ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 816 เจ็บไปพร้อมกัน
บทที่ 816 เจ็บไปพร้อมกัน
บรรยากาศในห้องโถงแปลกประหลาด เหมือนกับว่ามีความรู้สึกบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นและรอเวลาระเบิดออกมาเมื่อถึงจุดสูงสุด
หยางเชียนฮ่วนกวาดตามองผู้คนจากใต้ผ้าคลุมและมุ่งความสนใจไปยังโต๊ะที่กำลังมีข้อพิพาทตรงนั้นโดยเฉพาะ เขาพอจะมองออกว่าสิ่งที่หลี่หลิงซู่คาดคิดไว้นั้นไม่ใช่เล่นๆ เลย สตรีพวกนี้ล้วนแต่อยากทำลายงานสมรสครั้งนี้กันทั้งนั้น
แต่เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ นานา จึงไม่อาจทำลายได้โดยตรง
ดังนั้นจึงต้องใช้วิธี ‘เปลี่ยนปรับดัดแปลง’ และงัดกลเม็ดเด็ดพรายแบบต่างๆ รวมถึงเอ่ยคำพูดร้ายกาจออกมา สรุปทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อไม่ให้สวี่หนิงเยี่ยนและองค์หญิงหลินอันได้สบายใจ
หยางเชียนฮ่วนหันไปมองสวี่ชีอันอีกครั้งและเห็นเขามีท่าทางกระวนกระวายไม่สู้ดีนัก ศิษย์พี่หยางก็รู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง…
หากจะให้เรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ของเจ้าคนแซ่สวี่ก็จะขาดไปไม่ได้เลย เมื่อมีเรื่องคาวๆ เช่นนี้อยู่ เขาก็สามารถใช้สิ่งนี้มาทำให้สวี่หนิงเยี่ยนดับแสงลงได้
สวี่ชีอันกระวนกระวายจริงๆ ตอนนี้เขากำลังแข่งชิงไหวชิงพริบกับเหล่าปลาน้อยในบ่อปลาอยู่
พวกปลาทั้งหลายล้วนแฝงความร้ายกาจเอาไว้ในใจ พวกนั้นเป็นทั้งมิตรและศัตรูของกันและกัน ส่วนตัวเขาและเหล่าปลาทั้งหลายนั้น นอกจากจะเป็นศัตรูแล้ว ก็ยังต้องรักษาสภาพจิตใจของปลาทั้งหลายให้มั่นคงอีกด้วย
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของฮว๋ายชิ่งชั่วร้ายสุดประมาณ นางกระตุ้นสภาพจิตใจของพวกปลาน้อยโดยตรงและทำให้พวกนางบ้าคลั่งขึ้นมา
ตัวอย่างเช่นเทพดอกไม้ที่อาจจะปลดสร้อยข้อมือออกแล้วส่งเสียงเอะอะโวยวายด่าว่าเขามันเจ้าชู้ตัณหากลับ เลือดเย็นไร้จิตสำนึก ตัวอย่างเช่นหลี่เมี่ยวเจินที่คงจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปพร้อมทิ้งคำพูดประชดประชันเยือกเย็น ตัวอย่างเช่นท่านราชครูที่น่าจะชักดาบออกมาฟันเขา หรือหลินอันที่เมื่อได้ยินข่าว ก็คงวิ่งร้องไห้ออกมาโวยวายขู่ว่าจะแขวนคอ เพื่อบีบให้เขาไล่นางจิ้งจอกพวกนี้ออกไป…
ชั่วร้ายสุดประมาณยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็จ้องมองเย่จีด้วยความสงสัย นี่ไม่เหมือนนางเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเคยบอกว่าจะให้ของขวัญกับเขา แต่สวี่ชีอันเปิดถุงออกดูแล้วโบกมือปฏิเสธ ไม่เอาๆ
ท่าทีของเขานั้นชัดเจนมาก…เขาทิ้งเหล่าจีทั้งหลายไว้ที่ซินเจียงตอนใต้ก็พอแล้ว ไว้ว่างๆ ค่อยแวะไปเยี่ยมเยียน
ตอนนั้นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้แสดงท่าทีอะไร สวี่ชีอันก็คิดว่านางยอมรับแล้ว ใครจะคิดว่าจะมาสร้างเรื่องอยู่ที่นี่เสียได้
ส่งนางจิ้งจอกสิบแปดตนมา เช่นนี้คือการทำลายชื่อเสียงของข้าแท้ๆ ทำให้คนอื่นคิดว่าข้านั้นตัณหากลับเสียจนแม้แต่สตรีทุกคนที่อยู่ข้างกายก็ไม่ยอมละเว้น…หากเรื่องนี้แพร่ออกไป แม่ม้าน้อยของข้าคงจะได้สติฟั่นเฟือนเป็นแน่…สวี่ชีอันครุ่นคิดพลางมองดูทุกคนเพื่อพยายามหามิตรที่จะสามารถช่วยเหลือและทำให้ดินโคลนนี้เบาบางลงได้
หลิงเยวี่ยท่าทางโกรธมาก หวังพึ่งไม่ได้แล้ว และถึงอย่างไรแม่แท้ๆ ก็ ‘เพิ่งมาครั้งแรก’ ไม่เหมาะที่จะออกหน้าให้ เหมียวโหย่วฟางกำลังแกล้งตาย อีกทั้งพลังต่อสู้ก็อ่อนแอ คุณสมบัติที่จะเป็นดินปืนให้ไม่มีเลยสักนิด
ฐานะและตำแหน่งของอาสะใภ้นั้นเพียงพอ เพียงแต่ไม่มีพลังต่อสู้ที่น่าเชื่อถือได้
จงหลีพินิจดูเย่จี ภายใต้เส้นผมอันยุ่งเหยิงนั้น เรียวคิ้วของนางขมวดเป็นปม
“คารวะฆ้องเงินสวี่!”
