมที่ไม่อาจทำลายได้ของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีได้
‘หวืด หวืด หวืด’…กำแพงแสงทองยังคงสั่นไหว แต่เมื่อระลอกคลื่นแผ่ขยายเข้าใกล้ตัวพระโพธิสัตว์มัญชุศรี มันก็พลันสงบราบเรียบลงทันที
“อมิตตาพุทธ!”
เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุประนมมือ ทั้งดีใจทั้งหวาดกลัว
ที่หวาดกลัวเป็นเพราะในจิ่วโจวอันกว้างใหญ่มีสิ่งมีชีวิตพรรค์นี้ด้วยหรือ สิ่งมีชีวิตที่บีบบังคับสำนักพุทธให้เดินมาถึงจุดนี้ได้?
โชคดีตรงที่แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ ก็ยังถูกขวางกั้นไว้ได้
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักพุทธมิใช่สิ่งที่จะขัดขืนได้
“พระโพธิสัตว์มัญชุศรีแห่งพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มิเคยแพ้พ่าย ทุกคนจงตั้งสติ อย่าได้หวาดกลัวต่อร่างธรรมของเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ และปกป้องพี่น้องรอบกายของพวกเจ้าไว้ด้วย”
“ฮู่ อมิตตาพุทธ อาตมาตกใจเหลือเกิน เมื่อครู่อาตมาเกือบคิดว่าค่ายกลจะพังทลายเสียแล้ว”
“เจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้กักขฬะไม่ต่างจากจอมยุทธ์ ดีแต่ปล่อยพลังอันชั่วร้ายของมันเท่านั้น บนโลกนี้มีจอมยุทธ์หน้าไหนจะพังทลายค่ายกลของเราได้ด้วยพลังอันชั่วร้าย”
“สงสัยว่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งหมาดๆ จากต้าฟ่งผู้นี้คงจะไม่มีพลังถึงขั้นนั้นเช่นกัน”
“สัตว์ประหลาดที่ตรงเบื้องหน้า เกรงว่าจะเทียบกับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
ตรรกะนั้นช่างเรียบง่าย จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่มีทางทะลวงผ่านค่ายกลที่ขั้นหนึ่งสามคน และฉานซืออีกกว่าสี่พันชีวิตสร้างขึ้นมาได้
เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุกระซิบกระซาบพูดคุย ให้กำลังใจกันและกัน ก่อนจะกลับมาฮึกเหิม มั่นใจอีกครั้ง
หลี่เมี่ยวเจินที่อยู่กลางเวหาขมวดคิ้วมุ่น
“ช่างเป็นค่ายกลป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เสินซูเองก็ทำลายไม่ได้เลย…”
นางพยายามพูดอ้อมค้อม ด้วยไม่รู้นิสัยใจคอของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง จึงเลี่ยงการพูดแทงใจดำให้นางขุ่นเคือง
เมื่อเผชิญกับสงคราม นางไม่ต้องการสร้างความบาดหมางให้กับพันธมิตรด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่ายหน้า แล้วพูดตรงไปตรงมาว่า
“ต้องชิงหัวกะโหลกของเสินซูกลับมาให้ได้ มิฉะนั้นค่ายกลนี้ก็ยากจะทำลาย”
เทพยุทธ์ครึ่งขั้นสามารถเอาชนะสำนักพุทธได้ทั้งหมด ยกเว้นพระพุทธเจ้า ทว่าเสินซูในตอนนี้ยังไม่อยู่ในร่างสมบูรณ์ ทำลายเกราะกำบังที่สำนักพุทธระดมกำลังสร้างขึ้นมาเต็มขั้นไม่ได้ก็ไม่แปลก
นอกจากนั้น ลึกเข้าไปในอรัญตายังมีพระพุทธเจ้าอยู่ ทันทีที่พระพุทธเจ้าลงมือ เสินซูจะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน
ตอนนี้สองพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและหลิวหลี ตลอดจนฉานซือ จอมยุทธ์ภิกษุอีกนับพัน อาจจะกลายเป็นฟางที่ทำให้อูฐหลังหักได้
ดังนั้นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจึงอดทนรอกว่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งหาจังหวะเอาชนะ ‘ลูกน้อง’ ของพระพุทธเจ้าได้ และสวี่ชีอัน จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งนั้นสามารถเข้าไปมีส่วนช่วยในการต่อสู้ระหว่างพระพุทธเจ้ากับเสินซู
เช่นนั้นจึงจะมีหวังที่จะคว้าชัยจากอรัญตากลับไป
หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในหัวผุดวิธีทำลายค่ายกลขึ้นมาหลายรูปแบบ แต่กลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ต้องคอยดูว่าพลังปะทุของสวี่หนิงเยี่ยนจะแข็งแกร่งสมราคาคุยหรือไม่”
