ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 813 เสร็จพิธี
บทที่ 813 เสร็จพิธี
องค์หญิงหลับอยู่ในห้องนอน ผืนม่านห้อยต่ำ กลิ่นไม้จันทน์คละคลุ้ง
ประตูห้องนอนเปิดออก บรรดานางกำนัลในตำหนักเสาอินวิ่งเต้นกันอย่างยุ่งเหยิงเพื่อมาหวีผมแต่งตัวหน้ากระจกให้หลินอันซึ่งกำลังนั่งยืดเอวจ้องมองตนเองในกระจกทองแดง
สตรีในกระจกมีแก้มที่อวบอิ่มประหนึ่งไข่ห่านที่มีลายเส้นราบเรียบ หลังจากทาแป้งวาดคิ้ว ใบหน้าก็ยิ่งละเอียดลออและเปี่ยมจิตวิญญาณ
นอกจากนี้ มืออันมากด้วยฝีมือของนางกำนัลได้วาดดอกเหมยลงบนหน้าผากของนาง ดังนั้นองค์หญิงซึ่งเดิมทีก็งดงามเสน่ห์เหลือล้นอยู่แล้วจึงยิ่งมีท่าทางที่สวยหยาดเยิ้มอย่างมีเอกลักษณ์และไม่เกินเลย
ในชีวิตของสตรีจะมีโอกาสได้เห็นเครื่องยศมงกุฎหงส์และสายสะพายของตนเองครั้งเดียว
นางรอจนถึงแล้ว
สิ่งที่โชคดีกว่าก็คือเจ้าบ่าวเป็นคนดี มีรักแท้ได้ครองคู่กันตลอดกาล
“พักนี้ฝ่าบาทสงบเสงี่ยมไปมาก ทนกลั้นจนลำบากใช่หรือไม่” นางกำนัลใหญ่ยิ้มเอ่ยถามขณะหวีผมให้นาง
โดยปกติฝ่าบาทเป็นคนเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว น่ารักคึกคัก ยิ่งเป็นช่วงที่หลินอันสมรส ก็ยิ่งเรียนรู้การเป็นแม่นวลนางผู้สงบเสงี่ยมและนุ่มนวล
“ไทเฮาเคยบอกว่า คราวออกเรือนเป็นภรรยา ยิ่งไม่อาจประพฤติตามใจชอบได้อีก”
หลินอันถอนหายใจและเอ่ยว่า “ข้าเพียงเสแสร้งแกล้งทำ วันหน้าก็ค่อยๆ เปิดเผยธาตุแท้เอา”
ขณะกำลังพูด ไทเฮาผู้สง่าเยือกเย็นก็นำนางกำนัลเข้ามาข้างใน และกวาดสายตามองมงกุฎหงส์บนโต๊ะ ก่อนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“เตรียมตัวเป็นเช่นไรบ้าง”
นางกำนัลใหญ่ข้างกายหลินอันเอ่ยด้วยความเคารพหลังจากคารวะว่า
“รอข้าน้อยหวีผมให้ฝ่าบาทเรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว”
ไทเฮาเดินไปข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองหลินอันผู้สวยงามกินใจคน พร้อมขมวดคิ้วเอ่ยในทันใดนั้นว่า
“เหตุใดไม่เปิดใบหน้า”
สิ่งที่เรียกว่า ‘การเปิดใบหน้า’ คือการพันขนบนใบหน้าออกให้ครอบครัวเจ้าสาวโดยใช้เส้นด้ายฝ้ายห้าสี เพื่อทำให้เจ้าสาวยิ่งดูสวยงามเกลี้ยงเกลา
นางกำนัลใหญ่มองหลินอันอย่างลำบากใจ
คิ้วอันละเอียดลออที่วาดโดยนางกำนัลขมวดขึ้น “ท่านแม่ เจ็บ เจ็บจังเลย…”
ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกวาดมองนางกำนัลกลุ่มหนึ่งในห้อง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“องค์หญิงไม่เปิดใบหน้า พวกเจ้าทุกคนถูกโบยยี่สิบที ถ่วงเวลามงคล ข้าจะไล่ไปหน่วยซักล้างให้หมด”
เหล่านางกำนัลใบหน้าถอดสี
ดังนั้นนางกำนัลหลายคนจึงร่วมแรงร่วมใจกันชะล้างใบหน้าขององค์หญิงอีกครั้ง หลังจากลงมือกันให้วุ่นยกหนึ่ง ในที่สุดก็เสร็จสิ้น
