ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 809 เติมเต็มปรารถนา
บทที่ 809 เติมเต็มปรารถนา
นักบวชเต๋าจินเหลียนก้าวขึ้นเมฆมงคล พาสวี่ชีอันและคนอื่นลอยล่องไปยังเมืองหลวง
สวี่ชีอันกอดหลี่เมี่ยวเจินที่หลับในอ้อมอก แล้วเอียงศีรษะมองคู่บำเพ็ญของตน
“ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์สำหรับราชครูเป็นศึกที่อันตราย แล้วเป็นการฝึกฝนที่ดีด้วย ได้โปรดให้ข้าชมการต่อสู้ด้วย”
เขารู้จักนิสัยของลั่วอวี้เหิงดี แข็งกร้าว ปากแข็ง และเป็นโรคเจ้าหญิงเล็กน้อย ชอบให้เขา ‘เอาใจ’ ดังนั้นจนถึงตอนนี้สวี่ชีอันก็ยังไม่เปลี่ยนชื่อเรียก ยังเรียกนางว่าราชครูอยู่ตลอด
ดังนั้นจะเอาใจใส่นางชัดเจนเกินไปไม่ได้ นี่จะทำให้ลั่วอวี้เหิงคิดว่าโดนดูถูก จะไม่ชอบใจเอา
ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง ‘หือ’
“พลังบำเพ็ญขององค์เทพเป็นอย่างไร”
สวี่ชีอันครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย
“เหมือนจะเป็นช่วงกลางของขั้นหนึ่ง อย่างไรก็ไม่ถึงช่วงปลาย”
สาเหตุที่เขากล้าคุยโว แค่จะปกป้องชีวิตของลั่วอวี้เหิง ไม่สนใจสิ่งอื่นใด ไม่ใช่ไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของลั่วอวี้เหิง แต่บรรลุถึงขั้นหนึ่งแล้ว ยังเป็นเซียนครองพิภพ โดยพื้นฐานแล้วก็ฝีมือไล่เลี่ยกัน
คนรอบข้างแค่ดูก็พอ
นอกจากนี้ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ยังเป็นประโยชน์กับลั่วอวี้เหิง ต้นกำเนิดเสริมกันและกันเป็นเรื่องหนึ่ง การฝึกฝนพลังบำเพ็ญก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่าช่วงเวลานี้ข้ายังต้องอุทิศตนให้ราชครูตราบชีวิตจะหาไม่…สวี่ชีอันมองสาวงามผู้เย่อหยิ่งในระยะใกล้ แล้วพูดเสริมในใจ
เรื่องใหญ่ที่สุดต่อมาก็คือเรื่องแต่งงานกับหลินอัน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็อดกุมขมับไม่ได้
…
พระราชวัง
ฮว๋ายชิ่งเพิ่งจะเล่นหมากรุกกับเว่ยเยวียนเสร็จ ยิ่งรุกยิ่งแพ้ โชคดีที่ชินชาแล้ว นางเรียนหมากรุกกับเว่ยเยวียนมานานหลายปี ไม่เคยชนะได้ครึ่งของเขาเลย
“เว่ยกงคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องแต่งงานของฆ้องเงินสวี่”
ฮว๋ายชิ่งหยั่งเชิงขณะจิบชาหลังเล่นหมากรุก
“เป็นเรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยเยวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ดีอย่างไร”
ฮว๋ายชิ่งถามอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยเยวียนยังคงประดับรอยยิ้ม ประคองถ้วยชาพร้อมเอ่ย
“องค์หญิงหลินอันนิสัยเรียบง่าย แม้จะชอบสร้างปัญหา แต่ไม่ถนัดการต่อสู้ หญิงสาวเช่นนี้เป็นภรรยาคนแรกของสวี่หนิงเยี่ยน ดีกว่ามู่หนานจือกับลั่วอวี้เหิง หรือหญิงสาวคนใดก็ตาม”
ฮว๋ายชิ่งร้อนใจชั่วขณะ ก่อนจะควบคุมสีหน้า แล้วถามกลับ
“หญิงสาวคนอื่นหรือ”
