ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 649 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (1)
บทที่ 649 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (1)
“ผู้อาวุโสเย่จีสลบไปอีกแล้ว”
ยามรุ่งอรุณ หงอิงยืนบนยอดผาทิศใต้ของหุบเขา ดวงตาแนวตั้งสีอำพันก้มมองภูเขาอันไกลโพ้น
เขามีความสามารถในการมองเห็นในที่มืดระดับสูง แม้เป็นค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ ก็ค้นหาเป้าหมายที่ไกลโพ้นในป่าทึบจากบนท้องฟ้าได้
ผู้อาวุโสเย่จีปะทะกับอาซูหลัวที่วัดหนานฝ่า ไม่กล้ารับรองว่าอีกฝ่ายจะไม่สืบเสาะตามมา การรักษาไว้ซึ่งความระแวดระวังเป็นหลักการสำคัญ
วานรขาวปากยื่นยืนใต้ต้นไม้ ดวงตาสีครามกระจ่างมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า
“ใจเจ้าบอกข้า…”
“หยุดๆๆ!”
หงอิงรีบขัดจังหวะ เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “สืบเสาะความคิดในใจผู้อื่น เป็นเรื่องไร้มารยาทนัก”
เขาฝืนสำรวมความคิด ไม่ให้ตนเองด่าสาดเสียเทเสียในใจ
วานรขาวพูดช้าๆ
“นับวันเจ้ายิ่งเหมือนขุนนางเผ่ามนุษย์ ชอบประจบประแจง ไม่ยอมล่วงเกินผู้ใด แต่เจ้าลืมว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์วิหคแดงอันหยิ่งผยอง เป็นราชันแห่งท้องนภา?”
หงอิงคล้อยตาม “เจ้าพูดถูก นี่เป็นจุดอ่อนของข้า ข้าจะต้องแก้ไข”
วานรขาวมองเขาแวบหนึ่ง “แต่ใจเจ้าบอกข้าว่า ‘ลูกไม้นั้นของขุนนางมนุษย์สั่งสมเส้นสายปีศาจได้อย่างรวดเร็ว อาศัยพวกพ้อง จึงได้รับผลดี แม้ไม่อาจได้รับผลดี ก็ย่อมไม่มีผลร้าย ลิงโง่เรียกตนว่าราชาได้แต่ในภูเขา กักขฬะ!’”
หงอิงมุมปากกระตุกอย่างแรง
เขาไม่ชอบผู้พิทักษ์หยวน เพราะลิงน่ารำคาญตัวนี้สามารถอ่านใจได้
โชคดีที่หงอิงไม่ใช่คนหน้าบาง ประสบการณ์ชีวิตปีศาจโชกโชน ตีหน้าตายเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
“ผู้พิทักษ์ชิงมู่บอกว่า ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ได้เพียงสองวัน”
วานรขาวไตร่ตรองชั่วครู่ ตอบว่า
“ยี่สิบปีก่อน ยุทธการด่านซานไห่ ผู้ที่เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรหมื่นปีศาจของพวกเราคือสำนักพ่อมด เผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ เผ่าอนารยชน และเผ่าพันธุ์กู่ แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือกับพวกเราไม่ได้สืบเชื้อสายเดียวกัน แต่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจเช่นเดียวกัน ความเป็นไปได้สูงนัก
“ยอดฝีมือสำนักพ่อมดกับเผ่าพันธุ์กู่ก็เป็นไปได้ อืม ท่านจอมมารบอกว่าคนผู้นั้นสามารถช่วยผู้อาวุโสเย่จี งั้นยอดฝีมือสำนักพ่อมดก็เป็นไปได้มากที่สุด วิชาวิญญาณโลหิตของพ่อมดอาจกำจัดพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ได้”
ความสัมพันธ์ของผู้อาวุโสเย่จีกับสวี่ชีอัน รวมทั้งแผนการของจิ้งจอกเก้าหาง ผู้พิทักษ์เช่นพวกเขานี้ไม่มีสิทธิ์รู้
พวกเขาถึงขนาดไม่ค่อยรู้จักบุคคลเช่นฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งนี้ ภูเขาสือว่านชายแดนใต้กับต้าฟ่งห่างไกลกัน ซ้ำยังไม่ได้ไปมาหาสู่ ไม่ค่อยได้ยินข่าวคราว
จู่ๆ หงอิงก็พูดเสียงขรึม “มีคนเข้าใกล้!”
เขาจ้องท้องฟ้ายามค่ำคืนไกลๆ เขม็ง
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ร้อง ‘เอ๊ะ’ ขึ้นมา “ผู้อาวุโสไป๋จี?”