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินยังไม่เคยเห็นการระเบิดพลังของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เมื่อคราวสงครามหนีเคราะห์กรรมใกล้จะสิ้นสุดลง นางยังถูกท่านอาจารย์และอาจารย์เสวียนเฉิงพาตัวกลับไปที่นิกาย
ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้แค่ว่าสวี่หนิงเยี่ยนกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่แข็งแกร่งเพียงใดนั้นสุดจะหยั่งรู้ได้ นางไม่คิดอะไรตื้นๆ
ระดับของค่ายกลสะเทือนโลกานี้สูงเกินไป ผู้คุมค่ายกลคือพระโพธิสัตว์ถึงสามองค์ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังมีเจียหลัวซู่ผู้ควบคุมร่างธรรม ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ด้วย
แม้แต่เสินซูผู้เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็มีพลังเช่นนี้
‘หวืด หวืด หวืด’…กำแพงแสงทองยังคงสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ไม่เคยพังทลายจนถึงบัดนี้ ขณะที่เสินซูยังคงโจมตีไม่หยุดหย่อน ราวกับเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือหยุดนิ่ง
กำปั้นปะทะเข้ากับกำแพง ปลดปล่อยพายุคลั่งและพลังปราณออกมาเป็นระลอก สร้างพายุกระหน่ำอันน่าสะพรึงกลัวพัดเข้าใกล้อรัญตา แต่เมื่อสัมผัสกับร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อยู่ตรงใจกลาง ‘การเคลื่อนไหว’ ทั้งหมดก็พลันสงบนิ่งไป
แม้ว่าพายุที่ห้อมล้อมอรัญตาจะรุนแรงสักเพียงใด ก็ไม่สามารถสั่งสมพลังงานจนก่อตัวเป็นรูปร่างได้
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไม่อ่อนข้อให้แก่กันอยู่นาน ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่รวมเข้ากับเจียหลัวซู่ก็เกิดการสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย
โอกาสมาถึงแล้ว…บนห้วงนภาสีครามไร้ขอบเขต สวี่ชีอันหรี่ตามองเห็นความผิดปกติของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีได้อย่างชัดเจน
ในที่สุดการระเบิดพลังของเสินซูอย่างต่อเนื่อง ก็งัดกับร่างธรรมที่ขึ้นชื่อว่าป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบได้ในที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันเห็นพระโพธิสัตว์มัญชุศรีสั่นไหว ในขณะที่ยังรักษาพลังงานเคลื่อนที่เอาไว้
จำต้องรู้ว่าต่อให้เขาจะรวบรวมพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ก็ทำได้เพียงใช้เจียหลัวซู่เป็นกระสอบทรายโจมตีตั้งแต่ตะวันออกไปยังตะวันตกแล้ววนกลับมาอีกรอบ แม้จะบอกว่าควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังฝ่าทะลวงด้านกั้นของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีไปไม่ได้อยู่ดี
มิฉะนั้นเจียหลัวซู่คงได้สิ้นชีพที่ภาคกลางไปแล้ว
เสินซูทำได้ เสินซูเปิดโอาสให้เขาได้ทำลายค่ายกล
สถานการณ์ปัจจุบัน นี่เป็นขีดจำกัดที่เสินซูจะทำได้ ลำพังแค่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องใช้จอมยุทธ์ที่รู้จักกันในเรื่องพลังอันร้ายกาจเป็นฟางก้อนสุดท้ายที่จะกดทับให้อูฐหลังหัก
สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยืดกล้ามเนื้อและกระดูกช้าๆ กล้ามเนื้อยืดออกเปิดเป็นรอยย่น กระดูกส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
หลังจากนั้น กล้ามเนื้อช่วงเอวก็ระเบิดอย่างแรง ดันกล้ามเนื้อทั่วร่างให้ขยายออก ร่างของเขา ‘หนา’ ขึ้น ทำเอาเสื้อผ้าปริไปเล็กน้อย
“อ๊ากกก”
สวี่ชีอันส่งเสียงคำรามลั่นราวกับเสียงของฟ้าร้อง
สีผิวของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง พร้อมกับเสียงคำราม นี่เป็นเพราะเลือดถูกสูบฉีดอย่างรวดเร็วผิดปกติ รูขุมขนเปิด และพ่นละอองเลือดออกมา
สังเวยเลือด!