ไทเฮามองหลินอันที่กำลังหน้าแดงเล็กน้อยและมีน้ำตาปริ่มๆ ตรงหางตาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจและเอ่ยว่า
“ไม่เลว เช่นนี้สิผิวจึงขาวนวลเฉกเช่นไขมันที่เพิ่งจับตัว เพียงดีดก็แตก”
นางกำนัลสวมมงกุฎหงส์ให้หลินอันระหว่างรอเวลามงคลใกล้เข้ามา ไทเฮาหรี่ตามองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อยเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า
“งดงามจริงๆ”
“เจ้าเกิดมาก็ต้องเป็นองค์หญิง การสวมเงินสวมทองสามารถขับดุนรูปโฉมอันงดงามและความเลอค่าอันน่าทะนุถนอม”
ไทเฮาเคยพบสตรีงามมาไม่น้อย ส่วนตนเองก็เป็นสตรีงามล่มบ้านล่มเมือง แต่สิ่งที่เรียกว่าสตรีงามมีนับหมื่นพัน ลักษณะความสวยงามแตกต่างกันไป สตรีงามซึ่งแตกต่างกันจึงต้องเสริมแต่งอย่างไม่เหมือนกัน จึงจะสามารถขับดุนรูปโฉมอันงดงามและความเฉพาะตัวให้แสดงออกมาอย่างถึงที่สุด
ในบรรดาสตรีงามที่ไทเฮาเคยพบรวมไปถึงตัวนางเอง ซึ่งไม่มากไม่น้อยล้วนถูกแบ่งความพร่างพราวด้วยเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายอันสวยหรู
ผู้ที่ยิ่งเสริมแต่งสวยหรูก็ยิ่งสามารถขับดุนความงดงามออกมาได้จึงเหลือเพียงหลินอันแล้ว
ไทเฮาเอ่ยต่อว่า
“พี่ชายและสนมแม่ของเจ้าล้วนเข้าร่วมพิธีสมรสไม่ได้ จึงเป็นธรรมดาที่ข้าในฐานะเสด็จแม่ของเจ้า จะสอนเจ้าว่าให้ใช้ชีวิตในครอบครัวสามีและอยู่ร่วมกับเครือญาติของเขาเช่นไร”
หลินอันรับฟังอย่างอดทนขณะนั่งวางมาดขรึม
“แม้เจ้าจะเป็นลูกคุณหนูผู้สูงศักดิ์ มีตำแหน่งเป็นองค์หญิง แต่ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่สามีทั่วไป ดังนั้นหลังจากออกเรือนไปจวนสกุลสวี่ จึงต้องเรียนรู้การสำรวมกิริยามารยาทเป็นอย่างแรก”
ในหลายปีที่ผ่านมา ไทเฮาไม่สนใจเรื่องการใด ไม่ไถ่ไม่ถามพระราชธิดาและพระราชโอรสหรือตำหนักใน แต่ก็ทราบว่าหลินอันมักก่อปัญหาให้ฮว๋ายชิ่งเป็นประจำ
หากนางความคิดและเลห์เหลี่ยมได้ครึ่งหนึ่งของเฉินไท่เฟยก็คงจบแล้ว ไทเฮาจึงเบื่อที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ เป็นเพียงหญิงสาวที่ชอบก่อเรื่อง แต่ไม่มีพลังในการต่อสู้ที่สัมพันธ์กัน
หากไปจวนสกุลสวี่แล้วไม่สำรวม ไม่รู้ว่าจะต้องถูกรังแกจนเป็นแบบใด อีกทั้งยังไม่มีหลักการเช่นนั้น
ไทเฮาเอ่ยต่อว่า
“ในบรรดาสมาชิกครอบครัวฝ่ายหญิงของสกุลสวี่ ไม่ต้องสนใจนายแม่เรือนรอง ข้าเคยติดต่อกับนางไม่มากนัก แต่ก็เคยลองหยั่งเชิงอยู่หลายครั้ง เป็นคนตรงไปตรงมาที่ไม่มีความคดโค้งใดๆ แม้สตรีที่มาจากอวิ๋นโจวคนนั้นจะเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของสวี่ชีอันก็ตาม แต่ความรักความห่วงใยระหว่างแม่ลูกจะต้องไม่ลึกซึ้งอย่างแน่นอน”
