ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 819 ประตูสู่โลกใหม่
บทที่ 819 ประตูสู่โลกใหม่
ทำต่อไป?
หลี่หลิงซู่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกตะลึง และหันไปมองหยางเชียนฮ่วนที่อยู่ด้านข้าง
หยางเชียนฮ่วนก็มองมาที่หลี่หลิงซู่ผ่านม่านผืนใหญ่เช่นกัน
เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้สวี่หนิงเยี่ยนกลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคน แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนจากไปหมดแล้ว จะมีความหมายอะไรที่จะสร้างประเด็นต่อไป?
ผลลัพธ์เดียวจากการทำต่อไปก็คือศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการแก้แค้นของสวี่หนิงเยี่ยน ตายก็ยังไม่รู้ว่าจะตายอย่างไร
หลี่หลิงซู่ไอกระแอมในลำคอและกล่าวว่า “หนิงเยี่ยน นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าและศิษย์พี่หยางจะกลับก่อน ไม่รบกวนการเข้าหอคืนแรกของเจ้าและเจ้าสาวแล้วกัน”
หยางเชียนฮ่วนอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ยอมจำนน แต่ศิษย์พี่หยางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีและหน้าบางมาก ไม่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์เหมือนเทพบุตร ด้วยเหตุนี้จึงตอบรับ ‘อืม’ เสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ จากนั้นแสงสว่างใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ปรากฏขึ้นและกำลังจะจากไปด้วยค่ายส่งตัว
แต่ในเวลานี้เอง เขาก็เริ่มเวียนศีรษะ ร่างกายอ่อนระทวย วิชาส่งตัวถูกขัดจังหวะและยังคงอยู่ ณ สถานที่เดิม
เขาถูกตู๋กู่ทำให้เป็นอัมพาตเสียแล้ว กล้ามเนื้อและเส้นลมปราณไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้อีกต่อไป
“อย่าเพิ่งรีบไป ข้าจะไปส่งพวกท่านทั้งสองเอง!”
สวี่ชีอันยืนขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะ
‘แย่แล้ว’…หลี่หลิงซู่ฉวยโอกาสตัดสินใจละทิ้งกายเนื้อ ถอดเทพเจ้าหยินจากไปอย่างฉับพลัน
สวี่ชีอันผิวปากเบาๆ เทพเจ้าหยินของเทพบุตรก็แข็งทื่ออยู่กลางอากาศและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
ซินกู่!
จิตใจของหยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่จมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรก็พูดกันดีๆ มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะ…” เทพเจ้าหยินของหลี่หลิงซู่กลับมาที่กายเนื้อ เขาทั้งเดินถอยหลังพร้อมๆ กับยอมจำนน
“ฮึ่ย พี่หลี่ แพ้เป็นเจ้าชนะเป็นโจร ไม่จำเป็นต้องกลัวเขา” สมแล้วที่หยางเชียนฮ่วนเป็นศิษย์ของท่านโหราจารย์ มีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี
“ดี!”
สวี่ชีอันปรบมือ “ข้าชื่นชมความหยิ่งในศักดิ์ศรีของศิษย์พี่หยาง”
‘ไอ้โง่’…หลี่หลิงซู่ก่นด่าสาดเสียเทเสีย พลางคิดในใจว่า ‘เจ้าไม่รู้สินะว่าสวี่หนิงเยี่ยนมันใจไม้ไส้ระกำขนาดไหน’
สวี่ชีอันหิ้วปีกหลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนออกไปจากห้องจัดงานแต่งงาน
ส่วนซุนเสวียนจีใช้ค่ายกลส่งตัวจากไปพร้อมกับผู้พิทักษ์หยวน
…
สิบห้านาทีต่อมา เขาก็กลับมาเพียงคนเดียว ในห้องจัดงานแต่งงานยังมีแขกท่านสุดท้ายหลงเหลืออยู่ ราชินีผู้ครองอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพร้อมกับไป๋จีที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง
เพราะยังมีแขกอยู่ที่นี่ หลินอันจึงยังคงรักษาท่าทีสง่างาม นางวางมือบนหัวเข่าและนั่งตัวตรงอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
คนหนึ่งนั่งหลังตรงอย่างสง่างาม ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งไขว้ขาอย่างเกียจคร้านและลูบลูกสุนัขจิ้งจอกในอ้อมแขนเป็นครั้งคราว
“เหตุใดราชินีผู้ครองอาณาจักรหมื่นปีศาจถึงได้เดินทางไกลโพ้นมายังที่ราบภาคกลาง ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?”
