ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 778 ถอนทัพ
บทที่ 778 ถอนทัพ
“เว่ยกงมอบภารกิจให้สองข้อ…”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์หยุดพูดกะทันหันแล้วเหลือบมองทหารชุดเกราะสองนายที่อยู่ด้านหลัง
หนานกงเชี่ยนโหรวมองผู้ใต้บังคับบัญชาสองนายแล้วเอ่ยว่า
“พวกเจ้าถอยไปก่อน!”
“ขอรับ!”
ทหารชุดเกราะสองนายถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูตามหลัง
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ถือโอกาสนั่งลงที่โต๊ะ แล้วหยิบถุงผ้าดิ้นใบหนึ่งออกมาเป็นอันดับแรก
“ภารกิจแรกของเว่ยกงก็คือ หลังการสวรรคตของจักรพรรดิองค์ก่อน หากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งอยากยึดครองบัลลังก์แทนองค์ชายสี่ก็ให้ข้ามาหาคนที่นี่ ว่ากันตามจริงแล้ว ก่อนมาข้าจำฆ้องทองคำหนานกงไม่ได้หรอก ในถุงผ้าดิ้นมีเพียงที่อยู่เท่านั้น”
หนานกงเชี่ยนโหรวพยักหน้า
“นี่เป็นวิชาอำพรางความลับสวรรค์ของโหร ในเมืองหลวงเกรงจะไม่มีใครจำข้าได้แล้ว”
เรื่องของตน ตนย่อมรู้ดี นอกจากพ่อบุญธรรมแล้วเขาก็ไม่รู้จักมักคุ้นกับใคร และยิ่งมีกรรมผูกกันตื้นเขินเพียงใดก็ยิ่งจำไม่ได้ขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับคนที่สูญเสียบิดามารดา เขาย่อมจารึกความทรงจำไว้ในใจ แต่กลับไม่ใส่ใจหากคนแปลกหน้าคนหนึ่งหายไป
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า หากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งยึดบัลลังก์องค์ชายสี่ เจ้าจะมาหาข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงเรียกองค์หญิงฮว๋ายชิ่งว่าฝ่าบาทเล่า” หนานกงเชี่ยนโหรวอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย
“จักรพรรดินีฮว๋ายชิ่งขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้ให้การสนับสนุน” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
…หนานกงเชี่ยนโหรวใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะตกผลึกข่าวที่น่าตระหนกนี้ได้ แล้วจึงเอ่ยด้วยความตกใจว่า
“สวี่ชีอันสนับสนุนให้ขึ้นบัลลังก์หรือ ประเดี๋ยวนะ หยวนจิ่งตายได้อย่างไร”
“ฆ้องเงินสวี่ตัดศีรษะของจักรพรรดิองค์ก่อนด้วยตัวเอง หลังจากเว่ยกงเสียชีวิตไม่นาน ฆ้องเงินสวี่ก็ขึ้นสู่ระดับเหนือมนุษย์ ตอนนี้เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นสอง” สีหน้าของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