“หากนางรู้จักหนักเบา ก็คงไม่บีบเค้นเจ้า และปฏิบัติด้วยอย่างสุภาพ เจ้าเองปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ด้วยก็พอ ลูกสาวคนโตของเรือนรองกลับเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้ามากนัก ผ่านไปอีกไม่กี่ปีก็คงออกเรือนไป”
“สิ่งที่เจ้าต้องใส่ใจจริงๆ ก็คือจิตใจของสามี และสตรีที่กำลังยั่วยวนเขาข้างนอก”
‘อาสะใภ้ของหนิงเยี่ยนเป็นคนตรงไปตรงมาหรือ แต่ซือมู่บอกว่า อาสะใภ้ท่านนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจและน่ากลัวมากที่สุดอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะไทเฮามองผิดหรือเพื่อให้ข้าสบายใจ จึงเจตนากล่าวเช่นนี้’ …หลินอันซุบซิบในใจ เมื่อได้ยินวลีที่ว่า ‘สตรีที่ยั่วยวนข้างนอก’ ขนคิ้วลุกชูชันในทันใด
“เสด็จแม่วางใจ หลินอันรู้ว่าควรจะรับมือพวกนางเช่นไร จะต้องจัดการพวกนางจนเชื่อฟังให้ได้”
ไทเฮามองนางครู่หนึ่ง ก่อนกลืนเสียง ‘อึก’ ที่ทะลักไปถึงคอหอย และพยักศีรษะเอ่ยว่า
“คำแนะนำที่แม่ให้เจ้าคือ ฟังความเห็นของหวางซือมู่ให้มากๆ นางหมั้นหมายกับเออร์หลางแล้ว คิดดูแล้วคงจะออกเรือนไปบ้านสกุลสวี่ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า”
‘มีเหตุผล’…หลินอันพยักศีรษะ
“เผชิญปัญหาอย่ามัวแต่ใช้อารมณ์ เจ้าและฆ้องเงินสวี่มีไมตรีจิตต่อกัน ในตอนแรกที่เขายังกระจ้อยร่อย เจ้าช่วยเขาไม่น้อย หากน้อยอกน้อยใจก็เอ่ยถึงเรื่องด้านนี้ให้มาก เขาจะละอายใจ”
…
ถนนหลักตรงไปยังเขตพระราชฐาน สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังแม่ม้าน้อย แบกเขามุ่งไปยังเมืองหลวงพร้อมเสียงกีบม้าดัง ‘กุบกับๆ’
ส่วนด้านหลังคือหลี่อวี้ชุน จูกว่างเสี้ยว ซ่งถิงเฟิงและพรรคพวกที่รู้จักมักคุ้น รวมไปถึงคนที่ไว้ใจอย่างเหมียวโหย่วฟาง รวมตัวเป็นขบวนส่งเกี๊ยวรับเจ้าสาวที่มีขนาดไม่ใช่เล็กๆ
กองทัพป้องกันเมืองแบ่งขบวนออกสองข้างถนน เพื่อกั้นประชาชนที่ล้อมชมไว้ที่ริมถนน
ประชาชนต่างตะโกนเสียงดังว่า “ยินดีด้วยฆ้องเงินสวี่” “คู่สร้างคู่สมในรอบร้อยปี” และถ้อยคำอื่นๆ ด้วยความตื่นเต้นผิดปกติ
ในสายตาของพวกเขาแล้ว การที่ฆ้องเงินสวี่สมรสกับองค์หญิงของราชวงศ์ นี่เป็นการประสานกันอย่างแน่นแฟ้น และกระชับอำนาจของต้าฟ่งให้มั่นคงตลอดไป
ทั้งนี้ นอกจากองค์หญิงที่มีสถานะสูงส่งแล้ว ยังมีผู้ใดเหมาะสมกับฆ้องเงินสวี่อีก
แต่ก็มีบางคนผิดหวังอย่างมากกับเรื่องนี้
“ฆ้องเงินสวี่ต้องแต่งกับองค์หญิงแล้ว เฮ้อ ดูท่าลูกสาวบ้านข้าคงไม่ได้เป็นภรรยาหลวงแล้ว”
“แม้ลูกสาวเจ้าจะหน้าตาสวย แต่เป็นเพียงสาวใช้ฆ้องเงินสวี่คงไม่ชอบ เจ้าเพ้อฝันไปเถอะ เหนียนฟางน้องสาวบ้านข้ายี่สิบแปดปี หน้าตางดงามราวดอกไม้ เฮ้อ น่าเสียดายที่ฆ้องเงินสวี่มองไม่เห็นไข่มุกแวววาวที่จมฝังอยู่ใต้ผืนทรายลูกนี้”