เว่ยเยวียนปรายตามองนาง ก่อนจะยิ้มกว้างมากขึ้น
“เทียบกับหญิงสาวคนอื่น หญิงสาวที่ไม่เป็นภัยคุกคามได้ครองตำแหน่งย่อมดีกว่าคนอื่น ช่างเถอะ กระหม่อมขี้เกียจจะพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเขา”
ตัวเว่ยเยวียนเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว เชื่อมั่นในคู่แท้เพียงหนึ่งเดียว ทว่าเขาก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจชายหนุ่มเจ้าชู้เฉกเช่นสวี่หนิงเยี่ยน คนมีอำนาจในโลก มากชู้หลายเมียมีอยู่ทุกหนแห่ง
จัดการตนเองให้ดีก็พอ
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ประเด็นสนทนาก็เบี่ยงเข้าเรื่องบ้านเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นโยบายของสถานศึกษากวนซื่อในซินเจียงตอนใต้ต้องดำเนินต่อไป ในอีกไม่กี่ปีก็วางรากฐานแล้ว จะได้เปิดการสอบระดับท้องถิ่นในอวี่โจวให้กับบัณฑิต เรื่องนี้ผลสำเร็จยาวนานเป็นพันปี ฝ่าบาทต้องทอดพระเนตรอย่างใกล้ชิด”
เว่ยเยวียนเอ่ยเตือน
“เรื่องนี้ฝากให้เว่ยกงจัดการก็พอ”
ฮว๋ายชิ่งผลักงานกลับไป ตอนนี้นางเป็นประมุขของประเทศ รู้จักใช้คนดี!
เว่ยเยวียนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ
“คนเถื่อนทางเหนือเป็นหนี้แร่ ภาษีที่นา และปศุสัตว์เช่นวัวแพะ ซึ่งเก็บกลับมาได้ในช่วงเข้าฤดูหนาวปีนี้ ก่อนหน้านี้สถานการณ์ที่ราบลุ่มภาคกลางย่ำแย่ จึงไม่กล้าทวงหนี้ ตอนนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยก็ต้องเอากลับมา”
ฮว๋ายชิ่งฟังอย่างเงียบๆ กระทั่งเว่ยเยวียนพูดความอันยาวเหยียดจบ นางจึงถอนใจอย่างหมดอาลัย
“แม้จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังจับผิดเว่ยกงไม่ได้ ในแง่ความสามารถในการดูแลบ้านเมือง เว่ยกงอยู่เหนือข้ามาก สิ่งที่เว่ยกงพูดเมื่อครู่ ข้าก็จะส่งต่อให้เจ้าแล้วกัน”
เว่ยเยวียนยิ้มพร้อมพยักหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาต้องการเวทีที่แสดงความทะเยอทะยานได้ หยวนจิ่งไม่ให้เขา แต่ฮว๋ายชิ่งมอบให้แล้ว
เว่ยเยวียนเอ่ยต่อ
“หมู่นี้ได้ยินข่าวลือบางเรื่อง ราวกับมีคนในราชสำนักหวังให้ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์รัชทายาทโดยเร็ว”
สีหน้าของฮว๋ายชิ่งเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นเยือก
“กองทัพกบฏเพิ่งถูกกวาดล้าง ใครบางคนก็คิดจะ ‘กอบกู้ระเบียบราชสำนัก’ เสียแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งยังไม่อภิเษกสมรส ไม่สิ ยังไม่คัดเลือกนางสนมแต่งตั้งราชินี แล้วจะมีทายาทได้อย่างไร
ที่บอกว่าแต่งตั้งองค์รัชทายาท แน่นอนว่าแต่งตั้งทายาทของหย่งซิ่ง ไม่ก็ทายาทขององค์ชายสี่
มีสวี่ชีอันคุมยุทธภพและสถานการณ์ราชสำนักของต้าฟ่งอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านฮว๋ายชิ่งอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าฮว๋ายชิ่งหลังจากนี้ล่ะ ควรคืนราชบัลลังก์ให้สายเลือดแท้จริงแล้วไม่ใช่หรือ