วานรขาวที่ลมหายใจเริ่มหอบถี่ ราวกับชะงักกะทันหัน หันหน้ามองเขาอย่างงงงวย
หงอิงอธิบายว่า “ผู้อาวุโสไป๋จีพาชายผู้หนึ่งกลับมา”
“ชาย?”
“อืม เหมือนจะไม่ใช่พ่อมด แต่เป็นจอมยุทธ์…” หงอิงจ้องที่ไกลๆ เขม็ง
“จอมยุทธ์?!” วานรขาวยิ่งงงงวย
หงอิงไม่ตอบอีก เพราะคนผู้นั้นเหินฟ้าด้วยความเร็วสูง ห่างจากยอดเขาที่ทั้งสองอยู่ไม่ถึงสามร้อยเมตร ด้วยระยะนี้ วานรขาวเองก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
‘พลั่ก’…สวี่ชีอันเหินลงสู่ยอดเขา กวาดตามองเผ่าพันธุ์ปีศาจสองตนข้างหน้าแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
“ผู้พิทักษ์หงอิง ผู้พิทักษ์หยวน”
ไป๋จีหมอบอยู่บนหัวสวี่ชีอัน โบกอุ้งเท้าหน้าสองข้างอย่างร่าเริง ใช้เสียงเด็กอ่อนหวานร้องเรียก
“ผู้อาวุโสไป๋จี ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ผู้พิทักษ์หงอิงพูดอย่างแปลกใจ
“ข้ารับบัญชาจากองค์หญิง กลับชายแดนใต้มาช่วยพี่หญิงเย่จี”
ไป๋จีพูดเสียงหวาน
“ท่านนี้คือ…”
หงอิงกับวานรขาวมองสวี่ชีอันพร้อมกัน ขอเพียงมีสมองหน่อยย่อมรู้ว่า ผู้ช่วยที่ท่านจอมมารพูดถึง ไม่ใช่ผู้อาวุโสไป๋จีอย่างแน่นอน
มันยังเป็นเพียงลูกจิ้งจอก
สวี่ชีอันยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าเรียบเฉย ทั้งไม่เย็นชาและไม่เร่าร้อน เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผย แสดงบุคลิกของยอดฝีมือ
ไป๋จีแนะนำเสียงหวาน “ท่านนี้คือฆ้องเงินสวี่ ฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่ง เคยได้ยินหรือไม่”
หงอิงกับวานรขาวมองกันแวบหนึ่ง คนแรกพูดทันที
“ท่านคือบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงจากปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนักต้าฟ่ง เลื่องชื่อว่าผู้วิเศษไขคดีที่แม่นยำเที่ยงตรง?”
วานรขาวก็พูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ที่แม้ตัวอยู่ในคุก แต่สามารถไขคดีพิสดาร เผชิญหน้าทหารกบฏหลายหมื่นนายที่อวิ๋นโจว?”
…สวี่ชีอันคิดในใจว่า นี่มันนมนานกาเลแล้ว เจ้าสองคนในชนบทเพิ่งรู้ข่าวหรือ
ไป๋จีขยับเข้าใกล้ข้างหูเขา กระซิบว่า
“ผู้พิทักษ์สองท่านรับหน้าที่ดูแลชายแดนใต้ ไม่เคยออกนอกภูเขาสือว่าน ไม่สนใจเรื่องในต้าฟ่ง”
ยามนี้ วานรขาวปากยื่นขมวดคิ้วพูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ไขคดีพิสดาร เผชิญหน้าทหารกบฏที่อวิ๋นโจว เป็นเรื่องเมื่อปลายปีที่แล้ว ไม่นับว่านมนานกาเลกระมัง นอกจากนี้ ในชนบทเพิ่งรู้ข่าวคืออะไร”
สวี่ชีอันตกใจ “เจ้าอ่านใจข้าได้”
วานรขาวพยักหน้า “การอ่านใจเป็นพลังวิเศษพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์ข้า นอกจากนี้ วัยเด็กข้าเคยเป็นปีศาจทาสรับใช้ที่วัดเหลี่ยงฉาน ลักลอบเรียนวิชาอ่านใจแห่งสำนักพุทธ”
วิชาอ่านใจแห่งสำนักพุทธ พร้อมด้วยพลังวิเศษพรสวรรค์อ่านใจ? สวี่ชีอันพินิจวานรขาว สำรวมความคิดเงียบๆ
เรื่องเช่นฆ้องเงินสวี่เป็นพวกลามกนี้ ต้องปิดเป็นความลับอย่างเด็ดขาด
ด้วยพลังจิตขั้นสามของเขา การสำรวมความคิดไม่ให้คนนอกสืบเสาะยังสามารถทำได้
“พี่หญิงเย่จีล่ะ?”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยถาม
หงอิงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“เมื่อคืนก่อนผู้อาวุโสเย่จีไปสอดแนมที่วัดหนานฝ่า ถูกอาซูหลัวบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรทำร้าย อาซูหลัวนั้นถึงระดับเต๋าแยกขันธ์ พลังแข็งแกร่งนัก ไร้ทางกำจัด ยามนี้ผู้อาวุโสเย่จีอยู่ได้อีกเพียงวันเดียว
“พระนางบอกว่า ไม่นานจะมียอดฝีมือมาช่วย…”
พูดจบ มองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส “หรือจะเป็นฆ้องเงินสวี่?”