“นั่นยังไม่ง่าย เจ้าส่งน้องสาวบ้านตนไปที่สำนักสังคีต ในเมื่องดงามเช่นนั้น ชิงคณิกามาสักคนคงไม่อยากหรอกมั้ง ฆ้องเงินสวี่คงเห็นแล้ว ใครบ้างไม่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่ชอบมั่วสุ่มกับคณิกาเป็นที่สุด”
ผู้คนรอบข้างต่างหัวเราะพร้อมกันยกใหญ่
จากนั้นทั้งสองก็วิวาทกัน แต่ก็ถูกห้ามปรามโดยกองทัพป้องกันเมืองอย่างรวดเร็ว และกลับสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
จูกว่างเสี้ยวมองเงาที่ทอดตรงซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดาตรงหน้า และเอ่ยกับซ่งถิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยเสียงเบาๆ ว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่า หนิงเยี่ยนจะแต่งกับฝ่าบาทฮว๋ายชิ่ง”
ขณะที่สวี่ชีอันยังเป็นฆ้องทองแดงฆ้องเงิน ตอนที่พบว่าไปพระราชวัง ล้วนให้เหตุผลว่ามาพบฮว๋ายชิ่ง แม้จะบอกว่ามั่วสุมกับฮว๋ายชิ่งในที่ลับไม่น้อย แต่ในสายตาของจูกว่างเสี้ยว สวี่หนิงเยี่ยนใกล้ชิดกับฮว๋ายชิ่งอย่างเห็นได้ชัด
ตอนที่สืบสวนคดีก่อนหน้านี้ ก็วิ่งไปจวนฮว๋ายชิ่งแทบทุกวัน
ซ่งถิงเฟิงยักคิ้วหลิ่วตา ยิ้มแหะๆ เอ่ยว่า
“ไม่สมรสกับฝ่าบาท ไม่ได้หมายความว่ามีความบริสุทธิ์ต่อกันกับฝ่าบาท”
จูกว่างเสี้ยวตกตะลึง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า
“อย่าพูดจาเหลวไหลกับพระองค์ท่าน”
“กลัวอะไร หนิงเยี่ยนไม่สนใจหรอก” ซ่งถิงเฟิงบุ้ยปากไปยังเจ้าบ่าวตรงหน้า
คำพูดที่พวกเขากล่าว หลบปากของสวี่หนิงเยี่ยนไม่พ้นอยู่แล้ว ในเมื่อเขาไม่สนใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าฝ่าบาทจะลงโทษอะไรแล้ว
แต่คำพูดถัดไป ซ่งถิงเฟิงไม่กล้ากล่าวอย่างโจ่งแจ้งแล้ว เขาเอ่ยเล่าต่อว่า
“ข้าได้ยินว่า พักนี้ในราชสำนักมีคนเสนอเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทเพื่อรากฐานของประเทศชาติ บัณฑิตกลุ่มนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ที่สุด”
จูกว่างเสี้ยวเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“ด้วยความสามารถของฝ่าบาท เพียงลงมือเล็กน้อยก็สามารถข่มเสียงพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้าโง่” ซ่งถิงเฟิงส่ายศีรษะเอ่ยว่า
“เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งราชสำนักไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างที่เห็น เจ้าคิดว่า ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน การไม่มีทายาทมันยิ่งเสียกว่าปรกติ”
แต่ตอนนี้การก่อกบฏยุติลงแล้ว สงบสุขทั่วทั้งแผ่นดิน ต่อไปควรตรึกตรองเรื่องการสมรสของฝ่าบาทหรือไม่
