ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 664 สวี่หลิงอิน ‘พี่หญ่าย’
บทที่ 664 สวี่หลิงอิน ‘พี่หญ่าย’
ซ่งชิงโบกไม้โบกมือ
“เอาแต่คิดเรื่องที่ไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรม มีกำลังวังชาหลอมของเล่นให้คุณชายสวี่เช่นนี้ ไม่สู้หลอมเนื้อหนังมังสาให้สมุหราชเลขาธิการหวางจะดีกว่า”
นักเล่นแร่แปรธาตุที่แสดง ‘ความคิดโง่เขลา’ ในเมื่อครู่ถามขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น สมุหราชเลขาธิการหวางจะตายแล้วหรือ”
ซ่งชิงส่ายหน้า
“ได้ยินคนที่อยู่ชั้นหนึ่งพูดว่า สมุหราชเลขาธิการหวางป่วยเป็นโรครักษายากมานาน หักโหมทำงานหนักเป็นเวลานานจนมีโรคติดตัว หากไม่รักษาดีๆ เกรงว่าคงมีเวลาไม่มากแล้ว”
ชั้นหนึ่งที่พูดถึงก็คือโหรที่อยู่ในห้องโอสถใหญ่เหล่านั้น ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ในกลุ่มของสำนักโหราจารย์ คนที่ซ่งชิงบัญชาคือนักเล่นแร่แปรธาตุ เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ
โหรที่หยางเชียนฮ่วนบัญชาอยู่ชั้นสาม ดูฮวงจุ้ยและเลือกสุสานให้กับขุนนางระดับสูงและประชาชนธรรมดาโดยเฉพาะ
โหรที่อยู่ในห้องโอสถใหญ่ตรงชั้นหนึ่งนั้นติดตามจงหลี
แต่ละฝ่ายของสำนักโหราจารย์ต่างก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตนเอง
“ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ หลอมไปก็ไม่มีประโยชน์ สมุหราชเลขาธิการหวางเป็นมนุษย์ธรรมดา พอวิญญาณออกจากร่างก็จะหลอมกลายเป็นภูต เข้าไปในเนื้อหนังมังสาที่พวกเราหลอมขึ้นมาไม่ได้”
โหรท่านหนึ่งพยักหน้า “เว่ยเยวียนตายแล้ว หากสมุหราชเลขาธิการหวางตายไปด้วยอีก จุ๊ๆ คงหมดยุคสมัยของหยวนจิ่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
…
จวนอ๋อง
สวนบุปผาที่อยู่ด้านหลัง
หวางซือมู่ที่สวมกระโปรงสีมรกตและสวมเสื้อตัวบนสีเดียวกับเสื้อคลุม กำลังเดินเคียงไหล่ไปกับหลินอันที่สวมกระโปรงแดงอยู่
“เหตุใดจู่ๆ สมุหราชเลขาธิการหวางถึงล้มป่วยไปได้”
หลินอันเม้มปากกล่าวเบาๆ “โหรในสำนักโหราจารย์ก็ไม่มีวิธีหรือ”
กระโปรงพลิ้วไหวตามจังหวะย่างก้าวที่ต่อเนื่อง รองเท้าหนังกวางคู่หนึ่งบางครั้งก็ปรากฏเด่นชัด บางครั้งก็ปรากฏรางๆ ศีรษะของนางประดับไปด้วยมงกุฎหงส์เล็กๆ ปิ่นทองระย้า ปิ่นมุกและเครื่องประดับอื่นๆ ใบหน้ารูปไข่สีขาวละเอียดอ่อนอิ่มเอิบและชุ่มชื่น ดวงตารูปดอกท้อแสดงอารมณ์ที่ดูซ่อนเร้น
นางสวยหยาดเยิ้มขึ้นทุกวัน
หวางซือมู่หันข้างไปมองหลินอันที่สนิทสนมเป็นการส่วนตัว และถอนหายใจกล่าว
“โหรสำนักโหราจารย์บอกว่า ท่านพ่อเป็นทุกข์จนเกิดโรค หักโหมทำงานหนักเป็นเวลานานจนมีโรคติดตัว ลาออกจากตำแหน่งขุนนางมาพักฟื้นอยู่บ้านก็พอแล้ว แต่หากดึงดันต่อไป จะเป็นการรนหาที่ตาย พวกเรามีวิธีการอะไรบ้าง”
หลินอันยิ้มออกมา “โหรกลุ่มนี้ยังคงมองคนไม่ขึ้นเช่นเคย”
หวางซือมู่กระชับเสื้อขนสัตว์สุนัขจิ้งจอกเพื่อป้องกันความหนาวด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มกระสับกระส่าย