สวี่ชีอันปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้น
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดได้ หาสถานที่เงียบสงบไร้ผู้คนสักที่เถอะ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวเสียงเบา
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหันไปมองหลินอันและกล่าวว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ไม่นานข้าจะกลับมา”
“อืม!”
หลินอันเห็นว่ามีเรื่องจริงจัง แม้ว่าจิตใจของนางไม่อยากจะยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
สวี่ชีอันพาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปยังห้องที่ตนเองอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ สถานที่นี้ยังคงว่างเปล่า เขาผลักประตูเข้าไป จุดเชิงเทียนที่อยู่บนโต๊ะและโบกมือเป็นสัญญาณให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั่งประจำที่ภายใต้แสงไฟสลัว
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางวางไป๋จีไว้บนโต๊ะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไปหานายท่านใหม่ของเจ้าเถอะ”
“โอ้!” ไป๋จีตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะกลายเป็นเงาสีขาวและวิ่งออกไปจากห้อง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสะบัดแขนเสื้อและปิดประตูลง
“เจ้าเตรียมจะโจมตีอรัญตาเมื่อใด?”
สตรีผมสีเงินถามตรงเข้าประเด็น
“หลังจากบุกเบิกทางเรือในขั้นแรกกระมัง” สวี่ชีอันกล่าว
สตรีผมสีเงินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่สามารถเข้าใจได้และไม่ได้รับคำอธิบายจากสวี่ชีอัน ดังนั้นนางจึงฟังเขาพูดต่อไป “ข้าเพิ่งจะแต่งงาน รออีกสักหน่อยเถอะ อย่างไรก็ตาม แผนการกอบกู้ศีรษะของเสินซูสามารถเริ่มกำหนดได้เลย องค์หญิงคิดว่าอย่างไร?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เลือก ‘วันมงคล’ มาสักวันแล้วจู่โจมอรัญตาซะ สำนักพุทธไม่มีวิชาพยากรณ์โชคชะตาของพ่อมด ไม่สามารถแสวงหาโชคดีหรือเลี่ยงโชคร้ายได้ อีกทั้งยังไม่มีความสามารถของเทียนกู่ในการสอดส่องอนาคต ขอแค่พวกเราเลือกเวลาในการโจมตีอรัญตามาสักช่วง ก็จะสามารถโจมตีโดยที่พวกเขาไม่ทันรับมือได้”
ในแผนการโจมตีอรัญตา นางริเริ่มที่จะสละพลทหารธรรมดาและทหารปีศาจไว้ที่ด้านนอก
นี่เป็นสนามสงครามระดับเหนือมนุษย์
สวี่ชีอันกล่าววิเคราะห์ว่า “สำนักพุทธไม่มีความสามารถในการแสวงหาโชคดีหรือเลี่ยงโชคร้ายก็จริง แต่การหยั่งรู้อนาคตก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวิชาเวทมนตร์เสมอไป ยังสามารถพึ่งพาสมองได้ เจ้าคิดว่าเหล่าพระโพธิสัตว์เคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้มาก่อนหรือไม่ว่าเผ่าปีศาจและที่ราบภาคกลางจะร่วมมือกันบุกจู่โจมพระราชวังอรัญตา? พวกเขาจะแจ้งให้สำนักพ่อมดทราบล่วงหน้า ให้โอกาสซ่าหลุนอากู่ในการจู่โจมเมืองหลวงอย่างนั้นรึ? บางทีสำนักพ่อมดและสำนักพุทธก็อาจจะกำลังรอพวกเราโจมตีอรัญตาอยู่ก็ได้”
ในแง่ของคนธรรมดาสามัญ สิ่งนี้เรียกว่า…ข้าทำนายจากคำทำนายของเจ้า
“จะตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปไม่ได้เลย!”
สตรีผมสีเงินพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของจอมยุทธ์หยาบคาย
สวี่ชีอันฉวยโอกาสกล่าวว่า “ดังนั้น ต้าฟ่งจึงจำเป็นต้องปล่อยให้ยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งมากพอออกรักษาการณ์ด้วยตนเอง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคำนวณในใจเกี่ยวกับปริมาณ ระยะห่างระหว่างระดับของยอดฝีมือเหนือมนุษย์ในทุกด้าน ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ถึงแม้สำนักพุทธจะเกิดการสูญเสียอย่างนัก แต่ก็ยังมีผู้แข็งแกร่งในระดับสูงอีกมากมาย
ขอบเขตขั้นหนึ่ง : พระโพธิสัตว์หลิวหลี พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ พระโพธิสัตว์กว่างเสียน
ขอบเขตระดับสุดยอด : พระพุทธเจ้า
นอกจากพระพุทธเจ้าจะมีเสินซูคอยรับผิดชอบในการรับมือและกำจัดขอบเขตในการพิจารณาแล้ว สำนักพุทธยังมีขั้นหนึ่งอีกสามท่าน ข้าและอาซูหลัวผนึกกำลังกันก็แทบจะไม่สามารถสกัดกั้นพระโพธิสัตว์ทั้งสองท่านได้นอกจากเจียหลัวซู่ หากมีกำลังเสริมขั้นสามอีกสักท่านที่ไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์ ความมั่นใจก็จะยิ่งมากขึ้น…
สวี่หนิงเยี่ยนจัดการกับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ส่วนพระโพธิสัตว์ที่เหลืออีกหนึ่งท่าน เดิมทีลั่วอวี้เหิงสามารถจัดการได้ แต่เมื่อพิจารณาได้ว่าสำนักพ่อมดกำลังรอโอกาสลงมืออยู่ ต้าฟ่งจึงต้องเหลือขั้นหนึ่งไว้อย่างน้อยหนึ่งท่าน ขั้นสองหนึ่งท่าน หรือขั้นสามสองท่าน
“ต่อให้จะจับคู่ระบบหลักทุกระบบได้อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ให้มีความแข็งแกร่งที่สุด ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะจัดการกับสำนักพุทธและสำนักพ่อมดในเวลาเดียวกัน จำนวนคนไม่เพียงพอ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าต้องรออีกสักหน่อย” สวี่ชีอันกล่าวเสียงทุ้ม “อีกไม่นานจะมีจอมยุทธ์ขั้นสามสองท่านปรากฏตัวขึ้นในต้าฟ่ง ท่านหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม อีกท่านหนึ่งเป็นเทพเจ้าหยางขั้นสาม”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเลิกคิ้วขึ้นพลางจ้องไปที่เขา “จริงรึ?”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ฮว๋ายชิ่งมาถึงจุดสูงสุดของขั้นสี่แล้ว หลังจากกลืนยาโลหิตก็จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสามได้ จิตเดิมของหลี่เมี่ยวเจินเริ่มเปลี่ยนแปลงนานแล้ว รอหลังจากที่นางย้ายไปลัทธิเต๋านิกายปฐพี นางก็น่าจะเข้าสู่ขอบเขตเหนือมนุษย์ได้อย่างราบรื่น”
ดวงตาที่สว่างไสวของสตรีผมสีเงินฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากแล้วถอนหายใจ “หลังจากปราบปรามกบฏอวิ๋นโจว ดวงชะตาก็ถูกควบแน่น หลังจากที่ราบภาคกลางประสบสิ่งเลวร้ายที่สุด ในที่สุดก็ได้ประสบสิ่งดีๆ ทำให้ราชินีอย่างข้ารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “ที่ราบภาคกลางมีระดับเหนือมนุษย์จำนวนไม่น้อยมาโดยตลอดอยู่แล้ว และไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสำนักพุทธ เพียงแต่ก่อนยุคสมัยหยวนจิ่ง เหนือมนุษย์เหล่านั้นเป็นเหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย แต่ละคนก็ล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง กลับมาที่ประเด็นเดิม สำนักพ่อมดมีเพียงระบบเดียว จัดการกับพวกเขาไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัญหาการรวมกันของระบบหลัก เหลือยอดฝีมือที่อยู่ในระดับไม่เลวไว้ก็พอแล้ว ดังนั้น เก็บลั่วอวี้เหิง โค่วหยางโจว ฮว๋ายชิ่งและหยางกงไว้ก็พอ จริงสิ หยางกงก็เข้าสู่เขตเหนือมนุษย์ได้อย่างราบรื่นแล้วเช่นกัน ถึงแม้กำลังไฟที่เผาได้ที่ในการเข้าสู่ขั้นสามช่วงแรกจะค่อนข้างแย่ แต่ขั้นสามของลัทธิขงจื๊อก็ไม่เลว”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกัดฟันกรอด
“นี่เจ้ากำลังโกรธข้ารึ?”
