ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 654 ลูกสาว
บทที่ 654 ลูกสาว
เมื่อกล่องเปิดออก ของที่อยู่ข้างในก็ปรากฏต่อสายตาทุกคน
มันคือลำตัว ไม่มีขา แขนและศีรษะ แต่กลับเป็นร่างกายที่ดูสมบูรณ์แบบที่สุดของเสินซูที่สวี่ชีอันเคยเห็นมา
ที่น่าสนใจคือ ช่วงล่างของร่างกายนี้คลุมด้วยกระโปรงสั้นที่ทำจากหนังสัตว์ ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงลิงปากห้อยบนโทรทัศน์เมื่อตอนนั้นอย่างไม่มีเหตุผล
“ยังไม่ถึงสิบปี เหตุใดจึงปลุกข้าขึ้นมา!”
ลำตัวมีชีวิตขึ้นมา มันค่อยๆ ‘ยืนขึ้น’ แล้วลอยอยู่ตรงหน้าทุกคน จากนั้นก็ลบกลิ่นอาย
“ไต้ซือเสินซู ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากองค์หญิงให้ปลดผนึก เพราะมีเรื่องต้องการจะขอร้องท่าน”
แรงกดดันของเย่จีเบาลง นางโค้งคำนับอย่างโล่งอก
ลำตัวของเสินซูค่อยๆ หมุนไปครึ่งหนึ่ง เหมือนจะกำลังกวาดตามองทุกคนในถ้ำ จนกระทั่งมันเห็นสวี่ชีอัน…
ถั่วดำสองเม็ดบนหน้าอกแตกออกอย่างแรงกลายเป็นดวงตา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง เย่จีกับวานรขาวถอยหลังไปก้าวแล้วก้าวเล่า ใบหน้าซีดขาว
“เจ้ามีกลิ่นอายของข้าอยู่บนตัว ร่างกายส่วนหนึ่งของข้าเป็นกาฝากอยู่ภายในร่างของเจ้า”
หน้าอกบนลำตัวจ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย ในทรวงอกส่งเสียงเหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องออกมา
“มันคือแขนขวา!”
สวี่ชีอันตอบกลับอย่างใจเย็น เขาไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูหรือจิตมุ่งร้ายอย่างรุนแรงจากลำตัวนี้
นั่นหมายความว่าอุปนิสัยของอีกฝ่ายคือ ‘อ่อนโยน’ เหมือนกับแขนขวาที่เป็นกาฝากอยู่ภายในร่างของเขา
“ตะปูตอกวิญญาณ…”
ลำตัวของเสินซูมองพินิจเขาและพูดว่า “เจ้าเป็นศัตรูกับสำนักพุทธงั้นหรือ อืม เช่นนั้นก็เป็นเพื่อนข้า ตบะไม่เลว รากฐานมั่นคง เป็นนักรบที่ดี หากมีเวลามาดื่มกัน”
มาดื่มกัน…สวี่ชีอันมองแผลเป็นขนาดใหญ่บนคอของมันแล้วไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรไปชั่วขณะ
แต่อุปนิสัยก็พอใช้ได้ ห้าวหาญนิดๆ ไม่เหมือนไอ้โรคจิตในเจดีย์ที่วันๆ เอาแต่ตะโกนว่าฆ่าๆๆ
“ไต้ซือ เขาเป็นผู้ช่วยที่องค์หญิงเชิญมา”
เย่จีบอกเรื่องข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายกับลำตัวของเสินซูและกล่าวต่อว่า
“อาซูหลัวคุ้มกันวัดหนานฝ่าอยู่ พลังของเขาน่ากลัวมากจนเราไม่อาจต่อกรได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากให้ท่านช่วยเขาถอนตะปูตอกวิญญาณออกล่วงหน้า”
ลำตัวของเสินซูดิ่งลงอย่างกระปรี้กระเปร่า “ไม่มีปัญหา แต่การถอนตะปูตอกวิญญาณออกจะทำให้ข้าสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาล หลังจากนั้นข้าต้องการแก่นโลหิตจำนวนหนึ่งเพื่อเติมเต็มส่วนที่เสียไป”
เย่จีพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจ”
ในภูเขาสือว่าน สัตว์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้มากที่สุด พวกมันสามารถจู่โจมเมืองเล็กๆ กับหมู่บ้านและปล้นแก่นโลหิตของเหล่าผู้คนในดินแดนประจิมทิศได้
สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นในใจและถามว่า
“ไต้ซือ ท่านสามารถเป็นกาฝากอยู่ในร่างของข้าได้หรือไม่ เหมือนท่อนแขนข้างขวาของท่าน”
หากเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถใช้พลังเทพจากลำตัวของเสินซูได้ฟรีๆ
“ไม่ได้ ภายในร่างของเจ้ามีตะปูตอกวิญญาณ ข้าไม่อาจไปเป็นกาฝากได้”
ลำตัวของเสินซูปฏิเสธ
เช่นนี้นี่เอง ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ไม่ได้จริงๆ…สวี่ชีอันส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ดูเหมือนจะต้องไปจัดการอาซูหลัวด้วยตัวเอง
“ท่านผู้อาวุโสจะถอนตะปูตอกวิญญาณสองดอกไหนออกหรือ”
ตาคู่นั้นจ้องมองเขาครู่หนึ่งแล้วหัวเราะฮึๆ ในทรวงอก “ตะปูสองดอกบนตัวเจ้า”
เยี่ยม ข้าเป็นบุตรแห่งโชคชะตาจริงๆ แต่หากเกิดขึ้นซ้ำอีกคราวนี้ ก็น่าสงสัยว่าโชคชะตาภายในร่างจะเป็นของปลอม…สวี่ชีอันหันไปสั่งทุกคน “พวกเจ้าออกจากถ้ำไปก่อน”
จากนั้นก็มองไปทางลำตัวของเสินซู “ขอท่านผู้อาวุโสช่วยถอนตะปูตอกวิญญาณออกด้วย”
เมื่อซุนเสวียนจีกับเย่จีและผู้พิทักษ์หยวนพาเหล่าปีศาจสาวออกจากถ้ำ ลำตัวของเสินซูก็ทรุดตัวลงแล้วเกิดพายุหมุนขึ้น
‘เปรี๊ยะ’
ในพายุหมุนมีประกายไฟสีทองลุกโชนขึ้น ทำให้ภายในถ้ำส่องสว่างวูบวาบ
‘ฟิ้ว’ ประกายไฟสีทองพุ่งออกมาจากใจกลางพายุหมุนแล้วสาดใส่ท้องน้อยของสวี่ชีอัน ซึ่งตรงกับตะปูตอกวิญญาณในเส้นลมปราณพอดี
จากมุมของผู้สังเกตการณ์ ประกายไฟสีทองกลายเป็นเชือกยาวเชื่อมลำตัวของเสินซูกับสวี่ชีอันเข้าด้วยกัน
พายุหมุนหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แรงดึงดูดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เชือกที่แปลงมาจากประกายไฟสีทองรัดแน่นขึ้นและดึงตะปูตอกวิญญาณ
เสียงสวดก้องอยู่ในหูของสวี่ชีอัน เขารู้ว่านี่คือสัจจคาถาสำหรับถอนตะปูตอกวิญญาณ
สองครั้งแรกที่ถอนตะปูตอกวิญญาณออก พระอรหันต์ตู้ฉิงกับแขนซ้ายของเสินซูร่ายคาถาช่วย
สวี่ชีอันแอบจดไว้ แต่น่าเสียดายที่หลังจากลองแล้วก็พบว่าการร่ายคาถาเพียงอย่างเดียวไม่อาจถอนตะปูตอกวิญญาณได้
ตะปูตอกวิญญาณถูกดึงออกทีละน้อยๆ ใบหน้าเขากระตุกอย่างแรง เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาราวกับสายฝน
เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดจากการที่ร่างกายถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อีกครั้ง
‘ฟึ่บ’ พร้อมกับเสียงตะปูตอกวิญญาณแยกออกจากร่างเนื้อ พลังปราณภายในตันเถียนพุ่งพรวดอย่างไม่อาจควบคุมได้ราวกับกระแสน้ำขึ้นสูง แต่ไม่อาจระบายออกมาได้
แขนสองข้างของสวี่ชีอันสั่นเทิ้ม ‘ตู้ม’ พลังปราณโหมกระหน่ำอยู่ในถ้ำ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เย่จี ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ที่อยู่นอกถ้ำรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงผืนดินใต้ฝ่าเท้าที่กำลังสั่นสะเทือน
‘ฟิ้ว’
ลมกระโชกแรงพวยพุ่งออกมาตามทางเดิน ‘พัด’ คบเพลิงและก้อนกรวดทั้งหมดออกจากทางเดิน
ซุนเสวียนจียื่นฝ่ามือขวาออกไปแล้วยันไปข้างหน้าเล็กน้อย
ค่ายกลรูปกระดองเต่าที่ก่อตัวจากแสงใสปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน ขวางลมกระโชกแรงที่ ‘พัด’ ทีเดียวก็คร่าชีวิตทหารที่ต่ำกว่าระดับหกได้
‘แข็งแกร่งนัก’ ผู้พิทักษ์หงอิงกับผู้พิทักษ์ชิงมู่และปีศาจตนอื่นๆ แอบตกใจ
ภายในถ้ำ หลังจากระบายรอบนี้ สวี่ชีอันก็ทำให้พลังปราณภายในตัวเถียนสงบลง แล้วสิ่งที่ตามมาคือพลังแห่งการฟื้นตัว
‘ผลัวะ!’