นอกจากเย่จีแล้ว นางจิ้งจอกอีกสิบเจ็ดคนก็พากันย่อเข่าคำนับพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ต่อไปพวกบ่าวก็คือคนของฆ้องเงินสวี่เจ้าค่ะ”
สตรีคนงามทั้งหลายล้วนมีแต่ความไม่เป็นมิตรเมื่อเห็นเหล่านางจิ้งจอกชม้อยชม้ายชายตาให้ อย่าว่าแต่พวกมู่หนานจือเลย แม้แต่หวางซือมู่ สวี่หยวนซวง และอาสะใภ้ที่เป็นคนนอกก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจเลยสักนิด
สวี่ชีอันเอ่ยตามน้ำ
“แม่นางทั้งหลายสามารถมาเข้าร่วมงานสมรสของผู้แซ่สวี่ได้ ต้องขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง เมื่อดื่มกินเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปซินเจียงตอนใต้ ท่านเจ้าอาณาจักรช่างมีน้ำใจ แต่ยากจะตอบรับได้”
เย่จีปิดปากหัวเราะเบาๆ
“คุณชายสวี่แสร้งทำเป็นจริงจังอีกแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นอนุของท่านตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้ เพราะเหตุใดหรือ พอมาที่ภาคกลางก็ไม่ต้องการแล้วหรือ?”
!!! สวี่ชีอันตะลึงลาน
เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา สายตาของบุรุษในห้องก็แปลกประหลาดขึ้นมา
แม้ว่าสวี่ชีอันจะไม่ใช่จักรพรรดิ แต่ขนาดของวังหลังนั้นใหญ่ยิ่งกว่าของจักรพรรดินัก
‘ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลี่หลิงซู่ถึงได้เกลียดพี่ใหญ่ขนาดนี้’
สวี่เอ้อร์หลางคิดในใจ
มู่หนานจือกดกำไลข้อมือไว้เบาๆ ในใจพลันเกิดแรงกระตุ้นที่จะตกตายไปพร้อมกับเจ้าคนไร้หัวใจขึ้นมา
นางสามารถอดทนกับลั่วอวี้เหิงได้ เพราะจนปัญญาจะทำอะไรและถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงเทพเซียนเดินดิน มีคุณสมบัติจะเทียบเคียงตนเองอยู่
ส่วนการแต่งงานกับหลินอันนั้น ตอนนี้นางโมโหและขุ่นเคืองเต็มอกจนอยากจะข่วนหน้าของสวี่หนิงเยี่ยนเสียให้ได้
แล้วยังคิดจะเลี้ยงอนุปีศาจพวกนี้ในจวนอีก?
‘คิดว่าข้าไม่มีอารมณ์โมโหหรือ!’
สภาพจิตใจของลั่วอวี้เหิงก็ไม่ต่างจาก ‘พี่สาวน้องสาวแสนดี’ ทั้งหลายนัก นางยอมให้เทพดอกไม้ได้ แต่ไม่ยอมทนต่อหลินอันเป็นคนที่สองหรอก นับประสาอะไรกับคนพวกนี้
ความคิดของปลาตัวอื่นๆ ต่างก็เหมือนกัน
ในฐานะที่สวี่ชีอันเป็นเจ้าของบ่อปลาที่มากประสบการณ์ เขาก็เห็นทันทีว่ารอยยิ้มที่มุมปากของหลี่หลิงซู่กว้างขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม จึงย่อมได้กลิ่นความอันตรายที่แฝงอยู่ในนั้นด้วย
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยพูดและเปิดเผยตัวตนของเย่จี ตอนนั้นก็ได้ยินจงหลีเอ่ยพูดเสียงเบา
“เจ้าคือฝูเซียง? ไม่ใช่สิ เจ้าโดนใครควบคุมอยู่?”
