ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 633 หลี่หลิงซู่ ‘ถึงเวลาที่ข้าต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คนแล้ว’
- Home
- All Mangas
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 633 หลี่หลิงซู่ ‘ถึงเวลาที่ข้าต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คนแล้ว’
บทที่ 633 หลี่หลิงซู่ ‘ถึงเวลาที่ข้าต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คนแล้ว’
ชั่วขณะที่สวี่ชีอันบินอยู่บนฟ้าก็พบร่างของเทพอารักษ์อสูรในพื้นที่ราบระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง
เขาจมอยู่ในแอ่งเลือดสีทองเข้มอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่าและตายอย่างเงียบๆ
สวี่ชีอันร่อนลงบนพื้น ก่อนจะก้าวไปที่ข้างศพของเทพอารักษ์อสูรทันที เขาใช้เจิ้นกั๋วเจี้ยนตัดหลอดเลือดของเทพอารักษ์อสูร ก่อนจะอ้าปากดูดเลือดเข้าไป
‘อึกอึก…’
ลูกกระเดือกม้วนตัวอย่างกระหาย เลือดของเทพอารักษ์กลายเป็นลำธารไหลเข้าไปในปาก แผดเผาช่องท้องของสวี่ชีอันราวกับลาวาร้อนระอุ
ร่างของเทพอารักษ์อสูรแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
ยิ่งดูดกลืนเลือดศักดิ์สิทธิ์ของเทพอารักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ รูม่านตาของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม เส้นเลือดสีทองปูดโปนขึ้นบริเวณโหนกแก้ม จากนั้นผิวหนังก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีทอง
เขาถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีทองวูบวาบราวกับลมหายใจเข้าออก
กระบวนการนี้กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นแสงสีทองก็ค่อยๆ ลดความสว่างลง
สวี่ชีอันในเวลานี้ ผิวของเขาเป็นสีทองเข้ม กล้ามเนื้อเป็นมัดค่อยๆ ยืดออกทีละน้อย วงแหวนไฟปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะ อุณหภูมิโดยรอบเริ่มสูงขึ้น
เขากลายเป็นผู้น่าเกรงขามและสุขุมอย่างยิ่ง ราวกับผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรองค์หนึ่ง
“พลังปราณไม่เปลี่ยนแปลง แต่พลังและความแข็งแกร่งของร่างกายพุ่งสูงขึ้น ข้าในตอนนี้ ต่อให้ไม่มีเจิ้นกั๋วเจี้ยนก็สามารถเอาชนะตู้หนานหรือเทพอารักษ์ตู้ฝานได้ตัวต่อตัว…ข้าในตอนนี้ เทียบเท่ากับการรวมตัวของยอดฝีมือขั้นสามและเทพอารักษ์ขั้นสาม”
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง สวี่ชีอันก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่งที่ค้นพบว่าในที่สุดเขาก็ก้าวทันพลังเทพวชิระและก้าวเข้าสู่ขอบเขตของเทพอารักษ์ขั้นสาม
ตอนนี้เขามีร่างของเทพอารักษ์ขั้นสามและความสามารถในการรักษาตัวเองของจอมยุทธ์ขั้นสามอยู่ในครอบครอง
ในขอบเขตขั้นสามนี้ เขาเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างสมบูรณ์ หากสามารถปลดตะปูผนึกมารและฟื้นฟูการบำเพ็ญได้ เช่นนั้นการเป็นอันดับหนึ่งในอาณาจักรนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“รวบรวมปราณมังกรของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ทั้งสองตัว ได้รับสถานะของเทพอารักษ์ ข้าได้กำไรแล้ว…ข้าจำได้ว่าจ้าวโส่วเคยบอกว่า การอัญเชิญเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ต้องชดใช้ด้วยราคามหาศาล แม้กระทั่งชีวิต ตอนนั้นที่เว่ยกงอัญเชิญวิญญาณปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินเข้าสู่หนทางสู่ความตาย ข้าใช้ร่างของขั้นสามในการอัญเชิญวิญญาณจักรพรรดิเกาจู่ นอกจากภาระที่ต้องแบกรับมากจนเกินไปแล้ว ข้าก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลสะท้อนกลับแต่อย่างใด หรือเป็นเพราะข้าต้องรับผิดชอบชะตาบ้านเมืองอย่างนั้นรึ?”