เขาออกหมัดอย่างแรงราวกับจะระเบิดอากาศ
ระดับความมั่นคงของพลังปราณและพละกำลังกายเพิ่มขึ้นอย่างมาก พลังปราณที่บำเพ็ญคู่กับท่านน้า ในที่สุดก็มีประโยชน์เสียที…อืม ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ รวมกับพลังเทพวชิระที่บรรลุสมบูรณ์ ข้าสามารถเอาชนะตู้หนานหรือตู้ฝานคนใดคนหนึ่งได้ ถึงสองต่อหนึ่งก็สามารถยืนหยัดไร้เทียมทานได้
หลังจากกลืนกินเลือดอสูรเทพอารักษ์ตู้ฝาน พลังเทพวชิระของเขาก็บรรลุสมบูรณ์ และสามารถดวลต่อตัวต่อกับเทพอารักษ์ได้
แต่ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะเทพอารักษ์ได้
หากพิจารณาเพียงพละกำลังกาย ข้าคงไม่แพ้อาซูหลัว แม้จะยังเป็นรอง แต่ก็ต่างกันไม่มาก เมื่อถอนตะปูตอกวิญญาณอีกดอก พลังของข้าก็ได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น แต่ในเวลาเดียวกันอาซูหลัวก็เป็นพระอรหันต์ด้วย อืม ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีวิธีอื่น การพันธนาการเขายิ่งสบายมาก
สวี่ชีอันเก็บความคิดของตัวเองกลับไปแล้วออกหมัดไปทางลำตัวของเสินซูซึ่งกลิ่นอายอ่อนลงมาก
“ท่านอาวุโสโปรดดำเนินการต่อเลย”
ลำตัวของเสินซูถอนตะปูตอกวิญญาณดอกที่สองให้เขาด้วยวิธีเดิม หลังจากสวี่ชีอันทำให้พลังปราณที่ยุ่งเหยิงสงบลง มันก็เอ่ยชม
“ภูมิหลังของเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการมาก หากถอนตะปูตอกวิญญาณออกทั้งหมด พลังของเจ้าจะเข้าใกล้บรรลุสมบูรณ์ คิดๆ ดูแล้วเดิมทีเจ้าก็อยู่ระดับนี้”
ความหมายของมันคือ สวี่ชีอันอยู่ระดับบรรลุสมบูรณ์ขั้นสาม แต่ถูกตะปูตอกวิญญาณผนึกไว้
“สำนักพุทธใช้ตะปูตอกวิญญาณน้อยมาก ตัวตนของเจ้าไม่ธรรมดาเลย เจ้าหนุ่ม เจ้าฝึกวิทยายุทธ์มาหลายร้อยปีแล้วใช่หรือไม่”
ข้าฝึกฝนมาครึ่งปี…สวี่ชีอันออกหมัด
“คิดรวมทั้งหมดก็หนึ่งปีครึ่ง”
เสินซูเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวช้าๆ “อย่าล้อข้าเล่นแบบนี้”
“ผู้น้อยไม่ได้ล้อท่านเล่น” สวี่ชีอันกล่าว
ลำตัวของเสินซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสับสน “เจ้าไม่ได้โกหก แต่มันเป็นไปไม่ได้”
สวี่ชีอันตอบตามตรง “ผู้น้อยแบกรับชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของราชวงศ์แห่งที่ราบตอนกลางไว้”
นี่ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ…สวี่ชีอันพึมพำในใจแล้วตอบว่า
“ผู้ที่มีมหาโชคชะตาจะได้รับพรจากสวรรค์ให้สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ในเวลาอันสั้น แม้ว่าจะเกินจริง แต่ก็ไม่เท่าไหร่ ”
เขาประสบความสำเร็จได้อย่างในตอนนี้ นอกจากพรสวรรค์ของตัวเองแล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับความขยันหมั่นเพียรและความเอาใจใส่ของผู้อาวุโสด้วย