เมื่อทุกคนในห้องโถงได้ยินคำพูดของจงหลีก็ล้วนแต่ชะงักงันไป พวกเขาล้วนหันขวับไปหาจงหลี จากนั้นก็หันขวับมามองที่เย่จี
‘ฝูเซียง?’
‘สตรีผู้นี้คือฝูเซียง? หญิงคนรักของสวี่หนิงเยี่ยนคนนั้น?’
‘นางไม่ใช่ว่าตายไปนานแล้วหรอกหรือ อีกอย่างฝูเซียงก็ไม่ได้หน้าตาเช่นนี้นี่ ทั้งยังไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจด้วย’
เรื่องที่ว่าเย่จีคือฝูเซียง คนที่รู้นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
‘ถูกควบคุม?’
‘นี่มันหมายความว่าอะไรอีก ใครควบคุมฝูเซียง แล้วเหตุใดต้องควบคุมฝูเซียง?’
ในขณะที่ความคิดเวียนวนอยู่นั้น จู่ๆ จงหลีก็ร้องขึ้นมาแล้วล้มลงในอ้อมแขนของฉู่ไฉ่เวยแล้วกรีดร้องอย่างน่าเวทนา
“ดวงตาของข้า ดวงตาของข้าบอดแล้ว…”
ฉู่ไฉ่เวยตื่นตะลึง นางรีบปัดเส้นผมของศิษย์พี่ออกและพบว่าดวงตาของนางแดงก่ำและมีน้ำตาไหลออกมา แม้จะถูกบางอย่างกระตุ้น แต่ก็ไม่ได้ตาบอด
แม้จะมีตัวตนอย่างสวี่หนิงเยี่ยนอยู่ แต่ศิษย์พี่ก็ยังเจอเรื่องโชคร้ายเป็นครั้งคราว ฉู่ไฉ่เวยรู้สึกเวทนาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือให้กับทุกคนเพื่อแสดงว่าจงหลีไม่เป็นอะไร
โชคดีที่นี่เป็นเพียงความคิดทางจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่จงคงตายตั้งแต่อายุยังน้อยไปแล้ว…ที่แท้ก็เจ้าจิ้งจอกหน้าเหม็นนั่นนี่เอง กลับไปข้าจะขังความคิดของเจ้าเอาไว้ในร่างของฝูเซียงซะ ให้เจ้ารู้รสชาติของการถูกโต้กลับเสียบ้าง…ความจริงสวี่ชีอันก็เดาได้บ้างแล้ว
ฝูเซียงตัวจริงไม่สร้างความลำบากเช่นนี้ให้เขาแน่
มีเพียงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนิสัยแปลกประหลาดเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้
สวี่ชีอันถือโอกาสนี้รีบทำตัวเคร่งขรึมแล้วกอบหมัดคำนับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ที่แท้ก็ท่านเจ้าอาณาจักร เจ้าอาณาจักรเดินทางไกลหมื่นลี้มาร่วมงานสมรสของผู้แซ่สวี่ เป็นพระคุณยิ่งนัก”
เมื่อคำนับเสร็จก็แย้มยิ้มขมขื่นพลางแสร้งแสดงละคร
“ส่วนแม่นางจิ้งจอกเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว ท่านเจ้าอาณาจักรอย่าได้ให้ฝ่าบาทมาล้อข้าเล่นเลย คืนนี้มีเรื่องสำคัญใดที่จะปรึกษากับข้าหรือ? อืม รอให้พิธีเคารพสุราเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราค่อยมาหารือเรื่องสำคัญกันก็ได้ ตอนนี้โปรดนั่งดื่มสุราทานอาหารก่อนเถิด”
เขามีท่าทีเป็นการเป็นงานและแอบชี้ให้เห็นอย่างลับๆ ว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางร่วมมือกับฮว๋ายชิ่ง ‘ใส่ร้าย’ เขา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทำเสียง ‘จิ๊ๆ’
“น่าเบื่อนัก!”