สวี่ชีอันที่ไม่ได้รับคำตอบทิ้งความสงสัยเอาไว้เบื้องหลัง ความสนใจของเขาถูกดึงดูดโดยสร้อยข้อมือที่อยู่บนข้อมือของเทพอารักษ์อสูรแทน
สร้อยข้อมือนี้มีกลิ่นอายของเทียนกู่ เป็นอาวุธเวทมนตร์ขั้นสูงชิ้นหนึ่งที่มีความสามารถในวิชา ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’
มันถูกถักทอขึ้นจากเส้นไหม ห้อยประดับด้วยฟันสัตว์ แผ่นทองแดงและหยกหลากสีสัน
อาวุธเวทมนตร์ของเผ่าเทียนกู่มีสถานะสูงมาก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ผู้เฒ่าเทียนกู่ที่เป็นพันธมิตรกับซินเจียงตอนใต้ได้ทิ้งไว้
“ในอนาคตข้าต้องไปที่ซินเจียงตอนใต้อย่างแน่นอน เก็บอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้ไว้ก่อน ถึงเวลาค่อยมอบให้กับหญิงชราแห่งเทียนกู่เป็นของขวัญ ของที่ระลึกของสามีผู้ล่วงลับ นางน่าจะสนใจมันไม่น้อย…”
สวี่ชีอันนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา จากนั้นก็ดูดซับปราณมังกรในร่างกายแล้วนำสร้อยข้อมือและร่างของเทพอารักษ์อสูรเก็บเข้าไปด้านใน
ร่างของเทพอารักษ์ก็เป็นวัตถุชั้นยอดในการกลั่นอาวุธเวทมนตร์หรือยาอายุวัฒนะ เขาวางแผนจะส่งไปให้ซุนเสวียนจีเป็นการตอบแทน
“ตู้หนานและตู้ฝานตกอยู่ที่เจี้ยนโจว สำนักพุทธไม่มีขั้นสามอย่างสมบูรณ์แล้ว และก็ไม่รู้ว่าทางฝ่ายอรัญตาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร พระโพธิสัตว์จะปรากฏตัวออกมาแล้วร่วมมือกันฆ่าข้าหรือไม่?”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็กัดฟันกรอด
พระอรหันต์ตู้ฉิงถูกปิดผนึกอยู่ที่สำนักโหราจารย์ เทพอารักษ์ตู้ฝานและตู้หนานก็ร่วงหล่น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา
“ถึงแม้เดิมทีสำนักพุทธและข้าจะมีความขัดแย้งกัน แต่ตอนนี้เกรงว่าคงไม่หยุดจนกว่าจะตาย ข้าที่กำลังจนตรอก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง เฮ้ ชีวิตของตู้หนานและตู้ฝานก็ควรถือว่าเป็นใบมอบตัวสิ”
…
จนกระทั่งสวี่ชีอันจากไป ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีเฉาชิงหยางเป็นตัวแทนถึงค่อยๆ ค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงและค้นหาตนเอง
“จบแล้วรึ ไม่มีศัตรูอีกแล้วกระมัง?”
“สำนักพุทธยังมีพระโพธิสัตว์ย่างกรายมาด้วยรึ? เช่นนั้นสำนักพ่อมดยังมียอดฝีมือขั้นหนึ่งที่ยังไม่มาหรือไม่?”
“ฆ้องเงินสวี่ไปที่ใดแล้วเล่า หรือว่ายังมีศัตรูทรงพลังที่ต้องจัดการอีกรึ?”
