ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 738-2 ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง (2)
- Home
- All Mangas
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 738-2 ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง (2)
บทที่ 738 ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง (2)
พ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
การประจัญบานกันครั้งแรกระหว่างราชสำนักกับคณะฑูตอวิ๋นโจว พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
การเจรจาสงบศึกในรอบนี้มันไม่เสมอภาคกัน ต้าฟ่งอยากขอเจรจาสงบศึก ต้องทนเจ็บปวดจากการถูกกรีดเนื้ออย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ในระหว่างกระบวนการเหล่านี้ ความรู้สึกไร้ความสามารถที่บรรดาขุนนางขั้นสูงและจักรพรรดิหย่งซิ่งแสดงออกมา ยังคงทำให้ขุนนางระดับกลางและระดับล่างรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวและผิดหวัง
และเงื่อนไขทั้งสี่ข้อนั้น ในสายตาของปัญญาชนจำนวนหนึ่งแล้ว มันเป็นการสูญสิ้นอธิปไตยทำให้บ้านเมืองได้รับความอัปยศอดสูจริงๆ
“แบ่งดินแดนเพื่อเจรจาสงบศึก เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!”
คนที่เอะอะขึ้นมาก่อนคือสำนักราชบัณฑิตหลวง คนเหล่านี้ไม่มีอำนาจที่แท้จริงในมือ เป็นปัญญาชนระดับสูงในราชสำนักที่รวมตัวกันมาด่าอย่างสาดเสียเทเสียที่ประตูอู่
“ไอ้ทรราช แค่สูญเสียชิงโจวไปก็ทำให้เจ้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้ว”
“คนเราเกิดมาต้องตาย ชาตินี้ปัญญาชนอย่างข้ายอมยืนตายแต่ไม่ยอมคุกเข่าเพื่อมีชีวิตอยู่”
“เชื้อสายอวิ๋นโจวเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์หรือ เช่นนั้นเชื้อพระวงศ์ในตอนนี้คืออะไร ที่ปัญญาชนอย่างพวกเราถวายความจงรักภักดีคืออะไร ไอ้ทรราชลืมกำพืดของตนเอง”
จากนั้นคนเหล่านี้ก็ถูกลากไปโบยทีละคนจนหายใจแขม่วๆ
สิ่งนี้สั่นสะเทือนสยบจิตใจคนส่วนหนึ่งจริงๆ แต่ไม่สามารถควบคุมความฉาวโฉ่ของข่าวลือได้ อาหารมื้อเที่ยงเพิ่งผ่านพ้นไป บัณฑิตของราชวิทยาลัยก็หยุดเรียนประท้วง ปณิธานของปัญญาชนนั้นฮึกเหิมที่สุด บ้างก็เขียนบทความเหน็บแนม บ้างก็รวบรวมคนโจมตีด้วยคำพูดในศูนย์การค้าที่เจริญคึกคัก บ้างก็บุกโจมตีศาลาทำการของผู้บวงสรวงยัญกรรม เพื่อเรียกร้องให้ยื่นหนังสือที่เขียนด้วยโลหิตถึงฝ่าบาท…
เรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่จักรพรรดิออกว่าราชการในตอนเช้า ได้แพร่กระจายตามวงราชการและสังคมชั้นสูงในเมืองหลวงก่อน จากนั้นค่อยๆ เล่าลือไปถึงประชาชนชั้นล่าง เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ในตลาดก็เล่าลือเรื่องที่ราชสำนักแบ่งดินแดนเพื่อเจรจาสงบศึก และยอมรับทหารกบฏเข้าระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์
“เมื่อวานเห็นพวกโจรอันธพาลเข้าเมือง ข้าก็รู้แล้วว่าราชสำนักจะเจรจาสงบศึก”
“เฮ้อ ไม่ทำสงครามกันย่อมดีที่สุด โลกนี้วุ่นวายมาก…แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็ไม่พอใจอยู่ดี เหตุใดราชสำนักบอกว่าพ่ายแพ้ก็ต้องพ่ายแพ้ล่ะ ตอนที่ส่งทหารไปโจมตีสำนักพ่อมดนั้น ยังดูมีหน้ามีตาอยู่เลย”