ทุกคนพากันชำเลืองมองฮว๋ายชิ่ง
สีหน้าของมู่หนานจือดีขึ้นหน่อย ลั่วอวี้เหิงก็ไม่ทำหน้าตึงอีก
สวี่หลิงเยวี่ยคิดว่าพี่ใหญ่ช่างเป็นพี่ชายที่ดียิ่งนัก
หลี่เมี่ยวเจินและซูซูก้มหน้าดื่มสุรา นับว่าพึงพอใจแล้ว
อย่างไรก็ตาม คำถามเกี่ยวกับฝูเซียงในตอนนี้ยังไม่มีใครเอ่ยถามขึ้นมา เพียงจดจำไว้ในใจเท่านั้น
หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนไม่ดีใจอีกต่อไป คิดในใจว่าทำให้เจ้าคนนี้หลุดรอดไปได้อีกแล้ว
วิกฤตคลี่คลายไปได้ชั่วคราว แต่ความรู้สึก ‘ตกใจจนโมโห’ เมื่อสักครู่นั้นไม่อาจขจัดไปได้ง่ายๆ สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า
“ดูท่าทีของพี่ใหญ่แล้ว คล้ายจะไม่รู้ว่าเหล่าพี่สาวจากเผ่าจิ้งจอกจะมาเยือน เช่นนั้นฝ่าบาทล้อพี่ใหญ่ของหม่อมฉันเล่นเพราะเหตุใดกันหรือเพคะ?”
นางดูคล้ายจะสงสัย แต่ความจริงแล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเท่านั้น
เพราะความคลุมเครือเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาท่าทีที่แท้จริงของนางได้
หาได้ยากที่สวี่หลิงเยวี่ยจะเริ่มเข้าร่วมวงด้วย หลี่เมี่ยวเจินที่มีนิสัยตรงไปตรงมาก็เอ่ยเสียงเย็นว่า
“ฝ่าบาทและองค์หญิงหลินอันเป็นพี่น้องที่รักกันดียิ่ง จึงย่อมต้องลองใจฆ้องเงินสวี่ว่าเป็นพวกสองจิตสองใจหรือไม่อย่างไรเล่า”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ
“นิสัยของฆ้องเงินสวี่ เรานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ เราเพียงกลัวว่าจะมีสตรีเจตนาชั่วร้ายจงใจมาเข้าใกล้ฆ้องเงินสวี่น่ะสิ ตัวอย่างเช่นปลอมตัวเข้ามา หรือตีสนิทโดยใช้ฐานะของสหายผู้มีความคิดใจคอเดียวกัน หรือพวกที่แสร้งทำตัวอ่อนแอน่าสงสารทั้งหลาย หลินอันนั้นไร้เดียงสาตรงไปตรงมา สู้สตรีเหล่านี้ไม่ได้หรอก”
‘นี่กำลังด่าใครอยู่น่ะ!’ เหล่าปลาน้อยทั้งหลายพากันโมโหยกใหญ่
จงหลีก็ไม่ค่อยพอใจนัก เพราะนางคิดว่า ‘แสร้งทำตัวอ่อนแอน่าสงสาร’ ที่ว่านั้นหมายถึงนาง
มู่หนานจือเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ฝ่าบาทช่างมีใจคิดใคร่ครวญนัก หนิงเยี่ยนเอ๋ย ป้ามู่คิดว่าหากเจ้าไม่ได้ตบแต่งกับองค์หญิงหลินอัน ก็คงจะเป็นคู่ตุนาหงันสวรรค์สรรค์สร้างกับฝ่าบาทเป็นแน่”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ไม่รู้สีหน้าของกี่คนต่อกี่คนในห้องโถงที่เปลี่ยนแปลงไปยกใหญ่
หมัดตรงของเทพดอกไม้นี้ทำให้ฮว๋ายชิ่งอึ้งงันทีเดียว
เทพดอกไม้เอ่ยพูดต่อ
“จริงสิ ฝ่าบาททรงครองบัลลังก์อย่างยิ่งใหญ่ จนถึงตอนนี้ราชวงศ์ก็มั่นคงขึ้นแล้ว แผ่นดินก็สงบสุข เช่นนั้นก็ควรคิดถึงการอภิเษกได้แล้วกระมังเพคะ ในที่นี้มีชายหนุ่มรูปงามมากมายนัก ฝ่าบาทมีคนในใจแล้วหรือยังเล่าเพคะ เลือกมาสักคนก็ได้”
เมื่อเอ่ยจบ นางก็ทำสีหน้าหวาดกลัวแล้วเอ่ยรับผิดอย่างจริงใจ
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยนิ่งๆ
“ส่งตัวไปสำนักสังคีต!”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
“ได้!”