ในฝูงชนมีคนตั้งคำถามไม่หยุด สงสัยว่าการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดและทั้งสองฝ่ายยังมีไพ่ใบสุดท้ายที่ยังไม่เปิดออกมา
หลังจากเณรน้อยขั้นสี่แห่งสำนักพุทธจู่โจมกะทันหัน จนถึงความชุลมุนวุ่นวายระหว่างขั้นสี่และการต่อสู้ระหว่างชายในชุดคลุมทั้งแปดกับเฉาเหมิงจู่ ตามด้วยการพุ่งลงมาจากฟากฟ้าของเทพอารักษ์ ศิษย์อันดับสองของท่านโหราจารย์ ‘ปิดประตู’ ใส่เทพอารักษ์ จากนั้นเจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมดก็ลงมือโจมตีด้วยสายฟ้าฟาด
ฆ้องเงินสวี่ปรากฏตัวออกมา ทำให้เจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมดได้รับบาดเจ็บสาหัส บรรพชนเอาชนะอุปสรรค ร่างสีทองพร้อมแขนสิบสองคู่เยื้องกรายมาถึง ชายชุดขาวปรากฏตัวขึ้น ฆ้องเงินสวี่อัญเชิญร่างธรรมของจักรพรรดิเกาจู่ออกมา…
การที่สำนักพุทธ ‘พลิกแพลงตามสถานการณ์’ ที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ทำให้เกิดความเจ็บปวดในจิตใจกับทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
การต่อสู้ของเทพเจ้าทำให้กลุ่มมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
‘ตุบ’ …ชายชราคนหนึ่งมาถึงที่ยอดเขาทางใต้ เขากวาดสายตามองทุกคน จากนั้นก็มองเฉาชิงหยางและกล่าวว่า “จัดการแก้ปัญหาที่ตามมากันเถอะ”
ตอนนี้เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ยืนยันได้แล้วว่าการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทุกคนต่างก็โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
“ขอรับ ท่านบรรพชน!”
เฉาชิงหยางสังเกตมองผู้เฒ่าอย่างลับๆ พลางนำกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาออกไป
“ท่านบรรพชน ฆ้องเงินสวี่ไปไหนรึ?”
เซียวเยว่หนูยังไม่เดินไปและแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม
ทันใดนั้นทุกคนก็มองไปที่ท่านบรรพชนทันที
“ไม่ต้องเป็นห่วงเขา”
ผู้เฒ่าโบกมือหย็อยๆ
ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ถึงวางใจลง
…
ในภูเขาที่แห้งแล้งอันห่างไกลจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ตงฟางหว่านหรงร่อนลงสู่ข้างลำธารเล็กๆ บนภูเขา
“ฮู้…”
นางกุมหน้าอกพลางทอดถอนใจ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นและกล่าวด้วยความรีบร้อน “ท่านอาจารย์ ทำไมต้องหนีด้วยเล่า? โหรชุดขาวเมื่อครู่ใช่ลูกศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ที่ท่านพูดถึงหรือไม่”
น่าหลันเทียนลู่ตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “เขาเป็นหนึ่งในผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนยุทธการด่านซานไห่”
เป็นเขาจริงๆ ด้วย…ตงฟางหว่านหรงสูดหายใจเข้าและกล่าวด้วยความสับสนว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องหนีเลย อย่างที่ท่านพูด แม้เขาจะไว้ใจไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นพันธมิตรชั่วคราวได้”
น่าหลันเทียนลู่เงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของยาโลหิตจากร่างเด็กคนนั้น”
“ใครรึ?” ตงฟางหว่านหรงไม่เข้าใจ
น่าหลันเทียนลู่กล่าวว่า “เจ้าเด็กจีเสวียนนั่น ร่างของเขามีกลิ่นอายของยาโลหิต ข้าเดาว่าสวี่ผิงเฟิงต้องการอาศัยพลังของปราณมังกรในการช่วยให้จีเสวียนเลื่อนสู่ขั้นสาม”
เขารู้ว่าตงฟางหว่านหรงไม่เข้าใจ จึงพยายามอธิบายอย่างอดทน “ตั้งแต่สมัยโบราณ มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จอมยุทธ์จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสาม วิธีแรกคือการพึ่งพาภูมิหลังของตนเอง ให้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงกายเนื้อ ละทิ้งร่างกายของมนุษย์ธรรมดา เปิดประตูสู่เส้นทางเหนือมนุษย์ วิธีที่สองคือรวบรวมแก่นแท้แห่งชีวิตเพื่อสร้างยาโลหิต กลั่นปราณชีวิตมากมายมหาศาลเพื่อเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสาม เส้นทางนี้อันตรายมาก แทบจะไม่มีใครทำได้สำเร็จ แต่มันก็สอดคล้องกับกฎของสวรรค์และโลก ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้เล็กน้อย ผู้ที่แบกรับโชคชะตาจะได้รับพรจากสวรรค์ หากกลืนกินยาโลหิตก็จะมีประกายแห่งความหวัง”
ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้วกล่าวว่า “สอดคล้องกับกฎของสวรรค์และโลกงั้นรึ?”
