ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 629 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (1)
- Home
- All Mangas
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 629 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (1)
บทที่ 629 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (1)
บทสนทนาของทั้งสองดังก้องไปทั่วท้องฟ้าและส่งผลอย่างมากต่อผู้คนในที่นั้น
อสุราระดับเพชรล่าถอยแล้วไปยืนเคียงเทพอารักษ์ตู้หนานทันที จากนั้นก็จดจ้องไปยังศัตรู
ขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจิตดาบของจอมยุทธ์จึงสามารถทำลายกายระดับเพชรของเขาได้ เพราะนี่คือจอมยุทธ์ขั้นสองและเป็นจิตดาบขั้นผสานเต๋า
ผสานเต๋า นั่นหมายความว่าเป็นผู้นำของเต๋า
น่าหลันเทียนลู่หยุดนั่งสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตัวเองพ้นจากสมรภูมิรบและเลี่ยงไม่ให้จอมยุทธ์ขั้นสองผู้นั้นเพ่งเล็งได้
‘ชายชราจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั่นเลื่อนขั้นแล้ว?’
ที่ภูเขาห่างไกล พวกหลิ่วหงเหมียนต่างก็มองหน้ากัน
“กลับไปที่เรืออวี่เฟิงก่อน จะได้ถอยเมื่อใดก็ได้” หลิ่วหงเหมียนเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ หากกลับไปที่เรืออวี่เฟิง พวกเราก็จะกลายเป็นเป้า” ฉีฮวนตานเซียงส่ายหน้าและปฏิเสธคำแนะนำของนาง
จิ้งซินส่ายหน้าช้าๆ แล้วประนมมือ
“ทุกคนไม่เป็นอันใด ระดับเพชรทั้งสองท่านยังมีวิธีการป้องกันศัตรูอยู่”
พวกหลิ่วหงเหมียนรีบหันขวับไปมองทันที
สีหน้าของจิ้งซินสงบนิ่งอย่างมั่นใจยิ่ง
‘ขั้นสอง? ท่านบรรพชนเลื่อนขั้นเป็นขั้นสองแล้ว? เพราะรากบัวเก้าสีที่ฆ้องเงินสวี่ส่งให้อย่างนั้นหรือ?’
ความสุขใหญ่ยิ่งนี้แทบจะทำให้คนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นลมให้ได้
จอมยุทธ์ขั้นสองคือสิ่งใดกัน จิ่วโจวใหญ่โตเช่นนี้ จะมีขั้นสองสักกี่คน?
ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิงก็เป็นขั้นสองเหมือนกัน
หรือพูดอีกอย่างก็คือ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีจอมยุทธ์ขั้นสองอยู่หนึ่งคน สามารถจัดอยู่ในกลุ่มสำนักทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดได้แล้ว
และทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ฆ้องเงินสวี่นำมาให้
“ท่านบรรพชนเลื่อนขั้นสู่ขั้นสองแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ…”
“ฆ้องเงินสวี่คือดาวนำโชคของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จริงๆ”
“ตอนที่ชิงเม็ดบัวคราวนั้น การที่ผู้นำพันธมิตรเฉาไม่ได้สร้างศัตรูกับเขาช่างเป็นเรื่องฉลาดจริงๆ นักรบผู้ชาญฉลาด”
“ใช่ ผู้นำพันธมิตรเฉาเป็นนักรบผู้ชาญฉลาด”
ฟู่จิงเหมิน หยางซุยเสวี่ย และเหล่าจอมยุทธ์ต่างก็ดีใจแทบบ้า คิดเพียงแต่ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังจะได้พบกับยุคสมัยที่รุ่งเรืองและเป็นเป็นเลิศที่สุดแล้ว
เมื่อได้ยินคนข้างๆ เอ่ยชื่นชมฆ้องเงินสวี่ คุณชายหลิ่วก็ทอดมองไปยังเซียวเยว่หนูอย่างอดมิได้
