ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 812 งานแต่งงานครั้งใหญ่
บทที่ 812 งานแต่งงานครั้งใหญ่
“เจ้าเหยียบดอกไม้เสียหายแล้ว”
สวี่หลิงอินชี้ไปที่จิ้งจอกน้อยแล้วพูดเสียงดัง
ไป๋จีเอนหัวมองดูนางและตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเด็กสาว
“ไม่ได้เหยียบ ข้าเล่นแบบนี้มาโดยตลอด”
“เจ้าเหยียบมันเสียหายแล้ว” สวี่หลิงอินเลิกคิ้วบางๆ ขึ้น น้ำเสียงและท่าทางของนางดูเคร่งขรึมและสุภาพเรียบร้อยราวกับเรื่องนี้สำคัญมาก
“ข้าไม่ได้เหยียบเสียหาย” ไป๋จีโต้แย้งด้วยน้ำเสียงสดใสไพเราะ
เด็กมนุษย์กับลูกจิ้งจอกน้อยโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง สวี่หลิงอินก้าวขาสั้นๆ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดามองเห็นไม่ชัดเจน ทั้งหมดนี้ล้วนอาศัยพลังระเบิดของกล้ามเนื้อ
ทว่าไป๋จีไวกว่า มันกลายร่างเป็นเงาสีขาวแฉลบหลบการโจมตีของนางมาปรากฏตัวอยู่ทางด้านขวา และจ้องมองนางอย่างระแวดระวัง
“เจ้าทำอะไร!” ไป๋จีถามเสียงดัง
เสี่ยวโต้วติงไม่สนใจ นางกระโจนใส่อีกครั้ง
หนึ่งมนุษย์หนึ่งจิ้งจอกไล่และหลบหนีกันอยู่ในลานบ้าน สวี่หลิงอินวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ‘ตึง ตึงๆ’ แผ่นหินสีดำที่ปูอยู่ในลานบ้านถูกเหยียบจนแตก ไป๋จีก็กลายเป็นแสงสีขาวที่รวดเร็ว บางครั้งก็ไปทางซ้าย บางครั้งก็วิ่งอุตลุดไปทางขวา
ชั่วประเดี๋ยวเดียว เสี่ยวโต้วติงก็รู้ว่าตนเองไม่อาจจับไป๋จีได้ จึงกระวนกระวายใจมาก
ตอนที่นางออกล่าสัตว์กับคนเผ่าลี่กู่ที่ซินเจียงตอนใต้นั้น ใช่ว่าจะไม่พบเจอสัตว์ที่ว่องไวปราดเปรียว แต่คนเผ่าลี่กู่ล้วนใช้ธนูยิงสังหาร ไม่ต้องไล่ล่าเลย
ตอนนี้ไม่มีธนูอยู่ข้างกาย และนางก็ใช้ไม่เป็นด้วย
“ไม่เล่นแล้ว!” สวี่หลิงอินหยุดและกล่าวด้วยสีหน้าประจบประแจง
“เจ้ามานี่ ข้าพาเจ้าไปกินเนื้อ”
ไป๋จีหยุดจริงๆ ด้วย ลิ้นสีชมพูเล็กๆ เลียริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก
“กินเนื้ออะไร”
สวี่หลิงอินกางแขนทั้งสองออกทำท่าประกอบซี้ซั้ว
“เป็นเนื้อที่อร่อยมากๆ เจ้ามาก็จะรู้เอง”
ในระหว่างที่พูดนางก็เผยรอยยิ้มประจบ
ไป๋จีก็เป็นสัตว์จอมตะกละ พอได้ยินว่ามีเนื้อให้กินก็เชื่อเสี่ยวโต้วติงแล้ว มันวิ่งเข้ามาด้วยความเบิกบานใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ารัก
“กินเนื้อ กินเนื้อ…”
สวี่หลิงอินที่ฉลาดเฉียบแหลมและกล้าหาญกระโจนเข้าไปกดมันไว้
“จับเจ้าได้แล้ว!”
