ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 732-2 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (2)
บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (2)
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า
“น้องสี่ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีอำนาจ แต่ข้ามี”
สวี่ชีอันตะลึงงัน
เขาสังเกตหญิงงามตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฮว๋ายชิ่งมองเขาอย่างองอาจไม่ขลาดกลัว
“เดิมพรรคเว่ยก็ล้วนเป็นคนของข้า นอกจากนี้ ข้าเองก็เอาชนะใจขุนนางราชสำนักได้แล้วไม่น้อย หากต้องการรวบรวมพวกเขาขึ้นมา ย่อมเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งราชสำนัก
“ส่วนพรรคหวาง ข้าต้องการความช่วยเหลือจากฆ้องเงินสวี่”
สวี่ชีอันจับจ้องนางอยู่นาน ก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า
“องค์หญิง ข้าสังเกตสตรีธรรมดาเช่นท่านออกนานแล้ว แต่ข้าก็ยังคิดไม่ถึงว่าท่านจะบ่มเพาะพลังอำนาจระดับนี้ไว้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ยังมีอีกหรือไม่”
ในเมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ฮว๋ายชิ่งจึงไม่ปิดบังอีก
“ในกองทหารรักษาวังห้าหน่วย และสิบสององครักษ์แห่งเมืองหลวงล้วนมีคนของข้า”
มิน่านางถึงส่งยอดฝีมือออกไปรวบรวมผู้ลี้ภัยได้ อิทธิพลในมือนั้นน่ากลัวกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก…สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ท่านยังมีไพ่ตายอะไรอีก”
ฮว๋ายชิ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง
“ใต้เท้าสวี่เสาะหารวบรวมห้ามรรควิธีที่สำคัญของปราณมังกร ในมือทัพกบฏอวิ๋นโจวก็มีอยู่มรรควิธีหนึ่ง ส่วนสามมรรควิธีปราณมังกรที่เหลืออยู่ที่ข้า”
“อะไรนะ” สวี่ชีอันขยี้หู สงสัยว่าตนฟังผิดไป
“ท่านทำได้อย่างไร”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“บุตรในเงามืดของเว่ยกงอยู่ในมือข้าทั้งหมด วันนั้นก่อนที่เขาจะออกเดินทางได้มอบองค์กรเจ้าพนักงานเคาะยามของบุตรในเงามืดให้ข้าด้วยตัวเอง”
มิน่า มิน่าหลิวหงซึ่งเป็นเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายถึงบอกไม่รู้และไม่ได้รับช่วงจากบุตรในเงามืดที่เว่ยกงทิ้งไว้ ข้อมูลเกี่ยวกับบุตรในเงามืดในคลังเอกสารของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็สูญหายไปนานแล้วเช่นกัน…ที่แท้เว่ยกงก็มอบมันให้กับฮว๋ายชิ่งแล้ว…สวี่ชีอันซึ่งคลี่คลายคดีที่แก้ไม่ตกมานานหลับตาแล้วทอดถอนใจ.
ไม่ใช่ลูกตัวเองจริงๆ สินะ
ไม่สิ เป็นลูกที่เก็บมาแท้ๆ ยังสู้บุตรสาวของรักแรกไม่ได้เลย
ฮว๋ายชิ่งไม่รู้ว่าในใจของเขาจะมีบทพูดมากมายเพียงนี้ จึงเอ่ยต่อว่า
“การรับปราณมังกร ย่อมนำไปสู่ชะตาแห่งความผาสุกอันล้ำลึก
“ด้วยร่างที่อาศัยปราณมังกรของข้า ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักหรือยอดฝีมือในกองทัพ ล้วนสำเร็จได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มซับซ้อน
“องค์หญิงวางแผนทั้งหมดมาตั้งแต่แรกแล้วกระมัง หลังจากหยวนจิ่งตาย ท่านก็เห็นความหวัง จึงลอบวางแผนทีละขั้นตอน รอโอกาสที่จะบีบให้หย่งซิ่งสละบัลลังก์”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