“ได้ยินว่าแม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ตายไปแล้ว นั่นเป็นเทพเซียนอาวุโสในสำนักโหราจารย์เชียวนะ เฮ้อ โลกกำลังจะเปลี่ยนแล้ว”
“ฆ้องเงินสวี่ล่ะ หรือฆ้องเงินสวี่จะมองดูราชสำนักแบ่งดินแดนเพื่อเจรจาสงบศึกต่อหน้าต่อตาหรือ”
“ฆ้องเงินสวี่ก็พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ราชสำนักยังติดประกาศว่าฆ้องเงินสวี่ผูกพันธมิตรกับอาณาจักรหมื่นปีศาจและเผ่าพันธุ์กู่อยู่เลยไม่ใช่หรือ พวกเราไม่มีพันธมิตรอย่างสำนักพุทธแล้ว แต่ก็มีพันธมิตรอื่นๆ เช่นกัน”
“เฮ้อ ใครมันจะไปคิดล่ะว่าอยู่ๆ ก็สูญเสียชิงโจวไป นี่ไม่ใช่ว่าข้าหมดหวังแล้วหรือ เมื่อก่อนเวลามีเรื่องอะไร ฆ้องเงินสวี่มักจะออกหน้าตลอด”
…
ศาลาพักม้า
จีหย่วนนำอาวุธเวทออกมา และกางค่ายกลกันเสียง หลังจากฟังรายงานของลูกน้องแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ด้านนอกคึกคักมาก ปัญญาชนที่ทำอะไรไม่เป็นเหล่านี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ช่างเถอะ ล้วนเป็นบุคคลเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไร เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือหยั่งเชิงสวี่ชีอัน”
พอสวี่หยวนซวงได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันก็ถามขึ้นมา
“หยั่งเชิงอย่างไร”
พัดกระดูกเงินเล็กๆ ในมือจีหย่วนหมุนวนหนึ่งรอบก่อนกล่าว
“ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ข้าใกล้จะสิ้นสุดการเจรจานั้น จู่ๆ ก็พลันเพิ่มเงื่อนไขขึ้นมาหนึ่งข้อ เรียกร้องให้ต้าฟ่งเกี่ยวดองกัน เป้าหมายต้องเป็นหนึ่งในสององค์หญิงอย่างหลินอันกับฮว๋ายชิ่งเท่านั้น”
สวี่ชีอันกันหลินอันหมั้นหมายกันแล้ว เรื่องนี้เขาสอบถามจากคนที่เฉินกุ้ยเฟยส่งมา
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วกล่าว
“เจ้าหาเรื่องตายหรือ”
หากทำเช่นนี้จริงๆ การเจรจาสงบศึกจะสำเร็จหรือไม่นั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง สวี่ชีอันจะปล่อยเขามีชีวิตออกจากเมืองหลวงหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
จีหย่วนหัวเราะเอิ้กอ้าก
“องค์หญิงสองพระองค์เป็นวงศ์ตระกูลเดียวกับข้า การแต่งงานย่อมไม่ใช่เชื้อสายทางพวกเรา ต้องเป็นหยวนไหวสิ เจ้าว่าสวี่ชีอันจะมีท่าทีอย่างไร เขาจะลงมือกับน้องชายแท้ๆ ของตัวเองได้หรือ”
“เขาทำได้!” สวี่หยวนไหวใบหน้าเปลี่ยนสีทันที นี่มันบีบเขาเข้าสู่ทางตายชัดๆ
“พูดล้อเล่นน่ะ ดูพวกเจ้าสิตื่นเต้นซะ”
จีหย่วนหัวเราะสนุกสนานอย่างน่าสะอิดสะเอียน ทันใดนั้นก็นั่งอย่างสงบเสงี่ยมและกล่าวว่า
“สวี่ชีอันไม่โผล่หน้าเลย เขาคิดหาวิธีการอะไรอยู่เบื้องหลัง พวกเรายังไม่รู้เลย แม้ท่านโหราจารย์จะถูกผนึกแล้ว แต่นั้นคือท่านโหราจารย์เชียวนะ ใครจะรู้ว่ายังเก็บไพ่ตายอะไรไว้อีก ท่านราชครูก็ไม่รู้ ดังนั้นเขาต้องการหยั่งเชิงสวี่ชีอัน ใช้การเจรจาสงบศึกมาหยั่งเชิงสวี่ชีอัน อาศัยสิ่งนี้ทำความเข้าใจทางหนีทีไล่ของท่านโหราจารย์”
สวี่หยวนซวงมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย และถามขึ้นมา
“พี่เก้าคิดว่าเขาจะมีไพ่ตายอะไร”
จีหย่วนนึกอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา
“หมากที่ถูกรุกฆาต!”
