ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 818-2 ความตายทางสังคม (2)
บทที่ 818 ความตายทางสังคม (2)
ถึงลี่น่าจะไม่รู้เรื่อง แต่นางก็เหมือนฉู่ไฉ่เวยที่เป็นคนง่ายๆ และไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน คือถอยไปข้างหลังสองสามก้าวพร้อมกัน ราวกับว่าพวกเขากำลังหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างงูกับแมงป่อง
เหมียวโหย่วฟางย่อตัวลงและครุ่นคิดอยู่คนเดียว ‘โอ้ เง็กเซียน เหตุใดลิงที่ควรตายไปแล้วจึงมาอยู่ที่นี่?’
‘ลิงตัวนี้มีที่มาอย่างไร?’
มู่หนานจือขมวดคิ้ว คาดเดาตัวตนของลิงอย่างคร่าวๆ
นางไม่เคยเห็นผู้พิทักษ์หยวนมาก่อน แต่นางรู้ว่ามีตัวเช่นนี้อยู่จากปากของไป๋จี ตามข้อมูลของไป๋จี มันเป็นลิงที่น่าสนใจมาก แต่นางลืมไปแล้วว่าเหตุใดมันถึงน่าสนใจ
แต่นางคาดเดาไปแล้วว่ามันน่าจะเป็นลิงตัวนี้
ยังมีคนที่ไม่รู้จักผู้พิทักษ์หยวนอยู่อีก ได้แก่ อารองสวี่ อาสะใภ้ จีไป๋ฉิง พี่น้องตระกูลสวี่ อาซูหลัว หวางซือมู่ จงหลี ฮว๋ายชิ่ง ลี่น่าและพี่น้องจากหอคณิกา
“ลิงมาแล้ว…”
ไป๋จีเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดินีแล้วพูดอะไรบางอย่างเสียงแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร เจ้าอาณาจักรของเราอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราในอาณาจักรหมื่นปีศาจได้” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มมุมปากและส่งกระแสจิตบอก
นางคาดหวังว่างานวิวาห์ของสวี่หนิงเยี่ยนจะมีเหล่าปีศาจมาเต้นระบำรำฟ้อนกันอย่างดุเดือด ซึ่งน่าสนใจมาก นางเลยยืมร่างของเย่จีมาเพื่อร่วมสนุก
เมื่อเห็นผู้พิทักษ์หยวนปรากฏตัว นางก็รู้ว่านี่คือกระบวนท่าสังหารของสวี่หนิงเยี่ยน แต่ไม่สำคัญหรอก นางมาที่นี่เพื่อร่วมสนุก นางไม่สนหรอกว่าใครต้องอับอาย
‘ลิงตัวนี้มีที่มาอย่างไร ดูเหมือนพวกเจ้าจะกลัวมันมาก’
อาซูหลัวส่งกระแสจิตถึงสมาชิกพรรคฟ้าดิน
ผลงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลของผู้พิทักษ์หยวนเป็นเพียงเชื้อสายเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่โดดเด่น พวกเขาย่อมไม่อยู่ในสายตาของอาซูหลัวผู้สง่างาม
หลังจากเขากลับคืนสู่บัลลังก์แล้ว เขาก็ไม่เคยติดต่อกับผู้พิทักษ์หยวนเลยสักครั้ง
สมาชิกพรรคฟ้าดินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่บอกอะไรเขา
ในหมู่สมาชิกพรรคฟ้าดินนั้น ฮว๋ายชิ่งไม่เคยรับมือกับลิงมาก่อน นางเองก็สับสนพอๆ กับอาซูหลัว
สวี่ชีอันพาซุนเสวียนจีกับผู้พิทักษ์หยวนไปยังที่นั่งของพวกเขา แล้วเอ่ยถามหลี่หลิงซู่ด้วยรอยยิ้ม
“คำถามของเจ้าคืออะไร?
