ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 741 เป็นจักรพรรดิ
บทที่ 741 เป็นจักรพรรดิ
‘ถ้าเจ้าไม่สละราชสมบัติ จะมีจุดจบเหมือนกับจักรพรรดิพระองค์ก่อน…’ ในสมองของจักรพรรดิหย่งซิ่งดัง ‘หึ่งๆ’ ภาพเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดที่จักรพรรดิหยวนจิ่งตายแบบชิ้นส่วนศพไม่ครบปรากฏขึ้นในสมอง
ภายในตำหนักกระดิ่งทอง เงียบไปครู่หนึ่ง เงียบจนไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่สวี่ชีอัน ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่มีใครตะคอกเสียงดัง ไม่มีใครคัดค้าน
ต้าฟ่งในเวลานี้ หากยังมีใครที่กล้าสังหารกษัตริย์ และพูดได้ทำได้ สวี่ชีอันที่อยู่ต่อหน้านับเป็นคนหนึ่งในนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้อ๋องสีพระพักตร์ไม่พอพระทัย ทรงพระดำเนินออกมา รับสั่งเตือนว่า
“สวี่ชีอัน ต้าฟ่งสถานการณ์ไม่สงบ เกิดความไม่สงบทั้งภายในและภายนอก ทนต่อความวุ่นวายไม่ไหวอีกแล้ว คิดถึงที่ผ่านมาที่ทางราชสำนักได้อุปถัมภ์และอภัยโทษเจ้าด้วยเถิด”
อวี้อ๋องทรงรู้ตัวเองว่าแม้จะไม่มีบุญคุณในการอุ้มชูสวี่ชีอันมาก่อน แต่ก็นับว่าเคยช่วยเหลือเขาหลายครั้ง ดังนั้นจึงได้ทรงออกมาตักเตือน
“ใช่แล้ว!”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่กลืนน้ำลาย รวบรวมความกล้า พูดเสียงดังว่า
“สวี่ชีอัน เจ้าเป็นคนสนิทที่เว่ยเยวียนไว้วางใจ เว่ยเยวียนตั้งใจประคับประคองบ้านเมือง และสร้างสันติสุขให้กับราษฎรในที่ราบลุ่มภาคกลาง เจ้าทำให้เขาผิดหวังได้หรือ ผลักราชสำนักลงสู่ห้วงน้ำลึกอย่างไม่สามารถช่วยเหลือได้ด้วยมือของตัวเองอย่างนั้นหรือ”
มีการเริ่มต้นของคนทั้งสอง บรรดาขุนนางที่สนับสนุนจักรพรรดิหย่งซิ่งก็พากันตักเตือน
ในสายตาของพวกเขา สวี่ชีอันเป็นทหารที่ไม่มีความกลัวเกรงใดๆ อย่างแท้จริง แต่เขาก็ไม่ใช่คนพาลที่โหดเหี้ยมอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม สิ่งที่เขาได้ทำในอดีต ไม่ว่าใครก็สามารถสรรเสริญความกล้าหาญได้
ดังนั้น พวกเขาเชื่อว่า ขอเพียงมีเหตุมีผล ยึดหลักสัจธรรม ก็จะสามารถสร้างแรงกดดันให้สวี่ชีอันได้
สำหรับสุภาพบุรุษสามารถใช้วิธีที่สมเหตุสมผลหลอกลวงเขาได้!
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงเหมือนสัตว์ที่ถูกต้อนจนจนมุม ทรงกระโดดขึ้นจากพระราชอาสน์อย่างรวดเร็ว ทรงชี้ไปที่สวี่ชีอัน ทรงคำรามด้วยสีพระพักตร์เหมือนคนวิกลจริตว่า
“เจ้าจะบังคับให้ข้าสละราชสมบัติ?