หลี่เมี่ยวเจินและซูซูรวมถึงเย่จีที่เพิ่งเข้ามานั่ง ทั้งสามคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ
สีหน้าของมู่หนานจือเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางรู้ว่าตนนั้นมีใบหน้างดงามดั่งดอกไม้ เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ย่อมง่ายที่จะถูกเพ่งเล็ง
สวี่ชีอันเข้ามาไกล่เกลี่ยอย่างห้วนๆ “ราชครู โปรดอย่าได้พูดเล่นจนเกินไป”
ลั่วอวี้เหิงก้มหน้าดื่มสุรา
หวางซือมู่ไม่กล้าเอ่ยอะไรตลอดทั้งเรื่องเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง นางไม่ได้กลัวการโต้คารมฝีปาก คุณหนูใหญ่สกุลหวางนั้น หากจะเอ่ยวาจากระทบกระเทียบเสียดสีขึ้นมาก็ย่อมทำได้ดีอยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่จำเป็นเท่านั้น
‘แบบนี้สิถึงจะดูมีความเป็นตระกูลมั่งคั่งขึ้นมาหน่อย…’ สวี่เอ้อร์หลางมุมปากกระตุก พลางนึกถึงตอนที่พี่ใหญ่เคยพูดกับเขาตอนที่มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นยามที่ป้าสะใภ้กลับมาคราวนั้น
‘ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!’
นักบวชเต๋าจินเหลียน จ้าวโส่ว และพวกเว่ยเยวียนทานอาหารและดื่มสุรากันเงียบๆ พลางฟังอย่างสนุกสนาน
สวี่ผิงจื้อกระแอมไอแล้วเอ่ย
“หนิงเยี่ยน นี่ก็ได้เวลาแล้ว”
สวี่ชีอันเข้าใจตรงนี้ดีจึงลุกขึ้นทันทีแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ทุกท่าน ต้องขอตัวก่อน!”
เขาพาเหมียวโหย่วฟางและสวี่เอ้อร์หลางพร้อมกับไหสุราหนึ่งไห แล้วเดินออกไปคารวะสุรา
เขาเดินไปยังลานที่มีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อยู่กันก่อน หลังจากเคารพสุราหนึ่งจอกแล้วก็เอ่ยถามว่า
“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรเฉาปิดด่านกักตนใช่หรือไม่?”
เซียวเยว่หนูเอ่ยยิ้มๆ
“ท่านผู้นำพันธมิตรกำลังจะทะลวงขั้นสามเจ้าค่ะ”
เขาก็ถึงเวลานั้นแล้วจริงๆ…สวี่ชีอันพยักหน้า ยาโลหิตของจีเสวียนอยู่ในมือของเขา สาเหตุที่ไม่ได้มอบให้กับเฉาชิงหยางนั้นไม่ใช่เพราะเขาจิตใจคับแคบ แต่เพราะมันเป็นการสิ้นเปลือง
เฉาชิงหยางอีกครึ่งก้าวก็จะเลื่อนสู่ขั้นสาม กายเนื้อเริ่มจะเปลี่ยนแปลง ไม่ถือว่าเป็นร่างกายของคนธรรมดาแล้ว หลังจากเข้าร่วมสงครามในภาคกลางก็ได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกก้าวแล้ว ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยโชคชะตาเพื่อระงับพลังโต้กลับของยาโลหิตแล้ว
แต่เมื่อมาถึงระดับแบบเฉาชิงหยาง ก็กล่าวได้ว่าการเลื่อนสู่ขั้นสามนั้นเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมยาโลหิตเข้าไปอีกเม็ด
วิธีการเลื่อนขั้นด้วยยาโลหิตก็เช่นนี้ หากสยบได้ก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว แต่หากสยบไม่อยู่ก็ต้องใช้มัน
หรือพูดอีกอย่างคือ ยาโลหิตมีสรรพคุณสองอย่าง หนึ่งคือเสริมสร้างร่างกายให้กับจอมยุทธ์เหนือสามัญ สองคือมอบลู่ทางเลื่อนขั้นสู่เหนือสามัญอย่างรวดเร็วให้กับผู้ที่มีโชคชะตาติดกายนั่นเอง
สวี่ชีอันมองไปยังเซียวเยว่หนูที่เติบใหญ่อ่อนโยนและมีรูปร่างใบหน้าไม่เป็นรองใคร ก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า
“ข้ามีบางเรื่องที่อยากจะถามผู้ดูแลหอเซียวสักหน่อย”
มือขาวนุ่มดุจหยกของเซียวเยว่หนูถือจอกสุราแล้วเม้มปากยิ้มเล็กน้อย
“ฆ้องเงินสวี่โปรดกล่าว”
สวี่ชีอันเอ่ยผ่านจิตส่งไปให้
“เจ้าคือเสวี่ยจีใช่หรือไม่!”