“การแต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นเพียงข้ออ้าง พวกเขาเพียงอยากเร่งรัดให้ฝ่าบาทสมรสให้เร็วที่สุดเพื่อให้กำเนิดรัชทายาท”
จูกว่างเสี้ยวกระจ่างในทันใด เขาเอ่ยเล่าต่อในทันทีว่า
“เจ้ากล่าวเรื่องพวกนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเพราะเหตุใด”
ซ่งถิงเฟิงเอ่ยเล่าต่อว่า
“หากหนิงเยี่ยนสมรสกับฝ่าบาทหลินอัน ไม่รู้ว่าผู้คนจะหัวเราะจนฟันร่วงและปรบมือแสดงความดีอกดีใจเท่าใดกัน หากวันหนึ่งเขาไม่แต่งงาน คงไม่มีใครกล้านึกถึงตำแหน่ง ‘จ้าวแห่งตำหนักใน’ เข้าใจหรือยัง”
แม้ฝ่าบาทจะเป็นหญิง แต่ก็เป็นสายเลือดราชนิกุลที่เกิดในครอบครัวมีรากฐานดี ตราบใดที่ทายาทของนางมีการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่เข้มแข็งพอ การสืบราชบัลลังก์คงไม่มีความยากแม้แต่น้อย
เริ่มดำเนินขั้นตอนอย่างละเอียดรอบคอบหลังจากเข้าสู่เขตพระราชฐาน โดยขี่ม้าไปยังประตูทิศใต้ตามเจ้าหน้าที่พิธีการเป็นลำดับแรก และเปลี่ยนเครื่องแบบราชบุตรเขยที่นั่น ตามด้วยถวายห่านป่า เหรียญ ผ้าไหมและสิ่งของอื่นๆ เป็นของหมั้น
ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า ‘พิธีแห่ห่าน’ ห่านป่าเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดี มีความหมายว่าเคียงคู่กันชั่วชีวิต
เมื่อสิ้นสุดพิธีแห่ห่าน สวี่ชีอันจะเข้าร่วมงานเลี้ยงกับขบวนส่งเกี๊ยวรับเจ้าสาว เพื่อดื่มเหล้าพักผ่อนรอฤกษ์มงคล
รอตั้งแต่เช้าตรู่จนพระอาทิตย์ส่องเจิดจ้า ในที่สุดเจ้าหน้าที่พิธีการก็เข้าสู่งานเลี้ยง และเอ่ยเบาๆ ว่า
“ท่าราชบุตรเขย ถึงเวลาแล้ว”
สวี่ชีอันเอ่ยในใจว่า ในที่สุดก็ได้รับเจ้าสาวเสียที ฉี่แทบราดแล้ว…
เขาไปยังตำหนักเส้าอินตามเจ้าหน้าที่พิธีการในทันที และได้พบทหารกองเกียรติยศขององค์หญิง รวมไปถึงเครื่องยศมงกุฎหงส์และสายสะพายกับหลินอันผู้งดงามกินใจคน
นางสวมชุดแต่งงาน สวมมงกุฎหงส์ไว้บนศีรษะ งดงามจนละลานตา
นางก้าวออกจากตำหนักเส้าอินอย่างเยือกเย็นภายใต้การประคับประคองของนางกำนัล ทั้งสองห่างกันมาก แต่สายตาบรรจบกัน
คำพูดนับหมื่นพันล้วนอยู่ในสายตาหมดแล้ว
หลินอันมองเขาอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่งโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ย และก้มศีรษะเข้ารถม้าเอี้ยนตี๋
รถม้าเอี้ยนตี๋มีสีแดงโดยส่วนใหญ่ นอกจากในห้องโดยสารจะประดับด้วยขนนกแล้ว ยังมีของประดับสวยหรูที่ถักทอจากไหมแพรประเภทต่างๆ ซึ่งมีสีแดงและม่วง
แอกรถม้าตามแนวขวางติดตั้งตู้ธูป กระถางธูปลายมังกรไร้เขา เครื่องหอมล้ำค่าและอื่นๆ
รูปแบบโดยภาพรวมสวยสดงดงามไม่เหมือนใคร
ราบรื่นมากทีเดียว ไม่มีเรื่องวุ่นวายอย่างการให้อั่งเปาหารองเท้าและทำลายประตูเข้าไป…สวี่ชีอันแขวะในใจ