“สวี่ชีอัน ข้าเชื่อใจ ไว้วางใจเจ้าเช่นนี้ แล้วยังอนุญาตให้หลินอันอภิเษกสมรสกับเจ้า เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้? เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะร่ำลือออกไป ชื่อเสียงฆ้องเงินสวี่ของเจ้าจะสูญสิ้นไปในวันใดวันหนึ่งหรือ ต่อไปในประวัติศาสตร์ย่อมจารึกถึงเจ้าในทางไม่ดี ไม่กลัวจะฉาวโฉ่เป็นหมื่นๆ หรือ”
ขนาดกระต่ายที่โกรธเคืองยังกัดคนได้ นับประสาอะไรกับจักรพรรดิ
“ถ้ากระหม่อมต้องการที่จะแต่งงานกับหลินอัน ก็ย่อมแต่งได้ เหตุใดต้องให้พระองค์อนุญาตให้แต่งงานด้วย”
สวี่ชีอันคว้าหอกยาวในมือหยางเยี่ยน แล้วสะบัดข้อมือครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียง “ปัง” หอกยาวพุ่งทะยานออกไป ติดชายฉลองพระองค์ของจักรพรรดิหย่งซิ่ง แทงทะลุพระราชอาสน์ที่อยู่ด้านหลัง
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงล้มลงประทับกับพื้น รูม่านตาหรี่ลง ร่างกายสั่นเล็กน้อย
ชั่วเวลาฉับพลันเมื่อครู่ พระองค์สัมผัสได้ถึงความเหี้ยมโหด หอกนี้ ราวกับแทงทะลุพระอุระของพระองค์
‘เขาต้องการสังหารข้าจริงๆ…’ ความกลัวที่ใหญ่หลวงระเบิดในพระราชหฤทัยของจักรพรรดิหย่งซิ่ง
“อย่า!”
ภายในตำหนัก เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นรอบๆ
อวี้อ๋องและคนอื่นๆ ต่างพากันตกใจ ชินอ๋องพระองค์หนึ่งเคียดแค้นสุดขีด ด่าทอออกมาจนหมดสิ้น
“สวี่ชีอัน จักรพรรดิของต้าฟ่งจะเพิกถอนหรือแต่งตั้ง ถึงคราวเจ้าตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไร”
“ในสายตาของเจ้ามีราชสำนักอยู่หรือไม่ มีพระราชวงศ์อยู่หรือไม่”
สีพระพักตร์ของชินอ๋องและจวิ้นอ๋องทุกพระองค์เขียวคล้ำ รู้สึกอัปยศอดสูและโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
อัปยศอดสูอย่างยิ่ง!
ต้าฟ่งสถาปนาบ้านเมืองมาหกร้อยปี ไม่เคยมีใครที่จะใจกล้าขนาดนี้ แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ไม่มีท่าทางก้าวร้าวใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ มองพระราชวงศ์เหมือนมด
อยากจะสังหารจักรพรรดิพระองค์ก่อนก็สังหาร ถึงแม้ว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนสมควรตายก็จริง แต่อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าพระราชวงศ์อ่อนแอ และแสดงให้เห็นว่าสวี่ชีอันไม่เห็นพระราชวงศ์อยู่ในสายตา
กระทั่งมองเป็นหุ่นกระบอกที่บงการได้ตามแต่ใจ
ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหน
สวี่ชีอันเดินช้าๆ ไปที่พระราชอาสน์ มองไปที่อวี้อ๋องและสมาชิกในพระราชวงศ์คนอื่นๆ แล้วพูดว่า
“หยวนจิ่งโง่เขลาไร้คุณธรรม ทรยศบรรพชน ทรยศราษฎร ดังนั้น ข้าจึงสังหารพระองค์ หลังจากหยวนจิ่งสวรรคตไปแล้ว ก็เกิดภัยหนาวโหมกระหน่ำ ทหารกบฏของอวิ๋นโจว ถือโอกาสที่กำลังได้เปรียบก่อการกบฏ หย่งซิ่งอ่อนแอและกลัวจะเกิดเรื่อง เพื่อรักษาสถานะของตนเองไว้ จึงแบ่งดินแดนและขอสงบศึก แม้แต่บรรพชนก็ยังทอดทิ้งได้ พวกเจ้าคิดว่าจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ จะสามารถประคับประคองราชสำนักที่ล่อแหลมอันตรายได้จริงๆ หรือ”
“จักรพรรดิเกาจู่ผ่านความยากลำบากมาหลายครั้ง จึงสร้างรากฐานผืนนี้ได้ พวกเจ้าแข็งใจมองดูมันถูกทำลายด้วยน้ำมือของหย่งซิ่ง?