…
ภายในห้อง มู่หนานจือที่หมอบอยู่บนโต๊ะเงยหน้ามองไปนอกประตู และขมวดคิ้วกล่าว
“ดูเหมือนข้าจะได้ยินเสียงร้องไห้ของไป๋จี!”
เสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ หยุดลง มือทั้งสองของสวี่ชีอันจับเอวเล็กของมู่หนานจืออยู่ เขามองไปนอกหน้าต่างเช่นกันและกล่าวว่า
“ข้าก็ได้ยินเหมือนกัน”
“ลุกขึ้น ลุกขึ้น!” มู่หนานจือยื่นมือไปด้านหลังและผลักสวี่ชีอันทีหนึ่ง
นางเอาใจใส่ไป๋จีมาก ราวกับเลี้ยงลูกของตนเอง
สวี่ชีอันถอยออกไป
มู่หนานจือรีบวางกระโปรงลง นางก้มลงดึงกางแกงผ้าแพรขึ้น หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็รีบออกไปจากห้อง
สวี่ชีอันตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองออกจากห้องเดินไปตามเสียงไม่กี่ก้าวก็เห็นสวี่หลิงอินกับลี่น่าสองศิษย์อาจารย์
ไหล่เล็กๆ ของสวี่หลิงอินมีกระบองไม้วางอยู่ ไป๋จีถูกมัดไว้ตรงปลายกระบองไม้ มันดิ้นรนไปพลางร้องไห้ไปพลาง
“ปล่อยข้า ปล่อยข้า งือ งือๆ…”
สองศิษย์อาจารย์กำลังเดินไปทางห้องครัว
“ทำอะไรน่ะ!”
มู่หนานจือตกใจจนหน้าถอดสี นางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปช่วยไป๋จีลงมา
“พวกเราต้องการกินเนื้อ”
สวี่หลิงอินมองดูป้ามู่แก้มัดให้ไป๋จีอย่างเสียดาย
…สวี่ชีอันตบหลังมือใส่นางอย่างรุนแรง และพูดตำหนิ
“ตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไร”
สวี่หลิงอินถูกตีจนเอามือทั้งสองกุมศีรษะ แต่ก็ใจสู้ นางกล่าวด้วยเหตุผลที่ถูกต้องและวาทะที่เต็มไปด้วยสัจธรรม
“พี่ใหญ่บอกว่า เหยียบดอกไม้เสียหายก็ต้องนำมาย่างกินเนื้อ มันทำดอกไม้ที่ท่านแม่ปลูกเสียหาย”
ลี่น่าที่อยู่ข้างๆ ก็แสดงท่าทีเห็นด้วย ในที่สุดศิษย์โง่เขลาก็เริ่มมีความคิดความอ่าน เมื่อครู่โยนความผิดให้กับไป๋จี รู้ว่าก่อนกินจิ้งจอกต้องกำหนดโทษฐานการกระทำผิดไว้ก่อน เช่นนี้ก็หนีความผิดไม่พ้นแล้ว
สวี่ชีอันหันไปถามไป๋จีเกี่ยวกับเรื่องราวในเมื่อครู่ ไป๋จีร้องไห้กระซิกๆ และเล่าเรื่องราวไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ฟ้อง
“ข้าเล่นของข้าอยู่ดีๆ พวกนางเห็นข้าก็จับข้า และยังหลอกข้าด้วย งือ งือๆ …”
ข้าควรบอกว่าพอเกี่ยวพันกับเรื่องอาหารไอคิวของสวี่หลิงอินก็พุ่งพรวด หรือควรปลงอนิจจังว่าในที่สุดคนที่มีไอคิวต่ำสุดในบ้านก็ปรากฏตัวแล้ว…สวี่ชีอันกระซิบในใจ เขาใช้นิ้วชี้สะกิดหน้าผากสวี่หลิงอินและกล่าวด้วยความโมโห
“อีกประเดี๋ยวค่อยสั่งสอนเจ้า”
จากนั้นก็หันไปจ้องลี่น่า
“หลิงอินไม่รู้เรื่อง เจ้าก็ไม่รู้ด้วยหรือ”
ลี่น่าแลบลิ้นออกมา
“เล่นๆ น่า ขู่จิ้งจอกน้อยสักหน่อย อีกเดี๋ยวพอเข้าห้องครัวแล้ว ข้าก็จะช่วยมันลงมาเอง”
สวี่หลิงอินตกใจมาก เพิ่งเข้าใจเจตนาชั่วร้ายของอาจารย์ ดังนั้นจึงมองลี่น่าด้วยสายตาทรยศ
ประจักษ์ชัดแจ้งว่าหลิงอินไม่ได้เห็นไป๋จีเป็นเพื่อนเล่นหรือสหาย หมกมุ่นจะกินมันอย่างเดียว ต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดนี้…แม้ว่าในบ้านที่มี ‘เด็ก’ มากไป มักจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่เอะอะก็จะย่างกิน มันไม่ได้…สวี่ชีอันถอนหายใจ และลากสวี่หลิงอินเดินไปข้างนอก
“ตามข้ามา!”