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปยังผู้พิทักษ์หยวนและดวงตาสีฟ้าของผู้พิทักษ์หยวนก็ตรวจสอบหลี่หลิงซู่ทันที
ทันใดนั้น หลี่หลิงซู่ก็นึกถึงความกลัวตอนถูกผู้พิทักษ์หยวนครอบงำและความละอายใจที่ต้องเล่าอดีตอันน่าอับอายในที่สาธารณะ
เขาหรี่ตาลง หยุดคิดและเลิกคิดทุกสิ่งทุกอย่าง
มนต์สะกดของลิงตัวนี้ทรงพลังมากจนสามารถมองทะลุแม้แต่ระดับเหนือมนุษย์ ตอนนี้เทพบุตรอยู่ขั้นสี่และไม่ว่าจะคิดอะไรก็จะถูกบันทึกไว้
ถ้าเขาเป็นสวี่หนิงเยี่ยน ตอนนี้ ความคิดเรื่อง ‘การแก้แค้น’ จะผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้และไม่สามารถซ่อนเรื่องนี้จากผู้พิทักษ์หยวนได้
แต่เขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งโอกาสนี้ เทพบุตรกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลืมไม่ลง
“ระหว่างท่านราชครูกับหลินอัน เจ้ารักคนไหน เจ้าเลือกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
ระหว่างกระบวนการนี้ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมความคิดตัวเองและพูดอีกครั้ง “สวี่หนิงเยี่ยนเป็นน้องชายต่างแม่ของข้า”
ทุกคนหันไปมองสวี่ชีอัน รวมถึงวีรสตรีสองคนด้วย
แต่สวี่ชีอันไม่ตอบ เขามองไปที่ผู้พิทักษ์หยวน
ผู้พิทักษ์หยวนพูดโดยไม่แสดงอารมณ์
“หัวใจของเทพบุตรบอกข้าว่า สวี่หนิงเยี่ยนเป็นน้องชายต่างมารดาของเขา”
‘ฟู่’…หลี่หลิงซู่รู้สึกโล่งใจ
“พี่น้องต่างแม่เชียวรึ? ลูกพี่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผยความในใจของเขาต่อหน้าลิง เขาไร้ยางอายได้ขนาดนี้เชียวรึ? ไม่ดีแล้ว! เลิกคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว” หลี่เมี่ยวเจินบ่นถึงลูกพี่โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อนึกถึงพลังเหนือธรรมชาติของผู้พิทักษ์หยวนได้ ก็เลิกคิดทันที
แต่ครู่ต่อมา นางก็ได้ยินผู้พิทักษ์หยวนที่กำลังจ้องมองนางพูดออกมาช้าๆ
“พี่น้องต่างแม่เชียวรึ? ลูกพี่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผยความในใจของเขาต่อหน้าลิง เขาไร้ยางอายได้ขนาดนี้เชียวรึ? ไม่ดีแล้ว! เลิกคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว”
มังกรหมอบทำหน้าตาเขินอาย ส่วนหงส์เพลิงวัยกระเตาะก็เปลี่ยนจากหน้าสีชมพูระเรื่อมาเป็นสีแดง
จู่ๆ ผู้พิทักษ์หยวนก็หันไปมองหลินอันแล้วพูดว่า
“ยัยคนน่าชังฮว๋ายชิ่ง นังราชครูแล้วยังหลี่เมี่ยวเจินผู้นี้อีก พวกนางต้องอยากก่อเรื่องในวันวิวาห์ของข้าแน่ แล้วอย่างไรล่ะ? สุนัขรับใช้เป็นของข้าแล้ว ไม่มีใครเอาไปจากข้าได้”
หลินอันที่นั่งตัวตรงและกำลังสงวนท่าที จู่ๆ ก็ตัวแข็งทื่อและมองผู้พิทักษ์หยวนอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่กี่วินาทีต่อมา ใบหน้ารูปไข่กลมๆ ของนางก็แดงก่ำเหมือนห้อเลือด ทว่าดวงตาของนางกลับขุ่นมัว
ท่านราชครูกับหลี่เมี่ยวเจินหันไปจ้องมองหลินอัน ในขณะที่ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยดวงตามึนงงสงสัย
บรรดาผู้ที่รู้ถึงพลังเหนือธรรมชาติของผู้พิทักษ์หยวนต่างหันไปจ้องมองหลินอันด้วยความสงสาร
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฆ้องเงินสวี่ยิงธนูปักเท้าตัวเองแล้ว เขาลืมไปแล้วหรือว่าไม่สามารถควบคุมการอ่านใจของผู้พิทักษ์หยวนได้ ตอนนี้เจ้าสาวไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว…”
เหมียวโหย่วฟางเกือบหัวเราะออกมาดังๆ แต่แล้วเขาก็เห็นผู้พิทักษ์หยวนเอียงคอมองดูเขา และพูดช้าๆ
“เหมียวโหย่วฟาง หัวใจของเจ้าบอกข้าว่า: ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฆ้องเงินสวี่ยิงธนูปักเท้าตัวเอง เขาลืมไปหรือว่า ไม่สามารถควบคุมการอ่านใจของผู้พิทักษ์หยวนได้? ตอนนี้เจ้าสาวไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว”
ผู้พิทักษ์หยวนเปิดเผยเนื้อหาการอ่านใจต่อหน้าสาธารณชน
‘เหตุใดทุกคนถึงอยากอ่านใจข้านักนะ?’…รอยยิ้มของเหมียวโหย่วฟางมลายหายไปช้าๆ เมื่อพบว่าทุกคนจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจระคนสงสาร
พอหันไปมองฆ้องเงินสวี่อีกครั้ง ก็เห็นแววตาเย็นเยียบราวใบมีด
“ข้า…ข้าต้องขอตัวกลับก่อน…” เหมียวโหย่วฟางก้มศีรษะลง เขาตกใจยิ่งนัก
สวี่หลิงเยวี่ยออกจะประหลาดใจ ‘ลิงตัวนี้อ่านใจได้รึนี่? เช่นนั้นเมื่อครู่คงเป็นใจจริงของหลินอัน ฮ่า ช่างโง่เขลานัก นางคิดว่าคนที่สนใจพี่ใหญ่มีเพียงท่านราชครู ฝ่าบาทกับหลี่เมี่ยวเจินเท่านั้นรึ?’