วานรขาวข้างๆ พูดเสียงเรียบ
“ใจหงอิงบอกข้า ‘คงไม่ใช่เจ้าเด็กผู้นี้กระมัง อย่างมากก็แค่ขั้นสี่ อย่าว่าแต่ช่วยผู้อาวุโสเย่จี อุดซอกฟันให้อาซูหลัวยังไม่พอเลย’”
หงอิงหน้าเจื่อนเล็กน้อย เผยรอยยิ้มอึดอัดแต่ไม่เสียมารยาท
“ผู้พิทักษ์หยวนดีไปเสียทุกอย่าง แต่เพราะอยู่วัดนานหลายปี จึงติดนิสัยเถรตรงมาด้วย”
ฝ่ายหนึ่งคือปีศาจวิหคที่คบค้าสมาคมเก่งนัก อีกฝ่ายคือวานรที่อ่านความคิดในใจผู้อื่นได้ แต่เถรตรงเกินควร…สวี่ชีอันแปะป้ายให้ผู้พิทักษ์ทั้งสองในใจ
“ข้ากับผู้อาวุโสเย่จีเป็นสหายเก่า พาข้าไปเจอนาง นอกจากนี้ ผู้ติดตามของข้ายังอยู่ข้างหลัง รบกวนผู้พิทักษ์หงอิงไปรับหน่อย เขาชื่อเหมียวโหย่วฟาง”
มีไป๋จีรับรอง ผู้พิทักษ์สองท่านเชื่อเขา วานรขาวพาสวี่ชีอันเข้าหุบเขา หงอิงแปลงร่างเป็นวิหคยักษ์สีแดงโผบินออกไป
ผู้พิทักษ์ทั้งสองคิดว่า ผู้ช่วยที่ท่านจอมมารพูดถึงเกี่ยวข้องกับฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งผู้นี้ หรืออาจเป็นคนเบื้องหลังฆ้องเงินผู้นี้
เขาเป็นเพียงบ่าวหน้ารถม้าที่ยอดฝีมือผู้นั้นส่งมาสำรวจเส้นทาง
สวี่ชีอันกวาดตามองของตกแต่งในถ้ำหิน ชะงักเล็กน้อย การออกแบบของที่นี่ช่างเหมือนห้องนอนในหออิ่งเหมยสำนักสังคีต
เพียงชั่วภวังค์ ราวกับเขากลับสู่สำนักสังคีตเมืองหลวงอีกครั้ง
นั่นเป็นช่วงที่เขาสบายใจที่สุดและมีความสุขที่สุด
ที่แท้ช่วงเวลาส่วนหนึ่งของข้า หลงเหลืออยู่กับฝูเซียงที่นี่…
“พี่หญิงเย่จี!”