เขาลากสวี่หลิงอินเข้ามาในลานบ้าน พอกวักมือ หน้าต่างห้องปีกด้านตะวันออกก็เปิดออก ดอกไม้ที่อาสะใภ้ชอบที่สุดกระถางหนึ่งลอยออกมา
สวี่ชีอันนำกระถางดอกไม้วางไว้บนหัวสวี่หลิงอินและกล่าวว่า
“ยืนหนึ่งชั่วยาม หากดอกไม้บนศีรษะตกลงแตก ห้ามกินเนื้อเป็นเวลาสามวัน”
“อื้อ!”
สวี่หลิงอินถูกทำโทษให้ยืนตรง
หลังจากตักเตือนเสี่ยวโต้วติงไม่ให้มีความคิดที่จะกินจิ้งจอกแล้ว สวี่ชีอันก็เห็นขันทีในชุดปักลายงูเหลือมท่านหนึ่งพาทหารรักษาพระองค์ขบวนหนึ่งเข้ามาในจวน
ขันทีชุดปักลายงูเหลือมมาปูนบำเหน็จรางวัล ตามประเพณีนิยม พระสวามีขององค์หญิงต้องแต่งตั้งเป็น ‘ราชบุตรเขยผู้บัญชาการทหารม้า’ เดิมทีราชบุตรเขยผู้บัญชาการทหารม้าเป็นตำแหน่งขุนนาง ต่อมาค่อยๆ กลายเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นพื้นฐานของลูกเขยจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้พระสวามีขององค์หญิงก็เลยมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ‘ราชบุตรเขย’
นอกจากบรรดาศักดิ์แล้ว จักรพรรดิยังต้องพระราชทานเข็มขัดหยกราชบุตรเขย เสื้อผ้า อานม้าเงิน ผ้าหลากสีร้อยพับ และเงินทองกับคฤหาสน์บ้านพัก เป็นต้น
สิ่งของเหล่านี้ เดิมทีควรพระราชทานให้นานแล้ว แต่วันหนึ่งๆ จักรพรรดินีต้องจัดการเรื่องราวเป็นหมื่นๆ เรื่อง ไม่มีเวลาจริงๆ เลยต้องเลื่อนมาจนถึงตอนนี้
หลังจากปูนบำเหน็จรางวัลแล้ว ขันทีก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยอวยพรล่วงหน้าให้ฆ้องเงินสวี่มีความสุขกับการแต่งงาน รักกันยืนยาว”
สวี่ชีอันตกรางวัลให้ขันทีและทหารรักษาพระองค์คนละยี่สิบตำลึงเงินตามประเพณี
…
วันแต่งงานใกล้เข้ามาถึง จวนตระกูลสวี่ยุ่งวุ่นวาย อาสะใภ้ที่รับผิดชอบควบคุมฝ่ายในยุ่งจนหัวร้างข้างแตก แอบบ่นในภายหลังไม่น้อยว่าคนเป็นแม่ว่าง แต่ข้าที่เป็นอาสะใภ้กลับเหนื่อยมาก
เพื่อแบ่งเบาแรงกดดันของอาสะใภ้ สวี่ชีอันเรียกเหมียวโหย่วฟางกลับมาใช้งาน ส่วนตนเองก็เจียดเวลาทำความเข้าใจกระบวนการแต่งงานให้ถี่ถ้วนแล้วดำเนินการต่อไป
ตั้งแต่โบราณนานมา การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ของมนุษย์ ดังนั้นกระบวนการจึงหยุมหยิมและยุ่งยาก
ตั้งแต่การขอแต่งงานจนถึงการแต่งงาน มีหกพิการที่ต้องปฏิบัติ หนึ่งการสู่ขอ สองขอวันเดือนปีเกิด สามการเสี่ยงทาย สี่มอบสินสอดรับของไหว้ ห้าขอฤกษ์ หกส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาว
พิธีการห้าขั้นแรกดำเนินการเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ ‘ส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาว’ เท่านั้น
บนโต๊ะอาหารในคืนนี้ หลงจากอารองสวี่ชนแก้วกับหลานแล้วก็พูดหยั่งเชิง
“ตอนพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ให้อาสะใภ้ของเจ้าสละที่นั่งให้พี่สะใภ้ใหญ่หรือไม่”
อาสะใภ้ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาทันที นางจ้องมองสามีด้วยอารมณ์เดือดพล่าน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
อารองสวี่กล่าว
“ตั้งแต่โบราณมา เรื่องใหญ่อย่างการแต่งการ หากพ่อแม่ยังอยู่ต้องนั่งตำแหน่งบิดามารดา อย่างไรเสียพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหนิงเยี่ยน นางนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเจ้านั่งอยู่ที่นั่น แขกมองดูเยอะขนาดนั้น หากเล่าลือออกไปละก็จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของหนิงเยี่ยน วันนี้ขุนนางจากกรมพิธีการพูดคุยเรื่องนี้กับข้า”
อาสะใภ้พูดเสียงสูง
“ข้าเป็นคนเลี้ยงหนิงเยี่ยนโตมา”
สวี่เอ้อร์หลางค่อยๆ เคี้ยวและกลืนกับข้าว เขาโพล่งออกมา
“ไม่สอดคล้องกับพิธีการจริงๆ”
อาสะใภ้กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมจนเกือบจะร้องไห้ออกมา หลายวันนี้นางยุ่งกับการจัดการงานแต่งทั้งภายในและภายนอกจนผมร่วงไปไม่น้อย แต่พอคิดว่าสี่คนพี่น้องในบ้าน ในที่สุดก็มีคนหนึ่งจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ก็รู้สึกพอใจมาก รอก็แต่การไหว้ของคู่บ่าวสาวใหม่คู่หนึ่ง สุดท้ายยังไม่ทันได้เห็นบ่าวสาว ก็ถูกสามีกับลูกชายแทงที่หลังแล้ว
อาสะใภ้มองสวี่หนิงเยี่ยนทีหนึ่ง เห็นเขาไม่พูดอะไร ก็รู้สึกอยากร้องไห้ นางหันหน้าไปทางอื่นและพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่นั่งก็ไม่นั่ง”
“แต่ในเครื่องความรักแม่สมควรนั่ง คำโบราณกล่าวไว้ว่า บุญคุณให้กำเนิดไม่เทียบเท่ากับบุญคุณการเลี้ยงดู พี่ใหญ่สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ถูกท่านพ่อกับท่านแม่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ผู้คนต่างก็รู้ดี ดังนั้นแม้คนภายนอกจะรู้ว่าท่านป้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีใครสอดปากสอดคำพี่ใหญ่”
สวี่หลิงเยวี่ยถือโอกาสกล่าว
“พี่ใหญ่คิดว่าอย่างไร”
อาสะใภ้รีบมองไปทางหลานชายผู้โชคร้าย
สวีชีอันยิ้มกล่าว
“เอ้อร์หลางกล่าวไว้ไม่ผิด หากข้าไม่ตอบตกลง เกรงว่าอาสะใภ้คงจะไล่ข้าออกจากเรือนเล็กๆ ด้านข้าง และให้ไปอยู่คนเดียวแล้ว”