“ทำไมเหล่าขุนนางในตำหนักจึงยอมอยู่ข้างข้า เพราะเหตุใดพรรคหวางและพรรคเว่ยที่เหมือนน้ำกับไฟ กลับยอมที่จะกำจัดความขัดแย้งระหว่างกันในเวลานี้? ทำไมพวกทหารข้างนอก จึงเต็มใจที่จะผูกหัวไว้กับผ้าคาดเอว ก็จะต้องบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติให้ได้ ใครถูกใครผิด พวกเจ้าถามใจตัวเองดู ว่าใครกันแน่ที่ทอดทิ้งบรรพชน?”
อวี้อ๋องมีสีพระพักตร์สะเทือนใจเล็กน้อย ชินอ๋อง จวิ้นอ๋องที่อยู่ใกล้ๆ อยู่ข้างๆ พระวรกาย ต่างอ้าพระโอษฐ์ ราวกับคิดจะโต้แย้ง แต่กลับหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้
สวี่ชีอันยังคงมองเหล่าขุนนางไปรอบๆ กวาดตามองขุนนางที่สนับสนุนจักรพรรดิหย่งซิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ในสงครามชิงโจว ทหารและม้านับหมื่นตายในสนามรบ ต่อสู้กับทหารชั้นยอดของอวิ๋นโจวอย่างยากลำบาก แต่เหล่าขุนนางกลับใช้หนังสือราชการเพียงแผ่นเดียว เผาความพยายามของพวกเขาจนสิ้นซาก พวกท่านกินเงินเดือนราชสำนัก ทำเรื่องที่ผู้คนทำกัน?”
“คลังหลวงว่างเปล่า การจัดการค่าใช้จ่ายของกองทหารและการขับเคลื่อนราชสำนัก เดิมทีก็ลำบากยากเข็ญ เพื่อสันติสุขในเวลานี้ หย่งซิ่งตัดทางรอดด้วยตัวเอง เหล่าขุนนางไม่เพียงไม่ตักเตือน แต่กลับหวังว่าจะประสบความสำเร็จ จึงผลักดันให้เจรจาสงบศึกให้สำเร็จ ตำรานักปราชญ์เต็มท้อง กลับเสียเวลาอ่านโดยเปล่าประโยชน์”
“แบ่งอวี่โจวซึ่งอุดมไปด้วยแร่เหล็ก จางโจวซึ่งผลิตหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงม้า ส่งเสบียงอาหารและแร่เหล็กให้ทหารกบฏอวิ๋นโจว เกรงว่าต้าฟ่งจะสิ้นชาติเร็วไม่พอ หย่งซิ่งหลอกตัวเอง พวกเจ้าก็เหมือนกับเขา พวกใช้การไม่ได้!”