‘ไม่ ข้ากำลังโอ้อวดแบบอ้อมๆ ต่างหาก’…สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “คนที่เหลือจะเข้าร่วมรบแนวหน้ากับพวกเราที่อรัญตา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะรับมือกับสำนักพุทธแล้ว”
รายชื่อผู้ออกรบ : สวี่ชีอัน เสินซู จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ราชาหมี อาซูหลัว จ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี หลี่เมี่ยวเจิน นักบวชเต๋าจินเหลียน
ในหมู่พวกเขา นักบวชเต๋าจินเหลียน ซุนเสวียนจีและจ้าวโส่วเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังแดนประจิม เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีท่าทางเกินพอดี จึงจะสามารถจัดการกับร่างธรรมของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้
“บุคคลระดับเหนือมนุษย์มารวมตัวกันที่อรัญตามากมายเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพุทธนั่นจนราบเป็นหน้ากลองได้” สวี่ชีอันพูดหยอกเย้าและกล่าวต่อไปว่า “องค์หญิงมาหาข้า คงมิใช่เพื่อหารือเรื่องเหล่านี้เท่านั้นกระมัง”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “ไม่นานมานี้ข้าส่งเย่จีไปตามหาทายาทของราชาปีศาจในตอนนั้น จึงได้รู้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับสงครามระหว่างสำนักพุทธและเผ่าปีศาจเมื่อห้าร้อยปีก่อนจากพวกเขา”
“เป็นอย่างไรบ้าง?” สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ร่างธรรมมหาสังสารวัฏกำเนิดขึ้นจากร่างของเสินซู” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าวกระซิบ
ภายใต้แสงเทียน สีหน้าของสวี่ชีอันตกอยู่ในความตะลึงอยู่เป็นเวลานาน เขาจ้องมองนางด้วยความงุนงงก่อนจะถอนหายใจช้าๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว การเดินขบวนรบไปที่อรัญตาครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะไขความลับของพระพุทธเจ้าได้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะกล่าวคำอำลาจากไป ก็เห็นสวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนกระจกสำริดที่แตกร้าวออกมาพลางจ้องนางด้วยสายตาเฉียบคม!
นี่…จิตวิญญาณและความคิดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแข็งทื่อราวกับวัวที่ติดอยู่ในหล่ม ไม่สามารถหลบหนีได้ในชั่วขณะหนึ่ง
สวี่ชีอันฉวยโอกาสนี้ดำเนินการจุมพิตประทับตราที่หว่างคิ้วของนาง
“เจ้าจะทำอะไร?”
ดวงตาอันเจิดจรัสของสตรีผมสีเงินเบิกกว้างและจ้องมองเขาด้วยความโกรธและอ่อนไหวเล็กน้อย
สวี่ชีอันเพิกเฉยนางพลางกล่าวอย่างทองไม่รู้ร้อนว่า “ฝูเซียง พวกเราไม่ได้ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยามานานแล้วนะ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเบิกตาโพลงทันที นางจ้องมองเขาอย่างดุเดือดและกล่าวข่มขู่ว่า “ถ้าเจ้าบังอาจแตะต้องข้า ข้าจะขายเย่จีซะ”
…
ในห้องแต่งงาน
ภายใต้การดูแลปรนนิบัติของนางกำนัลข้างกาย หลินอันได้ถอดชุดแต่งงานและล้างเครื่องสำอางออก นางนั่งรออยู่ที่เตียงเป็นเวลานาน ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเข้ามาเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ จากนั้นสวี่ชีอันก็เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง
“กลับมาแล้วรึ?”