‘ตอนอยู่บ้าน ป้ามู่ก็ยังหน้าด้านคิดถึงพี่ใหญ่อย่างไร้ยางอาย แล้วยังมีจงหลีที่ชอบแกล้งทำเป็นอ่อนแอน่าสงสารอีก ข้าไม่เชื่อว่านางจะไม่คิดชื่นชมพี่ใหญ่ของข้า ลี่น่ากับฉู่ไฉ่เวยที่รู้จักแต่เรื่องกินไม่มีสมองคิดอย่างอื่นก็ยังน่าวางใจกว่าเลย แม้องค์หญิงหลินอันจะใจแคบเกินไปแต่ยังรับมือได้ง่าย… เดี๋ยวนะ ลิงอ่านใจได้ ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย…’
ใบหน้างดงามของสวี่หลิงเยวี่ยซีดเผือดลง นางจ้องไปที่ผู้พิทักษ์หยวนที่อยู่ใกล้ๆ
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าให้นาง ราวกับจะบอกว่า…ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง
“หัวใจของสตรีนางนี้บอกข้าว่า . . .”
หลังจากที่ผู้พิทักษ์หยวนพูดจบ ในห้องวิวาห์ก็มีแต่ความเงียบงัน
ทุกคนหันไปมองสวี่หลิงเยวี่ย รวมถึงตัวหลินอัน ลี่น่าและฉู่ไฉ่เวยผู้มีจิตใจเรียบง่ายที่ถูกสวี่หลิงเยวี่ย ‘ดูถูก’ ด้วย
มีเพียงสวี่หลิงอินเท่านั้นที่ยังคงกินถั่วลิสงและเกลือกกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข
ใบหน้าซีดเซียวของสวี่หลิงเยวี่ยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง หูของนางแดงแจ๋ ริมฝีปากของนางสั่นระริก นางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า
“ข้า…ข้าไม่สบาย ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนก่อน”
นางก้มหน้างุดแล้วเดินจากไป
ก่อนที่ผู้พิทักษ์หยวนจะอ้าปากพูดอะไร ฮว๋ายชิ่งก็มีปฏิกิริยาเกือบจะเหมือนกับสวี่หลิงเยวี่ย นางรู้แล้วว่านี่คือลิงที่สามารถอ่านใจคนได้ แต่นางก็คิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว
‘สวี่หนิงเยี่ยนอยากใช้ลิงตัวนี้เพื่อขัดขวางสถานการณ์ตอนนี้รึ? เขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อวิวาห์กับหลินอัน ไม่แปลกใจเลยที่ลั่วอวี้เหิงหยุดพูดทันทีที่ลิงตัวนี้เข้ามาถึง ดูเหมือนว่านางจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้ว’
‘อย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นเซียนครองพิภพ พวกเขาทั้งคู่ได้วิวาห์กับคู่รักใหม่ แต่นางก็ไม่ได้สร้างความยุ่งยากอะไรมากนัก ความสามารถในการต่อสู้ของนางยังไม่ดีเท่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างสวี่หลิงเยวี่ยเลยด้วยซ้ำ…’
‘อ๊ะ’…ฮว๋ายชิ่งใจตกไปถึงตาตุ่ม
ผู้พิทักษ์หยวนมองดูฮว๋ายชิ่งเหมือนเขากำลังจะทุบขวด
“หัวใจของฝ่าบาทบอกข้าว่า…”
จากนั้น ทุกคนก็จ้องมองฮว๋ายชิ่งด้วยความสงสาร แต่ไม่ใช่ลั่วอวี้เหิง สายตาของท่านราชครูเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง
“ฝ่าบาทยังมิได้ประทับบนบัลลังก์อย่างมั่นคง ทรงคิดที่จะสละราชบัลลังก์เพื่อเห็นแก่ผู้ที่สมควรหรือไม่?”