“ที่จริงร่างกายของท่านพ่อก็ป่วยมานานแล้ว เดิมทีควรจะพักฟื้นร่างกาย ราชสำนักภายในไม่สงบภายนอกถูกรุกราน จึงเป็นทุกข์จนเกิดโรคอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างกายจึงมีสภาพอย่างที่เห็นในตอนนี้”
หลินอันขมวดคิ้วเล็กน้อย นางได้แต่ปลอบใจ
“ดีที่ว่าแม้ตอนนี้จะนอนป่วยอยู่บนเตียง แต่ก็อาศัยโอกาสนี้พักฟื้นร่างกายได้”
หวางซือมู่พยายามฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
“โหรสำนักโหราจารย์บอกว่า นี่คือโรคทางใจ โรคทางใจต้องรักษาด้วยโอสถทางใจ ก่อนที่ท่านพ่อจะล้มป่วยเป็นกังวลอยู่สามเรื่อง เรื่องศึกที่ชิงโจว ประชาชนผู้หนีภัย และสำนักพุทธแดนประจิม ทั้งสามเรื่องนี้ แม้จัดการได้เพียงเรื่องเดียว ท่านพ่อก็สามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจแล้ว”
ประชาชนผู้หนีภัยมีความสัมพันธ์แบบเหตุและผลกับความว่างเปล่าของท้องพระคลัง ซึ่งถือเป็นเรื่องเดียวกัน
คิ้วสีดำละเอียดอ่อนทั้งสองเส้นของหลินอันขมวดขึ้นเบาๆ
หวางซือมู่มองดูสหายคนสนิทที่มีจิตใจบริสุทธิ์ทีหนึ่ง และส่ายหน้า
หลินอันเม้มริมฝีปากอยู่ หลังจากตอบ “อืม” ไปคำหนึ่งแล้ว ก็พินิจพิจารณาหวางซือมู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนกล่าว
“ซือมู่ผ่ายผอมลงมาก ดูท่าคงจะคิดถึงสวี่ฉือจิ้วอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเป็นห่วงร่างกายของสมุหราชเลขาธิการหวางด้วย”
หวางซือมู่เผยสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย “สถานการณ์ในชิงโจวนั้นอันตราย เขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ข้าย่อมเป็นกังวล เดิมทีอีกห้าวันข้ากับเขาก็จะหมั้นหมายกันแล้ว…”
“อย่ากลัวไป!”
พูดมาถึงหัวข้อสนทนานี้ คิ้วและดวงตาของหลินอันก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง ราวกับลูกนกกระจอกตัวหนึ่งที่มีชีวิตชีวา “มีสุนัขรับใช้อยู่นี่ ต่อให้ชิงโจวจะแตก สวี่ฉือจิ้วก็ไม่อาจเป็นอะไรไปได้”
ตอนพูดคุยเรื่องสมุหราชเลขาธิการหวางนอนป่วยอยู่นั้น นางไม่อาจแสดงออกอย่างไร้เมตตาธรรมได้ ทั้งยังเผยสีหน้าหนักอึ้งเหมือนกับสหายคนสนิทของนางด้วย
หวางซือมู่อึ้งไปพักหนึ่งแล้วถามกลับ “ใครบอกเจ้าว่าฆ้องเงินสวี่อยู่ที่ชิงโจว”
“หรือว่าไม่ใช่”
หลินอันพูดคุยกะหนุงกะหนิง “เขาอยู่ด้านนอก เช่นนั้นจะต้องไปทำศึกที่ชิงโจวอย่างแน่นอน”
แม้จะไม่เคยแสดงท่าทียอมรับออกมา แต่สุนัขรับใช้คือวีรบุรุษในใจนาง
“แต่ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า สถานการณ์ในชิงโจวตึงเครียดมาก ฆ้องเงินสวี่ไม่อยู่ในกองทัพ ไม่เคยร่วมศึก…”
มองเห็นความผิดหวังในแววตาของหลินอันที่ยากจะปกปิดได้ หวางซือมู่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เรื่องงานแต่งของเจ้ากับฆ้องเงินสวี่ ฝ่าบาทไม่ช่วยจัดการให้หรือ”
ดวงหน้ารูปไข่แดงก่ำในพริบตา หลินอันกล่าวอย่างช้าๆ
“เจ้า เจ้าพูดอะไรน่ะ ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับสุนัขรับใช้ ไอ้หยา ข่าวโคมลอยนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง”
หวางซือมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรารู้จักกันมาหลายปี ข้าจะไม่เข้าใจจิตใจของเจ้าเลยหรือ ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ทั้งยังเป็นวีรบุรุษในสายตาอาณาประชาราษฎร์ หญิงสาวที่เลื่อมใสศรัทธามีมากมายจนนับไม่ถ้วน สิ่งที่เจ้าต้องทำคือรีบกำหนดสถานะไว้ มีสถานะแล้วเจ้าก็เป็นภรรยาเอกของเขา หญิงสาวที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้น อย่างมากก็เป็นได้แค่นางบำเรอหรือนกยวนยางป่าที่เคยมีไมตรีจิตเท่านั้น หากกำหนดสถานะไม่ได้ องค์หญิง ใช่ว่าซือมู่จะดูถูกท่าน ท่านที่ไม่มีสถานะไม่อาจต่อสู้กับใครได้เลย”
หลินอันรู้สึกตนเองถูกดูหมิ่นเสียแล้ว นางทำแก้มป่องขึ้นมา
ฤดูหนาวที่หนาวเยือก ลมหนาวปะทะหน้าราวกับถูกกรีด สองกิ่งทองใบหยกที่มีเรือนร่างอรชรและสถานะสูงส่งเดินเล่นไม่นานมากนัก จากนั้นต่างก็พานางกำนัลและหญิงรับใช้ของตนเองเดินตามระเบียงทางเดินที่คดเคี้ยวกลับเข้าไปในเรือน
ระหว่างทาง ขันทีวัยกลางคนที่ดูอ่อนโยนและเคร่งขรึมก็พาขันทีน้อยสองคนออกมาจากในเรือน ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันโดยบังเอิญ
“ถวายบังคมองค์หญิงหลินอัน”
ขันทีน้อยสองคนที่อยู่ด้านหลังขันทีวัยกลางคนโค้งตัวทำความเคารพ
“เจ้าคือขันทีที่รับใช้ตำหนักบรรทมของเสด็จพี่จักรพรรดิ… เจ้ามาที่นี่ทำไม”
หลินอันจำเขาได้ แต่นึกชื่อไม่ออก ขันทีที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิ นางจำได้แค่ขันทีคุมตราลัญจกรจ้าวเสวียนเจิ้นเท่านั้น
“ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทให้กระหม่อมมาบอกใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางว่า สำนักพุทธแดนประจิมถูกกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจตรึงเอาไว้แล้ว ยากที่จะใช้อำนาจคุกคามต้าฟ่งเราได้ ให้สมุหราชเลขาธิการพักผ่อนร่างกายอย่างสบายใจพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีวัยกลางคนกล่าว
‘คิดไม่ถึงว่ามีเรื่องดีเช่นนี้ด้วย…’ หวางซือมู่ดีใจไม่หยุด ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างปิดไม่มิด “เช่นนั้นพ่อข้าว่าอย่างไรบ้าง”
ขันทีวัยกลางคนกล่าว “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางให้ข้านำคำพูดไปทูลฝ่าบาท สามารถผลักดันราชสำนักได้แล้ว”
ผลักดันราชสำนักคือระบบเลือกตั้งที่กลุ่มขุนนางมาหารือกันโดยจักรพรรดิเป็นคนเรียกมา เมื่อมีตำแหน่งสำคัญว่างลง ก็จะทำการผลักดันราชสำนัก
หวางซือมู่เข้าใจในทันที บิดาวางแผนจะลาออกจากขุนนางแล้ว หรือลงจากตำแหน่งสมุหราชการเลขาธิการชั่วคราว
“ขอบคุณกงกงที่แจ้งให้ทราบ”
หวางซือมู่ถอดกำไลทองอันหนึ่งยัดใส่มือขันทีวัยกลางคน และถามด้วยรอยยิ้ม
“มีข่าวกรองที่ละเอียดกว่านี้หรือไม่ หากไม่สะดวก กงกงไม่ต้องพูดก็ได้”
องค์หญิงหลินอันมองดูอยู่ข้างๆ ขันทีวัยกลางคนไหนเลยจะกล้ารับสินบน เขารีบโบกมือปัดทันที