มุมปากของนางมีรอยยิ้มงดงามแต้มอยู่ ไม่รู้ว่าดีใจเพราะท่านบรรพชนทะลวงระดับได้ หรือว่าเพราะฆ้องเงินสวี่เป็นผู้กำจัดวิกฤตให้
‘ผู้ดูแลหอเซียวจะชื่นชมฆ้องเงินสวี่ด้วยหรือไม่นะ…สตรีจากหอหมื่นบุปผาอย่างพวกนางมักจะชอบบุรุษรูปงามหล่อเหลา และผู้วิเศษที่จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างฆ้องเงินสวี่ แม้ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นสิ่งล่อลวงพวกนางมากแค่ไหน…มีเพียงคนงามหมดจดเช่นผู้ดูแลหอเซียวเท่านั้นที่คู่ควรกับฆ้องเงินสวี่…’
เมื่อคุณชายหลิ่วคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหัวใจแตกสลาย
…
บนเรืออวี่เฟิง จีเสวียนค่อยๆ ถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“เข้าใจแล้ว เขายื้อเวลามาโดยตลอดเพื่อรอให้ชายชราผู้นั้นเลื่อนสู่ขั้นสอง เฮ้อ ถ้าหากน่าหลันเทียนลู่และระดับเพชรสำนักพุทธฟังคำแนะนำจากพวกเราที่ให้ทำลายสถานที่กักตนของเฒ่าชราไปเสียให้สิ้นซาก การต่อสู้ครานี้พวกเราคงจะชนะได้แล้ว”
สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงเรียบ
“ในสายตาของพวกเขา กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่สำคัญ เฒ่าชราผู้นั้นจะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญเช่นกัน อีกอย่าง จอมยุทธ์อายุเพียงไม่กี่ร้อยปีที่ประกาศตนว่าเหนือสามัญจะนับว่าเป็นอะไรได้”
นางในตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความเศร้าโศกสักนิด ราวกับที่ร้องไห้ไปเมื่อครู่ไม่ใช่ตน
สวี่หยวนซวงเอ่ย
“ด้วยไหวพริบของท่านพ่อ ย่อมไม่มีทางไม่คำนวณเรื่องรากบัวเก้าสีที่อยู่กับตัวสวี่ชีอันหรอก ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมีรากบัวเก้าสี แต่ท่านพ่อต้องรู้แน่ พอคิดจากเรื่องนี้แล้ว คาดว่าท่านพ่อก็น่าจะมีวิธีการอื่น หรือไม่ก็ ท่านกับบิดามีแผนการอีกอย่างแล้ว?”
จีเสวียนเอ่ยหัวเราะ
“น้องหยวนซวงช่างฉลาดเป็นกรด ลองเดาดูสิ”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วไม่เอ่ยพูด
…
เส้นผมด้านหลังของชายชราห่อหุ้มร่างกายราวกับหนวดและปกปิดตำแหน่งสำคัญเอาไว้
“นับว่าไม่เลว”
เขาสังเกตดูตนเองอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็มองไปยังระดับเพชรแล้วหัวเราะ
“ระดับเพชรสำนักพุทธมาเยือนเจี้ยนโจวของข้าเสียได้ เมื่อไหร่กันที่มือของดินแดนประจิมทิศยื่นมายาวเช่นนี้”
อสุราระดับเพชรประนมมือ น้ำเสียงเคร่งขรึมหนักแน่น
“แสงสว่างแห่งพุทธส่องไปสู่ทุกคน ยังจะมีที่ใดที่ไปไม่ได้”
ชายชราหรี่ตาลงแล้วเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
“รวบรวมปราณมังกรของต้าฟ่ง มีเจตนาจะปลุกปั่นยุยงในภาคกลาง สำนักพุทธยังคงอวดเก่งบ้าคลั่งเช่นเดิม เห็นว่าต้าฟ่งของเราไม่มีคนแล้วจริงๆ สิท่า”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอสุราระดับเพชรแล้วยื่นมือออกมาดั่งคมดาบ
เพราะสัญชาตญาณเตือนภัยทำให้อสุราระดับเพชรตอบสนองได้ล่วงหน้า เขายกแขนขึ้นมาป้องกันอก จากนั้นพลังของระดับเพชรก็พวยพุ่งแล้วกลายเป็นม่านปราณทรงกลม
นี่คือพลังที่สามารถใช้ออกมาได้เมื่อฝึกพลังเทพวชิระจนถึงระดับลึกล้ำแล้ว
‘แกร่ก!’