เซียวเยว่หนูยังคงยิ้มดังเดิมไม่เปลี่ยน “ฆ้องเงินสวี่กล่าวอันใดอยู่หรือ เยว่หนูไม่เข้าใจ”
สวี่ชีอันแย้มยิ้มพร้อมกับพาเจ้าน้องชายและคนรับใช้จากไป
ต่อมาเขาก็ไปที่ลานที่พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรวมตัวกันอยู่ พี่ชุนอยู่ในกลุ่มจอมยุทธ์หยาบกระด้างเหล่านี้ก็เหมือนกับธารน้ำใสในบ่อโคลน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์หรือชุดที่สวมใส่ แต่พวกเศษกระดูกที่ทุกคนกินกันเสร็จแล้ว รวมถึงขยะจากอาหารต่างๆ ต่างก็ถูกโยนส่งๆ ไปทั่วพื้น หรือไม่ก็กองกันอยู่บนโต๊ะ
แต่พี่ชุนนั้นแตกต่าง พี่ชุนเขามีการคัดแยกขยะด้วย…
กระดูกก็จัดให้อยู่กับกระดูก เปลือกผลไม้ก็จัดให้อยู่กับเปลือกผลไม้ ก้างปลาก็ถูกจัดให้อยู่กับก้างปลา
ตอนนี้ตำแหน่งของหลี่อวี้ชุนยังคงเป็นฆ้องเงินอยู่ แต่จำนวนของฆ้องทองแดงใต้บัญชาของเขาเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินเดือนด้วยเช่นกัน
ชีวิตค่อนข้างสบายทีเดียว
สวี่ชีอันรู้นิสัยของหัวหน้าคนนี้ดี พี่ชุนและเว่ยเยวียนนั้นเหมือนกัน ตอนนั้นที่เขาชื่นชมและคอยดูแลตนก็เกิดจากความรู้สึกที่เห็นแก่ส่วนรวม ไม่ใช่แรงจูงใจส่วนตัว
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่สามารถมอบยศถาบรรดาศักดิ์และความมั่งคั่งให้เขาเพราะความรู้สึกส่วนตัวได้
นั่นเป็นการไม่เคารพพี่ชุนและพี่ชุนเองก็อาจจะไม่ต้องการด้วยซ้ำ
ส่วนการดูแลเอาใจใส่ที่จำเป็นต้องมีนั้น ย่อมไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน
แขกเหรื่อที่มางานแต่งมีมากนัก เขาต้องไปเคารพสุราทีละโต๊ะและพูดคุยกับแต่ละคนอีกนิดหน่อย พอกระบวนการนี้จบลงก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว งานเลี้ยงแต่งงานก็กำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุด
สวี่ชีอันไม่ได้กลับเข้าไปในห้องโถง เพราะต้องไปส่งแขกที่นอกประตูจวนอีก
เขาได้รู้จากปากของอารองที่ออกมาพร้อมกันว่า ‘กลอุบายปะทะคารม’ ภายในห้องโถงยังไม่ได้จบลงแค่เพราะเขาออกมาเลย
“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจานถึงตกลงมาเรื่อยๆ ตกลงมาพร้อมกันตั้งสิบกว่าใบไปแล้ว อีกทั้งจานส่วนใหญ่ก็ไปตกใส่แม่นางจงทั้งนั้น เจ้าว่านางโชคร้ายหรือไม่เล่า”
จากที่อารองบอก หลายๆ คนในห้องโถงล้วนแต่ได้ประสบเรื่องโชคร้ายกันทั้งนั้น
หลิงอินเกือบจะสำลักกระดูกไก่ตาย ลี่น่าโดนน้ำแกงไก่ร้อนๆ ลวกลิ้น หลี่หลิงซู่ก็ล้มคะมำตอนที่เคารพสุราแล้วกระแทกกับมุมโต๊ะจนหัวแตกพอดี
เสื้อผ้าของเว่ยเยวียนเปื้อนสุราอาหารเพราะโต๊ะที่หลี่หลิงซู่นั่งกินนั้นเป็นโต๊ะของพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พอหนานกงเชี่ยนโหรวเช็ดให้เว่ยเยวียน ก็ดันไม่ระวังทำเสื้อผ้าของเขาขาดเสียอย่างนั้น
หยางเชียนฮ่วนชอบลุกขึ้นมายืนหันหลังให้ทุกคนอยู่ที่มุมกำแพงหลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่ง สุดท้ายดันถูกต้นแมงมุมของอาสะใภ้ฟาดหัวเข้าให้
สวี่ชีอันมองไปยังถนนมืดมิดแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว จงหลีเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้มีโชคร้ายพัวพันกายา”
อารองสวี่พยักหน้า
“ใช่ ซ่งชิงและฉู่ไฉ่เวยก็พูดเช่นนี้ ต่อมาท่านจางเซิ่น อาจารย์ของเจ้ากับเอ้อร์หลางก็กล่าวว่าสามารถใช้วิชาของลัทธิขงจื๊อมาขจัดภัยพิบัติได้ แต่เขาดันท่องคำว่า ‘ที่แห่งนี้ไม่มีเคราะห์ร้าย’ เป็น ‘ที่แห่งนี้ไม่มีใครหึงหวง’ เสียอย่างนั้น”
สวี่ชีอันตะลึง
“คงยังไม่ตายกระมัง?”