หนานกงเชี่ยนโหรวยกมือขัดจังหวะการพูดของเขา ก่อนนั่งนิ่งอยู่นาน แล้วจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่แน่ใจว่า
“เว่ยกงออกกรีธาทัพไปเมืองจิ้งซาน เป็นเรื่องรัชศกไหนของหยวนจิ่ง”
“วันนี้เพิ่งจะเทศกาลไหว้วสันต์ เว่ยกงกรีธาทัพไปเมืองจิ้งซานเมื่อฤดูสารทปีที่แล้ว ห่างจากตอนนี้ประมาณห้าเดือน” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตอบด้วยน้ำเสียงยืนยันยิ่ง
ดังนั้นข้าก็อยู่ที่นี่เพียงห้าเดือน มิใช่ห้าปี และมิใช่ห้าสิบปี…หนานกงเชี่ยนโหรวนวดหว่างคิ้ว
“หากไม่รีบ เจ้าก็บอกข้าก่อนเถอะว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์รีบเล่าสรุปคร่าวๆ เรื่องหลังจากที่เว่ยเยวียนตาย สวี่ชีอันสกัดกั้นกองทัพสามแสนนายของสำนักพ่อมดที่นอกด่านอวี้หยางด้วยตัวคนเดียว หลังจากกลับเมืองหลวงแล้วก็บุกเข้าตำหนักกระดิ่งทอง สังหารหยวนจิ่งผู้ไร้ความสามารถ รวมทั้งเรื่องสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุทธภพ ตลอดจนยุทธการหนีเคราะห์กรรมที่ใกล้จะมาถึง
แม้จะกล่าวอย่างกระชับมากแล้ว ทว่าหนานกงเชี่ยนโหรวก็ยังคงฟังด้วยความงงงัน ใบหน้าทึ่มทื่อ
“เช่นนั้นรึ…”
เขานวดหว่างคิ้วอีกครั้ง เกิดความรู้สึกชนิดที่ว่าอยู่ในหุบเขาไม่กี่เดือน แต่กาลเวลาในโลกภายนอกหมุนผ่านไปเป็นพันปี
ตอนที่ซุนเสวียนจีขวางเขาไว้นั้น หากจำไม่ผิด เด็กน้อยผู้มีรอยยิ้มขี้เล่นที่รู้จักเพียงแย่งชิงความโปรดปรานกับเขาผู้นั้น มีตบะขั้นห้า ทั้งยังเพิ่งเข้าขั้นห้าระดับต้นด้วย
“ว่ามาเถอะ ภารกิจที่สองที่พ่อบุญธรรมมอบหมายให้เจ้าคืออะไร”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม
“ในถุงผ้าดิ้นที่เว่ยกงมอบให้ข้าบอกว่า สวี่ชีอันกับสำนักโหราจารย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อชุบชีวิตเขา หากสังเกตพบความเคลื่อนไหวใดๆ ที่หอดูดาว ให้ออกจากเมืองหลวงมาหาท่านทันที เพื่อให้ท่านเปิดถุงผ้าดิ้นใบที่สาม เว่ยกงให้ที่อยู่แห่งนี้กับข้า”
เขาในฐานะหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ ฝ่าบาทไปที่แห่งใดเขาก็ติดตามไปที่นั่น
เขาจึงสามารถเห็นสถานการณ์ที่หอดูดาวได้อย่างชัดเจน
“พ่อบุญธรรมฟื้นคืนชีพแล้วรึ”
แก้มของหนานกงเชี่ยนโหรวพลันแดงเรื่อเป็นสีชมพูงดงาม
ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย สายตาทั้งตื่นเต้นทั้งจ้องเขม็งไปยังหัวหน้าทหารรักษาพระองค์อย่างโหดเหี้ยม
นัยน์ตาเขาเป็นประกายระยับอยู่ท่ามกลางแสงสว่างสีเหลืองส้ม
“นี่คือถุงผ้าดิ้นที่เว่ยกงมอบให้ข้า” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์หยิบถุงผ้าดิ้นออกมาแล้วส่งให้โดยตรง