“ตั้งแต่ที่ท่านอธิบายสถานะภายในพรรคฟ้าดินและชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของพรรคกบฏอวิ๋นโจว นับตั้งแต่สิ้นจักรพรรดิองค์ก่อนและปราณมังกรแตกสลาย ข้าก็รู้แล้วว่าบัลลังก์ของหย่งซิ่งนั่งได้อีกไม่นาน
“สถานการณ์ยุ่งเหยิงครั้งใหญ่เช่นนี้ รวมถึงปัญหาทั้งภายนอกภายใน คิดจะนั่งบัลลังก์อย่างมั่นคงและคิดค้นสิ่งใหม่ๆ จะต้องมีความเด็ดขาดอย่างมาก
“ทว่าหย่งซิ่งเดินทางสายกลางเกินไป ในยุคที่สงบสุขรุ่งเรือง เขาอาจเป็นจักรพรรดิที่ดีคนหนึ่ง แต่ในยามที่โลกโกลาหล ย่อมชักนำความวิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร”
ท่านต่างหากที่เป็น ‘การพัฒนาอันเลวร้าย’ อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับท่าน ข้าก็ไม่ได้อยากอันธพาลเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ เขามิอาจไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับคำพูดของฮว๋ายชิ่ง
“แล้วท่านรับประกันได้อย่างไรว่าเหยียนชินอ๋องจะทำได้ดีกว่าหย่งซิ่ง”
“ข้าย่อมมีวิธี”
“ตกลง…ว่าแผนการโดยละเอียดของท่านมา”
กระทั่งพลบค่ำ สวี่ชีอันจึงออกจากจวนฮว๋ายชิ่ง
…
หลังกลับถึงสำนักโหราจารย์และไปเยี่ยมซุนเสวียนจีซึ่งกำลังพักฟื้นอาการบาดเจ็บแล้ว สวี่ชีอันก็มายังห้องรับแขกชั้นสี่ จากนั้นจึงผลักประตูเข้าไปในห้องที่อบอุ่นราววสันตฤดู มู่หนานจือกำลังแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก
ไป๋จีขดตัวหลับสนิทอยู่บนเตียง
เส้นผมของนางเปียกชื้น ร่างกายมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ข้าซื้อขนมดอกท้อมาให้เจ้า จำได้ว่าเจ้าชอบกิน”
สวี่ชีอันวางถุงขนมอบที่ห่อด้วยกระดาษไขไว้ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง
มู่หนานจือไม่สนใจ นางเบ้ปากถามว่า
“ไปไหนมาล่ะ”
นางสูดดมเงียบๆ และได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสตรีซึ่งยากจะจับสังเกตบนตัวเขา
คิดว่าขนมอบห่อเดียวจะจัดการนางได้รึ
สวี่ชีอันนั่งลงข้างเตียงแล้วถอดรองเท้าพลางเอ่ยว่า
“วันนี้คณะทูตอวิ๋นโจวที่มาเจรจาสงบศึกเข้าเมืองมาแล้ว ข้าไปวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิหย่งซิ่ง เขาไม่ฟังคำแนะนำ ต่อจากนั้นจึงไปจวนฮว๋ายชิ่งเพื่อหารือเรื่องต่างๆ กับองค์หญิงใหญ่”
เขานวดคลึงหัวคิ้วแล้วถอนหายใจพลางว่า
“ทันทีที่การเจราสงบศึกสำเร็จ ต้าฟ่งก็อาจไปสู่จุดที่เกินเยียวยาแล้วจริงๆ”
‘และเจ้าซึ่งแบกชะตากรรมของอาณาจักรไว้ ก็จะถึงทางตัน’…มู่หนานจือมองขนมอบถุงนั้นอีกครั้ง
นางกัดริมฝีปาก
บุรุษผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงคับขัน ยังไม่ลืมเอาขนมที่โปรดปรานมาให้เจ้าได้ น้ำใจมูลค่ามหาศาลนี้กลับให้ความรู้สึกลึกซึ้งมากกว่าคำสัตย์สาบานรักนิรันดร์อันหวานหู หรือรอยยิ้มเอาใจจากพวกกระเป๋าหนักมากนัก
สวี่ชีอันถอดรองเท้าแล้วนอนลงบนเตียง แขนทั้งคู่หนุนอยู่หลังศีรษะ
หากแผนการราบรื่น สองในสี่ประเด็นสำคัญที่จ้าวโส่วนำเสนอก็จะสำเร็จอย่างน่าพอใจ นั่นคือการคืนชีพเว่ยเยวียนและสร้างเสถียรภาพให้แนวหลัง
และกลายเป็นนักเดินหมากซึ่งเป็นหนึ่งคำแนะนำที่ไร้อัตราความสำเร็จในตัวเอง
“ตราบใดที่องค์ชายสี่ยังมีอำนาจ เขาจะสามารถรับประกันและสนับสนุนข้าให้ต่อสู้กับอวิ๋นโจวได้จนถึงที่สุด เช่นนั้นแล้ว แม้เรื่องเงินและเสบียงอาหารจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่การเค้นกำลังระดับชาติของต้าฟ่งก็ยังพอทำให้แข็งใจยืนหยัดต่อไปได้