เป็นวิชากู่ของเหนือมนุษย์แห่งลี่กู่
แก่นโลหิตที่เดือดพล่าน ทำให้พลังต่อสู้พุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ
แก่นโลหิตที่เดือดพล่านของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง สามารถระเบิดพลังต่อสู้ได้มากน้อยเพียงใด
เพียงเสี้ยววินาที ท้องฟ้าและผืนดินพลันเปลี่ยนสี พลังธาตุของโลกทั้งใบพลันปั่นป่วน ธาตุน้ำและธาตุไฟรวมกันกลายเป็นไอน้ำหนาแน่น ธาตุลมรวมกับธาตุดินก่อตัวเป็นพายุทราย
พื้นที่ภายในรัศมีไม่หลายสิบลี้ของอรัญตากลายเป็นสถานที่อัปมงคล ที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ปั่นป่วน
ภาพที่เหนือจินตนาการดึงดูดความสนใจของเหล่าภิกษุในภูเขา พวกเขามองไปรอบๆ อย่างมึนงง ไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มีสิ่งใด หรือสิ่งมีชีวิตใดที่ทำให้เกิดภาพโกลาหลเช่นนี้ขึ้นได้
ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน…หลี่เมี่ยวเจินพูดไม่ออก ดวงตาคู่สวยจ้องมองตะลึงค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสวี่หนิงเยี่ยนแสดงตบะแท้จริงออกมาเป็นครั้งแรก
แม้จะอยู่ไกลออกไป แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำลายล้างโลกได้
ความสุขและความมั่นใจหลังจากได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่เหนือมนุษย์มาบรรจบกันในเสี้ยวขณะนี้
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจอมยุทธ์ฆ้องเงินต่ำต้อยคนนั้นที่เคยแสร้งทำตัวเป็นยอดฝีมือในพรรคฟ้าดินเมื่อวันวาน ตอนนี้จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างแท้จริง
ทำให้หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกเหมือนเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
‘แม้จะยังเทียบไม่ได้กับเสินซู แต่พลังในตอนนี้ก็น่าสะพรึงกลัวไม่ใช่ย่อย’…จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในใจ นางยังจำเมื่อวันแต่งงานได้ขึ้นใจ สวี่หนิงเยี่ยนสะกดจิตนึกคิดของนางในร่างของฝูเซียง จากนั้นนั่งคร่อมร่างของนาง และฟาดก้นนางอย่างบ้าคลั่ง
นางจิ้งจอกผูกใจเจ็บอย่างยิ่ง
นักบวชเต๋าจินเหลียน จ้าวโส่ว และอาซูหลัวทั้งสามคนต่างตระหนักได้ถึงความก้าวหน้าของสวี่ชีอันอย่างชัดแจ้ง
ตอนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นหนึ่ง เขายังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้
เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เคล็ดวิชาสังเวยเลือดของลี่กู่เท่านั้น ตบะของเขาเองก็ยังแข็งแกร่งขึ้นมาก ทั้งที่เพิ่งผ่านไปเพียงสองเดือนเท่านั้น…ทันใดนั้นอาซูหลัวก็พลันเกิดความรู้สึก ‘อยากไล่ตามให้ทัน’ ท่วมท้นอยู่ในใจ
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันล้วงมือเข้าไปในทรวงอก แล้วหยิบดาบสีทองออกมา