เขาเชื่อว่าไม่มีคำพูดใดมีผลไปกว่าถุงผ้าดิ้นชิ้นนี้
หนานกงเชี่ยนโหรวคว้าถุงผ้าดิ้นมาเปิดออกอย่างแทบอดใจรอไม่ไหว
หลังจากอ่านทวนซ้ำๆ เขาก็พลันแสบจมูก จึงสูดหายใจลึกมิให้น้ำตาไหลลงมา
จากนั้น หนานกงเชี่ยนโหรวก็ลุกขึ้นแล้วดึงกล่องไม้ใบหนึ่งออกจากใต้เตียง ก่อนหยิบถุงผ้าดิ้นออกมาสองใบ
และเปิดถุงผ้าดิ้นซึ่งเขียนอักษร ‘สอง’ ออกก่อน โดยมิได้หลบเลี่ยงหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างกาย
“เชี่ยนโหรว ข้าทิ้งยาโลหิตเม็ดหนึ่งไว้ที่สวี่ชีอัน หลังจากที่ข้าพลีชีพในการต่อสู้ที่เมืองจิ้งซานแล้ว เขาก็จะกลายเป็นคนสิ้นหวัง หากไม่เลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้วใช้ยาโลหิตทะลวงขั้นเหนือมนุษย์ ก็อาจสิ้นชีพอยู่ในรัชสมัยของเจินเต๋อ
“ด้วยบุญพาวาสนาส่งของเขา เป็นไปได้มากว่าจะแคล้วคลาดจากมหันตภัยครั้งนี้ได้อย่างปลอดภัย
“จากนิสัยของเขาแล้ว เรื่องแรกที่จะทำหลังจากเลื่อนขึ้นขั้นเหนือมนุษย์ต้องเป็นการสังหารเจินเต๋อแน่
“รัชทายาทขี้ขลาดอ่อนแอ รักความสุขสงบ มิอาจเป็นเจ้าคนนายคนได้ ด้านฮว๋ายชิ่งมีความทะเยอทะยานทั้งยังจิตใจกล้าหาญ นางมีแนวโน้มจะฉวยโอกาสนี้ร่วมมือกับสวี่ชีอันเพื่อทำรัฐประหารแย่งชิงบัลลังก์
“แม้ต้าฟ่งจะยังไม่ถึงจุดที่ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย และเหล่าขุนนางราชสำนักจะรู้เพียงรัชทายาทเจิ้งถ่ง การชิงบัลลังก์นั้นยากลำบาก นับประสาอะไรกับความขัดแย้งภายใน ดังนั้นเจ้าต้องช่วยฮว๋ายชิ่งปราบปรามกองทหารต้องห้าม เพื่อวางรากฐานให้มั่นคงได้โดยเร็วที่สุด
“อาศัยกำลังทหารม้าติดอาวุธหนึ่งพันนายก็เพียงพอที่จะชนะแล้ว”
ที่แท้ก็เป็นการให้ข้าช่วยฮว๋ายชิ่งยึดครองบัลลังก์…หนานกงเชี่ยนโหรววางกระดาษลง แล้วเปิดถุงผ้าดิ้นใบที่สาม
“เชี่ยนโหรว เมื่อเจ้าได้เปิดถุงผ้าดิ้นนี้ออก นั่นหมายความว่าฮว๋ายชิ่งไม่ได้ยึดชิงบัลลังก์ เช่นนั้นภารกิจต่อไปของเจ้าก็คือ โจมตีอวิ๋นโจวไม่ให้ทันตั้งตัว
“ในสามสิบเขตการปกครองของต้าฟ่ง ประชากรอวิ๋นโจวมีจำนวนมากกว่าฉู่โจวเพียงเล็กน้อย หากทางนั้นต้องการใช้อวิ๋นโจวเป็นฐานเพื่อขึ้นเหนือมาพิชิตต้าฟ่ง ไม่ว่าจะเตรียมการล่วงหน้าดีเพียงใด การขาดกำลังทหารก็เป็นข้อเสียเปรียบใหญ่ที่สุด
“ทหารอารักขาที่รั้งอยู่อวิ๋นโจวมีไม่มากนัก ซึ่งแน่นอนว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่กองทัพธรรมดาจะกลืนกินได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงทุ่มเทความอุตสาหะทั้งหมดในการสร้างทหารม้าติดอาวุธหน่วยนี้เพื่อไว้ใช้ประโยชน์ ตั้งแต่สายพันธุ์ม้าไปจนถึงทหารชุดเกราะ รวมทั้งเสื้อเกราะที่พวกเจ้าสวมใส่ อาวุธที่ใช้ก็ล้วนเป็นอาวุธเวทมนตร์ ซึ่งเพียงพอที่จะกวาดล้างกองทัพนับพัน