น่าหลันเทียนลู่กล่าวว่า “ดอกไม้ นก ปลา แมลง มนุษย์ สัตว์ประหลาด ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนกำลังปล้นทุกสิ่งที่สามารถปล้นได้ ชีวิตขึ้นอยู่กับการปล้น บางทีรูปแบบการปล้นอาจจะเปลี่ยนไป แต่ธาตุแท้แก่นสารไม่เปลี่ยน ด้วยเหตุนี้ การเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตและกลั่นยาโลหิตเพื่อเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสามจึงไม่ใช่หนทางสู่ความตายเสมอไป”
ตงฟางหว่านหรงพยักหน้า จู่ๆ นางก็นึกถึงสวี่ชีอัน บุคคลนี้เติบโตขึ้นมาจากปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนัก ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี เขาแซงหน้าสหายรุ่นเดียวกันและเลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์
เห็นได้ชัดว่าเขาก็เดินอยู่ในเส้นทางนี้ด้วย
น่าหลันเทียนลู่กล่าวต่อไปว่า “มนุษย์ทุกคนต่างก็มีชะตากรรม อย่างเช่นเจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง แม้จะสามารถส่งผลโดยตรงต่อพลังการรบโดยรวมของสำนักพ่อมด แน่นอนว่าก็เป็นผู้ที่มีโชค เทพอารักษ์ทั้งสองก็เป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งของระดับบรรลุธรรมล้วนเป็นคนที่มีโชคมาก ข้อแตกต่างมีเพียงความมากน้อยของโชคเท่านั้น”
สีหน้าของตงฟางหว่านหรงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านอาจารย์หมายความว่าศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ท่านนั้นต้องการจะฆ่าท่าน และปล้นโชคของท่านรึ?”
น่าหลันเทียนลู่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่เขาปรากฏตัว เขาทำนายโชคชะตาให้ข้า เห็นได้ชัดว่าข้ามีโชคมาก แต่โหรระดับบรรลุธรรมสามารถอำพรางความลับสวรรค์และยับยั้งวิชาพยากรณ์โชคชะตาได้ การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด หากสวี่ชีอันไม่ตาย เช่นนั้นพวกเราก็จะอยู่ในอันตราย”
“ด้วยสถานะการเป็นอาจารย์และลูกศิษย์ของพวกเรา การอยู่ที่นั่น ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะก็ล้วนเป็นอันตราย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ถอยก่อนเล่า? สำหรับผลสุดท้าย เฮ้อ ตามสืบหลังจากจบเรื่องก็ย่อมได้”
ท่านอาจารย์ยังคงมั่นคงมาก…ตงฟางหว่านหรงเลื่อมใสศรัทธาอยู่ในใจ
…
ท่ามกลางท้องฟ้าสูง เรืออวี่เฟิงกำลังบินอยู่เหนือทะเลเมฆ
ลมแรงถูกปิดกั้นอยู่ที่นอกค่ายกล บนเรือถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด สวี่ผิงเฟิงและจีเสวียนต่างไม่พูดไม่จา สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวก็ไม่กล้าเปิดปากพูดเช่นกัน
แพ้อีกแล้ว แม้แต่บุคคลที่คำนวณเรื่องราวทุกอย่างได้ดีอย่างท่านพ่อก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากสวี่ชีอันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านพ่อยั้งสติไม่อยู่เช่นนี้…สวี่หยวนซวงแม้ริมฝีปากสีแดงก่ำและเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวและความทรงพลังของพี่ชายท้องเดียวกันอีกครั้ง
ในสายตาของนาง ท่านพ่อเป็นคนมีปฏิญาณไหวพริบ เป็นคนที่สามารถเอาชนะเกมหมากรุกกับสวรรค์ได้
ไม่มีเรื่องอะไรบนโลกที่ท่านพ่อคิดคำนวณไม่ได้ ศัตรูของเขาคือท่านโหราจารย์ เป็นกลุ่มคนอันดับต้นๆ ในแผ่นดินจิ่วโจว