ตอนนี้อาสะใภ้ถึงวางใจขึ้นมา นางเชิดคางทำเสียงขึ้นจมูก
สวี่หลิงอินกับลี่น่าก้มหน้ากินกับข้าว ตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง
ไปจี๋นั่งยองๆ อยู่ข้างโต๊ะ มันค่อยๆ แทะเนื้อไก่ทีละคำ
มู่หนานจือตั้งใจกินข้าวและแสดงท่าทีเหมือนกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง แต่เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะเตะเท้าสวี่ชีอันระบายความโกรธเป็นครั้งคราว
“ใครจะรู้ว่าอาหารในจานนั้น ทุกเมล็ดล้วนหามาด้วยความยากลำบาก”
สวี่ชีอันตอบแทนความแค้นด้วยคุณธรรม เขาเก็บเม็ดข้าวสองสามเม็ดที่อยู่ข้างถ้วยของนางใส่เข้าไปในถ้วย
อาหารค่ำจบลงด้วยบรรยากาศที่มีความสุข
…
ค่ำคืนเดียวกัน จีไป๋ฉิงกลับนั่งอยู่เหม่ออยู่ใต้แสงเทียน ใบหน้าอ่อนโยน งดงามผึ่งผาย
การทำงานและพักผ่อนของสวี่หยวนไหวสม่ำเสมอราวกับพระอาทิตย์ขึ้นและพระจันทร์ที่หายลับ หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็ฝึกลมหายใจครึ่งชั่วยามและเข้านอนแต่เช้า
สวี่หยวนซวงผลักประตูห้องของมารดา เห็นนางยังไม่นอนก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่ ท่านกำลังคิดเรื่องส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาวของพี่ใหญ่ในวันพรุ่งนี้หรือ”
จีไป๋ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จนถึงวันนี้แล้วยังไม่บอกข้า ดูท่าตอนพิธีไหว้บิดามารดาข้าคงไม่มีส่วนร่วมแล้ว”
สวี่หยวนซวงถามขึ้นเบาๆ
“ท่านแม่รู้สึกเสียในหรือ”
จีไป๋ฉิงทอดถอนใจกล่าวอีกครั้ง
“ตอนข้าคลอดเขาในปีนั้น เขาตัวแค่นี้เอง พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปยี่สิบเอ็ดปี คาดไม่ถึงว่าเวลาที่เขาเป็นฝั่งเป็นฝาจะมาถึงแล้ว ได้เป็นประจักษ์พยานในงานแต่งงานของเขา แม่ก็ไม่เสียใจแล้ว”
สวี่หยวนซวงเม้มปากไม่ได้พูดอะไร
แม้ปากมารดาจะบอกว่าไม่เสียใจ แต่เป็นถึงมารดาไหนเลยจะไม่เฝ้าปรารถนาอยู่ในวันแต่งงานของบุตรคนโต และเข้าร่วมในฐานะมารดา
ไม่ใช่เป็นแขกที่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ
…
สำนักโหราจารย์
หลี่เมี่ยวเจินตื่นขึ้นมาจากความสับสนวุ่นวาย พอลืมตาก็มองเห็นซูซูนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ซึ่งกำลังอ่านบทละครที่มีภาพประกอบอย่างจดจ่อ
ปีศาจสาวสวมชุดกระโปรงขาว องคาพยพประณีตงดงามเป็นอย่างยิ่ง ท่วงท่าลีลาดึงดูดใจผู้คน
พูดถึงรูปโฉมโนมพรรณที่งดงาม ซูซูนั้นโดดเด่นที่สุด
“โอ้ นายหญิง ท่านตื่นแล้ว!”