“ก็ใช่ว่าจะเป็นข่าวกรองที่เป็นความลับสำคัญอะไร กระหม่อมได้ยินฝ่าบาทตรัสว่า ดูเหมือนเรื่องเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับฆ้องเงินสวี่ เขาสร้างพันธมิตรระหว่างต้าฟ่งกับอาณาจักรหมื่นปีศาจที่ซินเจียงตอนใต้ ข่าวนี้ร่ำลือมาจากชิงโจว ข้ารู้เพียงเท่านี้”
‘ฆ้องเงินสวี่สร้างพันธมิตรระหว่างต้าฟ่งกับอาณาจักรหมื่นปีศาจ ใช้สิ่งนี้ตรึงสำนักพุทธไว้…’ หวางซือมู่อึ้งไปครึ่งค่อนวัน ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดฆ้องเงินสวี่ถึงไม่อยู่ที่ชิงโจว
นางอดหันข้างไปมองหลินอันไม่ได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของสหายคนสนิทข้างกายผู้นี้ ทั้งหวานชื่น ทั้งภาคภูมิใจ และเต็มไปด้วยความโอ้อวด
“เขาไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง” หลินอันเชิดคางขึ้น
…
ยามสนธยา เหมียวโหย่วฟางที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาเหมือนมนุษย์กระดาษที่ไม่มีน้ำหนัก เท้าเหยียบอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่งเท่านั้น
ยกของหนักขึ้นแต่กลับเบา ร่างกายราวกับขนของห่านหงส์ สลายแรงขั้นห้า!
นี่คือท่วงทีของระดับสลายแรงหรือ เหมียวโหย่วฟางหันหน้าหาตะวันรอน กางแขนออกราวกับโอบกอดโลกไว้
เวลาสองเดือนครึ่ง จากระดับหลอมปราณเลื่อนขั้นไปห้าขั้นกลายเป็นจอมยุทธ์สลายแรง
แม้ปราณมังกรจะถูกดึงไปนานแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นได้ทิ้งของขวัญชิ้นสุดท้ายไว้ให้เขา ซึ่งก็คือสวี่ชีอัน
ได้พบกับสวี่ชีอัน ได้รับการชี้แนะจากสวี่ชีอันอย่างสุดชีวิตจิตใจ นี่คือโชคขนาดใหญ่ที่ปราณมังกรมอบให้เขา
“ลงมาเถอะ!”
เสียงสวี่ชีอันดังมาจากใต้ต้นไม้ “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้า”
“ได้เลย!”
เหมียวโหย่วฟางร่อนลงพื้นอย่างเบาหวิว ในระหว่างนั้นก็ตีลังกาไปสิบกว่าตลบ แสดงวิชาตัวเบาของตนเองอย่างเต็มที่
จอมยุทธ์ระดับสลายแรง วิชาตัวเบายอดเยี่ยมมาก พอถึงขั้นสี่ก็สามารถทะยานโบยบินกลางอากาศในขั้นต้นได้
สวี่ชีอันนั่งอยู่ข้างกองไฟ ต้มน้ำเดือดไปพลางพูดไปพลาง
“ในเมื่อเจ้าบรรลุระดับสลายแรงแล้ว วาสนาของเราก็สิ้นสุดกัน นับแต่นี้ไปข้าปล่อยเจ้าเป็นอิสระ”
เหมียวโหย่วฟางอึ้งไปเลย อารมณ์เบิกบานค่อยๆ หายไปทีละนิด เขาขยับปากพูดเสียงต่ำ
“เพราะเหตุใด ฆ้องเงินสวี่ ข้า ข้าเคยบอกแล้วว่าจะติดตามท่านตลอดไป”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์
“ไสหัวไป เจ้าไม่ใช่สาวงาม ติดตามข้าไปทำไม ขวางหูขวางตาเปล่าๆ”
ด่าไปประโยคหนึ่งแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนลง
“ตอนที่ข้ายังเด็กและอ่อนแอ ได้พบกับคนที่ทุ่มเทเลี้ยงดูข้า เขากับข้าไม่ใช่ทั้งญาติและศัตรู แต่กลับบ่มเพาะข้าอย่างไม่คำนึงผลตอบแทน เพียงเพราะเขาคิดว่าข้าแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี เป็นคนที่ไม่ถลำเข้าไปในแนวทางที่ผิด คิดว่าภายหน้าข้าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้บ้าง เจ้าควรขอบคุณเขา เพราะเหตุนี้ข้าถึงยินดีให้โอกาสเจ้า ก็เหมือนกับคนที่บ่มเพาะข้าในตอนนั้น ไม่ได้ทำเพื่อผลตอบแทน แค่ทำเพื่อประชาชนในที่ราบกลาง”