สวี่ชีอันสรุปว่าที่เขาบังเอิญเจอแต่ความโชคดีทุกครั้งนั้นเป็นเพราะโชคชะตา
“ข้ารู้แค่ว่าผู้ที่มีโชคชะตาไม่อาจอยู่ค้ำฟ้าได้ อืม พูดให้ถูกคือมีชะตาบ้านเมืองติดตัว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีจักรพรรดิที่มีชีวิตเป็นอมตะอยู่ในโลก”
เสินซูชะงักกลางอากาศและจ้องมองเขา
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ที่มีโชคชะตาสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและพูดว่า
“อาจเป็นเพราะชะตาบ้านเมืองแตกต่างกับโชคชะตาส่วนบุคคลหรือไม่”
เสินซูถามกลับอีกครั้ง
“เช่นนั้น จักรพรรดิทุกองค์ในประวัติศาสตร์ก็สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง แล้วเหตุใดคนอื่นถึงทำไม่ได้ แต่เจ้าทำได้”
สวี่ชีอันตกตะลึง “นั่น นั่น…”
เขาอยากพูดออกมาอย่างลืมตัวว่า จักรพรรดิเกาจู่กับจักรพรรดิอู่จงแห่งต้าฟ่งก็ทำได้เช่นกัน
แต่ต่อมาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าจักรพรรดิทั้งสองจะเลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่งได้ แต่นั่นก็หลายปีผ่านไป
แถมพวกเขายังเริ่มต้นจากขั้นสาม
เขาตั้งสมาธิและออกหมัด
“ผู้น้อยเองก็ไม่ทราบ แต่ผู้น้อยมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะเรื่องหนึ่ง”
“ว่ามา”
“จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งในที่ราบตอนกลางอยู่ขั้นสามก่อนที่จะประกาศตนเป็นจักรพรรดิ หลังจากประกาศตนเป็นจักรพรรดิถึงเลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่ง หนึ่งร้อยปีต่อมา หลานชายของเขาก็ก่อกบฏและชิงบัลลังก์ไป แล้วก็เป็นเช่นเดียวกัน” สวี่ชีอันพูดรัวเร็ว
“มันมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง”
“มันไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง แต่เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าพวกเขาเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งเพราะดวงชะตาติดตัว”
เสินซูเอ่ย “เจ้ามีปัญหาด้านความเข้าใจเรื่องดวงชะตาติดตัว มองด้านเดียวเกินไป ผู้ที่มีดวงชะตาติดตัวแตกต่างกับคนธรรมดาทุกด้าน และมันปรากฏออกมาในทุกๆ ด้าน แต่ในสายตาของเจ้า ดูเหมือนดวงชะตาติดตัวจะทำให้ก้าวเข้าสู่ระดับบรรลุธรรมและตบะก็จะเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน จริงอยู่ว่า ผู้ที่มีดวงชะตาติดตัวจะได้รับผลประโยชน์ด้านการฝึกฝน โชคดีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันมีบทบาทแค่สนับสนุนเท่านั้น ทำให้เจ้าไม่ออกนอกลู่นอกทางบนเส้นทางแห่งการฝึกฝน แต่หากเจ้าคิดว่าดวงชะตาติดตัวสามารถทำให้เลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ ถึงขนาดขั้นหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าก็คิดเรื่องโชคชะตามากเกินไปและมองขั้นหนึ่งน้อยเกินไป”