ซูซูปิดหนังสือด้วยความดีใจ และถือโอกาสรินชาอุ่นๆ ให้ถ้วยหนึ่ง “ท่านสลบไปห้าวัน น้ำหยดเดียวก็ยังไม่ได้เข้าปาก จิบชาดับกระหายสักหน่อย”
หลี่เมี่ยวเจินคอแห้งจริงๆ จิตใจของนางร้อนรุ่มกระวนกระวาย
ต่อให้กายเนื้อของคนลัทธิเต๋าจะอ่อนแอ พอถึงขั้นสี่ก็ฝึกการไม่กินธัญญาหารแล้ว ไม่กินไม่ดื่มหลายวันก็ไม่เป็นไร
แต่ร่างของนางได้รับบาดเจ็บ กำลังอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอ
หลังจากดื่มน้ำอุ่นๆ ไปหนึ่งแก้ว หลี่เมี่ยวเจินก็พ่นหายใจราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก และถามขึ้นมา
“นี่คือที่ใด จวนตระกูลสวี่หรือ”
“ที่นี่คือสำนักโหราจารย์ ศิษย์น้องไฉ่เวยมาตรวจชีพจรให้ท่านทุกวัน เทพบุตรช่วยเคลื่อนย้ายพลังจิตเดิมที่มากเกินไปให้ท่านทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้สายธารแห่งปัญญาของท่านขยายตัวจนระเบิด” ซูซูกลับไปนั่งข้างโต๊ะและอ่านบทละครของนางต่อ
หลี่เมี่ยวเจินหลับตามองเข้าไปด้านใน จิตเดิมของนางแข็งแกร่งและทรงพลังราวกับเหล็กกล้าที่หล่อหลอมมานับครั้งไม่ถ้วน
แม้กายเนื้อจะอ่อนแอแต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
“ว่าตามหลักการ ข้าสามารถทะลวงระดับเหนือมนุษย์ได้แล้ว น่าเสียดายไม่ที่อาจเข้าใจการตัดอารมณ์ความรู้สึกได้” หลี่เมี่ยวเจินทอดถอนใจกล่าว
เทพเจ้าหยินที่เลื่อนขั้นเป็นเทพเจ้าหยาง ข้อกำหนดพื้นฐานสุดคือต้องแข็งแกร่งมากพอ
โอสถที่อาจารย์ป้อนนางในตอนนั้น ตอนนี้พลังโอสถได้ถูกดูดซับจนหมดสิ้น เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับนาง
“เทพบุตรบอกว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนมีความคิดจะรับท่านเข้าร่วมนิกายปฐพี บำเพ็ญบุญกุศล” ซูซูพลิกหนังสือไปอีกหน้าแล้วกล่าวต่อ
“ด้วยบุญกุศลของนายหญิง การเลื่อนขึ้นขั้นสามเป็นเรื่องง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเต็มใจหรือไม่ก็เท่านั้น”
หลี่เมี่ยวเจินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เต็มใจอย่างแน่นอน”
ซูซูโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง นางกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน
“ข้าคิดว่าท่านจะพูดว่า ‘ข้าไม่สนใจนิกายปฐพีแม้แต่น้อย ข้าอยากไปแค่นิกายมนุษย์’ เสียอีก”
หลี่เมี่ยวเจินถามด้วยความประหลาดใจ
“เพราะเหตุใด”
ซูซูยักคิ้วหลิ่วตา
“เช่นนี้ล่ะก็ หากภายหน้าท่านมีไฟกรรมมารุมเร้า ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะไปหาสวี่หนิงเยี่ยนเพื่อบำเพ็ญคู่แล้ว แม้ข้าจะเป็นอนุของสวี่หนิงเยี่ยน แต่ในเมื่อนายหญิงชอบเขา ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นสินเดิมของท่าน เป็นสาวใช้ติดตามท่านไป”
“ไป ไป ไป!”