อย่างไรก็ตาม พี่ชายที่ถูกท่านพ่อมองว่าเป็นเครื่องมือและลูกชายที่ถูกทอดทิ้ง ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นมากลายเป็นบุคคลยอดเยี่ยม หนึ่งในไม่กี่คนในแผ่นดินจิ่วโจวที่สามารถแข่งเกมหมากรุกกับท่านพ่อได้
ท่านพ่อจะรู้สึกเสียใจภายหลังที่ทอดทิ้งสวี่ชีอันหรือไม่นะ…สวี่หยวนซวงแอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจ
พี่เจ็ดดูเหมือนจะโกรธและอิจฉามาก…สวี่หยวนไหวครุ่นคิดพลางชำเลืองมองจีเสวียนเป็นพักๆ
เขากลับเข้าใจความรู้สึกของจีเสวียนเป็นอย่างดี ในฐานะลูกหลานสกุลจี แต่กลับทำได้เพียงมองบุคคลภายนอกใช้ดาบสยบดินแดนอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษและทำลายแผนการของตนเองจนพังไม่เป็นท่า
ถ้าเป็นคนที่มีสังกัดวงษ์ตระกูลอันน่าภาคภูมิใจล้วนต้องรู้สึกโกรธและอิจฉาริษยา
เวลานี้เอง สวี่ผิงเฟิงกล่าวเบาๆ ว่า “ค่ายกลกักปราณมังกรยังอยู่ได้อีกเจ็ดวัน ต้องกลับไปที่อวิ๋นโจวภายในเจ็ดวัน อย่าลืมนำเรืออวี่เฟิงไปเก็บไว้ในกระถางสัมฤทธิ์ เช่นนี้ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบจากท่านโหราจารย์ได้ ไม่ต้องกังวลไป ถึงแม้ท่านโหราจารย์จะดักอยู่ที่นอกอวิ๋นโจว แต่เป้าหมายของเขาก็คือข้า เขาไม่สนใจการเข้าออกของพวกตุ่นพวกมดอย่างพวกเจ้า และไม่สามารถควบคุมดูแลได้เช่นกัน”
จีเสวียนกล่าวหยั่งเชิงว่า “โชคชะตาของเทพอารักษ์สองท่านเพียงพอหรือไม่?”
“ไม่พอ!”
สวี่ผิงเฟิงส่ายศีรษะพลางหัวเราะเบาๆ “ข้ามีวิธีการของข้าเอง การเคลื่อนไหวของชาวยุทธภพครั้งนี้ไม่นับว่าสูญเปล่า”
จีเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ราชครูยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจเช่นเคย
“ข้าอยากเรียกพวกไป๋หู่กลับมาก่อน” จีเสวียนกล่าว
นี่คือกลุ่มในอนาคตของเขา ไป๋หู่และคนอื่นหลบหนีไปในการต่อสู้เมื่อครู่ จึงไม่สามารถกลับมาที่เรืออวี่เฟิงได้
สวี่ผิงเฟิงพยักหน้า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสายสืบตำหนักความลับสวรรค์”
…
ลมแรงม้วนตัวผ่านภูเขา ไป๋หู่ที่มีความยาวลำตัวมากกว่าสิบฟุตร่อนลงมาพร้อมกับหลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ
ไป๋หู่สะบัดทุกคนออกจากหลัง ก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์และกล่าวด้วยหวาดผวาเล็กน้อย “สถานที่นี้อยู่ห่างจากภูเขาเฉวี่ยนหรงมากกว่าหนึ่งร้อยลี้ ดังนั้นน่าจะปลอดภัยแล้ว”
เขาเขย่าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ด้วยฝ่ามือข้างเดียว แล้วคำรามขึ้นไปบนฟากฟ้า
เสียงคำรามของเสือทำให้นกในป่าจำนวนนับไม่ถ้วนตื่นตกใจ
“เขามีสิทธิ์อะไรมาอัญเชิญจักรพรรดิเกาจู่ ตกลงแล้วเขายังมีไพ่ใบสุดท้ายอีกมากเท่าใด? ศัตรูที่ยุ่งยากเช่นนี้ทำให้กังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
ใบหน้าของไป๋หู่เต็มไปด้วยความโกรธ “ในอนาคตเมื่อนายท่านจับตัวเขาได้ ข้าจะดื่มเลือดของเขา กินเนื้อของเขา เล่นกับผู้หญิงของเขาเพื่อแก้แค้นให้กับแขนที่หักของข้า”
ในฐานะที่ไป๋หู่เป็นผู้นำกลุ่มดาวยี่สิบแปดภายใต้บังคับบัญชาของสวี่ผิงเฟิง เขาจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจกับสวี่ชีอัน