ม่านตาของสวี่ชีอันขยายเล็กน้อย
“ตัวเจ้ายังคงมีความลับอยู่ รอให้ถูกค้นพบ น่าเสียดายที่ความทรงจำของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ จึงไม่อาจให้ความเห็นได้มากนัก แต่มีคำถามสองข้อให้ไปครุ่นคิด หนึ่ง ชะตาบ้านเมืองบนร่างมาได้อย่างไร สอง เทียบกับจักรพรรดิที่มีโชคชะตาติดตัวเหล่านั้น โชคชะตาบนร่างเจ้าแตกต่างกันอย่างไร”
โชคชะตาบนร่างข้า สวี่ผิงเฟิงเป็นคนเทเข้ามา สิ่งที่ต่างจากจักรพรรดิทั่วไปคือ มันผ่านการกลั่นงั้นหรือ ใช่ เสินซูพูดถูก ตลอดเวลาที่ผ่านมา สวี่ผิงเฟิงพะว้าพะวังเรื่องความเร็วในการเลื่อนขั้นตบะของข้า
ลองคิดดู หากเขารู้ว่าผู้ที่มีโชคชะตาถูกกำหนดให้เลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรม เลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่งได้ ด้วยความเฉลียวฉลาดของสวี่ผิงเฟิง เขาจะสนับสนุนเชื้อสายราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนเพื่ออะไร สนับสนุนข้าโดยตรงเลยไม่ดีกว่าหรือ
ทหารระดับหนึ่งก็เพียงพอที่จะผลักดันสำเนาของต้าฟ่งแล้ว
นี่มันหมายความว่าอย่างไร นี่หมายความว่าเขารู้ว่าโชคชะตาสามารถเพิ่มตบะได้และบังเอิญเจอแต่ความโชคดีตลอดเวลา แต่ยังไม่ถึงระดับเกินจริงเช่นนั้น
ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัจฉริยะด้านศิลปะการต่อสู้ กองกำลังนับพันนับหมื่นของเมืองเฉียนหลงเหมาะจะร่วมมือด้วยมากกว่า
กล่าวคือ โชคชะตาช่วยให้ตบะของข้าเพิ่มขึ้นจริงๆ แต่ข้ามีตบะเช่นในทุกวันนี้ได้ ยังมีเหตุผลอื่นอีก
เหตุผลนี้น่าจะเป็นเรื่องของโชคชะตา แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตาเท่านั้น
สวี่ชีอันเงียบอยู่นาน ก่อนถอนหายใจออกมาช้าๆ
“ท่านผู้อาวุโสรู้เบื้องหลังของสงครามพุทธและปีศาจเมื่อห้าร้อยปีก่อนหรือไม่”
“ข้าลืมไปแล้ว”
ลำตัวของเสินซูเอ่ยเสียงขรึม “ข้าจำได้แค่ช่วงเวลาอันโรแมนติกกับเจ้าอาณาจักร มันวิเศษมาก”
วิญญาณต้นไม้เฒ่าเดาถูก เสินซูเป็นคนรักของจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจจริงๆ สวี่ชีอันประหลาดใจ
“นอกจากนี้ล่ะ ท่านจำอะไรได้อีก”
คำตอบของเขาคือความเงียบ ผ่านไปสักพักหนึ่ง ลำตัวของเสินซูก็กล่าวช้าๆ
“พวกเรามีลูกคนหนึ่ง เป็นจิ้งจอกน้อยน่ารัก ตอนนี้นางเป็นผู้นำของเหล่าปีศาจทางใต้…”
เวรแล้ว…สวี่ชีอันไม่ได้สบถออกมานานมาก อันที่จริงข้อมูลนี้น่าตื่นตะลึงเกินไป
จิ้งจอกเก้าหางเป็นลูกสาวของเสินซูงั้นหรือ นางเป็นลูกสาวของเสินซูจริงๆ หรือ?!