“ประเทศมิอาจไร้ประมุขหรือปราศจากองค์รัชทายาท การแต่งตั้งองค์รัชทายาทเกี่ยวข้องกับรากฐานประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน ทว่าฝ่าบาทจะทรงยอมคืนราชบัลลังก์ให้หย่งซิ่ง หรือแต่งตั้งทายาทของเหยียนชินอ๋องเป็นองค์รัชทายาทหรือพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเยวียนมองนางด้วยสายตาลุกวาว
“ข้าอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต ไม่เร่งรีบเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท”
เว่ยเยวียนพ่นลมหายใจราวกับทอดถอนใจ คล้ายกับเข้าใจบางอย่างพร้อมเอ่ย
“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ต้องให้กำเนิดทายาทโดยเร็วที่สุดเพื่อปิดปากของผู้คนในใต้หล้า”
เมื่อพูดจบก็เอ่ยหยั่งเชิง
“อืม มีคนที่ชื่นชอบหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัวด้วยความเย่อหยิ่งและสง่างาม แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ยังไม่พบคนที่ชื่นชอบเลย”
‘ร้อนตัวเสียแล้ว…’ เว่ยเยวียนพยักหน้าเบาๆ แล้ววางมาดขรึมพร้อมเอ่ย
“เรื่องบุพเพสันนิวาส กระหม่อมจะไม่ยุ่งเกี่ยว ฝ่าบาทมีอยู่ในใจก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เอ่ยพลางวางถ้วยชาลง
“ดื่มชาพอประมาณแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
…
เมื่อส่งเว่ยเยวียนแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา พร้อมส่งข้อความ
หมายเลขหนึ่ง ‘หมายเลขสองกับหมายเลขเจ็ดเป็นอย่างไรแล้ว’
หมายเลขเจ็ด ‘เป็นพระกรุณาที่ฝ่าบาททรงห่วงใย กระหม่อมกลับสำนักโหราจารย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังดื่มชากับพี่หยางที่หอดูดาว’
หลี่หลิงซู่ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น อย่างไรก็มิอาจกลับนิกายสวรรค์ในเวลาอันสั้นได้ เทพบุตรจึงวางแผนหางานชั่วคราวในราชสำนัก ใช้ชีวิตอันจืดชืดกับเหล่าภรรยาช่วงหนึ่ง
หมายเลขหนึ่ง ‘หลี่เมี่ยวเจินล่ะ’
หมายเลขสาม ‘จิตเดิมบาดเจ็บ ยังไม่ได้สติพ่ะย่ะค่ะ ทว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ การลงโทษในครั้งนี้ดูเหมือนจะเล่นงานนางถึงตาย ความจริงคือช่วยนางเติมเต็มปรารถนา’
คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ทุกคนตะลึง ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจความหมายที่สวี่ชีอันสื่อ จึงส่งข้อความถาม
หมายเลขสี่ ‘หมายความว่าอย่างไร’
หมายเลขสาม ‘หลี่เมี่ยวเจินเหมือนจะเคยกินยาอายุวัฒนะเสริมจิตเดิมเมื่อไม่นานมานี้ ฤทธิ์ยาตกตะกอนอยู่ภายในร่าง ละลายได้ยาก แส้สายฟ้าสองครั้งของเทพธิดาปิงอี๋ละลายฤทธิ์ยาของนางพอดี แม้จะเสี่ยงเล็กน้อย ทว่าผลลัพธ์ก็ไม่แย่ องค์เทพตั้งใจจะเล่นงานนางถึงตายหรืออย่างไร จะให้เทพธิดาปิงอี๋ใช้แส้สายฟ้าเฆี่ยนนางเลยหรือ ข้าจึงเดาว่ากำลังช่วยนางเติมเต็มปรารถนา’