เมื่อถือดาบแล้ว เขาก็ควบคุมกลิ่นอายทั้งหมด ทลายความรู้สึกทั้งปวงในกาย เปลี่ยนจุดตันเถียนเป็นกระแสน้ำวน ดูดซับพลังอันยิ่งใหญ่นี้
นี่ไม่ใช่หยกสลาย ทว่าเป็น ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ฉบับต้นตำรับ
ตัวดาบเดียวตัดฟ้าดินเองเป็นวิชาดาบที่รุนแรงและแปลกประหลาด มันจะเทพลังทั้งหมดลงไปในดาบเดียว หากไม่พุ่งเป้าสังหารจะย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง คล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาสังเวยเลือด แต่กลับซ้อนกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สวี่ชีอันกระชับดาบ หมุนตัวพุ่งลงไป
ในสายตาของพวกหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ เขาดูเหมือนอุกกาบาตสีเหลือง ที่เสียดสีกับอากาศเกิดเป็นแสงสีเหลืองทอง ชั้นบรรยากาศและแสงสีทองผสานกันเป็นเปลือกอากาศรูปทรงกรวยที่ตกลงมาอย่างรวดเร็ว
จ้าวโส่วคว้าโอกาส สะบัดมงกุฎขงจื๊อออกไป แล้วยื่นมือขวาไปทางสวี่ชีอัน พร้อมกับพูดเสียงทุ้มต่ำ
“ดาบนี้ ทรงพลังบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่!”
ถ้อยวาจาที่เปี่ยมด้วยพลัง เพื่อความแข็งแกร่งให้แก่คมดาบ
แสงสีทองเข้มขึ้น และรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง เสินซูก็เร่งความถี่ในการโจมตีขึ้น หมัดยี่สิบสี่หมัดนั้นเหมือนตอกเสาเข็มยี่สิบสี่แท่ง เงาของหมัดกลือนกันเป็นเงาเดียว ‘หวืดๆ’ ที่ไม่เป็นจังหวะ ไม่ต่อเนื่องกัน กลายเป็นเสียง ‘หวืด…’ ยาวๆ ด้วยความถี่ที่เร็วสุดขีด
และในตอนนี้เองที่สวี่ชีอัน ‘ตก’ ลงมาจากฟากฟ้า ดาบสยบดินแดนนำหน้ามา แทงเข้าที่เศียรของร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีอย่างรุนแรง
คราวนี้ เกิดเสียง ‘ตู้ม’ ระเบิดกัมปนาทสนั่นหวั่นไหวขึ้นทันที แสงสีทองระเบิดออกเป็นชั้นๆ กำแพงแสงทองที่ปกคลุมอรัญตาทั้งหมดพังทลายและสลายตัวเป็นพายุพลังงานบริสุทธิ์
ที่เบื้องหน้าวิหารหลวง ฉานซือต่างล้มลงไปทีละคนๆ พวกเขาตายอย่างไร้สุ้มเสียง อวัยวะภายในถูกบดขยี้ ปราณชีวิตขาดสะบั้นในสภาพนั่งสมาธิ
ฉานซือผู้มีตบะขั้นสูง ถูก ‘ปลุก’ ขึ้นมาจากภวังค์ พวกเขากระอักเลือด หันมองไปรอบๆ อย่างสับสนระคนหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทันทีที่ฉานซือทำสมาธิเข้าถึงฌาน จะตกอยู่ในสภาวะอนัตตา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้วันไร้คืน
“น่ะ นี่…”
เมื่อได้เห็นโศกนาฏกรรมเบื้องหน้า และพบว่ามีเพียงฉานซือตบะสูงเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ เหล่าฉานซือตบะกลางจนถึงต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนต่างล้มตายกันหมดในสภาพนั่งทำสมาธิ
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร!”