“…”
ฮว๋ายชิ่งหายใจเข้าลึกๆ มองผู้พิทักษ์หยวนอย่างลึกซึ้งแล้วเดินจากไป
‘นี่คือลูกสาวของข้ารึ? นี่คือหลิงเยวี่ยหรือนี่?’ นี่เป็นความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจของอาสะใภ้กับอารอง
ในเวลานี้ ผู้พิทักษ์หยวนมองไปที่จีไป๋ฉิง ดวงตาสีฟ้าของเขามองทะลุเข้าไปในใจผู้คน
“หัวใจสตรีบอกข้าก่อนแล้ว ข้ารู้มานานแล้วว่าคนที่รับมือได้ยากที่สุดในครอบครัวนี้คือหลิงเยวี่ย นางบอกว่าจริงๆ แล้วมู่หนานจือชื่นชมหนิงเยี่ยน ผู้หญิงคนนี้แม้จะอายุเท่าข้า แต่ก็ยังสนใจลูกชายของข้า ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”
จีไป๋ฉิงเซด้วยความตกใจ เขินอายและใจสั่น แต่ใบหน้ายังฝืนยิ้มอยู่
“ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนก่อน”
สวี่หยวนซวงดึงน้องชายของเขาและติดตามมารดาของเขาไปด้วยสีหน้าตกตะลึง
“พวกเราก็ขอตัวก่อนเหมือนกัน”
พวกเขาไม่มีฐานตบะที่แข็งแกร่งจนสามารถบังคับความคิดของตัวเองได้ พวกเขามักคิดอะไรฟุ้งซ่านโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ
มู่หนานจือกัดฟันแล้วพูดว่า
“ข้าก็จะกลับห้องแล้ว!”
นางกลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมคำพูดสาปแช่งและถ้อยคำหมิ่นเหม่ในใจได้ ซึ่งนี่มีแต่จะทำให้นางเสียหน้าหนักขึ้น
‘เหตุใดหลิงเยวี่ยจึงจัดการได้ยากที่สุดในตระกูลสวี่ เห็นได้ชัดว่านายหญิงของตระกูลเป็นคนที่โหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์และเก่งในเรื่องกลอุบาย’…หวางซือมู่คิดเรื่องนี้จากจิตใต้สำนึก
จากนั้นร่างกายบอบบางของนางก็สั่นสะท้านและพูดจาตะกุกตะกัก
“ขะ…ข้าไม่ได้พูดอะไร ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังคุณหนูใหญ่หวาง แล้วมองไปที่ผู้พิทักษ์หยวน…นางพูดอะไรรึ?
ดวงตาของผู้พิทักษ์หยวนเป็นสีฟ้าและชัดเจน เขาพูดทวนความคิดของหวางซือมู่อย่างไม่อินังขังขอบสิ่งใด
อาสะใภ้ตกตะลึงและมองดูลูกสะใภ้ในอนาคตด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวดีกับนางมาก
‘มันจบแล้ว’…หวางซือมู่เหลือบมองสวี่เอ้อร์หลางอย่างสิ้นหวัง ปิดหน้าร้องไห้แล้ววิ่งออกจากห้องวิวาห์
‘เวรกรรมจริงๆ’…สวี่เอ้อร์หลางวิ่งตามออกไป
‘ดูเหมือนลิงตัวนี้จะบำเพ็ญพลังจิตของเขาแล้ว การมองทะลุมนุษย์ที่อ่อนแอเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ในฐานะที่ข้าอยู่ขั้นสอง เขาไม่สามารถมองทะลุข้าได้’…ดวงตาของอาซูหลัวสว่างราวกับไฟ เขาเดาได้แล้วว่าผู้พิทักษ์หยวนบำเพ็ญอยู่ที่สำนักพุทธ
เขายิ้มมุมปากและพบว่ามันน่าสนใจมาก เมื่อเขามองไปที่สมาชิกพรรคฟ้าดิน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงความเงียบของคนพวกนั้น
‘เมื่อกี้ที่พวกนั้นไม่บอกข้าเพราะพวกเขาอยากให้ลิงอ่านใจข้า ป้องกันไม่ให้ข้าลงจากเวที โอ้ นอกจากหมายเลขหกเหิงหย่วนที่ถูกสำนักพุทธล้างสมองแล้วในพรรคฟ้าดินไม่มีคนดีอยู่เลยรึ เขาเข้าใจข้าเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพียงร่องรอยพลังจิต คิดว่านี่จะทำให้ข้าสะดุดรึ? ไร้เดียงสาจริงๆ’…ขณะที่ความคิดของเขาสั่นไหว อาซูหลัวก็เหลือบมองดวงตาสีฟ้าของผู้พิทักษ์หยวนที่จ้องมองมาที่เขา