แต่มันไม่ถูกต้อง ผู้พิทักษ์ชิงมู่เคยบอกว่า องค์หญิงเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสายเลือดบริสุทธิ์ แล้วนางจะเป็นลูกสาวของเสินซูได้อย่างไร
ไม่สิ ตอนนั้นผู้พิทักษ์ชิงมู่เป็นเพียงปีศาจชั้นผู้น้อย แม้ลำดับอาวุโสจะสูงขึ้น เขาก็ยังเป็นปีศาจชั้นผู้น้อย จึงไม่ได้รู้เบื้องหลังมากนัก
แต่เสินซูไม่จำเป็นต้องโกหกข้า
เสินซูเป็นคนรักเก่าของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจและให้กำเนิดลูกสาวหนึ่งคน สำนักพุทธกวาดล้างอาณาจักรหมื่นปีศาจและเสินซูก็เป็นคนของสำนักพุทธ เสินซูกับพระพุทธเจ้ามีข้อตกลงกันที่ไม่มีใครรู้…เวรเอ๊ย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!
สวี่ชีอันใจเต้นรัว
“ท่านผู้อาวุโส ท่านยังจำตัวตนของตัวเองได้หรือไม่” เขาพูดหยั่งเชิง
“ข้าหมายถึงตัวตนในสำนักพุทธของท่าน”
“ข้า…จำไม่ได้แล้ว”
ลำตัวของเสินซูพึมพำ “ข้าจำได้แค่ช่วงเวลาที่อยู่กับนาง จำได้แค่ตอนนั้นพระพุทธเจ้าฆ่านาง ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจำไม่ได้เลย”
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีนิสัยค่อนข้างอ่อนโยนและไม่มีพลังงานด้านลบมากนัก…สวี่ชีอันไม่ได้ถามอะไรต่อ
…
บนคลองมีเรือรบสามลำ
หลังจากทานอาหารกลางวัน สวี่เอ้อร์หลางก็นั่งอยู่ที่โต๊ะ จับพู่กันและเขียนจดหมายถึงที่บ้านฉบับแรกอย่างจริงจัง
อาสะใภ้กลัวว่าลูกชายจะประสบอุบัติเหตุ จึงขอให้เขาเขียนจดหมายถึงที่บ้านทุกๆ สองวัน
‘ท่านแม่ การใช้ชีวิตโดยลอยอยู่บนน้ำทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย’
การเขียนจดหมายถึงที่บ้านโดยใช้ภาษาพูดเช่นนี้ทำให้สวี่เอ้อร์หลางอึดอัดเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงระดับการศึกษาของพ่อกับแม่ จดหมายถึงที่บ้านรูปแบบนี้เข้าใจง่ายสำหรับพวกเขา
‘กลับกันเป็นหลิงอินที่ชอบนั่งเรือมาก นอกจากไม่ค่อยฉลาดแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่มีจุดอ่อนเลย ข้าได้ยินจากเหล่าเพื่อนร่วมงานว่า สถานการณ์ในชิงโจวเยี่ยมยอดมาก กลุ่มกบฏพ่ายแพ้ต่อกองทัพของราชสำนักจนล่าถอยไปเรื่อยๆ ดังนั้นท่านแม่ไม่ต้องกังวลไป ลูกจะกลับไปพร้อมชัยชนะในไม่ช้า ท่านดูแลตัวเองให้ดีที่เมืองหลวง ไม่ต้องเป็นห่วงข้า หลิงอินมีพี่ใหญ่ดูแล นางจะไม่เป็นอะไร หากที่บ้านประสบกับปัญหา จำไว้ว่าพูดคุยกับหลิงเยวี่ยให้มากๆ สติปัญญาของหลิงเยวี่ยอาจไม่ดีเท่าท่าน แต่คนยิ่งมาก ความคิดก็ยิ่งมาก หลิงอินไม่ถูกรังแกเลยบนเรือ พวกทหารชอบนางมาก ชมว่านางสมกับที่เป็นน้องสาวของพี่ใหญ่ ทั้งกล้าหาญและไร้เทียมทาน’
สวี่เอ้อร์หลางครุ่นคิดแล้วขีดฆ่าบรรทัดนี้ ก่อนจะเขียนใหม่
‘ชมว่านางสมกับที่เป็นน้องสาวของพี่ใหญ่ ฉลาดเป็นกรด ในอนาคตต้องเป็นกุลสตรีที่ดูดีและเปี่ยมด้วยความรู้อย่างแน่นอน…’