หลินอันเดินเข้าไปต้อนรับเขา ทั้งแอบดมกลิ่นและกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ฮว๋ายชิ่งและราชครูจะแก้แค้นข้าหรือไม่?”
มือใหม่แต่ก็มีความพยายามดี…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจและกล่าวปลอบโยนนางว่า “เจ้าแต่งงานแล้ว ต่อให้พวกนางคิดจะแก้แค้น ก็คงไม่สามารถมาฆ่าเจ้าถึงจวนตระกูลสวี่ได้กระมัง”
หลินอันครุ่นคิดก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล แต่จู่ๆ นางก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงมีกลิ่นแปลกๆ…เจ้ากินส้มมารึ?”
สวี่ชีอันเทน้ำให้ตนเองแก้วหนึ่งก่อนจะอธิบายว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีส้มอยู่ในห้องโถงก็เลยกินมาลูกหนึ่ง จะได้แก้เมาค้างสักหน่อย”
หลินอันย่นจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจ ผลักเขาออกไปเล็กน้อยและกล่าวเร่งรัดว่า “รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า”
ด้วยเหตุนี้นางจึงจัดการให้เหล่านางกำนัลไปตักน้ำจากถังเก็บน้ำนอกลานบ้าน
ระหว่างกระบวนการนี้ สวี่ชีอันและหลินอันก็นั่งอยู่ที่โต๊ะพลางทอดถอนใจกล่าวว่า “ผู้พิทักษ์หยวนสร้างความวุ่นวายในคืนนี้ ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ถูกถอดหน้ากาก ต้องใช้เวลานานถึงจะรู้สึกดีขึ้น”
หลินอันนึกถึงความอับอายที่ตนเองถูกเขามองออกเมื่อครู่ ผลักเขาออกด้วยความโกรธ จากนั้นก็นึกถึงบุคคลน่าสมเพชที่หนีเตลิดไปเหล่านั้น ทั้งรู้สึกโกรธทั้งตลก
“เช่นนั้นเจ้าก็ยังปล่อยให้เขาก่อกวนรึ?”
“เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเจตนาไม่ดีก่อน” สวี่ชีอันกล่าว
“ที่แท้ซือมู่ก็กลัวอาสะใภ้ขนาดนั้น น้องสาวของเจ้าก็ใช้ไม่ได้จริงๆ นางตำหนิข้าอยู่ในใจตลอดเวลา ยังมีมารดาของเจ้า ที่มักจะสร้างความยุ่งยากให้ผู้อื่นเสมอ อืม แต่นางก็ยังมีความปรารถนาดีต่อข้า” หลินอันแสร้งทำเหมือนว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ในบ้านและแสดงการวิเคราะห์
จนกระทั่งเหล่านางกำนัลเติมอ่างอาบน้ำจนเต็ม นางก็เร่งรัดให้สวี่ชีอันอาบน้ำ
เดิมทีสวี่ชีอันอยากจะลากนางไปอาบน้ำด้วยกัน แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง มู่หนานจือและลั่วอวี้เหิงยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้อย่างสิ้นเชิง นับประสาอะไรกับหลินอัน
หลังจากอาบน้ำแบบเรียบง่าย หลินอันก็จัดการให้นางกำนัลต้มน้ำร้อนอีกครั้ง เพื่อประหยัดเวลา สวี่ชีอันจึงใช้พลังปราณเพิ่มอุณหภูมิให้กับน้ำเย็น ทำให้เวลาการอาบน้ำของหลินอันสั้นลง
หลังจากหลินอันที่สวมเสื้อชั้นเดียวสีขาวบิดเอวขึ้นไปบนเตียง สวี่ชีอันก็เหลือบไปเห็นนางกำนัลที่เตรียมตัวจะนอนหลับบนฟูกนุ่มในห้องโถง จึงกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า
“เหตุใดเจ้ายังไม่กลับห้องไปอีก”
ห้องของนางกำนัลทั้งสองอยู่ที่นอกห้อง
นางกำนัลอาวุโสกล่าวอย่างหนักแน่น “ทาสจะคอยปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
นี่คือกฎ
สวี่ชีอันพูดในใจว่า นั่นเป็นไปไม่ได้ วิธีลับในการบำเพ็ญคู่ของข้าไม่สามารถให้นางหนูอย่างเจ้ามาล้วงไปได้ฟรีๆ หรอก
ดังนั้นไล่นางออกไปเสีย
หลินอันไม่ได้พูดอะไร แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ แน่นอนว่านางก็ไม่ได้คาดหวังให้การเริ่มใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับสวี่หนิงเยี่ยนจะอยู่ภายใต้สายตาของนางกำนัล
เมื่อห้องแต่งงานเริ่มสงบลง หลินอันก็ขดตัวงอนิ่งไม่ไหวติง
สวี่ชีอันได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวของหญิงงามที่อยู่ข้างๆ
ในฐานะผู้มีประสบการณ์โชกโชน เขารู้ว่าเวลานี้ควรที่จะปลอบประโลมนางสักหน่อย ไม่สามารถจู่โจมแบบตรงไปตรงมาได้ เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ฝ่าบาท ยังจำครั้งแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่?”