ฮว๋ายชิ่งคิดว่าเขาพูดมีเหตุผล แต่ก็คิดว่าไม่สมเหตุสมผล จึงส่งข้อความ
หมายเลขหนึ่ง ‘ที่จริงองค์เทพไม่ได้เจตนาจะฆ่าหลี่เมี่ยวเจินหรือ เช่นนั้นเพราะเหตุใดเขาถึงระดมผู้คนทำเรื่องเหล่านี้’
หมายเลขสาม ‘ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ ทว่าก่อนหน้านี้ข้าสังเกตเห็นรายละเอียดหนึ่ง ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเมี่ยวเจินอยู่ในมือของเทพธิดาปิงอี๋ เทพบุตร เหตุใดเจ้าถึงขอความช่วยเหลือจากพวกเราด้วยหนังสือปฐพีได้’
‘อาศัยความหลักแหลมของข้าขโมยออกมา…’ หลี่หลิงซู่ใจเต้นแรง
หมายเลขเจ็ด ‘ข้าเห็นท่านอาจารย์ซ่อนชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ในกล่องไม้ในห้อง’
ด้วยสติปัญญาของสมาชิกพรรคฟ้าดิน ไม่ต้องอธิบายมากความ
‘นี่ตั้งใจให้เทพบุตรขอความช่วยเหลือสินะ’
หมายเลขแปด ‘องค์เทพไม่อยากฆ่าหลี่เมี่ยวเจินก็แค่ปล่อยคนออกมาโดยตรง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ นอกเสียจากเขามีจุดประสงค์อื่น’
หมายเลขสี่ ‘อาจจะถูกหลี่เมี่ยวเจินยอกย้อน แล้วตกอยู่ในความอับอาย จึงจะลงโทษผิวเผินเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของนิกายสวรรค์ ให้เทพธิดาปิงอี๋ลงโทษด้วยแส้สายฟ้าเพื่อเติมเต็มนางอย่างลับๆ และให้เทพบุตรขอความช่วยเหลือจากพวกข้าหรือ’
ฉู่หยวนเจิ่นวิเคราะห์
หลี่หลิงซู่พูดแทรก ‘ลงโทษด้วยแส้สายฟ้าไม่ใช่เจตนาขององค์เทพ แต่ท่านอาจารย์อาปิงอี๋เสนอเอง ข้าเข้าใจแล้ว องค์เทพไม่ได้ช่วยเติมเต็มเมี่ยวเจิน แต่เป็นท่านอาจารย์อาปิงอี๋’
คำพูดนี้ใครต่างก็ไม่เข้าใจ รวมถึงสวี่ชีอันด้วย
นี่เกี่ยวข้องอะไรกับเทพธิดาปิงอี๋
หลี่หลิงซู่อธิบาย
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความ
‘เทพธิดาปิงอี๋อยากจะเลื่อนเป็นขั้นสอง แต่ก็ทนตัดความรู้สึกที่มีต่อเมี่ยวเจินไม่ได้ จึงไม่ยอมทะลวงเสียที สามปีในยุทธภพของเมี่ยวเจิน มองสะท้อนเห็นตนเอง นิสัยของนางไม่เหมาะกับการตัดอารมณ์ความรู้สึกของนิกายสวรรค์ องค์เทพใช้โอกาสนี้เติมเต็มพวกนางอาจารย์ศิษย์’
เมื่อได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนอธิบาย สมาชิกพรรคฟ้าดินก็พลันกระจ่างแจ้งในที่สุด
หมายเลขสาม ‘ข้าคิดว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง หลี่เมี่ยวเจินเปื้อนเหตุต้นผลกรรมมากเกินไปจริงๆ เมื่อเผชิญภัยพิบัติ นางก็เป็นระเบิดเวลา องค์เทพจึงไล่นางออกจากนิกายสวรรค์อย่างไม่อ้อมค้อม’
‘เช่นนั้นเหตุใดองค์เทพไม่ช่วยข้าเติมเต็ม นอกจากนี้ระเบิดเวลาหมายความว่าอย่างไร…’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ
ในเวลานี้ไต้ซือเหิงหย่วนส่งข้อความ
‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าหลี่เมี่ยวเจินไม่มีหวังในขั้นสามแล้วหรือ’
ในเมื่อนางตัดอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้ ย่อมบำเพ็ญพลังภายในต่อเนื่องจากนิกายสวรรค์ไม่ได้
ไต้ซือเหิงหย่วนในฐานะจอมยุทธ์ภิกษุเข้าใจถึงหนทางสิ้นหวังในการเลื่อนขั้น จึงค่อนข้างอ่อนไหวต่อเรื่องนี้
‘จริงสิ หลี่เมี่ยวเจินเป็นเทพธิดานิกายสวรรค์ มีคุณสมบัติของระดับเหนือมนุษย์ หลังจากนางออกจากนิกายสวรรค์ ไม่ใช่ว่าจะสิ้นหวังในขั้นสามหรอกหรือ…’ ในใจทุกคนในพรรคฟ้าดินหนักอึ้ง
นี่ไม่ใช่เรื่องดี!
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความ
‘ไม่เป็นไร แค่เปลี่ยนมาเป็นศิษย์นิกายปฐพีของข้า ด้วยพลังบุญกุศลสั่งสมของเมี่ยวเจิน จะเลื่อนเป็นขั้นสามไม่ใช่เรื่องยาก’
หมายเลขสาม ‘หลี่เมี่ยวเจินเกิดในนิกายสวรรค์ จะหันมาบำเพ็ญพลังภายในของนิกายปฐพีได้หรือ’
สวี่ชีอันถามข้อสงสัยของทุกคน
หมายเลขเก้า ‘ย่อมได้อยู่แล้ว สามนิกายสวรรค์ ปฐพี และมนุษย์มาจากลัทธิเต๋าเดียวกัน แนวทางบำเพ็ญเหมือนกัน ก่อนจะก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ อันที่จริงไม่ได้แบ่งแยก ‘สวรรค์ ปฐพี และมนุษย์’ วิธีบำเพ็ญของนิกายมนุษย์เมื่อมาถึงขั้นสามจะมีไฟแห่งกรรมแผดเผาร่าง นิกายสวรรค์ก็ตระหนักถึงการตัดอารมณ์ความรู้สึกจึงจะเลื่อนขั้นเป็นระดับเหนือมนุษย์ได้ นิกายปฐพีต้องถึงขั้นสามเช่นเดียวกันถึงจะมีอันตรายจากเหตุต้นผลกรรมแว้งกัด ตราบใดที่หลี่เมี่ยวเจินยังไม่ก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ก็เปลี่ยนมาเข้าสองนิกาย ‘มนุษย์และปฐพี’ ได้ อาตมาคิดว่าด้วยนิสัยของเมี่ยวเจิน เห็นได้ชัดว่าเข้านิกายปฐพีของข้าดีกว่า หลังจากนางฟื้น อาตมาจะลองคุยกับนาง อย่าบอกเรื่องนี้กับลั่วอวี้เหิงล่ะ’
‘ไม่ใช่ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนรอคอยวันนี้มานานแล้วหรือ…’ สมาชิกพรรคฟ้าดินพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ คิดว่ามีความเป็นไปได้สูง อาจจะเป็นเรื่องจริง
ด้วยสายตาของจินเหลียนจะต้องมองออกว่าหลี่เมี่ยวเจินเป็นเมล็ดพันธุ์ดีที่บำเพ็ญพลังบุญกุศลได้แน่นอน พวกเขาไม่เชื่อหากบอกว่านักบวชเต๋าจินเหลียนไม่โลภในเมล็ดพันธุ์ดีเช่นหลี่เมี่ยวเจิน
สวี่ชีอันคิดว่านักบวชเต๋าจินเหลียนร้ายกาจเกินไปแล้ว จึงเขียนลงบนหน้ากระจกหยกในลักษณะประณามและติเตียน
‘พลังภายในของนิกายปฐพีอันตรายเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าหลี่เมี่ยวเจินควรจะเข้านิกายมนุษย์…’
เพิ่งจะเขียนได้ครึ่งหนึ่ง เทพบุตรก็ส่งข้อความมา
‘แน่นอนว่าเมี่ยวเจินเข้านิกายปฐพีจะดีที่สุด จะไปนิกายมนุษย์ทำไม ไฟแห่งกรรมรุมเร้า จากนั้นก็รอหลับนอนกับสวี่หนิงเยี่ยนงั้นหรือ ข้าที่เป็นศิษย์พี่ ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด!’