ชายชราใช้ฝ่ามือดาบสะกิดเบาๆ ก็เจาะม่านปราณทรงกลมได้แล้ว
แสงสีทองแตกกระจายกลายเป็นระลอกคลื่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหลายสิบเมตร
ทันใดนั้น เขาก็หันศีรษะไปด้านข้าง หมัดสีทองเฉียดผ่านลำคอของเขา โดยที่คราแรกมันตั้งใจจะชกไปที่ด้านหลังศีรษะของเฒ่าชรา
เทพอารักษ์ตู้หนานไม่รู้ว่าเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อใด เขาเข้ามาโจมตีจากทางด้านหลัง
ชายชราพลิกข้อมือ เขาตวัดฝ่ามือมีดไปโดนข้อมือของเทพอารักษ์ตู้หนานได้พอดิบพอดี จิตดาบที่รวมกันบนคมดาบเฉือนผ่านผิวหนังสีทองคำ
เลือดสีทองไหลหยด
“ผิวหยาบเนื้อหนา!”
ชายชราที่เดิมทีคิดจะฟันฝ่ามือของระดับเพชรในการโจมตีครั้งเดียวก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น
กายเนื้อที่มีระดับเพชรป้องกัน แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสองอย่างมาก
ข้อมือของเทพอารักษ์ตู้หนานเจ็บปวดอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
แต่เขาไม่อาจถอยกลับไปได้สำเร็จ เพราะข้อมือถูกชายชราจับเอาไว้ แล้วดึงกระชากจนทุ่มศัตรูข้ามไหล่ไปล้มลงกับพื้น
‘ตึง!’
ระดับเพชรที่สูงใหญ่ราวกับเจดีย์เหล็กกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง พลังอันน่าสะพรึงพุ่งผ่านตัวเขาแล้วทะลุภูเขา ผ่าหินด้านในจนแตกร้าว รอยแตกกระจายไปจนถึงด้านในเนื้อของภูเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ภูเขาหลักของภูเขาเฉวี่ยนหรงแตกร้าวไปทั่วราวกับกระเบื้องลายคราม
เบื้องหน้าเทพอารักษ์ตู้หนานเป็นสีดำสนิท จิตสำนึกของเขาสั่นสะเทือน ขณะที่ร้องครวญคราง เลือดสีทองก็พุ่งออกมาจากปากของเขาเป็นจำนวนมาก
เสียเปล่าซะแล้ว…สวี่ชีอันที่อยู่ไกลๆ กลืนน้ำลายไปคำหนึ่ง
แววตาของเทพอารักษ์ตู้หนานเลื่อนลอยแล้วสลบไสลไปชั่วขณะ
อีกด้านหนึ่ง อสุราระดับเพชรตู้ฝานก็ยกก้อนหินขนาดใหญ่ที่หนักหลายสิบตัน จากนั้นก็ส่งเสียงร้องเบาๆ แล้วเขวี้ยงใส่ชายชราเต็มกำลัง
‘ฮู่ว…’
เงาดำหลายสายเข้ามาปกคลุมชายชรา
ชายชรายกฝ่ามือดาบขึ้นแล้ววาดเป็นตัวอักษร 十 หลังจากเกิดเสียง ‘แกร่ก’ หินใหญ่มหึมาก็แตกออกเป็นสี่ชิ้นอย่างแม่นยำ จากนั้นก็บินกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศโดยมีชายชราเป็นจุดศูนย์กลาง
ในแววตาของชายชราสะท้อนเงาร่างของอสุราระดับเพชร เขากระโจนตัวขึ้นสูง แล้วใช้หัวเข่าเป็นหอกกระแทกลงไปยังชายชราอย่างอุกอาจ