เสียงตวาดดังสะท้อนอยู่ภายในห้องโถง
ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินที่ก่อกบฏตามสวี่ชีอัน และทหารทุกคนกำดาบในมือไว้แน่น จิตใจเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ไม่กี่วันมานี้ เรื่องการเจรจาสงบศึกระหว่างราชสำนักและอวิ๋นโจว มีคำโจษจันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมและเสียสละทุกคน ในใจล้วนไม่พอใจ
ตั้งแต่โบราณมาผู้ที่ไม่สามารถอยู่อย่างสงบก็จะพากันส่งเสียงออกมา
ในเวลานี้ ขุนนางบุ๋นก็เหมือนกับพระราชวงศ์ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายจากความแค้นใจ
แต่ขุนนางบุ๋นเชี่ยวชาญในการถกเถียง มีบางคนไม่ยินยอม จึงพูดเสียงต่ำว่่า
“แต่แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ตายแล้ว พวกเราจะมีวิธีการอะไร วันเวลานี้ นอกจากการเจรจาสงบศึกก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ยังมีใครสามารถต้านทานยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของอวิ๋นโจวได้อีก”
สายตาทุกคู่มองไปที่สวี่ชีอัน ดูว่าเขาจะตอบอย่างไร
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีศักดิ์ศรี แต่เป็นเพราะต้าฟ่งกำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายใหญ่หลวง การเลือกของพวกเขา เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ จะไม่มีวันยอมรับคำพูดของสวี่ชีอันอย่างเด็ดขาด
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงมือเอง!”
น้ำเสียงของสวี่ชีอันสูงขึ้นทันที
“ให้ทหารแนวหน้าที่ฆ่าศัตรูลงมือ ให้ผู้ชายที่ยินดีที่จะพลีชีพเพื่อต้าฟ่งลงมือ ต้าฟ่งจะสิ้นชาติหรือรุ่งเรือง ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว ไม่ใช่การตัดสินใจของปัญญาชนที่ดูสุภาพแต่อ่อนแอเช่นพวกเจ้าที่เอาแต่ปะทะฝีปากกันอยู่ในราชสำนัก”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ “ทุกคน ข้ายินดีที่จะสู้ตายในสนามรบ เพื่อที่ราบลุ่มภาคกลาง เพื่อต้าฟ่ง!”
ภายในตำหนัก ทหารที่ถืออาวุธ ขานรับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ข้ายินดีที่ติดตามฆ้องเงินสวี่ไปสู้ตายในสนามรบ!”
สวี่ชีอันหันไปมองขุนนางบุ๋น รอบๆ ตัว ยิ้มเยาะและพูดยั่วเย้าว่า
“ถ้าตัวข้าฆ้องเงินสู้จนตัวตายแล้ว ทหารของต้าฟ่งพ่ายแพ้ยับเยิน พวกเจ้าค่อยยอมจำนน ก็ยังไม่สายเกินไป”
ไม่มีใครพูดอีก
ในเวลานี้ สวี่ชีอันยื่นมือออกมาน้ำเสียงสงบ
“ตามมา!”
ด้านนอกตำหนัก แสงสีทองสาดส่องเข้ามา ส่งตัวเองเข้าไปในมือของสวี่ชีอัน
‘ดาบสยบดินแดน!’
มันยังคงเลือกสวี่ชีอันเช่นเดิม…ในเวลานี้ พระราชวงศ์ ขุนนางชั้นสูงและเหล่าขุนนางในตำหนักต่างจ้องมองกระบี่ของจักรพรรดิเกาจู่ อาวุธวิเศษที่ควบคุมชะตาบ้านเมืองหกร้อยปีด้วยความตื่นตะลึง
ในแววตาของพวกเขามีทั้งความตื่นตะลึง มีทั้งความจนใจ มีทั้งคิดทบทวน และมีทั้งความปลาบปลื้ม
ผ่านไปสามเดือน หลังจากจักรพรรดิพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ดาบสยบดินแดนก็เลือกสวี่ชีอันอีกครั้ง
ภายในตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัด ไม่มีใครเอ่ยปากโต้แย้ง ตะคอกเสียงดังอีก
สีพระพักตร์ของฮว๋ายชิ่งเย็นชา พระหัตถ์ทั้งสองข้างซ้อนกันบนพระอุทร พูดอย่างเย็นชาว่า
“ทุกท่านกรุณาอยู่ในตำหนักก่อน รอจนกว่าข้าจะเรียก”
พระองค์หันไปมองสวี่ชีอันทันที พยักพระพักตร์เบาๆ
สวี่ชีอันก้มตัวหิ้วตัวจักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นมา เดินเคียงข้างฮว๋ายชิ่งออกไป
เมื่อเดินผ่านคณะทูตจากอวิ๋นโจว เขาชำเลืองมองพวกเขาอย่างรวดเร็ว
จีหย่วน สวี่หยวนซวง และสวี่หยวนไหวทั้งสามคนรู้สึกหนาวในหัวใจพร้อมกัน
เมื่อสวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งออกจากตำหนักกระดิ่งทองแล้ว จีหย่วนก็ลดเสียงต่ำมากๆ
“หยวน หยวนไหว มั่นใจว่าจะตีฝ่าวงล้อมได้?”