“ข้าจะสื่อเป็นนัยหลังจากที่ตัวเองฟื้นคืนชีพแล้วให้อย่าลืมไพ่ตายที่จะเอาชนะศัตรูโดยการบุกโจมตีอวิ๋นโจวอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่กลับจะจำเจ้าไม่ได้ ดังนั้น เจ้าต้องสอบถามบุตรในเงามืดที่ข้าส่งมา เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์เฉพาะหน้าในสงครามระหว่างต้าฟ่งและอวิ๋นโจว แล้วทำการตัดสินใจตามสถานการณ์
“หากกองทัพใหญ่ต้าฟ่งมิอาจต้านทาน และถูกปราบปรามโดยความร่วมมือของทัพอวิ๋นโจวกับภิกษุนักรบแดนประจิม หรือหากทั้งสองกองทัพยังคงใช้ชิงโจวเป็นสนามรบและอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้แบบประชิด หรือบางทีอวิ๋นโจวอาจมีระดับเหนือมนุษย์อยู่เบื้องหลัง ให้เจ้าละทิ้งการโจมตีอวิ๋นโจวทันที แล้วแจ้งบุตรในเงามืดให้กลับเมืองหลวงเพื่อรายงานข้าโดยด่วน
“ข้าจะเปลี่ยนกลยุทธ์ ล้มเลิกแผนการรวบรัด แล้วพยายามควบคุมกองทัพต้านทัพอวิ๋นโจวในสนามรบส่วนหน้า”
พ่อบุญธรรมไม่เคยคิดสินะว่าจะเป็นอย่างไรหากตอนที่เขาฟื้นขึ้น ความพ่ายแพ้ของต้าฟ่งได้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว อืม หากถึงเวลานั้นจริง สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งก็คงชุบชีวิตเขาไม่ได้แล้ว…หนานกงเชี่ยนโหรวพ่นลมหายใจช้าๆ
เขามองไปยังหัวหน้าทหารรักษาพระองค์แล้วเอ่ยว่า
“บัดนี้ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ต่างกำลังยกทัพต่อสู้ กองทัพอวิ๋นโจวสูญเสียกำลังพล เป็นโอกาสดีหรือไม่ที่จะโจมตีอวิ๋นโจวอย่างไม่ตั้งตัวด้วยกองทัพที่มายังยงโจว”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“ข้าคิดว่าได้นะ!
“ฝ่าบาทตรัสว่า สวี่ผิงเฟิงนั่นวางแผนรัดกุมไม่เคยผิดพลาด ไม่มีทางให้โอกาสต้าฟ่งได้ลอบโจมตีอวิ๋นโจวแน่ แต่เขาไม่รู้เรื่องทหารม้าติดอาวุธซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของฆ้องทองคำหนานกงหน่วยนี้ จะว่าไปแล้วกระทั่งเว่ยกงก็จำพวกท่านไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หนานกงเชี่ยนโหรวพ่นลมหายใจ
“ดี! เลี้ยงทหารพันวันก็เพื่อเตรียมพร้อมในสงครามช่วงวิกฤตนี่ละ ข้าจะนำทัพลงใต้เดี๋ยวนี้”
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ประสานมือคำนับพลางว่า
“ขออวยพรให้ฆ้องทองคำหนานกงกลับมาพร้อมชัยชนะ!”