เมื่อเทียบกับสายการฝึกตนอื่นๆ การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์นั้นเห็นได้ชัดว่าเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ส่วนระดับเพชรสำนักพุทธที่ไม่ได้ฝึก ‘จิต’ ก็จะอาศัยหมัดและเท้าเพื่อควบคุมศัตรู
เขาคว้าโอกาสเข้าใกล้ จากนั้นก็รัวการโจมตีไม่ยั้ง
ชายชราก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเหวี่ยงหมัดออกมาเช่นกัน มันโจมตีโดนต้นขาด้านในของอสุราระดับเพชรพอดิบพอดีจนเขาเอียงเซไปทางด้านซ้าย
ชายชราก้าวอีกสองก้าว จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตึง’ แสงสีทองแน่นขนัดระเบิดออกมาจากร่างของอสุราระดับเพชร แล้วเบ่งบานราวกับบุปผาสีทอง
แข็งแกร่งมาก…สวี่ชีอันมองเห็นอย่างชัดเจน ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ หมัด ฝ่ามือ ศอก เข่า และส่วนต่างๆ ของชายชราพุ่งเข้าโจมตีร่างของอสุราระดับเพชรราวกับห่าฝน
โจมตีจนแสงทองคุ้มกายสลายไปราวกับรูปปั้นสีลอก
เหล่าผู้ชมดูรอบๆ ได้ยินเสียง ‘ตึง’ ดังมาก นั่นก็เพราะการโจมตีทั้งหมดแทบจะจบสิ้นภายในพริบตาเดียว
พลังของอสุราระดับเพชรไม่ใช่ผู้อ่อนแอในระดับสาม อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าสวี่ชีอันในตอนนี้ แต่เขาไม่สามารถต่อสู้กลับไปได้เลยแม้แต่นิด
ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่จอมยุทธ์แสนภาคภูมิใจ เมื่อมาเจอกับจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าก็จะถูกกดข่มได้อย่างสิ้นเชิง
ชั่วพริบตาที่หัวของเขาถูกกระแทก อสุราระดับเพชรก็พยายามอาศัยพลังสลายแรงมาต้าน แต่ก็ถูกชายชราระเบิดพลังที่ทรงพลังยิ่งกว่าออกมาขัดขวาง
‘โครม!’
ฝ่ามือของชายชราตบเข้าที่หน้าผากของอสุราระดับเพชรจนเขาทรุดเข่ากับพื้นแล้วกระอักเลือดออกมา
“ข้าบอกให้เจ้าลุกได้แล้วหรือ”
ชายชราหมุนตัวแล้วยกเท้ากระทืบเทพอารักษ์ตู้หนานบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง
‘อั่ก…’ เทพอารักษ์ตู้หนานกระอักเลือดอีกครั้ง
ระดับเพชรสองคน คนหนึ่งนอน คนหนึ่งคุกเข่า ทั่วร่างมีแต่เลือด
‘แกร่ก โครม’
หินแข็งๆ แตกร้าว ภูเขาถล่มทลาย เทพอารักษ์ตู้หนานก็ตกหน้าผาลงไปพร้อมกับเศษหินหนักหลายพันหลายหมื่นตัน
‘แข็งแกร่งจนน่าสะพรึง…นี่คือจอมยุทธ์ขั้นสอง…’ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคนที่ดูอยู่ต่างก็ค่อยๆ อ้าปากกว้าง