“สำหรับสวี่ชีอันแล้วนี่คือหมากที่ถูกรุกฆาต หากข้าเป็นเขาจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจเรื่องเจรจาสงบศึก จากนั้นอาศัยช่วงเวลาในการเจรจาไปขอความช่วยเหลือทุกหนแห่ง ดึงผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์เข้าเป็นพันธมิตร ดังนั้นการเดินทางมาเมืองหลวงของเราในรอบนี้ คือคุณูปการที่เก็บมาได้เปล่าๆ ไม่มีอันตรายใดๆ”
จีหย่วนหมุนพัดแบบพับได้ที่อยู่ในมือ
“ต่อให้เขาจะมีความสามารถเหนือชั้น ก็ได้แต่ฝืนยอมรับแล้ว โอ้ อยากเห็นลักษณะท่าทีที่อับจนของเขาจัง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ต้องรอพวกเราตีเมืองหลวงให้แตกก่อน”
…
ตำหนักจิ่งซิ่ว
“เสด็จแม่ ลูกได้ยินฮว๋ายชิ่งบอกว่าพอแบ่งดินแดนเจรจาสงบศึก ต้าฟ่งก็จะหมดทางช่วยโดยสิ้นเชิงแล้ว”
หลินอินกล่าวด้วยจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ใบหน้ารูปไข่ไม่สดใสน่ารักอีก แต่เปื้อนไปด้วยหมอกควัน
เฉินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยความร้อนใจ
“นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีวิธีการอื่น หากไม่เจรจาสงบศึก จะสู้รบกับอวิ๋นโจวต่อหรือ หากมีแผนเอาชนะได้ ฝ่าบาทกับบรรดาขุนนางจะหมกมุ่นอยู่กับการเจรจาสงบศึกหรือ ตอนนี้มีแต่การเจรจาสงบศึกเท่านั้นที่เป็นทางออก มิเช่นนั้นจะให้มุ่งความหวังไปยังว่าที่สามีของเจ้าคนนั้นหรือ”
หลินอันกัดริมฝีปาก น้ำตาหยดติ๋งๆ
“เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงรังเกียจเขาเช่นนี้”
ในสมองของเฉินกุ้ยเฟยผุดภาพเงาร่างอาภรณ์ขาวผู้หนึ่ง นางกัดฟันกรอดๆ กล่าว
“คนแซ่สวี่ไม่มีอะไรดีเลยสักคน”
ประเดี๋ยวเดียวนางก็ใจอ่อนและจับมือหลินอันไว้
“ฮว๋ายชิ่งผู้นั้นจิตใจมืดดำมาตั้งแต่เด็ก คำพูดของนางไม่อาจเชื่อได้ หลินอัน ลูกไม่เข้าใจ ตอนนี้นอกจากเจรจาสงบศึกแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถช่วยราชสำนักได้อีก”
…
จวนอ๋อง
เฉียนชิงซูคลุมเสื้อตัวใหญ่หนาๆ วิ่งตรงไปยังห้องนอนของหวางเจินเหวิน
พอหวางเจินเหวินเห็นเขาเข้ามาก็โบกมือบอกให้สาวใช้ออกไปก่อน และถามออกมาตรงๆ
“มีเงื่อนไขอะไรบ้าง”
เฉียนชิงซูบอกเล่าเงื่อนไขทั้งสี่ของอวิ๋นโจวออกมาหนึ่งรอบ
“พรรคกบฏ! พรรคกบฏ!”