“ช่วยมาได้แล้ว!” อารองสวี่บอก
นี่ก็เป็นโชคร้ายแบบหนึ่งเหมือนกัน…สวี่ชีอันพลันถอนหายใจออกมาและรู้สึกจนใจอยู่บ้าง
ที่แห่งนี้ไม่มีเคราะห์ร้าย สิ่งที่จะถูกขจัดไปคือโชคร้ายของจงหลี
ที่แห่งนี้ไม่มีใคร ‘หึงหวง’ แบบนี้ก็จะเพ่งเล็งไปที่มู่หนานจือซึ่งเป็นต้นไม้อมตะกลับชาติมาเกิด ฮว๋ายชิ่งผู้เป็นจักรพรรดิ และลั่วอวี้เหิงผู้เป็นเทพเซียนเดินดินแล้ว
จางเซิ่นโชคดีแล้วจริงๆ
สาเหตุที่เขาท่องผิดนั้น อย่างมากก็คงมาจากเคราะห์ของจงหลี แต่แน่นอนว่ายังเป็นเพราะเขาเอาแต่ดูเรื่องสนุกอย่างออกรสออกชาติมาตั้งครึ่งค่อนวันจนมันตราตรึงอยู่ในใจเขาไปแล้ว
ส่วนเหล่าปลาน้อยทั้งหลายอย่างลั่วอวี้เหิง…อับอายกันจนตายเลยน่ะสิ!
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่จางเซิ่น อาศัยกำลังของคนคนเดียวโค่นพวกนางได้แล้ว
“ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าก็แก้แค้นสำเร็จแล้ว”
สวี่ชีอันเท้าสะเอวหัวเราะร่า
อารองสวี่ครุ่นคิดแล้วทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า
“นี่เจ้าจงใจหรือ? เฮอะ เจ้าหนูอย่างเจ้าช่างทำแสบนัก”
สวี่ชีอันออกมาเคารพสุราและจงใจไม่พาจงหลีมาด้วยก็เพื่อแก้แค้นพวกที่เอาแต่ดูเรื่องสนุกและพวกที่สร้างความวุ่นวายเหล่านั้น ก่อนที่งานอภิเษกจะเริ่มขึ้น เขาก็ได้วางแผนนี้เอาไว้แล้ว
ในเมื่อหลีกหนีไม่พ้น เช่นนั้นก็เจ็บไปพร้อมกันเสียเลย
“นี่ เว่ยกงมาแล้ว”
สวี่ชีอันมองไปยังเว่ยเยวียนที่พาพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมา พวกเขากำลังเดินออกมาจากในจวนอย่างองอาจ
เว่ยเยวียนมีสีหน้าเคร่งขรึม ที่หน้าอกยังเปื้อนน้ำมันและคราบสกปรกวงใหญ่ รวมถึงมีรอยขาดอยู่ด้วย
“โอ้ เว่ยกง ท่านประมาทเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
สวี่ชีอันประดับยิ้มบนใบหน้าแล้วเดินเข้าไปหาจากนั้นเอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นชุดที่ไทเฮาทำให้ท่านนี่ ดูเหมือนจะมีแค่ตัวเดียว?”