ก่อนหน้าไม่นาน ระดับเพชรสองคนนี้ยังดุดันโหดเหี้ยมเป็นประจักษ์แก่สายตาทุกคน จนมีแต่จะรู้สึกว่าไม่อาจเอาชนะได้เท่านั้น
แม้แต่ฆ้องเงินสวี่ก็ยังรู้สึกหวาดเกรงพวกเขาด้วย
แต่ตอนนี้ พวกเขากลับเหมือนเป็นมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สายวิทยายุทธ และถูกผู้อาวุโสชรากดเอาไว้และถูไถไปบนพื้น
“สบายนัก ข้าไม่ได้ขยับเนื้อตัวมาหลายร้อยปีแล้ว”
ชายชราส่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง เสียงนั้นสะเทือนจนฝูงนกในป่าไม้ไกลๆ แตกฮือ
“ท่านผู้อาวุโส หยุดเล่นก่อน รีบจบศึกโดยเร็วเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อเถอะ”
สวี่ชีอันถูกปกคลุมอยู่ในแสงอันแตกกระจายที่สาดมาจากวิชาของแพทย์โอสถ แล้วเอ่ยเตือนเสียงดัง
สาเหตุที่ตัวร้ายจอมพูดมากตายไป ไม่ใช่เพราะเป็นคนร้าย แต่เป็นเพราะพูดมาก
“ฆ้องเงินสวี่ใจร้อนเกินไปแล้ว”
ชายชราปิดด่านกักตนอยู่ในถ้ำหลายร้อยปี เมื่อครู่จึงอดลองไม้ลองมือมิได้ ระดับเพชรทั้งสองหนังหยาบเนื้อหนา ต่อให้เป็นเขา ก็คงต้องสับจนเหนื่อยน่าดู
แต่การเปลืองแรงนั้นไม่ได้หมายความว่าจะสังหารไม่ตาย อย่างมากก็เป็นกระสอบทรายที่ทนต่อการเฆี่ยนตีได้เท่านั้น
“แต่ก็ไม่เหมาะจะต่อสู้เป็นเวลานานจริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นภูเขาของข้าคงพังลงกับพื้นแล้ว”
ชายชราพุ่งขึ้นไปบนฟ้าแล้วยืนอยู่บนความว่างเปล่า ในชั่วพริบตานั้นเอง เขาก็ราวกับกลายเป็นมีดดาบอันบ้าคลั่งไร้ใดเปรียบและเฉียบคมไม่ต่างจากอัสนี เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ เพียงมองดูอยู่ครู่เดียวก็ต้องรีบหลับตาลง
ดวงตาจ้องมองจนแสบร้อน น้ำตาอุ่นๆ ก็ไหลหลั่งลงมา
ชั้นเมฆบนท้องฟ้าแตกกระจาย ฟ้าดินเต็มไปด้วยปราณดาบที่เชือดเฉือนราวกับมีดกรีด
ร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างสวี่ชีอันก็ยังถูกกระตุ้นโดยปราณดาบที่ไร้รูป จนเส้นขนบนร่างกายของเขาพลันลุกชันขึ้นมา
บนเรืออวี่เฟิง สวี่หยวนซวงรีบปิดตาลง ที่หูได้ยินเสียง ‘ชี่ ชี่’ เสื้อผ้าที่อยู่ตามแขน ขา และไหล่ขาดออกจากกันเพราะปราณดาบเรียวเล็กเหล่านี้
บนผิวปรากฏรอยแผลเล็กละเอียด จนเกิดเป็นความปวดแสบปวดร้อน
“ท่านพี่…”
สวี่หยวนไหวตอบสนองทันที เขารีบไปยืนอยู่ข้างหลังนางแล้วป้องกันปราณดาบให้แก่นาง
สามารถสังหารระดับเพชรได้ พลังงานเช่นนี้สามารถสังหารระดับเพชรได้เลย…
สวี่ชีอันดวงตาสว่างไสว เขารีบขับเคลื่อนเจดีย์พุทธะเข้าไปใกล้ยอดเขาหลัก