การต่อสู้ที่นอกเมืองยงโจว สวี่ชีอันตัดแขนขวาของเขา เรื่องนี้ทำให้ไป๋หู่เกลียดสวี่ชีอันมากยิ่งขึ้น
เดิมทีคิดว่าการเดินทางไปเจี้ยนโจวจะสามารถล้างแค้นความเกลียดชังของพวกเขาได้ แต่เด็กนั่นกลับอัญเชิญวิญญาณของจักรพรรดิเกาจู่ออกมาอย่างไม่คาดคิด ซึ่งเป็นไพ่ใบที่ทำให้พวกเขาตั้งตัวไม่ทัน
ไป๋หู่ไม่กล้ากระทั่งรอดูตอนจบ เขาหนีไปโดยมีทุกคนอยู่บนหลัง
สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้น
ฉีฮวนตานเซียงตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “นี่กลับเป็นเรื่องง่ายที่จะรับมือ พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา การจัดการกับคนข้างกายเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สกุลสวี่มีสติปัญญาความรู้และมีมิตรสหายในเมืองหลวงมากมาย จงกลับไปที่ตำหนักความลับสวรรค์เพื่อสืบหาข้อมูลโดยละเอียด”
ตงฟางหว่านชิงไม่เข้าสังคมกับผู้อื่น นางยกชายกระโปรงขึ้นและนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ ฟังไป๋หู่และฉีฮวนตานเซียงระบายอารมณ์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่ไม่นานนางก็หมดความสนใจที่จะฟัง
หลิ่วหงเหมียนมองภิกษุวัยหนุ่มทั้งสองที่กำลังนั่งขัดสมาธิไม่พูดไม่จาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวว่า “ท่านทั้งสองมีวิธีติดต่อเทพอารักษ์ตู้หนานหรือไม่?”
จิ้งหยวนไม่สนใจเขา จิ้งซินส่ายศีรษะเล็กน้อย “ทำได้เพียงคิดหาทางติดต่ออีกครั้งหลังจากเรื่องสงบลง”
ตอนนี้ก็ไม่กล้ากลับไปเช่นกัน
หลิ่วหงเหมียนหัวเราะเยาะ “ในจุดอ่อนก็ยังมีข้อดี ที่พวกเราสามารถหลบหนีได้หลายครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายหรอกรึ”
ไป๋หู่กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เขาต้องชดใช้ให้กับความเย่อหยิ่งของเขา”
หลิ่วหงเหมียนกล่าวว่า “นอกจากนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยที่ตายอยู่ที่เมืองยงโจว กลุ่มของพวกเราก็นับว่าโชคดีที่ยังปลอดภัย”
ยอดฝีมือขั้นสี่ ไม่ว่าจะอยู่ในกองกำลังใดก็มักจะเป็นแกนนำ
ฉีฮวนตานเซียงเด็ดใบไม้มาเคี้ยวไว้ในปาก และกล่าวเบาๆ ว่า “เพราะการตายของนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ย นายน้อยจีเสวียนจึงปฏิบัติกับสวี่ชีอันราวกับศัตรู ถ้าในอนาคตเขาผุดขึ้นมา คนแรกที่เขาจะฆ่าก็คือสวี่ชีอัน”
จู่ๆ เขาก็ร่างแข็งทื่อ ดวงตาศูนย์เสียการควบคุม หลังจากนั้นเขาก็ล้มลงทันที
หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ หน้าซีดด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็มองไปทางทิศตะวันออกอย่างพร้อมเพรียงกัน
เสียงหวีดร้องดังขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มรูปงามท่านหนึ่งมาพร้อมกับกระบี่บิน ในมือถือวงแหวนทองสัมฤทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ เขามองลงมาที่ทั้งหกคนในป่าด้วยรอยยิ้ม
หลี่หลิงซู่?
เขาตามทันได้อย่างไร?
ไป๋หู่และคนอื่นๆ เข้าสู่สถานะพร้อมต่อสู้ทันที
“คุณชายหลี่…”
ตงฟางหว่านชิงตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงซับซ้อน
หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชิง ท่านถอยกลับไปเถอะ ข้าต้องการกำจัดเจ้าพวกนี้”
“เจ้าคนเดียว?”