เว่ยเยวียนเหลือบมองเขา แล้วเดินหนีไปอย่างไม่พอใจนัก
จากนั้นก็เป็นจ้าวโส่วที่พาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่เดินออกมา จางเซิ่นผู้ไร้สติถูกหยางกงแบกไว้บนหลัง
“อาจารย์ ท่านเป็นอะไรน่ะ?” สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ
จ้าวโส่วยิ้มออกมา
“วันนี้น่าตื่นเต้นยิ่งนัก เงินที่ให้ไปไม่เปล่าประโยชน์จริงๆ”
หลี่มู่ไป๋ เฉินไท่ และหยางกงต่างลูบเคราแล้วยิ้มออกมา
คนโชคร้ายคือจางเซิ่น ไม่ใช่พวกเขาสักหน่อย พวกเขานั้นได้ดูได้ฟังกันอย่างสนุกสนานทีเดียว
สวี่ชีอันมีสีหน้าละอาย
“ศิษย์คนนี้ดูแลไม่ทั่วถึง ทำให้อาจารย์ต้องลำบากแล้ว กลับไปศิษย์จะเขียนกลอนส่งให้ท่านอาจารย์ขอรับ”
พอจางเซิ่นได้ฟังดังนั้น รอยยิ้มก็ยิ่งเจิดจรัสขึ้นมา
จ้าวโส่วและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมีสีหน้าอึมครึม พลันยิ้มไม่ออกทันที
หลังจากส่งแขกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจากไป สวี่ชีอันรู้ว่าการต่อสู้มันยังไม่จบเท่านี้
นอกจากเว่ยเยวียนและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักอวิ๋นลู่แล้ว ผู้ที่จากไปล้วนแต่เป็นแขกเหรื่อที่มีความสัมพันธ์ไม่ใกล้ไม่ไกลทั้งสิ้น
สองคนแรกทั้งมีฐานะสูงส่งและเป็นถึงอาจารย์ จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์และฐานะเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้รั้งอยู่เพื่อก่อกวนห้องพอ
แต่สมาชิกพรรคฟ้าดิน เหล่าปลาน้อยในสระทั้งหลาย ศิษย์ชั่วร้ายจากสำนักโหราจารย์ สหายจิ้งจอกจากหอคณิกา และเหล่าจอมยุทธ์จากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ คนกลุ่มนี้ยังอยู่ในจวน
จะป่วนเรือนหอกันแล้ว…สวี่ชีอันบีบนวดหว่างคิ้ว
ในยุคสมัยนี้ การก่อกวนห้องหอคือธรรมเนียมที่ล้วนมีกันทุกที่ โดยทั่วไปแล้ว ความหมายของการมีธรรมเนียมนี้อยู่มีดังต่อไปนี้
หนึ่ง ขับไล่วิญญาณร้ายและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ
ใช้การล้อเลียนบ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันเพื่อขับไล่วิญญาณร้ายและภัยพิบัติ ใจความสำคัญก็เหมือนตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่าเจ้าลูกหมา หากตั้งชื่อได้น่าเวทนา เด็กก็จะแข็งแรงและเลี้ยงง่าย
สอง เพิ่มพูนความรู้สึกของสะใภ้ใหม่กับตระกูลเจ้าบ่าว
สาม เพิ่มพูนความรู้สึกระหว่างบ่าวสาว
ข้อสองและสามนั้นคล้ายๆ กัน ในยุคสมัยที่คำพูดของบิดามารดาและแม่สื่อนั้นเป็นสิ่งสำคัญ คู่บ่าวสาวจึงเป็นคนแปลกหน้าหรือไม่ก็เป็นคนแปลกหน้าที่เคยเจอหน้ากันมาแค่สองสามหน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง ‘ก่อกวน’ เพื่อขจัดความไม่คุ้นเคยและความห่างเหินระหว่างคนทั้งสอง
พอผ่านไปนานเข้า การก่อกวนห้องหอจึงกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว
สวี่ชีอันประเมินว่าสองหัวโจกตัวร้ายอย่างหยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่ก็จะอาศัยโอกาสนี้สร้างเรื่องให้เขาด้วย
ส่วนพวกปลาน้อยทั้งหลาย อย่างมากก็ใช้โอกาสนี้สร้างความลำบากให้กับหลินอัน
แต่ไม่เป็นไร สถานการณ์เหล่านี้เขาล้วนคาดเดาไว้แล้ว ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม
ควรเชิญผู้พิทักษ์หยวนออกมาจากเขาได้แล้ว
ให้เขามาสั่นสะเทือนพวกคนหนุ่มสาวและสตรีเหล่านี้ซะ
“ข้าอยากรู้พอดีว่าในใจของพวกนางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…หลังจากคืนนี้ผ่านไป ก็ให้ศิษย์พี่ซุนคุ้มครองผู้พิทักษ์หยวนแล้วกัน ตั้งให้เป็นสัตว์คุ้มครองอันดับหนึ่งของต้าฟ่งซะ” สวี่ชีอันลูบคาง
………………………………………………………….