หลังเขียนจดหมายถึงที่บ้านเสร็จ เขาก็เป่าหมึกให้แห้งและยัดกระดาษเขียนจดหมายลงในซองจดหมาย
เวลานี้ แสงใสสองดวงสว่างขึ้นภายในห้อง จางเซิ่นกับหลี่มู่ไป๋ที่สวมชุดคลุมและผ้าโพกศีรษะทรงสี่เหลี่ยมก็ปรากฏตัวขึ้น
“ท่านอาจารย์ ท่านมู่ไป๋”
สวี่ซินเหนียนตะลึง ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ “พวกท่านมาได้อย่างไร”
จางเซิ่นลูบเครา
“สถานการณ์ในชิงโจวไม่สู้ดี หยางกงเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือไปถึงเจ้าสำนักศึกษา เจ้าสำนักศึกษาจึงให้ข้ากับมู่ไป๋ไปเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการให้หยางกงที่ชิงโจว”
ความสุขจากการได้พบกันอีกครั้งสลายไปทันที สวี่ซินเหนียนถามเสียงขรึม
“ฆราวาสจื่อหยางเขียนบนจดหมายว่าอย่างไรหรือขอรับ”
หลี่มู่ไป๋เอ่ย “แนวป้องกันแรกของชายแดนชิงโจวแตกแล้ว จื่อเชียนสั่งให้เสริมกำแพงและเคลียร์พื้นที่รอบนอก รวบรวมผู้ลี้ภัย ใช้กลยุทธ์ยึดมั่นไม่ออกไปและรอกำลังเสริม”
สวี่ซินเหนียนกางแผนที่ของชิงโจวทันที พินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งและกล่าวว่า
“แผนการนี้ฉลาดมาก”
ชิงโจวมีเนื้อที่นับหมื่นลี้ มีความลึกเชิงกลยุทธ์มากพอ ยึดติดกับชายแดนไปก็เปล่าประโยชน์
แถมทหารอารักขาของต้าฟ่งที่อยู่ในทำเลได้เปรียบก็เสริมกำแพงและเคลียร์พื้นที่ กลยุทธ์ป้องกันเมืองโดยไม่ออกไปจึงเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง
จางเซิ่นส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
“ฉือจิ้ว เจ้าอย่าลืมว่า ภิกษุและทหารจากดินแดนประจิมทิศยังไม่ได้เข้าร่วม หากไม่คาดการณ์ไว้ก่อนว่า สำนักพุทธจะส่งกองทัพมาจู่โจมเล่ยโจวและเมืองอื่นในเร็วๆ นี้ เพื่อตรึงราชสำนัก บีบให้ราชสำนักเจอศึกสองด้าน เวลานั้น ชิงโจวจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ ‘น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ’”
หลี่มู่ไป๋เสริม “บวกกับผู้ลี้ภัยและกลุ่มโจรมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ภายในไม่มั่นคง สถานการณ์จึงน่าเป็นห่วง จื่อเชียนคาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้ไว้แล้ว หลังครุ่นคิดอย่างหนักเรื่องวิธีรับมือซึ่งไร้ผล เขาก็เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือมาถึงเจ้าสำนักศึกษา”
สีหน้าของสวี่ซินเหนียนหม่นลง
…
ยามพลบค่ำ เมื่อพระอาทิตย์กำลังตกดิน
เขาหมื่นปีศาจเป็นศูนย์กลางของภูเขานับหมื่นในซินเจียงตอนใต้ ลักษณะภูเขาไม่สูง แต่ใหญ่เป็นพิเศษราวกับยักษ์นอนตะแคง ทอดยาวหลายสิบลี้
และนี่เป็นเพียงยอดเขาหลักเท่านั้น