ไป๋จีกระโดดลงจากหัวสวี่ชีอัน สี่เท้าราวกับโผบิน วิ่งไปข้างเตียง ออกแรงกระโจน ท้องน้อยชนขอบเตียงอย่างไม่น่าแปลกใจ ขาหลังดิ้นรนปีนป่ายเล็กน้อย ในที่สุดก็ขึ้นเตียงได้
มันคล้ายรับรู้ถึงอันตราย ไม่ได้บุ่มบ่ามไปแตะต้องหญิงงามบนเตียง
สวี่ชีอันกวาดตามองตามมัน จากนั้นทอดมองผู้ชราที่ทั่วร่างเป็นสีเขียวข้างเตียง เขากุมไม้เท้าที่มีเถาวัลย์เกี่ยวพัน จ่อหน้าผากหญิงสาว แสงสว่างสีเขียวกระจ่างหลั่งไหลเข้าไปราวกับสายน้ำ
เมื่อเห็นคนนอกเข้ามา ผู้ชราผมเขียวคิ้วเขียวเคราเขียวเก็บไม้เท้า มองมาด้วยสายตาอ่อนโยน
วานรขาวแนะนำว่า
“ท่านนี้คือเคาะยามบอกเวลาแห่งต้าฟ่ง ฆ้องเงินสวี่”
จากนั้นก็แนะนำผู้พิทักษ์ชิงมู่
“ผู้พิทักษ์ชิงมู่คือผู้เฒ่าอายุยืนในเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเรา มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี เล่ากันว่าเฝ้าดูท่านจอมมารรุ่นก่อนเติบโต ท่านจอมมารในยามนี้ของพวกเราเจอเขา ยังต้องเรียกว่าท่านปู่”
ตบะไม่นับว่าสูง แต่ลำดับอาวุโสสูงจนน่าตกใจ ไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นร่างธรรมที่เกิดจากวิญญาณไม้รวมตัวกัน…สวี่ชีอันลอบตัดสินใจ ประสานมือพูดว่า
“คารวะผู้พิทักษ์ชิงมู่”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่โบกมือรัวๆ สะทกสะท้าน
“มิกล้าๆ ท่านเป็นจอมยุทธ์บรรลุธรรม เรียกผู้ชราว่าชิงมู่ก็พอ”
‘จอมยุทธ์บรรลุธรรม? เขาคือผู้ช่วยที่ท่านจอมมารหามา ไม่ใช่บ่าวหน้ารถม้าที่สำรวจเส้นทางแทนผู้อยู่เบื้องหลัง’…สองตาสีครามเข้มของวานรขาวเบิกกว้างในชั่วพริบตา มองสวี่ชีอันอย่างเหลือเชื่อ
ถ้าข่าวกรองไม่ผิดพลาด สวี่ชีอันคือผู้มีชื่อเสียงจากปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนัก อีกทั้งในข่าวกรองบอกว่า คนผู้นี้เป็นผู้วิเศษไขคดี ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้วิเศษบำเพ็ญพรต
ไม่ใช่ ไม่ว่าผู้วิเศษเช่นไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนขั้นจากระดับสามัญสู่บรรลุธรรมในเวลาเพียงปีกว่า
วานรขาวใจกระตุกวูบ ลอบคาดเดาในใจ
‘คนตรงหน้าไม่ใช่ฆ้องเงินสวี่ แต่แอบอ้างฉายาของเขา’
ด้วยระดับการควบคุมพลังปราณในยามนี้ของข้า คนทั่วไปไม่อาจค้นพบระดับแท้จริงของข้า ทุกคนในเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์…สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
“ผู้ชราเพียงมีความรู้สึกไวต่อชีวิต ท่านมีพลังโลหิตกว้างใหญ่ราวกับผืนน้ำ มีเพียงระดับบรรลุธรรมถึงมีปราณชีวิตมหาศาลเช่นนี้” ผู้พิทักษ์ชิงมู่นอบน้อมยิ่งนัก
สวี่ชีอันพยักหน้า ไม่คุยไร้สาระอีก “ให้ข้าดูนางหน่อย”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ถอยหลังทันที หลีกทางให้เขา
สวี่ชีอันถือโอกาสนั่งข้างเตียง สังเกตหญิงงามที่สลบไสล แววตาตกตะลึง
เทียบกับหญิงงามที่มีเสน่ห์สตรีในหอห้องผู้นั้นแห่งหออิ่งเหมย ฝูเซียงตรงหน้าเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง เส้นโค้งตรงแก้มบรรจบตรงคาง วาดเค้าโครงใบหน้ารูปแตงสวยหยาดเยิ้ม
ปากแดงจิ้มลิ้ม กลีบปากกลับอวบอิ่ม ยั่วยวนโดยกำเนิด
จมูกเชิดรั้น ขนตาหนาเป็นแพ คิ้วเรียวยาวตรงแน่ว หางตาแดงระเรื่อ
ในบ่อปลาของสวี่ชีอัน ไม่มีผู้ใดสวยหยาดเยิ้มกว่านาง
“สมกับเป็นปีศาจสาว…”
สวี่ชีอันหัวเราะในใจ สายตาเลื่อนไปข้างล่าง กวาดตามองหน้าอกที่ดันผ้าห่มบางขึ้นสูงแวบหนึ่ง จากนั้นคว้าข้อมือของฝูเซียงขึ้นมา
‘ปึง’