“ตายหมดแล้ว ลูกศิษย์ของข้าตายหมดแล้วหรือ”
“น่ะ นี่…เวลาผ่านมานับพันปี สำนักพุทธของข้าไม่เคยประสบกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้เลย แม้แต่คราวที่ราชันอสูรขึ้นมาบนเขา ก็ยังถูกพระพุทธองค์กำราบที่ธารปราบปีศาจ”
เหล่าฉานซือเฒ่าทั้งตกตะลึงทั้งเดือดดาล ต่างทรุดลงไปกองกับพื้น ดวงใจแตกสลาย ไม่อาจยอมรับภาพที่เห็นตรงหน้าได้
“พลังที่โจมตีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของข้าคืออันใดกันแน่”
ผู้อาวุโสที่เคราขาวยาวถึงอกเปรอะเปื้อนด้วยเลือดเหนียวเหนอะ กำมือผอมบางของตนแน่น พร้อมกับเอ่ยถามคำถามนี้ออกมาด้วยความเกลียดชัง
จอมยุทธ์ภิกษุที่พยาบาลผู้บาดเจ็บไปพลาง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น
“มันเป็นสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดร่างกายดำมืดที่ควบคุมร่างธรรมวชิระ”
ร่างกายดำมืด ควบคุม ‘ร่างธรรมวชิระ’ อย่างนั้นหรือ เหล่าฉานซืออาวุโสต่างมองหน้ากันไปมา และเห็นความสับสนใจแววตาของแต่ละคน
ใบหน้าของภิกษุเฒ่าผู้มีเครายาวสีขาวปรกลงมาถึงหน้าอกดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับนึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ทว่าอธิบายไม่ได้ เขาย้อนถาม
“นอกจากเขาแล้ว จะมีผู้ใดอีก”
เมื่อจอมยุทธ์ภิกษุรอบข้างได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้ามองไปยังวิหารหลวงบนยอดเขา
“ฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่ง”
“จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งคนใหม่ของต้าฟ่ง”
เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุต่างพูดขึ้นเซ็งแซ่
สวี่ชีอัน จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง…เหล่าภิกษุต่างมองหน้ากัน ต่างคนต่างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียว ฉานซือเฒ่าก็พูดขึ้นอย่างปวดร้าว
“เขากลับมาแก้แค้นแล้ว เขากลับมาแก้แค้นแล้ว อาตมารู้แต่แรกว่าต้องฆ่าเขา หรือไม่ก็ต้องดึงเขาเข้ามาอยู่ในสำนักพุทธให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อนิจจา เมื่อเขาก้าวมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว พวกแรกที่กลับมาล้างแค้นคือสำนักพุทธ”
เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุและฉานซือต่างนิ่งเงียบ
ในฐานะที่เป็นภิกษุสายตรงของอรัญตา พวกเขาตระหนักถึงความบาดหมางระหว่างนิกายของตนกับ ‘พุทธบุตร’ เป็นอย่างดี
สำนักพุทธวางแผนจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับพุทธบุตรหลายครั้ง ทว่าด้วยปัญหาความขัดแย้งระหว่างนิกายหินยานและมหายาน ทำให้ท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสไม่ชัดเจน จนไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
ส่งผลให้ถึงขั้นที่พระอรหันต์และเทพอารักษ์ต้องลงมาโปรดสัตว์หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
เมื่อตอนนั้นภิกษุหลายรูปในอรัญตาต่างชี้ว่า หากจะเอาชนะพุทธบุตร เช่นนั้นเหล่าพระโพธิสัตว์ก็ควรจะเดินทางไปยังภาคกลางด้วยความคิดพร้อมปะทะกับท่านโหราจารย์ และบีบบังคับโปรดสัตว์เขาให้ได้
ตอนนี้ผลกรรมตามทันแล้ว
พุทธบุตรจากภาคกลางผู้บุกเบิกแนวคิดสรรพสัตว์ทั้งปวงสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ บัดนี้บรรลุจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง กลับมาสะสางหนี้แค้นกับสำนักพุทธแล้ว
…
“ช่างเป็นพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก”