แน่นอนว่า โดยหลักๆ แล้วนี่ก็เพราะการส่งเกี๊ยวรับเจ้าสาวไม่ใช่ส่วนสำคัญ และไม่มีขนบธรรมเนียมจากชาติปางก่อน
พอออกจากพระราชวัง สวี่ชีอันก็นำกองทหารเกียรติยศและขบวนส่งเกี๊ยวรับเจ้าสาวมาบรรจบกัน แล้วออกจากเมืองหลวงย้อนกลับไปยังทางเดิมด้วยกัน
เดิมทีจุดหมายของการไปคือจวนราชบุตรเขย แต่หลังจากสวี่ชีอันปรึกษากับอารอง เขาจึงคิดที่จะพักอยู่จวนสวี่เหมือนเดิม เขาซื้อบ้านโดยรอบหลายหลัง และขยายเป็นตำหนักของตระกูลร่ำรวยที่มีลานบ้านเขียวชอุ่ม
คนในครอบครัวก็ยังพักอยู่ด้วยกัน
กลับไปยังจวนสวี่ใช้เวลาครึ่งชั่วยาม เสียงดนตรีบรรเลงอย่างพร้อมเพรียงระหว่างทาง นางกำนัลซึ่งสวมมงกุฎดอกไม้ไว้ที่ศีรษะค่อยๆ ก้าวย่างอย่างสวยงาม และยังมีกองทหารต้องห้ามรับหน้าที่พรมน้ำอยู่ด้านหน้า ดังนั้นจึงเดินไม่เร็วนัก
ท่ามกลางเสียงดนตรีของการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ สวี่ชีอันรับหลินอันเข้าประตู แล้วมุ่งตรงไปยังห้องโถงด้านใน
ในห้องโถงเวลานี้ รายล้อมไปด้วยผู้เข้าร่วมพิธี ซึ่งล้วนเป็นคนตระกูลสวี่ ไม่มีแขกภายนอกเลย
อารองและอาสะใภ้นั่งเหยียดเอวอยู่ในห้องโถง อาสะใภ้มองหลินอันในเครื่องยศมงกุฎหงส์และสายสะพาย พร้อมด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
นางชอบหญิงสาวที่แต่งตัวงดงามเป็นอย่างมาก การเสริมแต่งของหลินอันทำให้อาสะใภ้ตะลึงในความสวยอย่างไม่มีอะไรเปรียบ
สมาชิกของพรรคฟ้าดินไม่อยู่ พวกคนของสำนักโหราจารย์ก็ไม่มา ดีจริงๆ …สวี่ชีอันกวาดมองผู้คนในห้องโถงครู่หนึ่ง ทุกคนล้วนมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เว้นแต่เทพดอกไม้ที่ใบหน้าเย็นชาเหมือนน้ำ
โดยเฉพาะสวี่หลิงเยวี่ย ใบหน้ายิ้มแย้มราวดอกไม้ รู้สึกดีใจแทนพี่ใหญ่จากใจจริง
เจ้าสาวดำเนินพิธีกราบไหว้ฟ้าดินภายใต้การกำกับของขุนนางกรมพิธีการ
ขั้นตอนการกราบไหว้ฟ้าดินยุ่งยากมาก ประกอบด้วยคุกเข่าสามครั้ง น้อมคำนับเก้าครั้ง ขึ้นไหว้หกครั้ง
ระหว่างนั้น สวี่ชีอันสัมผัสได้ว่าหลินอันหัวใจเต้นเร็วขึ้น เขาเอ่ยว่า
“อย่าตระหนก”
หลินอันสงบจิตสงบใจลงจริงๆ เสียด้วย
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอย่างเป็นไปตามแบบแผน นางกำนัลเด็กสองคนถือเทียนหงส์มังกรนำทางโดยมีสวี่ชีอันและหลินอันอยู่ด้านหลัง
จีไป๋ฉิงมารดาผู้ให้กำเนิดปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ ขณะมองคู่บ่าวสาวเลี้ยวเข้าโถงหลัง
ขณะนี้เอง นางเห็นสวี่เอ๋อเดินเข้ามาเอ่ยเบาๆ ว่า
“ฮูหยินใหญ่ ตามข้ามาหน่อย”
จีไป๋ฉิงขมวดคิ้ว ถือผ้าเช็ดหน้าไหมตามสวี่เอ๋อไปข้างนอก
ผ่านระเบียงข้ามลานบ้านมายังนอกเรือนวิวาห์ของคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน สวี่เอ๋อผลักประตู แล้วเอ่ยยิ้มว่า
“เชิญฮูหยินใหญ่เข้าไป”