ระลอกคลื่นสีทองสั่นสะท้านตามแรงกระตุ้น กระแทกหน้าอกสวี่ชีอัน ราวกับคลื่นทะเลซัดสาดหินโสโครก ไม่อาจสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้พิทักษ์หยวนเชื่อโดยสิ้นเชิงว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’ ผู้นี้ตรงหน้าเป็นขั้นสามอย่างไม่ต้องสงสัย
พลังระดับเต๋าแยกขันธ์ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับขั้นสี่ต้านทานได้อย่างแน่นอน
“เป็นอย่างไร”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ข้างๆ ถาม
ไม่รอให้สวี่ชีอันตอบ ผู้พิทักษ์วานรขาวพูดว่า
“ใจเขาบอกข้า ‘ข้าพอใจร่างกายนี้ยิ่งนัก คืนนี้จะเข้าหอ’”
พูดจบ ผู้พิทักษ์วานรขาวมีสีหน้าตกตะลึง ยืนอยู่กับผู้พิทักษ์ชิงมู่ จ้องสวี่ชีอันอย่างระแวง
ข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียว…สวี่ชีอันรีบสำรวมความคิด กระแอมเล็กน้อย
“ข้ากำจัดพลังแยกขันธ์ในร่างนางได้ พวกเจ้าหลบไปก่อน”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่กับผู้พิทักษ์วานรขาวมองเขาเงียบๆ บนใบหน้าเขียนคำว่า ‘อย่าแม้แต่จะคิด’
ช่างเถอะ…สวี่ชีอันอัญเชิญเจดีย์พุทธะออกมา เจดีย์สีทองอร่ามขนาดเท่าฝ่ามือลอยเหนือเตียง
“เจดีย์พุทธะ?!”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ร้องเสียงแหลมขึ้นมา
วานรขาวไม่รู้จักของวิเศษชิ้นนี้ แต่รับรู้ได้ถึงพลังพุทธะที่ซ่อนแฝงอยู่ในนั้น
ในสายตาที่พวกเขามองสวี่ชีอัน ความหวาดระแวงเริ่มแรงกล้า เริ่มสงสัยแล้วว่าเขาใช่ผู้ช่วยที่ท่านจอมมารพูดถึงหรือไม่
ผู้พิทักษ์ชิงมู่ลอบกุมไม้เท้าเถาวัลย์ในมือแน่น
ผู้พิทักษ์วานรขาวเริ่มมีขนสีขาวขึ้นตรงแก้ม
เหล่าปีศาจสาวในถ้ำก็ราวกับเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
ไป๋จียืนข้างเตียง ชูอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งขึ้น ออกแรงโบกไปมา พูดเสียงหวานว่า
“ไม่ต้องกลัว เจดีย์พุทธะคือปีศาจของพวกเรา ไม่ใช่ คือของวิเศษของพวกเรา”
เหล่าปีศาจในถ้ำหินมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง ระงับความงงงวยและความสงสัย ไม่ได้ถามมาก
ขณะนี้ สวี่ชีอันสื่อสารกับถ่าหลิงแล้ว เชิญเขาแสดงพลังร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ ช่วยกำจัดพลังแยกขันธ์
เจดีย์พุทธะขนาดเล็กเคลื่อนไหวช้าๆ สาดส่องแสงทองนุ่มนวล
เย่จีอาบไล้ใต้แสงทอง ในรูปลักษณ์สวยหยาดเยิ้มยั่วยวนมีความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นหลายส่วน ผสมผสานเป็นเสน่ห์มหัศจรรย์
“ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ…”
ผู้พิทักษ์ชิงมู่พูดเสียงเบา เขาไม่แปลกใจกับสิ่งนี้ ในฐานะปีศาจพฤกษาที่มีอายุยืนยาว เขารู้จักเจดีย์พุทธะอย่างลึกซึ้งยิ่งนัก
สีหน้าของเย่จีเริ่มแดงเปล่งปลั่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ลมหายใจเริ่มสงบลง พลังแยกขันธ์ที่ทรมานนาง ละลายหายไปราวกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ
นางไม่ได้โดนอาซูหลัวโจมตีซึ่งหน้า มากที่สุดก็โดนควันหลงเล็กน้อย ด้วยพลังของเจดีย์พุทธะ กำจัดได้ไม่ยาก
“เสร็จแล้ว”
สวี่ชีอันเก็บเจดีย์พุทธะ
ผู้พิทักษ์วานรขาวมองผู้พิทักษ์ชิงมู่ทันที อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อย ให้การยืนยัน
ทั้งสองไม่มีความสงสัยใดอีก ระดับบรรลุธรรมช่วยผู้อาวุโสเย่จีหายดี ซ้ำยังมีผู้อาวุโสไป๋จีรับรอง คนผู้นี้ก็คือผู้ช่วยที่ท่านจอมมารพูดถึงแน่
……………………………………………….