หลี่เมี่ยวเจินถ่มน้ำลายใส่นางทีหนึ่ง สายตาตกอยู่บนหนังสือและถามโพล่งขึ้นมา
“ดูหนังสืออะไร”
ได้ยินเช่นนี้ซูซูก็ขมวดคิ้วกล่าว
“ในหนังสือพูดถึงปัญญาชนคนหนึ่งที่ชื่อสวี่หนิงเยี่ยน หลังจากมีชื่อสอบได้ตำแหน่งขุนนางก็ละทิ้งภรรยาที่เคยกัดก้อนเกลือกินมาด้วยกัน เพื่อแสวงหาความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยมหาศาล และแต่งงานกับองค์หญิง”
หลี่เมี่ยวเจินย่อมฟังความหมายนอกคำพูดของนางออกจึงขมวดคิ้วถาม
“เกิดอะไรขึ้น”
ซูซูทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว
“พรุ่งนี้สวี่หนิงเยี่ยนจะแต่งงานกับองค์หญิงหลินอันแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินอึ้งไปทันที
…
รัชศกฮว๋ายชิ่งที่หนึ่ง วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสอง
เหมาะที่จะย้ายเข้าบ้าน ขอทายาท และแต่งงาน
ยามฟ้าสาง ยังห่างจากเวลาก่อนที่ขบวนเกี้ยวรับเจ้าสาวจะออกจากจวนเล็กน้อย สองข้างทางถนนสายหลักจากจวนตระกูลสวี่ถึงพระราชวังมีประชาชนจำนวนมากมายืนรอชมพิธีตั้งแต่เช้า
ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าฆ้องเงินสวี่แต่งงานกับองค์หญิงหลินอัน
เป็นถึงเข็มเทพใต้ทะเลของต้าฟ่ง เสาคุ้มเมืองในจิตใจปวงประชา งานสมรสใหญ่ของฆ้องเงินสวี่ย่อมต้องเป็นที่สนใจ ประชาชนทั่วทั้งเมืองร่วมกันเฉลิมฉลอง
วันนี้ตั้งแต่นอกเมืองจนถึงในเมือง ประตูเมืองทั้งแปดแห่งมีการจัดตั้งเพิงโจ๊กและบริจาคโจ๊กเป็นเวลาสามวัน
ณ พระราชวัง ตำหนักเส้าอิน
ไทเฮาสั่งคนตรวจนับสินเดิมอย่างระมัดระวัง มีมงกุฎหงส์ที่ประดับด้วยไข่มุก ไก่ฟ้าห้าสีเก้าตัว และหงส์สี่ตัว เสื้อผ้าวิจิตรที่ปักรูปไก่หนึ่งชุด หยกห้อยมุกหนึ่งชิ้น เข็มขัดหนังประดับทองหนึ่งเส้น มีมงกุฎหงส์หยก แหวนหยกไหม หวีมงกุฎบุปผามุกอุดร หวีมงกุฎบุปผาเจ็ดสมบัติ…
สินเดิมมากมาย ตระเตรียมตามข้อกำหนดสูงสุด
นอกจากหลินอันมีสถานะสูงส่งแล้ว สถานะของราชบุตรเขยก็ไม่อาจเมินเฉย และทำให้เสียหน้าได้
เรื่องเหล่านี้เดิมทีฮองเฮาควรเป็นคนจัดการ แต่หลังจากฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์แล้ว ฮองเฮาของหย่งซิ่งก็ถูกปลด ตอนนี้ผู้มีอำนาจสูงสุดในวังหลังยังคงเป็นไทเฮา
ไทเฮากลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่เว่ยเยวียนคืนชีพ นางก็มีรอยยิ้มมากขึ้นทุกวัน ไม่เมินเฉยต่อทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อน
ประกอบกับที่เฉินไท่เฟยถูกกักบริเวณในวังหลัง หย่งซิ่งถูกกักบริเวณที่สำนักโหราจารย์ ทั้งสองล้วนไม่สามารถออกมาได้ อย่างไรไทเฮาก็ต้องรับช่วงต่อในเรื่องนี้ ต่อให้นางจะไม่สงสารหลินอันก็ต้องคำนึงถึงท่าทีของสวี่ชีอัน
หลังจากตรวจนับเสร็จสรรพ ไทเฮาก็พาบรรดานางข้าหลวงเข้าไปในห้องนอนของหลินอัน
นางต้องการดูว่าเจ้าสาวเตรียมตัวเสร็จหรือยัง
………………………………………