หลินอันเม้มริมฝีปาก กลอกตาไปมาและกล่าวเสียงเบาว่า “ที่งานเลี้ยงริมทะเลสาบหวงเฉิง”
สวี่ชีอันหัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว ท่านอยากจะขี่มังกรวิญญาณเพื่อโอ้อวด แต่สุดท้ายกลับถูกมันสะบัดลงไปในน้ำ”
หลินอันหยิกเขาเบาๆ และกล่าวด้วยอารมณ์ไม่พอใจ “ตอนนั้นเจ้ายังเป็นผู้ติดตามของฮว๋ายชิ่งอยู่เลย” นางไม่ได้วิตกกังวลอีกต่อไปตามที่คาด
ทั้งสองพูดคุยกันต่อไป เมื่อพูดถึงเรื่องกำไรก้อนแรกของสวี่ชีอัน เป็นการที่เขาช่วยหลินอันจากมังกรหลิงหลงที่กำลังคลุ้มคลั่ง หลินอันจึงขอมันจากจักรพรรดิหยวนจิ่งแทนเขา
ในเวลานั้น ตระกูลสวี่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากจนมันจึงเป็นรางวัลที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ทางการเงินของตระกูลสวี่ได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นมา หลินอันก็มักจะใช้เหตุผลนี้มอบเงินทองให้เขาบ่อยๆ ตอนนั้นสวี่ชีอันเป็นเพียงแค่ฆ้องทองแดงเล็กๆ
คุยไปคุยมา สวี่ชีอันก็กล่าวด้วยอารมณ์ลึกซึ้งว่า “ฝ่าบาท ข้าติดหนี้พระองค์อยู่มาก ข้าต้องหาวิธีมาใช้คืนอย่างแน่นอน”
หลินอันเชิดคางเรียวขึ้น นางเริ่มกลับสู่สภาวะปกติและกล่าวพึมพำว่า “เจ้าจะใช้คืนอย่างไร?”
สวี่ชีอันครุ่นคิด ในขณะที่หลินอันคิดว่าเขาจะพูดว่า ‘ใช้คืนทั้งชีวิต’ นางก็ได้ยินสวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ใช้คืนให้ท่านหมดในครั้งเดียว!”