“ปัญหาเดียวในตอนนี้คือ ตบะของข้าอ่อนแอเกินไป แม้จะแข่งกับขั้นสองได้ แต่หากเผชิญหน้ากับขั้นหนึ่งจะต้องตายเป็นแน่ และสิ่งที่ขวางหน้าข้าอยู่ก็คือตะปูตอกวิญญาณ”
ตะปูตอกวิญญาณมิอาจถอนได้ด้วยการใช้กำลังอย่างไร้สมอง เว้นแต่จะเข้าใจสัจจคาถาและวิธีลับในการคลายผนึกดั่งเช่นอาซูหลัว
เช่นนั้นแม้ในสถานการณ์ที่โดนตะปูอีกหนึ่งดอกก็ยังถอนออกด้วยตัวเองได้
สวี่ผิงเฟิงเอ๋ยสวี่ผิงเฟิง เจ้าทุ่มเต็มที่เลยจริงๆ…ระหว่างที่คิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาใกล้ จึงลืมตาขึ้นแล้วหันไปมอง
มู่หนานจือนั่งอยู่ขอบเตียง ทำให้เขาเห็นแผ่นหลังอันงดงามจนไร้ที่สิ้นสุด รวมถึงครึ่งสะโพกกลมกลึงซึ่งรั้งกางเกงผ้าไหมขึ้น
ไม่รู้ว่านางเปลื้องผ้าตั้งแต่เมื่อไร และสวมเพียงชุดตัวในสีขาว
ไม่เช่นนั้นจะกล่าวได้อย่างไรว่า เด็กสาวดีแต่ดีไม่เท่าเอวของหญิงสาวที่ออกเรือนแล้ว หญิงสาวที่ออกเรือนแล้วก็ดี แต่ดีสู้บั้นท้ายของสตรีวัยกลางคนไม่ได้
“ตอนข้าอายุสิบสามถูกท่านพ่อท่านแม่ส่งมาแลกกับเงินก้อนโต เดิมคิดว่าคงอยู่ในวังไปทั้งชีวิต แต่กลับถูกหยวนจิ่งส่งให้ไหวอ๋องอีก จึงคิดโทษตัวเองว่าเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งที่ถูกคนซื้อขายไปมา”
มู่หนานจือหันหลังให้เขาพลางเอ่ยเสียงแผ่วว่า
“ต่อมา หลังจากได้รู้จักกับลั่วอวี้เหิงผู้นั้น นางบอกกับข้าว่าข้าคือเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด ร่างกายแบกรับหลิงอวิ้น เป็นเตาติ่งของไหวอ๋อง รอสักวันหนึ่งที่เขาจะมาแย่งชิงหลิงอวิ้นของข้าไป
“ข้าถามนางด้วยความหวาดกลัวยิ่งว่าหากถูกชิงหลิงอวิ้นไปแล้วจะเป็นอย่างไร นางบอกข้าว่าต้องตายอย่างแน่นอน
“ดังนั้นข้าจึงรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าตัวเองเทียบไม่ได้กระทั่งสินค้าด้วยซ้ำ ข้าเป็นเพียงสัตว์ที่ถูกกักขังไว้ในจวนไหวอ๋อง รอคอยที่จะถูกดึงออกมาเชือดในวันหนึ่ง”
ที่แท้นางกลัวว่าฐานะของตนจะถูกเปิดเผยถึงเพียงนั้น กลัวจะถูกข้าล่วงรู้ว่าเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด ทั้งหมดเพราะถูกราชครูข่มขู่นี่เอง…สวี่ชีอันพลันกระจ่างแจ้ง
“ดังนั้นข้าจึงกลัวมาตลอดว่าตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผย จึงระวังตัวกับทุกคนรวมถึงท่านด้วย”
มู่หนานจือไม่หันกลับมา ทว่าสวี่ชีอันสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มของนาง
“แต่ไม่กี่วันมานี้ ข้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าหากคนสกุลสวี่ต้องการแย่งชิงหลิงอวิ้นของข้า ข้าจะยอมหรือไม่ ข้าเต็มใจตายเพื่อเจ้าหรือไม่ กระทั่งตอนที่ท่านเข้าห้องมา ข้าก็ยังไม่ได้คำตอบ”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง สายตามมองไปยังขนมอบบนโต๊ะห่อนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
“แต่เมื่อครู่นี้เอง จู่ๆ ข้าก็ได้คำตอบแล้ว ข้าเต็มใจ”
พูดจบ มู่หนานจือก็เกร็งร่างกายและนั่งตัวแข็งทื่อ ราวกับมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวอยู่ข้างหลังและจะกระโจนเข้ามากัดนางได้ทุกเมื่อ
นางรออยู่เนิ่นนาน หากไร้วี่แววของเสือผู้หิวโหยกระโจนเข้าหาแกะของสวี่ชีอัน นางจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปเหลือบมอง
สวี่ชีอันตะแคงข้างพลางเอามือเท้าคางพร้อมกับยิ้มตาหยีมองนาง
ไป๋จีก็เลียนแบบท่าทางของสวี่ชีอันเช่นกัน มันหันข้าง วางหัวบนอุ้งเท้า พลางมองนางเงียบๆ
‘ฉ่า’ มู่หนานจือหน้าแดงก่ำ ราวกับมีภาพเสมือนของควันดำปรากฏขึ้นกลางกระหม่อม
“พวกเจ้า…”
นางอับอายจนพาลโมโห จึงคว้าไป๋จีฟาดไปที่หน้าสวี่ชีอัน สวี่ชีอันไม่เป็นอะไร แต่ไป๋จีเจ็บจนร้อง ‘อี๊ดๆ’
“หยอกเจ้าเล่นน่า อย่าโกรธ อย่าโกรธเลย”
สวี่ชีอันดึงไป๋จีไปด้านข้าง แล้วรีบลากมู่หนานจือไปบนเตียงก่อนที่นางจะ ‘ดอดหนีไป’
สตรีเหล่านี้หวงหน้าตาเป็นที่สุด ความหยิ่งทระนงมากจนทำให้คนขนหัวลุก ไม่ง่ายเลยที่จะรวบรวมความกล้าสารภาพและต้องการช่วยเขาก้าวขึ้นสู่ขั้นสอง หากพลาดครั้งนี้ไป ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไรกว่าจะมีครั้งหน้า
“เจ้าเป็นต้นไม้อายุวัฒนะ ข้ามิอาจพรากหลิงอวิ้นของเจ้าไปได้ อย่างมากก็เพียงดูดซับบางส่วน ไม่ตายหรอก อีกอย่าง ในร่างกายของข้ามีตะปูตอกวิญญาณ แม้ข้าจะนอนกับเจ้าก็มิอาจเลื่อนเป็นขั้นสองได้
“ข้าขอเป็นสุนัขเลียเจ้าไปก่อน เรื่องดูดซับหลิงอวิ้นค่อยว่ากันทีหลัง”
สวี่ชีอันฉวยโอกาสฝังศีรษะเข้าหาทรวงอกอ่อนนุ่ม ขณะกำลังจะ ‘ซุกไซร้’ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกคนฟาดศีรษะ
นี่มิใช่การส่งข้อความธรรมดา นี่คือการขอสนทนาเป็นการส่วนตัว
หากเป็นเวลาปกติ สวี่ชีอันคงโยนเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทิ้ง แล้วสนุกกับการเป็นสุนัขเลียก่อน
ทว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน สมาชิกพรรคฟ้าดินต้องการคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่นอน
เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าอกของมู่หนานจืออย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเหลือบมองดวงหน้าอันแดงซ่านของนาง…
ชะล่าใจเสียแล้ว น่าจะถอดสร้อยข้อมือออกเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดไปก่อนง่ายๆ เมื่อได้เห็นดวงหน้า…เขาร้องทุกข์ในใจ ก่อนหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วรับการสนทนาส่วนตัวของอีกฝ่าย
หมายเลขแปด ‘ข้าอยู่นอกประตูเมืองหลวงทิศประจิมห้าสิบลี้ ออกมาพบกันสักหน่อยได้หรือไม่’
หมายเลขแปดรึ
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าหมายเลขแปดออกจากด่านกักตนแล้ว อาจจะมาถึงเมืองหลวงในเวลาอันใกล้นี้
เขามาหาข้าเพียงลำพังทำไมนะ
ในบรรดาสมาชิกพรรคฟ้าดิน หมายเลขแปดเป็นผู้ที่วางมือไปนานแล้ว ไม่ได้สมาคมกับเขาและสมาชิกคนอื่นๆ
ลองถามนักบวชเต๋าจินเหลียนก่อนแล้วกัน ดูสิว่าหมายเลขแปดผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่…สวี่ชีอันจบการสนทนาส่วนตัวโดยไม่ได้ตอบกลับ และหันไปส่งคำเชิญขอสนทนาส่วนตัวถึงนักบวชเต๋าจินเหลียน
หมายเลขเก้า ‘มีเรื่องอะไร’
นักบวชเต๋าตอบกลับอย่างรวดเร็วยิ่ง
หมายเลขสาม ‘หมายเลขแปดมาเมืองหลวงแล้ว และนัดพบข้า’
สวี่ชีอันบอกเล่าสถานการณ์ให้นักบวชเต๋าจินเหลียนฟังอย่างตรงประเด็น
หมายเลขเก้า ‘คำแนะนำของอาตมาคือ ไปพบสักหน่อยก็ได้’
สวี่ชีอันทราบกฎของพรรคฟ้าดินดี นักบวชเต๋าจินเหลียนจะไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ถือเศษชิ้นส่วนหากเจ้าตัวไม่อนุญาต
เมื่อเสร็จสิ้นการส่งข้อความ เขาก็เชื่อมต่อกับหมายเลขแปดทันทีและเอ่ยตอบว่า
ตกลง!’