นักบวชเต๋าจินเหลียนอุทานด้วยความชื่นชม
เสินซูไม่พูดอะไร ในระบบหลักทั้งปวงไม่มีขั้นหนึ่งคนใดจะต้านทานพลังที่สวี่หนิงเยี่ยนเพิ่งระเบิดออกมาได้อีกแล้ว
นอกจากเทพยุทธ์ครึ่งก้าวและระดับสุดยอด สวี่หนิงเยี่ยนเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก จึงไม่ใช่คำพูดเกินจริงแต่อย่างใด
อืม เว้นแต่ ‘ฮวง’ ที่โฉบเอาตัวท่านโหราจารย์บินจากไป
ขณะที่พวกอาซูหลัว หลี่เมี่ยวเจินกำลังถอนใจกับพลังทำลายล้างของจอมยุทธ์ สวี่ชีอันผู้ถือดาบสยบดินแดนในมือ ยืนตระหง่านเบื้องหน้าวิหารหลัก เผชิญหน้ากับสามพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งอยู่นั้น ในใจไม่ได้สุขุม เยือกเย็นดั่งที่ภายนอกปรากฏ
เสินซูรีบๆ มาเร็วสิ ข้าคนเดียวเอาพระโพธิสัตว์สามองค์ไม่หยุดหรอกนะ แถมตอนนี้ข้ายังรู้สึกเหมือนโดนสูบพลังจนเกลี้ยงแล้ว…ในขณะที่ใบหน้าของสวี่ชีอัน เคร่งขรึม เขาก็สวดภาวนาในใจอย่างเงียบๆ
หลังจากทะลวงค่ายกลป้องกันมาได้แล้ว เขาก็หยุดการสังเวยเลือดทันที ซึ่งช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางกายภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลข้างเคียงที่ตามมา แต่ความเหนื่อยล้าอันบางเบายังคงเกาะติดเช่นเดิม ทำให้เขานึกถึงความรู้สึกเข่าอ่อนตอนที่ใช้เงินจนหมด ที่จางหายไปนาน
“เหล่าจอมยุทธ์ภิกษุทั้งหลายจงฟัง เร่งพาฉานซือเข้าไปหลบภัยในอรัญตา”
น้ำเสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ของกว่างเสียนดังก้องในเวหาเหนืออรัญตา
เบื้องหน้าวิหารหลักที่พังทลาย พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืดตัวตรงสูง จ้องมองสวี่หนิงเยี่ยนด้วยสายตาเคร่งขรึม
หลิวหลี พระโพธิสัตว์หน้าหยกเขียว ผู้มีเส้นผมสีเขียวดุจน้ำตก คิ้วโก่งเล็กน้อย ยืนอยู่ทางเบื้องขวาของเจียหลัวซู่ และเบื้องซ้ายคือภิกษุหนุ่มกว่างเสียน ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา
พระโพธิสัตว์ทั้งสามไม่ได้ลงมือในทันที อารามตกใจกับฆ้องเงินสวี่ที่ภายนอกนิ่งสงบเหมือนสุนัขแก่ แต่ข้างในตื่นตระหนก
“ในที่สุดเจ้าก็มาถึงจุดนี้”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
“เจ้าเคยนึกเสียใจบ้างหรือไม่”
สวี่ชีอันยกมุมปากขึ้นส่งยิ้มหยัน
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนยังคงรักษาความสงบในน้ำเสียง
“ในเมื่อมาถึงอรัญตาแล้ว ก็อย่าได้คิดจะจากไปอีกเลย”
เขาทอดสายตามองไปยังพวกหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ไกลออกไป และพูดเสียงเรียบ
“พวกเขาก็เช่นกัน”
ท่ามกลางเสียงเอื่อยๆ เงาที่บดฟ้าบังดวงอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาจากด้านหลังพระโพธิสัตว์ทั้งสาม
เสินซูผู้ไร้เทียมทานมาปรากฏตัวเบื้องหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ มือสิบสองคู่กางออก เหมือนกับเขี้ยวของต้นกาบหอยแครง ที่จ้องจะเขมือบพระโพธิสัตว์ทั้งสาม
ฉากนี้ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงภาพที่เห็นในเจดีย์พุทธะ ท่ามกลางหมอกหนาทึบ เสินซูจ้องมองพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธด้วยสายตาเย็นยะเยือก และเลือกคนที่จะเขมือบ
เขาขยายกล้ามเนื้อทันทีโดยไม่ลังเล ปล่อยเลือดไหลออกมาเหมือนน้ำท่วม ชำระล้างหลอดเลือด เพื่อสำแดงการสังเวยเลือด
โจมตีเจียหลัวซู่ประกบหน้าหลังพร้อมกับเสินซู
จอมยุทธ์ไร้เทียมทานสองคนรวมพลังกันสังหารเจียหลัวซู่ก่อนเป็นอันดับแรก! นี่เป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มสงคราม
…………………………………………………………