เหมียวโหย่วฟางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ
“เช่นนั้นเหตุใดถึงไล่ข้าไป”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าแล้ว ขั้นสี่คือช่วงวิถีหล่อหลอม ‘เจตนา’ เป็นช่วงวิถีที่จอมยุทธ์เดินออกจาก ‘วิถี’ ของตนเอง ให้เจ้าไปในตอนนี้กำลังดี ไปเถิดเหมียวโหย่วฟาง ข้าเฝ้ารอคอยที่จะได้ยินตำนานในยุทธภพของเจ้าในภายภาคหน้า ได้ยินคนพูดว่าเหมียวโหย่วฟางทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชนอย่างกล้าหาญ การกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ไม่ใช่ความฝันของเจ้าหรอกหรือ”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เหมียวโย่วฟางที่คุ้นชินกับการทำหน้าทะเล้นกลับเผยสีหน้าเคร่มขรึมซึ่งพบเจอได้น้อยมาก
“เช่นนั้น ต่อไปข้าท่องไปในยุทธภพ สามารถแสดงตัวเป็นศิษย์ของเจ้าได้หรือไม่”
สวี่ชีอันหัวเราะเยาะ
“ข้าไม่มีศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า เดินบนเส้นทางของเจ้าเอง อย่ามาลากข้าไปพัวพันด้วย ไปเถอะ ไปเถอะ”
เหมียวโหย่วฟางทำเสียง ‘ชิ’
“จะมีอะไรร้ายแรงกัน ภายหน้าข้าต้องกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ที่มีชื่อดังก้องไปทั่วหล้า พอถึงเวลานั้นเจ้าอย่ามาขอร้องให้ข้าเรียกเจ้าว่า…”
คำว่าอาจารย์สองพยางค์นี้เขาไม่ได้พูดออกมา
เหมียวโหย่วฟางพุ่งไปมาท่ามกลางป่าดงดิบจนออกห่างไปเรื่อยๆ โดยไม่อาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งออกไปได้สิบกว่าลี้ เขาชะงักฝีเท้าในฉับพลัน และยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน
…
สามวันต่อมา ทางตอนเหนือของซินเจียงตอนใต้
สวี่ชีอันรออยู่ตรงจุดนัดพบที่มีชื่อว่าน้ำตกสามชั้น ในที่สุดลี่น่าและสวี่หลิงอินที่เลยเวลานัดมาสองวันก็มาถึง
มองจากที่ไกลๆ มองเห็นขอทานใหญ่คนหนึ่งแบกขอทานน้อยคนหนึ่งกระโดดไปมาท่ามกลางโขดหินอย่างอ่อนช้อย
พวกนางผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ย ร่างกายส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ราวกับผู้ลี้ภัยที่หนีภัยแล้ง
ตาดำแป๋วของลี่น่าเป็นประกาย ใบหน้ารูปไข่งดงามแปดเปื้อนสิ่งสกปรก ดวงตาทั้งคู่ของสวี่หลิงอินแข็งกระด้าง ท่าทีซื่อๆ ไม่ค่อยพูด มุมปากมีน้ำลายย้อยออกมา ราวกับเป็นลูกสาวโง่ๆ ของเจ้าของบ้าน
สวี่ชีอันตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น…”
ลี่น่าได้พบกับสวี่ชีอันก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นางสะกิดสวี่หลิงอินที่อยู่บนหลังแล้วกล่าว
“เอาล่ะ ไม่ต้องแสดงแล้ว พวกเราปลอดภัยแล้ว”
ดวงตากลมโตทั้งคู่ของสวี่หลิงอินฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาในทันที และตะโกนด้วยความดีใจ
“พี่หญ่าย”
นางกระโดดลงจากหลังของอาจารย์ และเหาะพุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน
ฟังดูลำบากน่าดูเลยนี่ เกี่ยวกับที่มาช้าไปสองวันด้วยหรือ สวี่ชีอันคว้าต้นคอของนางไว้และสะบัดมือเขวี้ยงออกไป
‘ตูม!’
สวี่หลิงอินกระแทกลงไปในสระน้ำ
………………………………………