เขาจำต้องลุกขึ้นอย่างไร้ทางเลือก พลางจ้องมองมู่หนานจือซึ่งนอนราบด้วยความอาวรณ์ พร้อมกับเหลือบมองหน้าอกซึ่งยังคงปกติยิ่งแล้วเอ่ยว่า
“ข้าจะออกไปสักหน่อย ไม่ต้องรอข้า นอนก่อนเถอะ”
พูดจบ เขาก็กลืนเข้ากับความมืดและหายไปจากห้อง
มู่หนานจือพ่นลมหายใจอย่างแรง ไม่รู้ว่าเพราะความผิดหวังหรือโล่งอก
“ท่านน้า ข้าก็อยากเป็นสุนัขเลียท่านด้วย”
ไป๋จีกระโจนใส่หน้าอกของมู่หนานจือ แต่ถูกเทพดอกไม้ใช้ฝ่ามือปัดทิ้ง นางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า
“เจ้าอยู่กับเขานานจนกลายเป็นศิษย์เขาแล้วหรือ”
นางเอ่ยพลางยกขาหลังไป๋จีขึ้นข้างหนึ่งแล้วเหลือบมอง ก่อนถ่มน้ำลายว่า
“เจ้าเด็กแก่แดด”
…
สวี่ชีอันกระโดดไปในเงามืดอย่างต่อเนื่อง และมาถึงประตูเมืองทิศประจิมในไม่กี่นาทีให้หลัง
เวลานี้ ค่ำคืนมืดมิด บริเวณโดยรอบเงียบสงัด แสงจากคบไฟบนยอดกำแพงเมืองริบหรี่ราวกับแสงหิ่งห้อย
หลังออกจากประตูเมือง เขาก็จมสู่ม่านรัตติกาลอันมืดมิดราวกับปลาดำที่แหวกว่ายในมหาสมุทร และมุ่งตรงสู่ถนนหลวง
จุดนัดหมายคือนอกประตูเมืองทิศประจิมไปห้าสิบลี้ เมื่อไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม เช่นนั้นย่อมเป็นบนถนนหลวงโดยปริยาย
ห้าสิบลี้นั้นไม่ไกล เขาจึงถึงจุดหมายในเวลาอันรวดเร็ว และพบกับร่างสูงใหญ่ยืนอย่างทระนงท่ามกลางความมืด
เขาสวมจีวรสีแสด ร่างสูงเกือบเก้าฉื่อ เมื่อเทียบกับคนปกติแล้ว เขาไม่ต่างจากยักษ์ทีเดียว
เขามีรูปร่างหน้าตาไม่ชวนมอง กระดูกโหนกคิ้วซึ่งไร้ขนคิ้วนูนขึ้นเล็กน้อย สายตาภายใต้กระดูกโหนกคิ้วคมกริบราวกับมีด โดยรวมทั้งหมดให้ความรู้สึกเป็นวีรบุรุษผิดธรรมดา
เป็นความอัปลักษณ์ที่ยิ่งมองยิ่งน่าดึงดูด
เขากำลังเล่นกระจกหยกบานเล็กๆ อยู่ในมือ
…………………………………………………..