สวี่หยวนไหวมองเขาเหมือนมองคนโง่
“ในตำหนักแค่ขั้นสี่ก็มีถึงสามคนแล้ว ด้านนอกจะต้องมีอีกแน่ๆ”
ความสิ้นหวังปกคลุมในหัวใจคณะทูตจากอวิ๋นโจวทุกคน
“สมควรตาย คนโง่ไม่มีสมองคนนี้ บอกแล้วว่าสวี่ชีอันมีสติปัญญาดีมาก ทำให้ราชครูพ่ายแพ้มาแล้วหลายครั้ง!”ดวงตาของจีหย่วนแดงก่ำ เส้นเลือดดำที่หน้าผากนูนขึ้น
“เขาบ้าไปแล้วหรือ!”
เขาเชื่อว่า ด้วยสถานการณ์ของต้าฟ่งในเวลานี้ ‘การโอนอ่อนผ่อนตาม’ เป็นทางเลือกที่คนฉลาดควรทำ ต่อไปค่อยวางแผนเรื่องนี้ มองหาความเป็นไปได้ในการตลบหลัง
จีหย่วนนั้นเชื่อว่าสวี่ชีอันน่าจะมีสติปัญญาเช่นนี้ จึงมีความเชื่อมั่นและมั่นใจเต็มเปี่ยมในการเข้าเมืองหลวงไปเจรจาด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยของผู้ชนะ
แต่ทางเลือกของสวี่ชีอันในเวลานี้ ไม่คู่ควรกับการกระทำในอดีตที่ผ่านมาของเขา
มุทะลุเหมือนทหารที่หยาบช้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
จีหย่วนเริ่มกลัว รู้สึกหนาวในหัวใจ
สวี่ชีอันที่รนหาที่ตายเช่นนี้ ย่อมไม่มีมีความกังวลใดๆ
คณะทูตจากอวิ๋นโจวตกอยู่ในอันตรายแล้ว!
…
ภายในห้องทรงพระอักษร
สวี่ชีอันโยนจักรพรรดิหย่งซิ่งไปบนเก้าอี้ตัวใหญ่ มองไปที่พี่ชายภรรยาที่เหม่อลอยเหมือนท่อนไม้ พูดอย่างเย็นชาว่า
“ต้องการให้ข้าฝนให้พระองค์?”
สีพระพักตร์ของจักรพรรดิหย่งซิ่งขาวซีด รับสั่งอย่างไม่เต็มใจว่า
“หากเจ้าไม่ต้องการให้ข้าเจรจาสงบศึก ข้าสามารถเปลี่ยนได้ หากเจ้าต้องการให้ราชสำนักต่อสู้ต่อไป ข้าก็สามารถทำตามความต้องการของเจ้าได้ สวี่ชีอัน ข้ายอมอนุญาตให้น้องสาวอภิเษกสมรสกับเจ้า แต่เจ้ากลับทำร้ายคนที่มีบุญคุณต่อเจ้า เจ้าทำร้ายคนที่มีบุญคุณต่อเจ้า!”