หวางเจินเหวินด่าติดต่อกันหลายครั้ง ทันใดนั้นก็ไออย่างรุนแรง
เฉียนชิงซูนั่งอยู่ตรงขอบเตียง และลูบหลังให้เบาๆ เพื่อให้เขาหายใจได้สะดวกก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฝ่าบาทตอบตกลงไปแล้ว แต่เป็นไม่ได้เด็ดขาดที่จะยกดินแดนสามโจวให้ เส้นเขตต่ำสุดของฝ่าบาทคือแยกอวี่โจวออกไป ยอมรับเชื้อสายในเมืองเฉียนหลงเข้าระบบการสืบสันตติวงศ์ในที่ราบกลาง ทำให้จิตใจของชาวต้าฟ่งระส่ำระสาย ขู่กรรโชกเอาทรัพย์สินเงินทอง ขูดรีดกำลังทรัพย์ของต้าฟ่งเรา หากยกดินแดนสามโจวให้ก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจอย่างสมบูรณ์…”
หวางเจินเหวินพูดพึมพำ
“จบกัน ไม่มีพลังมหาศาลที่จะพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้ ไม่มีพลังมหาศาลที่จะพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้แล้ว”
ต่อให้เว่ยเยวียนจะฟื้นคืนชีพ ก็ไม่สามารถฟื้นชีวิตหมากกระดานนี้ได้
เฉียนชิงซูทอดถอนใจกล่าว
“แต่ใครจะเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้ล่ะ อีกอย่างการเจรจาสงบศึกถึงเป็นการคล้อยตามแนวโน้มของสถานการณ์ ผู้เดียวที่สามารถพลิกสถานการณ์ของต้าฟ่งในตอนนี้ได้มีแค่สวี่ชีอันเท่านั้น แต่ว่าเสด็จพี่หนอเสด็จพี่ บีบให้สวี่ชีอันแตกหักกับราชสำนัก เหตุใดจะไม่ใช่แผนการร้ายของพรรคกบฏอวิ๋นโจวเล่า เขาไม่ได้ปรากฏตัวมาโดยตลอด ก็เพราะเข้าใจในจุดนี้ ข้าสืบพบว่าเขาอยู่ที่สำนักโหราจารย์ และให้คนส่งสาส์นเรียกตัวมาแล้ว หากเขาจะมาคงมานานแล้ว”
…
ห้องนอนใหญ่ในสำนักโหราจารย์
สวี่ชีอันนอนแช่อยู่ในอ่างไม้ หลังพิงอยู่กับผนังอ่าง ในอ้อมกอดมีเทพบุปผาอายุเกือบสี่สิบปีนั่งอยู่ นางรูปร่างสวยและนิ่มนวลไม่แพ้หญิงสาวเลย
นางนั่งตัวอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของสวี่ชีอัน ศีรษะหนุนอยู่บนบ่าของเขา ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาพร่ามัว ทั่วทั้งตัวไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“เว…เวลาไหนแล้ว…”
ไม่ง่ายที่จะได้พักครึ่งยก มู่หนานจือจึงถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เพิ่งเลยเวลาอาหารมื้อเที่ยงไปไม่นาน”
สวี่ชีอันจับเอวคอดของมู่หนานจือไว้ ไม่ให้นางออกห่างจากอ้อมอกเลย จิตใจฮึกเหิมเป็นอย่างมาก
สาวงามในอ้อมกอดทั้งขาวและอ่อนนุ่ม กล้ามเนื้อและผิวหนังขาวราวกับฟัน ทั้งเนียนละเอียดและเด้งดึ๋ง
‘เลยอาหารมื้อเที่ยงไปแล้ว…’ มู่หนานจือด่าด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“เจ้าเป็นสัตว์พาหนะหรือ ไม่ให้ข้านอนทั้งคืน ข้าไม่บำเพ็ญคู่กับเจ้าแล้ว…”
เทียบกับเสี่ยวอวี้แล้วกำลังรบของเจ้าอ่อนแอเกินไป…สวี่ชีอันกล่าว