หมายเลขหนึ่ง ‘อืม ข้าคิดว่าหมายเลขสองเหมาะสมกับพลังภายในของนิกายปฐพีมากว่า’
หมายเลขสี่ ‘โศกนาฏกรรมของราชครูจะซ้ำรอยบนร่างเมี่ยวเจินไม่ได้’
หมายเลขหก ‘สหายเต๋าหลี่เมี่ยวเจินเหมาะสมกับพลังภายในของนิกายปฐพีจริงๆ’
หมายเลขแปด ‘พรรคฟ้าดินจะกำเนิดระดับเหนือมนุษย์คนใหม่ในอนาคตอันใกล้’
เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว สวี่ชีอันได้แต่ลบเนื้อหาที่เขียนทิ้งไปอย่างเงียบๆ
หลี่หลิงซู่ เจ้าล้างก้นให้สะอาดรอไว้เลย
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองข้อความของทุกคนก็เผยยิ้มพึงพอใจออกมา
หมายเลขห้า ‘เช่นนั้นก็จะซ้ำรอยโศกนาฏกรรมของนักบวชเต๋าจินเหลียนอย่างนั้นหรือ’
รอยยิ้มบนใบหน้าของนักบวชเต๋าจินเหลียนจางหายช้าๆ
ทุกคนแสร้งทำเป็นไม่เห็นข้อความของลี่น่า แล้วพูดคุยกันต่อ
หมายเลขหนึ่ง ‘ในอีกสิบวันจากนี้ก็จะเป็นวันแต่งงานของสวี่หนิงเยี่ยนและหลินอัน ท่านทั้งหลายจะไม่มาเมืองหลวงดื่มสุรามงคลกันหน่อยหรือ’
หมายเลขแปด ‘หมายเลขสามเป็นคู่บำเพ็ญของลั่วอวี้เหิงไม่ใช่หรือ นางจะให้เจ้าแต่งงานกับหญิงอื่นหรือ’
อาซูหลัวแสดงความประหลาดใจ
หมายเลขหก ‘อาตมาแค่หวังว่าในวันแต่งงานจะได้ดื่มสุรามงคลอย่างสงบสุข’
หมายเลขสี่ ‘เฮ้อ คณิกาที่สำนักสังคีตและหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนในเมืองหลวงเกรงว่าจะต้องอกหักแล้ว’
เฮ้อ หวังว่าข้าจะได้แต่งงานอย่างราบรื่น…สวี่ชีอันทอดถอนใจ
ราวกับเขานึกภาพในงานแต่งงานได้แล้ว
ลั่วอวี้เหิงจับกระบี่จ่อคอหอยของเขา ตอนนั้นกระบี่จะอยู่ห่างเขาเพียง 0.01 เซนติเมตร
ลั่วอวี้เหิงเอ่ย
‘เจ้าอยากแต่งงานกับใคร’
เหมือนจะช้าแต่เร็วจนน่าใจหาย มู่หนานจือถอดกำไลออกท่ามกลางสายตาประชาชี
‘คิดให้ดีก่อนพูดล่ะ’
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเย้ยหยัน
‘ข้าจะดูเรื่องน่าสนุก พวกเจ้าต่อเลย’
ฮว๋ายชิ่งเอ่ย
‘หากฆ้องเงินสวี่ไม่เต็มใจ ข้าจะถอนหมั้นก่อนก็ได้ ข้ารับประกันว่าจะไม่มีเรื่องอย่างรังแกสาวน้อยยากจนเกิดขึ้น’
ฉู่ไฉ่เวยเอาตัวบังบนร่างที่หายใจรวยรินของจงหลี แล้วร่ำไห้เรียก
‘ราชครูพลั้งมือทำร้ายศิษย์พี่ รีบมาช่วยเร็ว!’