…
หอดูดาว
ภายใต้ม่านรัตติกาล เว่ยเยวียนยืนอยู่ที่ขอบแท่นแปดทิศ พลางทอดมองเมืองหลวงซึ่งกำลังหลับใหล
เขามองไปทางทิศใต้และนิ่งเงียบครุ่นคิด
จากนั้นจึงมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วขมวดคิ้วมุ่น
บัดนี้เขาฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว ผนึกของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แตกแล้ว เทพพ่อมดก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมแล้ว การแตกของผนึกเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ตอนนี้คิดแล้ว หากตอนนั้นไม่ได้สังหารไปถึงแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด ยามนี้เทพพ่อมดคงทำลายผนึกได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
“การที่เทพกู่จะทำลายผนึกก็อยู่ไม่ไกลเช่นกัน ด้านดินแดนประจิมทิศ จนบัดนี้ก็ยังท่าทีไม่ชัดเจน แต่คิดแล้วสถานการณ์น่าจะดีกว่าเทพกู่และเทพพ่อมดมากนัก หายนะกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”
จากนั้นเว่ยเยวียนจึงหมุนตัวแล้วมองไปยังทิศของชายแดนตอนเหนือ
“เจ้าเด็กแสบ แม้แต่ลั่วอวี้เหิงก็กลายเป็นคู่บำเพ็ญของเจ้าไปแล้ว”
อันที่จริง ตอนนี้เขาก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่าสวี่ชีอันคิดวางแผนจะทำอะไร เพียงแต่ไม่บอกฮว๋ายชิ่ง
หลังจากก่นด่าด้วยรอยยิ้มแล้ว เว่ยเยวียนจึงเอ่ยเสียงเบาว่า
“เจ้าทำได้ดีมาก”
แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องที่หลังจากหลับนอนกับคนงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่งแล้ว ก็ยังไปนอนกับราชครูของต้าฟ่งอีก
สวี่ชีอันสามารถแบกต้าฟ่งอยู่เบื้องหลังเขาได้ นี่เป็นเรื่องดียิ่งนัก
…
เมืองยงโจว
ยงโจวปิดเมืองได้หลายวันแล้ว ห้ามประชาชนและทหารในเมืองเข้าออก
ทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองลาดตระเวนทั้งกลางวันกลางคืน นักรบเผ่าอั้นกู่ของเผ่าพันธุ์กู่รับหน้าที่หน่วยสอดแนม เป็นเงามืดเฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของกองทัพอวิ๋นโจว
ตราบใดที่ไม่เข้าใกล้กองทัพอวิ๋นโจว นักรบเผ่าอั้นกู่ก็จะเป็นหน่วยสอดแนมที่เป็นความลับสุดยอด
ช่วงสองสามวันนี้ เมืองยงโจวทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นตระหนก โดยเฉพาะผู้คนในเมืองที่วันๆ คิดแต่จะหนีออกจากเมืองเพื่อเอาชีวิตรอด เหล่าสายสืบแห่งตำหนักความลับสวรรค์กำลังเติมเชื้อไฟอยู่ในเมือง สร้างความตื่นตระหนก ปลุกระดมชาวบ้านให้ก่อจลาจลและบุกโจมตีประตูเมือง
เหยาหงซึ่งเป็นสมุหเทศาภิบาลยงโจวก็คุมสถานการณ์ให้อยู่ในกรอบได้ยาก เนื่องจากชาวบ้านที่ต้องการออกจากเมืองยงโจวเหล่านั้น มีทั้งชนชั้นสูงตระกูลขุนนาง รวมถึงตัวเขาเองด้วย
ใครๆ ก็รู้ว่ารักษายงโจวไว้ไม่ได้แล้ว หลังจากเสียสวินโจว ทหารกล้าชุดสุดท้ายของต้าฟ่งซึ่งเหลือไม่ถึงห้าพันนายก็ถอยกลับยงโจว