จีไป๋ฉิงผุดความคิดหนึ่งขึ้น มีการคาดการณ์ไว้แล้ว นางย่างข้ามธรณีประตูเข้าสู่เรือนวิวาห์ เห็นหลินอันยืนแนบไหล่รอกับสวี่ชีอันมานานแล้ว
“หนิงเยี่ยน นี่มัน…”
สวี่ชีอันเอ่ยเบาๆ ว่า
“อาสะใภ้กับอารองเลี้ยงข้าเติบใหญ่ ในหัวใจข้าก็เปรียบเหมือนบิดามารดาแท้ๆ ข้าไหว้อารองและอาสะใภ้ต่อหน้าแขกเพราะเคารพพวกเขาอย่างสูง แต่ท่านคือมารดาผู้ให้กำเนิดของข้า มีสายสัมพันธ์อย่างแนบชิด วันวิวาห์ของข้า ก็ต้องกราบไหว้ท่านเป็นธรรมดา”
เขาจ้องมองกับหลินอันครู่หนึ่ง ก่อนคุกเข่าลงบนพื้น และคำนับโดยการก้มศีรษะติดกับพื้นสามครั้ง
จีไป๋ฉิงเอ่ยยิ้มเบาๆ ว่า
“ข้าดีใจมาก ดีใจจริงๆ ”
นางก้มตัวลงพยุงลูกชายคนโตกับภรรยาของลูกชายขึ้น
สวี่ชีอันเอ่ยเบาๆ ว่า
“แม่”
จีไป๋ฉิงร่างกายแข็งทื่ออย่างฉับพลัน
นางพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้า และออกจากเรือนวิวาห์ไปโดยไม่ได้อยู่นานนัก
หลังจากเดินไปพักหนึ่ง นางก้มศีรษะค้ำเสาเสบียง พร้อมด้วยไหล่ที่สั่นเทาอย่างรุนแรง
สวี่หยวนซวงเห็นมารดาน้ำตาคลอเบ้ากลับมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนเล็กน้อย ดูเหมือนเป็นทุกข์ แต่พอมองโดยละเอียดอีกที กลับพบว่าความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นไว้ตรงมุมตาและปลายคิ้วตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาของนางหายไปอย่างหมดสิ้น
ในเรือนวิวาห์ หลินอันอิงแอบในอ้อมอกสวี่ชีอันโดยถือขนมแป้งอบเนยไว้ในมือ ค่อยๆ เคี้ยวคำเล็กๆ หลังจากทานไปสักครู่ นางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เป็นกังวลอย่างมากว่า
“ราชครูจะไม่บุกเข้ามาฟันข้าใช่หรือไม่”
“ข้าแสร้งทำเป็นมั่นใจเต็มเปี่ยมต่อหน้าไทเฮา แต่อันที่จริงแล้วภายในหัวใจหวาดกลัวอย่างมาก”
นี่เจ้ากลัวหรือ สวี่ชีอันเอ่ยปลอบขวัญว่า
“ทันทีที่ราชครูใช้กระบี่ฟันเจ้า ข้าก็จะใช้หอกแทงนาง”
หลินอันหมดกังวลในทันที จากนั้นเอ่ยว่า
“ช่วยข้าถอดมงกุฎหน่อย สวมมาครึ่งวันแล้ว ปวดคอไปหมด”
สวี่ชีอันจึงช่วยนางถอดมงกุฎหงส์ แล้วจับเอวอันเรียวอ่อนไว้ ก่อนเอ่ยเยาะว่า
“ชุดแต่งงานระเกะระกะมาก ถอดก่อนเลยละกัน จะได้ลดความยุ่งยากลงเมื่อถึงตอนนั้น ฮึ่ม เรือนหอก็ทำไว้ก่อนแล้ว ข้าจะได้จดจ่อกับการออกไปต้อนรับแขก”
“อย่าๆ”
หลินอันหน้าแดง ออกแรงผลักหน้าอกของสวี่ชีอันอย่างแรงด้วยมือทั้งสองข้าง
แม้ทั้งสองจะสมรสกันแล้ว แต่นางยังไม่เคยผ่านเรื่องพวกนี้ จึงยังเขินอาย
หลังจากขัดขืนไปได้สักพัก สวี่ชีอันมองน้ำรั่วที่มุมห้อง พร้อมนวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ยว่า
“ข้าต้องออกไปรับแขกแล้ว”
วันนี้จะต้องมีการเล่นตุกติกนับไม่ถ้วนเป็นแน่ แต่ไม่เป็นไร เขาคิดแผนการที่รอบคอบไว้แล้ว
……….……….……….……….……….