เขาฉวยโอกาสเสยเสื้อตัวน้อยของหลินอันขึ้นในขณะที่นางกำลังเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เผยให้เห็นเอวบางอันเนียนนุ่มและขาวผ่อง
ช่างเป็นเอวบางที่ยอดเยี่ยมตามที่คาด…สวี่ชีอันแอบชื่นชมในใจ
เวลาหลินอันก้าวเดิน ท่าทางแกว่งไปแกว่งมาของนาง เอวบางที่บิดไปมานั้นดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ สวี่ชีอันเดาว่ามันจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เพียงแต่การแต่งกายที่ปกปิดมิดชิดตามปกติของนาง ทำให้ไม่สามารถมองออกได้ด้วยตาตนเอง
ตอนนี้เขาได้ยืนยันการคาดเดาของตนเองแล้ว
บั้นท้ายของนางไม่ใหญ่นัก แต่ก็เข้ากับรูปร่างของนางและมีสัดส่วนที่สวยงามลงตัว…
ผู้หญิงบางคนมีบั้นท้ายใหญ่ แต่สัดส่วนโดยรวมกลับดูไม่ลงตัวและไร้ซึ่งความสวยงาม
เมื่อเทียบกับเทพดอกไม้และราชครู หลินอันยังสาวกว่าเล็กน้อย แต่ก็ดูดีกว่าทรวดทรงตรงๆ ของฉู่ไฉ่เวยมาก…
ไม่นานหลังจากนั้น ด้านล่างเตียงก็เต็มไปด้วยเสื้อ เสื้อชั้นในและกางเกงใน กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
สวี่ชีอันพลิกแผ่นหลังของหลินอัน โดยให้นางหันหน้าออกไปข้างนอกและหันหลังให้ตนเอง
…หลินอันรีบยืดตัวตรง ตัวแข็งทื่อไม่ไหวติง ใบหน้าสวยแดงก่ำ นางจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้”
“เพราะเหตุใดเล่า?” สวี่ชีอันถามกลับ
“หมัวมัวมิได้สอนเช่นนี้ เจ้า เจ้าไม่ปฏิบัติตามกฎ ข้าก็จะไม่เริ่มใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับเจ้า” หลินอันกล่าวเสียงดัง
หลังจากข่มขู่แล้ว นางก็กล่าวเสียงเบาพึมพำราวกับยุง “ข้า ข้าสอนเจ้าได้ เมื่อวานข้าเรียนรู้จากหมัวมัวมามากมาย”
สอนข้า?! สวี่ชีอันกล่าวในใจ เจ้าเป็นมือใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์มาก่อน จะสอนมืออาชีพอย่างข้างั้นรึ? ช่างดูถูกเหยียดหยามกันจริงๆ งั้นเจ้าทำได้ก็มา
“ฝ่าบาท อันที่จริงมันไม่มีสูตรตายตัว ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดอะไรเช่นนั้นหรอก”
สวี่ชีอันกล่าวคำแนะนำอย่างอดทน “เมื่อท่านเข้าใจการเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นอย่างดี ท่านจะค้นพบว่าตนเองได้เปิดประตูสู่โลกใหม่แล้ว”
คืนนี้ สวี่ชีอันได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้กับหลินอัน
…
วันรุ่งขึ้น ณ จวนตระกูลสวี่
หัวหน้าใหญ่จางผลักประตูจวนออกไปก็ตกตะลึงตัวแข็งทื่อ
มีบุคคลถึงสามคนถูกแขวนอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลสวี่ แต่ละคนมีผ้าสองชิ้นแขวนอยู่บนร่าง บุคคลทางด้านซ้ายสวมหมวกคลุม ผ้าที่อยู่บนร่างของเขาเขียนว่า ‘สองมือไขว่คว้าเดือนดารา คนล้างผลาญอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง’
ผ้าที่แขวนอยู่บนร่างของบุคคลตรงกลางเขียนว่า ‘ศิษย์ผู้โง่เขลา หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์’
ผ้าที่แขวนอยู่บนร่างของบุคคลทางด้านขวาเขียนว่า ‘ข้าเป็นคนโหดเหี้ยมที่สุดในโลก เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่’
คนสัญจรไปมาบนถนนไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยที่กำลังยืนชี้อยู่ริมถนน
“พวกท่านคือ…”
หัวหน้าใหญ่จางรู้สึกประหลาดใจอย่างขีดสุด และพูดในใจว่า ‘นี่ไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติทั้งสามของจวนตระกูลสวี่หรอกหรือ เหตุใดถึงแขวนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ได้?’
สีหน้าของหลี่หลิงซู่และเหมียวโหย่วฟางไร้อารมณ์ความรู้สึก ราวกับ ‘มีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย’
หยางเชียนฮ่วนได้เปรียบเพราะเขาสวมหมวกคลุม
………………………………………………………