ในฐานะแดนสุขาวดีแห่งหนึ่งในซินเจียงตอนใต้ เขาหมื่นปีศาจนั้นงดงามไร้ที่ติ อุดมไปด้วยปราณวิญญาณ และให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ปีศาจมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ปัจจุบันจำนวนปีศาจที่อาศัยอยู่ในภูเขายังคงมีจำนวนมาก แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป พวกมันก็เปลี่ยนจากเจ้านายเป็นทาส
สำนักพุทธเข้ามาปกครองที่นี่
วัดหนานฝ่าตั้งอยู่บนยอดเขาและเป็นอาคารที่สูงที่สุดในอาณาจักรตอนใต้
หลังจากสำนักพุทธยึดครองเขาหมื่นปีศาจก็ทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่ ตัดไม้ เคลียร์ทาง และสร้างเมืองขนาดใหญ่ขึ้นที่นี่
สวี่ชีอันในชุดคลุมเดินอยู่บนถนนในเมือง ‘อาณาจักรตอนใต้’ ข้างกายคือเย่จี ซุนเสวียนจีและเหมียวโหย่วฟาง
พวกเขาต่างก็สวมชุดคลุมแบบเดียวกัน
“เจี๊ยกๆ…”
เสียงลิงร้องแหลมสูงดึงดูดความสนใจของสวี่ชีอัน
ริมถนนมีคนกำลังโชว์ละครลิงอยู่ ลิงน้อยขนสีเหลืองเดินไปพบปะผู้คน โค้งคำนับและขอเงิน หากคนที่สัญจรไปมาไม่ให้ มันก็จะตีลังกา ทำหน้าทะเล้น หรือคุกเข่าคารวะ
“ทั้งหมดคือปีศาจน้อยที่ยังไม่แปลงกาย”
สวี่ชีอันหยิบเศษเงินออกมาโยนให้ ลิงน้อยขนสีเหลืองเก็บเศษเงินขึ้นมา คุกเข่าคารวะ หน้าผากกระแทกพื้นเสียงดังปั๊ก
นัยน์ตาของเย่จีฉายแววโศกเศร้า
“เพราะปีศาจน้อยที่ยังไม่แปลงกายนั้นควบคุมได้ง่ายที่สุด”
เผ่าพันธุ์ปีศาจแบ่งเป็นสองประเภท หนึ่งคือสัตว์ที่เปิดปัญญา ผ่านการฝึกฝนด้วยตนเอง กลายเป็นปีศาจที่ยิ่งใหญ่ทีละก้าวๆ
และลูกหลานที่ขยายพันธุ์โดยพวกมันจะกลายเป็นปีศาจโดยกำเนิดเช่นเดียวกับมนุษย์ และจะเปิดปัญญาโดยอัตโนมัติ นี่คือปีศาจอีกประเภท
เผ่าพันธุ์ปีศาจในเขาหมื่นปีศาจ โดยทั่วไปแล้วเป็นลูกหลานของปีศาจที่ยิ่งใหญ่ในตอนนั้น
แม้ว่ารูปร่างของพวกมันจะเป็นสัตว์ แต่ก็มีสติปัญญาที่สูงมาก
ไป๋จีเป็นตัวอย่าง
“น่าจะมีปีศาจที่แปลงกายด้วยใช่หรือไม่” เหมียวโหย่วฟางถาม
“มีแน่นอน แต่หายากมาก ส่วนใหญ่เป็นทาสไม่ก็พาหนะที่วัด หรือถูกขุนนางชั้นสูงในเมืองควบคุม”
เย่จีเอ่ยว่า “ขุนนางชั้นสูงในดินแดนประจิมทิศมักเลี้ยงดูปีศาจที่แปลงกายได้เพื่อใช้เป็นทาสศึก โดยมีข้อยกเว้นบางประการ”
“ข้อยกเว้นบางประการหรือ”
เหมียวโหย่วฟางถามต่อ
เย่จียิ้มหยัน “ตัวอย่างเช่น ปีศาจสาวแสนสวยจะกลายเป็นของเล่นของพวกเขา ซึ่งยังถือว่าได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนที่ได้รับการดูแลไม่ดีจะถูกส่งไปยังกองทัพ…”
นางไม่ได้พูดต่อ แต่เหมียวโหย่วฟางก็สามารถเดาได้
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
…
บนเจดีย์ของวัดหนานฝ่า อาซูหลัวผู้มีรูปร่างกำยำยืนอยู่บนยอดเจดีย์ มองเมืองอันงดงามยามค่ำคืน
ตอนนี้เอง เขาถอนสายตากลับแล้วมองไปที่เงาใต้เจดีย์
ร่างเงาในชุดคลุมและหมวกคลุมศีรษะปรากฏขึ้นตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ
…………………………………………