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินลิงพูดว่า
“ดูเหมือนลิงตัวนี้จะบำเพ็ญพลังจิตของเขาแล้ว การมองทะลุมนุษย์ที่อ่อนแอเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ในฐานะที่ข้าอยู่ขั้นสอง เขาไม่สามารถมองทะลุข้าได้…”
หลังจากท่องจบ ก็เห็นสีหน้าหม่นหมองของอาซูหลัว ผู้พิทักษ์หยวนกลับมีสีหน้ามุ่งมั่น ราวกับว่าเขาได้ตระหนักถึงการเสียสละอย่างกล้าหาญแล้วเมื่อก้าวเข้าไปในห้องวิวาห์
อาซูหลัวจากไปอย่างเงียบเชียบ
ในเวลานี้ ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ถอยกลับไปที่ห้องด้านนอก ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ ข้าขอตัวกลับก่อน ไม่ต้องส่ง!”
เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ผู้คนกลุ่มหนึ่งก็รีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
‘จะเสียหน้าไม่ได้’…จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงรีบติดตามสมาชิกกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไป รีบหนีไปด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่ลิงจะมองมาที่พวกเขา
ด้วยใบหน้าถมึงทึง อาสะใภ้ก็อุ้มเสี่ยวโต้วติงขึ้นมาจากเตียงแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในตอนนี้อารองหนีไปนานแล้ว เขากลัวว่าจะอดไม่ได้ ต้องคิดถึงวิธีใช้ส้มเขียวหวานที่ถูกต้อง
ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นานๆ
‘ห้องวิวาห์สร้างปัญหา ข้าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ไม่สามารถอยู่ได้ สวี่หนิงเยี่ยนสังหารศัตรูไปหนึ่งพันคนและประสบความสูญเสียแปดร้อยครั้ง…หลังจากคืนนี้ ผู้พิทักษ์หยวนไม่อาจอยู่รอดได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงควรหนีกลับไปยังชายแดนตอนใต้’…ฉู่หยวนเจิ่นกับนักบวชเต๋าจินเหลียนยกขวดสุราขึ้นดื่มแล้วจับมือกันเดินจากไป
ในชั่วพริบตา ห้องวิวาห์ที่มีชีวิตชีวากลับว่างเปล่า เหลือเพียงหลี่หลิงซู่ หยางเชียนฮ่วน กับจิ้งจอกที่อุ้มไป๋จีนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้
นอกจากนั้นก็มี ซุนเสวียนจีกับผู้พิทักษ์หยวน รวมถึงหลินอันที่นั่งอยู่ข้างเตียงและยังไม่รอดพ้นจากความตายทางสังคม
พี่ซุนอ้าปากค้างแล้วมองไปยังผู้พิทักษ์หยวน
ผู้พิทักษ์หยวนก้มหัวลง
“ข้าก็ว่าจะหนีไปก่อน แต่ข้าโดนพี่ซุนจับกลับมา…”
ซุนเสวียนจีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เพราะเหตุนี้จึงบอกได้ว่าเหตุใดจึงมาช้า…สวี่ชีอันตบไหล่ผู้พิทักษ์หยวน ขณะหยิบดาบไท่ผิงใต้โต๊ะจี้ไปที่เอวลิงและพูดด้วยความสบายใจว่า
“ไม่ต้องกังวลหรอก ฆ้องเงินผู้นี้จะปกป้องเจ้าอย่างดีแน่นอน”
จากนั้น สวี่ชีอันก็มองไปทางหยางเชียนฮ่วนกับหลี่หลิงซู่ แล้วพูดจาพลางแย้มยิ้มน่าหวาดกลัว
“แล้วทั้งสองคนจะเอาอย่างไรต่อ?”
“…”
ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากหลี่หลิงซู่กับหยางเชียนฮ่วน
……………………………………….