พูดถึงตอนท้าย พระองค์ทรงคำรามเสียงดัง
“ข้าเคยให้โอกาสพระองค์” สวี่ชีอันหยิบหมึกขึ้นมาแท่งหนึ่ง แล้วฝนเบาๆ
“พระองค์ให้หลินอันแต่งงานกับข้า ก็เพื่อดึงข้ามาเป็นพวกเท่านั้น หากคนที่เลื่อนสู่ขั้นสามเป็นคนอื่น พระองค์ก็ต้องพระราชทานหลินอันให้เขาเช่นกัน หลินอันเป็นผู้หญิงที่ข้าชอบ แต่พระองค์กลับมองนางเป็นเครื่องมือที่สำหรับดึงหัวใจคน มีบุญคุณตรงไหน”
“หย่งซิ่ง ความผิดใหญ่หลวงของพระองค์ ก็คือการประทับอยู่ในตำแหน่งนี้ ไม่มีความสามารถ แต่กลับอาลัยอาวรณ์ในอำนาจ การเจรจาสงบศึกเป็นเพียงการเริ่มต้น หากสงครามที่ตามมาเป็นภัย พระองค์จะต้องตัดสินใจขายชาติเพื่อป้องกันตัวเองมากยิ่งขึ้นอีก ในประวัติศาสตร์ ก็ยากที่จะหลีกพ้นจากชื่อเสียงอันเหม็นโฉ่ว่าเป็นจักรพรรดิสิ้นชาติ ข้าบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ นับเป็นการป้องกันตนเอง แล้วยังเป็นการทำเพื่อต้าฟ่งอีกด้วย”
เขาจุ่มพู่กันลงในหมึก แล้วยื่นใส่พระหัตถ์ของหย่งซิ่ง
“พูดจบเพียงเท่านี้ ทรงจัดการเองให้ดี”
แล้วสวี่ชีอันก็มองไปที่ฮว๋ายชิ่ง
“ภายในพระราชวังยังมีหลายที่ที่การต่อสู้ยังไม่สงบลง ข้าจะไปปราบก่อน ที่นี่มอบให้พระองค์จัดการแล้วกัน”
ฮว๋ายชิ่งพยักพระพักตร์
มองดูสวี่ชีอันจากไป พระองค์ก็มีพระบัญชาต่อทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกว่า
“ไปเชิญลี่อ๋องมา แล้วเชิญชินอ๋องและจวิ้นอ๋องในตำหนักมาพร้อมกันด้วย”
ทหารหลายนายรับพระบัญชาและจากไป
ไม่นานหลังจากนั้น ฆ้องเงินหลายนายและทหารถือดาบสิบกว่านายก็ควบคุมบรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องเข้าไปในตำหนักด้านข้างที่อยู่ข้างห้องทรงพระอักษร
ลี่อ๋องอายุมากแล้ว วันนี้ไม่ได้เข้าเฝ้า เดินมาอย่างช้าๆ
ลี่อ๋องที่ทรงค้ำไม้เท้าก้าวข้ามธรณีประตู สายพระเนตรที่ฝ้าฟาง กวาดตามองภายในห้อง
ฮว๋ายชิ่งที่สวมฉลองพระองค์กระโปรงสีขาวนั่งอยู่ที่ตำแหน่งหลัก ชินอ๋องเช่นอวี้อ๋อง และจวิ้นอ๋องนั่งในตำแหน่งอาคันตุกะ ท่าทางระวังตัวอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับฮว๋ายชิ่งที่ทรงดื่มพระสุธารสชาอย่างสบายๆ แล้วสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“พระอัยกา รีบประทับก่อนเพคะ”
ฮว๋ายชิ่งใช้สัญญาณมือแสดงการเชื้อเชิญ แสดงท่าทางให้ลี่อ๋องประทับที่ตำแหน่งรอง เคียงข้างพระองค์
ลี่อ๋องค้ำไม้เท้า เดินไปอย่างไม่เร่งรีบ ประทับลงเคียงข้างฮว๋ายชิ่ง พระองค์ทรงเอียงพระเศียรมองไปที่คนรุ่นหลังที่นิ่งเฉย พูดช้าๆ ว่า
“พูดมาเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