หลังจากกลุ่มมารพากันเต้นเร่า สวี่หลิงเยวี่ยก็เอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย
‘ท่านพี่ พวกนางน่ากลัว ไม่เหมือนข้า รักแค่พี่ใหญ่คนเดียว’
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็กุมขมับ
…
จวนสกุลสวี่
ลี่น่านั่งอยู่ที่โต๊ะหินในลาน ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีพร้อมเคาะโต๊ะดังตึกๆๆ
นางสงสัยว่าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของตนจะมีปัญหา มักจะไม่ได้รับข้อความจากคนอื่น โดยเฉพาะหลังจากนางส่งข้อความ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็จะขัดข้อง
เวลาที่ไม่ส่งข้อความ นางยังรับข่าวของสมาชิกคนอื่นได้ปกติ
นางและสวี่หลิงอินกลับเมืองหลวงมาพร้อมกับสวี่หนิงเยี่ยน สองศิษย์อาจารย์ตื่นเต้นมาก ครุ่นคิดในเจดีย์พุทธะว่าต้องเริ่มท้องหิวตั้งแต่ตอนนี้ รอวันแต่งงาน แล้วกินให้จุใจไปเลยดีหรือไม่
คาดไม่ถึงว่างานเลี้ยงมงคลยังไม่เริ่มก็เกือบจะได้กินในงานเลี้ยงศพก่อนแล้ว
หลังจากสวี่หลิงอินกลับบ้าน ทันทีที่พบหน้าท่านแม่ก็กระโจนเข้าใส่พร้อมน้ำตาท่ามกลางพื้นดินที่สั่นไหวเล็กน้อยโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
ยังดีที่ลี่น่าตาไวมือไว ทุ่มศิษย์อกตัญญูลงกับพื้น ช่วยชีวิตอาสะใภ้ไว้ได้
อาสะใภ้รอดตายมาได้ จากความดีใจที่ได้พบพานหลังพลัดพรากกันจะกลายเป็นฝันร้ายในชีวิตที่เหลือ
ตอนนี้กำลังทุบตีเด็กสาวอยู่ในโถงชั้นใน
…
สำนักโหราจารย์ แท่นแปดทิศ
หลี่หลิงซู่เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและมองแผ่นหลังชุดขาวที่อยู่ไม่ไกล พร้อมเอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์พี่หยาง โอกาสล้างแค้นของพวกเรามาถึงแล้ว คนสารเลวสวี่หนิงเยี่ยนนั่นกำลังจะแต่งงานกับหลินอันแล้ว!”
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยอย่างช้าๆ
“โอกาสอะไรกัน ข้าไม่ไป หากไปก็ต้องใส่ซองให้คนสกุลสวี่อีก ข้าจะไม่ให้เงินเขาแม้แต่แดงเดียว”
หยางเชียนฮ่วนที่ไม่สนใจหญิงสาวตอบสนองไม่ได้ไปชั่วขณะ
………………………………………