อาศัยกำลังทหารอันน้อยนิดนี้ จะต้านทานกองทัพอวิ๋นโจวที่จ้องตาเป็นมันอยู่นอกเมืองได้อย่างไร
สุดท้ายแล้ว ผู้ที่คลี่คลายเรื่องนี้ก็คือสวี่เอ้อร์หลาง เขาจัดการเหยาหง จากนั้นจึงให้หัวหน้าฝ่ายซือกู่เปลี่ยนเหยาหงเป็นหุ่นเชิด และสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในยงโจวเป็นอันดับแรก
จากนั้นก็จัดการพวกที่ร่ำรวยแต่ไร้คุณธรรม บุกค้นบ้านและกวาดล้างครอบครัวที่ร่ำรวยและชั่วร้ายที่สุด จับกุมผู้ก่อกวนและตัดหัวประจาน ก่อนใช้ทรัพย์สินและเสบียงอาหารที่ได้จากการบุกค้นมาช่วยเหลือชาวบ้าน และใช้คารมคมคายวาดจินตนาการอันสดใสให้ชาวบ้านที่หน้าโรงทาน
คารมของสวี่เอ้อร์หลางนั้นร้ายกาจยิ่งนัก เขาเชี่ยวชาญอย่างมากในการหว่านล้อมจิตใจผู้คน เพียงแต่ปกติจะใช้ใส่ร้ายคนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่เขาใส่ร้ายผู้คนได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคารมคมคายของเขา
ภายใต้พระเดชและพระคุณ ส่งผลให้ชาวบ้านในเมืองสงบลงมาก
หลังจากที่สวี่เอ้อร์หลางเสร็จงานตรวจตราเมืองและกลับค่ายทหาร ก็เห็นฉู่ไฉ่เวยนำทหารเข้าห้องครัวไปหาบปลาเป็นถังๆ
ปลาเหล่านี้จับได้ในแม่น้ำของเมืองยงโจว นอกจากไว้กินแล้ว พวกมันยังเป็น ‘ยา’ ชนิดหนึ่งด้วย พูดให้ถูกก็คือ หนังปลาเป็นยาชนิดหนึ่ง ใช้รักษาแผลไฟไหม้บนผิวหนังโดยเฉพาะ
เหตุจากปืนใหญ่ น้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆ ในกองทัพต้าฟ่งจึงมีผู้ที่บาดเจ็บจากแผลไหม้เป็นจำนวนมาก
หากรักษาบาดแผลไม่ทันเวลาก็จะเกิดหนองและติดเชื้ออย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็มีเพียงความตาย และเมื่อขาดแคลนยาก็ไม่มีทางที่ผู้บาดเจ็บทั้งหมดจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ดังนั้น ฉู่ไฉ่เวยจึงคิดค้นการใช้หนังปลามารักษาแผลไฟไหม้ เพียงปิดบาดแผลด้วยหนังปลาก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้
แท้จริงแล้วนี่เป็นวิธีการที่ฉู่ไฉ่เวยเพิ่งจะค้นคว้าได้
สวี่เอ้อร์หลางเข้ามายังค่ายทหาร ขณะกำลังเดินตรงเข้าห้องของตัวเอง ก็พบกับอาจารย์จางเซิ่นระหว่างทาง
“เจ้ามาพอดี!”
จางเซิ่นเอ่ยเสียงเข้ม
“ค่ายกลส่งตัวในค่ายทหารนั่นเพิ่งจะส่งขันทีกุมตราลัญจกรมาในค่าย เป็นฝ่าบาทที่ส่งมา ข้าไปเรียกรวมพลขั้นสี่ทั้งหมดเพื่อหารือแล้ว”
เมืองยงโจวเป็นเมืองหลักของยงโจว ซุนเสวียนจีได้สร้างแท่นส่งตัวไว้ที่นี่ ค่ายกลส่งตัวสามารถเคลื่อนย้ายได้มากสุดในพื้นที่มณฑลเดียวกันเท่านั้น
“มีเรื่องอะไรรึ”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยถาม
จางเซิ่นพลันสีหน้าดูไม่ได้ “ฝ่าบาทมีพระบัญชา ให้พวกเราอพยพออกจากยงโจวตลอดทั้งคืน”
สีหน้าของสวี่เอ้อร์หลางก็ดำดิ่งลงเช่นกัน
………………………………………….