เหนือความคาดหมาย ที่ชินอ๋องอาวุโสผู้มีนิสัยใจคอเด็ดเดี่ยวนี้ กลับมีท่าทีสงบอย่างน่าแปลกใจ
ฮว๋ายชิ่งแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า
“เรื่องยิ่งสำคัญเท่าไร พระอัยกาก็ยิ่งสงบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นฮว๋ายชิ่งก็ขอพูดแบบตรงไปตรงมาก็แล้วกันเพคะ”
แล้วก็ทรงเล่าเรื่องราวอย่างเข้าใจง่ายๆ ทันที
“บังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติ…” ลี่อ๋องทรงถอนหายใจ
“ข้าอายุมากแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะต่อสู้เพื่อสิทธิแล้ว ต้าฟ่งเดินมาถึงวันนี้ ใครผิดใครถูก ข้าก็ประเมินไม่ได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเชิญทุกคนมาที่นี่ เพราะต้องการนองเลือดใช่หรือไม่ พูดมาตามตรงเถิด เจ้าต้องการที่จะแต่งตั้งใคร!”
ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องที่อยู่ในเหตุการณ์ มองไปที่เหยียนชินอ๋องโดยพร้อมเพรียง
เหยียนชินอ๋องเป็นพระโอรสในไทเฮา เป็นพระโอรสที่สืบเชื้อสายโดยตรง แล้วยังเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ฮว๋ายชิ่งและสวี่ชีอันร่วมมือกันก่อการกบฏ ไม่สามารถทำให้คนอื่นพึงพอใจได้ จึงจำเป็นต้องสนับสนุนพระเชษฐาของพระองค์เองขึ้นครองราชย์
ถ้าชินอ๋องพระองค์นี้ขึ้นครองราชย์ พวกเขาไม่มีความเห็น จักรพรรดิหย่งซิ่งทรยศต่อบรรพชน ยอมรับว่าเรื่องอวิ๋นโจวเป็นการตัดสินตามประเพณีนิยม ทำให้พระราชวงศ์ทุกพระองค์ไม่พอพระทัย
เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลั่นแกล้งชีวิตตัวเอง เพื่อรักษาพระราชบัลลังก์ของจักรพรรดิหย่งซิ่ง
สีหน้าของเหยียนชินอ๋องแดงขึ้นทันที ได้ยินเสียงพระหทัยของตัวเองเต้นแรงไม่เป็นจังหวะอยู่ในช่องอก เลือดในกายเดือดพล่าน
อดคิดถึงตอนนั้นที่ฮว๋ายชิ่งให้พระองค์อ่านประวัติศาสตร์ราชวงศ์โจวไม่ได้…รอคอยโอกาส!
เขารู้ว่า ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว
“ฮว๋ายชิ่ง ทำได้ดีมาก!”
เหยียนชินอ๋องสูดลมหายใจลึกๆ ทรงลุกขึ้นและพระดำเนินไปทางพระขนิษฐา ทำท่าทางที่จะวางพระหัตถ์บนพระอังสาของพระองค์ เพื่อแสดงท่าทีชื่นชม
ฮว๋ายชิ่งทรงเงยพระพักตร์ขึ้น มองพระองค์ด้วยแววพระเนตรเย็นชา แล้วตรัสว่า
“เสด็จพี่สี่ พระองค์ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะครองราชบัลลังก์”
พระองค์หันไปมองลี่อ๋อง กวาดพระเนตรมองชินอ๋อง จวิ้นอ๋องที่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วรับสั่งอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ข้าต้องการเป็นจักรพรรดิ!”
…………………………………………………….