ทุกคนมองเขาเป็นเหมือนคนโง่เง่า
ไป๋หู่เลียริมฝีปาก ก่อนจะแสยะยิ้มและกล่าวว่า “พวกเราจัดการสวี่ชีอันไม่ได้ แต่การฆ่านักพรตอย่างเจ้าเป็นเรื่องง่าย ข้าจะอิ่มหมีพีมันกับเจ้าก่อนแล้วกัน”
ตงฟางหว่านชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าก็ลองดูสิ”
ไป๋หู่และคนอื่นๆ มองมาที่นางด้วยสายตาเฉียบคมทันที นี่เป็นท่าทางในการตรวจสอบศัตรู
หลี่หลิงซู่กล่าวอย่างไม่ลังเล
“พวกเจ้ามีผู้ช่วยรึ? ตัวข้าเองก็มีตัวประกอบเช่นกัน”
ทันทีที่พูดจบ เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงของดาบสองดวงพาดผ่าน แบ่งเป็นหญิงสาวที่กล้าหาญในชุดคลุมเต๋าและนักดาบที่สงบสุขุม ที่มีปอยผมสีขาวบนหน้าผากในชุดคลุมสีดำ
ด้านหลังนักดาบเป็นภิกษุวัยกลางคนที่มีร่างกายกำยำในชุดคลุมสีขาว เขาประสานมือเข้าด้วยกันและมีริ้วรอยลึกที่หว่างคิ้ว
ท่าทางเต็มไปด้วยความขมขื่นและเกลียดชัง
หญิงสาวจ้องมองกระจกในมือของศิษย์พี่เป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงคมชัดว่า “กระจกที่ไม่สมบูรณ์นี้มีประโยชน์มาก มันสามารถติดตามได้หลายร้อยลี้”
จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน หลี่เมี่ยวเจิน!
ผู้ได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบจอหงวน ฉู่หยวนเจิ่น
…
เมืองหลวง สวนเต๋อซิน
ฮว๋ายชิ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีเรียบพร้อมกับนางกำนัลสองคนไปยังห้องทรงพระอักษรอย่างรีบร้อน
นางถูกขันทีที่เฝ้าประตูนำไปที่ห้องโถงด้านข้างเพราะไม่สามารถเข้าไปในห้องทรงพระอักษรได้
เหล่าเชื้อพระวงศ์นั่งอยู่ในห้องโถงด้านข้าง องค์หญิงสามรวมทั้งหลินอันและเหล่าท่านหญิงต่างๆ
ทันทีที่ฮว๋ายชิ่งเข้ามา เสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วก็หยุดลงทันที
“พี่ฮว๋ายชิ่ง ข้าได้ยินมาว่าแผ่นจารึกบรรพบุรุษในวัดหย่งเจิ้นซานเหอแตกเสียหายหมดแล้ว…”
องค์หญิงสามเข้ามาต้อนรับทักทาย เหล่าเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ต่างก็หันมามองทีละคน
ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้”
นางชายตามององค์หญิงสามและกล่าวเบาๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าแต่งงานแล้ว การถามเรื่องนี้อีกก็ไม่ใช่เรื่องดี อย่าทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว”
องค์หญิงสามได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ไม่นานมานี้ วัดหย่งเจิ้นซานเหอสั่นสะเทือนอย่างมาก แผ่นจารึกบรรพบุรุษของราชวงศ์แตกเสียหายจำนวนมากและเกิดความโกลาหลขึ้นมากมาย
จักรพรรดิหย่งซิ่งปกปิดข่าวทันทีเพื่อไม่ให้แพร่ออกไปนอกพระราชวัง
แต่คนในราชวงศ์และเหล่าราชนิกุลต่างก็ได้ยินเรื่องนี้ผ่านช่องทางของตนเองในพระราชวัง
ในขณะนี้ จักรพรรดิหย่งซิ่งกำลังปรึกษาหารือกับเสด็จลุงเสด็จอาและเหล่าพี่น้องทุกคนอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร
วันนี้องค์หญิงสามกลับมาที่พระราชวังพอดี เมื่อได้รู้เรื่องนี้จึงมาที่นี่พร้อมกับพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ
องค์หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ยังเป็นสมาชิกในราชวงศ์ ย่อมสมเหตุสมผลที่จะแสดงความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้
แต่องค์หญิงที่แต่งงานแล้วก็เหมือนกับเป็นคนนอกครึ่งหนึ่ง
“ตอนนี้พี่ชายจักรพรรดิจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาสนใจเจ้า!”
น้ำเสียงไพเราะราวกับเด็กเช่นนี้มีเพียงหลินอันคนเดียว
นางขมวดเรียวคิ้วและกล่าวว่า “เหล่าเสด็จอาบอกว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการตรวจสอบให้กระจ่างชัด มิเช่นนั้น ภายนอกจะกล่าวได้ว่าเสด็จพี่จักรพรรดิไม่สามารถปกครองประเทศ และบรรพบุรุษก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ”
……………………………………………