“บำเพ็ญคู่ครั้งแรกได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ตอนนี้พลังปราณของยังเพิ่มทวีอยู่ รอถึงขีดจำกัดแล้วค่อยหยุด พลังปราณในร่างเจ้าก็ทรงพลังขึ้นเช่นกัน หนานจือเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ มีคนมากมายเท่าใดที่ปรารถนาจะเพิ่มพูนตบะอย่างฉับพลันด้วยวิธีการบำเพ็ญเช่นนี้”
ตรงขอบอ่างไม้ มีหยดน้ำกระเด็นไปทั่ว เสื้อผ้าและชุดชั้นในบนฉากบังลมร่วงลงพื้นนานแล้ว และเปียกโชกไปด้วยน้ำในอ่างที่ล้นออกมา
เตียงที่กว้างใหญ่และแข็งแกร่งดูเรี่ยราดไปหมด ผ้าห่มตกอยู่บนพื้น ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่สุดจะรับได้ หมอนก็ไม่ได้อยู่บนหัวเตียง แต่วางพาดอยู่กลางเตียง
ได้รับประโยชน์จากพลังวิญญาณที่หนาแน่นของเทพบุปผา สวี่ชีอันใช้เวลาแค่คืนเดียวก็ทำรากฐานให้มั่นคงได้แล้ว
ในสภาวะปกติ หลังจากเลื่อนขั้นแล้วจำเป็นต้องใช้เวลาสิบวันถึงทำระดับให้มั่นคง และปรับตัวให้เข้ากับพลังได้
ขณะนี้เขารับรู้ถึงความรู้สึกหวาดผวาที่คุ้นเคย
เขากวักมือเรียกชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกจากกองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย
หมายเลขหนึ่ง ‘คณะฑูตอวิ๋นโจวเข้าเฝ้าหย่งซิ่งแล้ว อวิ๋นโจวเสนอเงื่อนไขสี่ข้อ’
ฮว๋ายชิ่งนำเรื่องราวที่จักรพรรดิออกว่าราชการในตอนเช้าวันนี้ ส่งเข้าไปในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีอย่างละเอียด
สุดท้ายก็ประเมินผลง่ายๆ
หมายเลขหนึ่ง ‘พ่ายแพ้อย่างราบคาบ จีหย่วนผู้นั้นเป็นบุคคลที่ร้ายกาจมาก เหนือไปกว่านั้นคือใช้อำนาจกดดันผู้คน หย่งซิ่งกับบรรดาขุนนางไม่มีเบี้ยในการเจรจากับเขาเลย’
หมายเลขเจ็ด ‘ขี้ขลาด!’
เทพบุตรวิจารณ์
หลี่หลิงซู่อ่านสิ่งที่ฮว๋ายชิ่งถ่ายทอดจบ ก็รู้สึกชอกช้ำใจแทนต้าฟ่ง นับประสาอะไรกับหลี่เมี่ยวเจินที่จงเกลียดจงชังความชั่วร้ายเข้ากระดูกดำ
หมายเลขสอง ‘หากจักรพรรดิไร้ประโยชน์ผู้นี้ ยกดินแดนทั้งสามโจวให้จริงๆ ไม่เท่ากับว่าสวี่เผิงเฟิงผู้นั้นจะเป็นเหมือนเสือติดปีกหรอกหรือ และกองทัพอวิ๋นโจวจะไม่ทรงพลังไปมากกว่านี้หรือ ต้าฟ่งยังจะมีแผนการเอาชัยชนะได้อยู่หรือ สวี่หนิงเยี่ยน พวกเราควรทำอย่างไร จะสู้สุดชีวิตหรือจะอย่างไร เจ้าพูดมาสักประโยคสิ’
ช่วงนี้สวี่ชีอันส่งข้อความน้อยมาก ดูเหมือนจะหมดอาลัยตายอยากอย่างยิ่ง สิ่งนี้ทำให้จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินร้อนใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
สมาชิกพรรคฟ้าดินคนอื่นๆ ก็ร้อนใจเช่นกัน ขณะที่ต้าฟ่งค่อยๆ ไถลลงเหวลึกทีละขั้น กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หมายเลขสาม ‘ไม่ต้องกังวลไป ทำเรื่องของพวกเจ้าอย่างสบายใจ ทางด้านการเจรจาสงบศึกนั้นข้าจัดการได้’
หลังจากอธิบายไปประโยคหนึ่งแล้ว เขาก็โอบกอดมู่หนานจือที่ตัวอ่อนระทวย และสนทนาส่วนตัวกับนักเรียนหัวกะทิอย่างองค์หญิงใหญ่ไปด้วย
หมายเลขสาม ‘องค์หญิง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง’
………………………………………