ขอเพียงชายชราสังหารระดับเพชรได้หนึ่งคน เขาก็จะรีบกลืนกินเลือดของระดับเพชรแล้วผลักดันพลังเทพวชิระไปยังขั้นที่สูงยิ่งขึ้นได้
อสุราระดับเพชรรู้สึกได้ว่าตัวเองกลายเป็นเป้าแล้ว
เขาเป็นคนเดียวในที่นั้นที่เผชิญกับจิตดาบตลอด เพราะเทพอารักษ์ตู้หนานถูกชายชราตีจนตกเหวไปแล้ว
สัญชาตญาณเตือนวิกฤตจากจอมยุทธ์กำลังปล่อยสัญญาณว่า ‘อันตราย’ อย่างบ้าคลั่งเพื่อผลักดันให้เจ้านายของมันรีบหนีโดยเร็ว
เวลาผ่านมาหลายปี ในที่สุดอสุราระดับเพชรก็ได้ประสบกับภัยคุกคามความเป็นความตายอีกครั้งแล้ว ครั้งก่อนที่มีความรู้สึกเช่นนี้ก็คือตอนที่พระโพธิสัตว์และอรหันต์จากสำนักพุทธกำจัดหายนะปีศาจทางใต้
แต่เขาไม่อาจหลบหนีได้ จิตดาบสายนั้นที่กลางอากาศได้กักตัวเขาเอาไว้แล้ว
“อามิตตาพุทธ!”
อสุราระดับเพชรประนมมือแล้วนั่งขัดสมาธิ
“ดูเหมือนเจ้าจะตระหนักรู้สินะ!”
ชายชราพลิกกายแล้วเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นดาบทรงอานุภาพพร้อมจะโจมตี
ครู่ต่อมา ดาบเล่มยาวก็หลุดจากฝัก
ทันใดนั้นเอง แสงสีทองหลายสายก็พวยพุ่งขึ้นมาจากหุบเหว แสงสีทองสว่างไสวเจิดจรัสราวกับดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาจากหุบเหว
ร่างสีทองที่หลอมจากทองคำปรากฏขึ้น เขาสูงใหญ่ยิ่งกว่ายอดเขาของภูเขาเฉวี่ยนหรง มีแขนสิบสองข้าง หว่างคิ้วมีรอยตรารูปเปลวไฟสีแดงชาด เบื้องหลังศีรษะมีดวงอาทิตย์เจิดจ้าดวงหนึ่ง
แขนทั้งสิบสองล้วนมีอาวุธเวทมนตร์ที่แตกต่างกันอยู่ ทั้งดาบ กระบี่ สาก เจดีย์ ธง กระบอง ระฆัง และอื่นๆ
กลิ่นอายของเขาหนาหนักราวกับภูผา และกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทร
เมื่อทุกคนเห็นร่างธรรมนี้ ก็แทบจะควบคุมหัวเข่าของตัวเองไม่ไหวจนต้องคุกเข่าตัวสั่นเทา
เสินซู?!
สวี่ชีอันตัวสั่นทั้งร่าง สัมผัสได้ถึงพลังกดดันจากบุคคลเบื้องสูง
แววตาของเขาค่อยๆ เบิกกว้าง ลักษณะภายนอกของร่างธรรมนี้คล้ายกับร่างธรรมของเสินซูที่ปรากฏขึ้นมาตอนสังหารอ๋องสยบแดนเหนือที่ฉู่โจวไม่มีผิด
แขนทั้งสิบสองข้าง เบื้องหลังมีรัศมีแสง หว่างคิ้วที่รอยตราราวกับเปลวเพลิง แต่ที่แตกต่างก็คือ ร่างธรรมของเสินซูเป็นสีดำสนิท และในมือไม่มีอาวุธเวทมนตร์
เป็นสองหน้าที่แตกต่างกัน
‘โครม!’
ดาบคลั่งที่แปลงกายมาจากชายชราฟาดฟันไปยังอสุราระดับเพชร แต่ไม่อาจสังหารเขาได้ เพราะร่างธรรมที่มีสิบสองแขนนั้น มีแขนหนึ่งถือระฆังทองคำเข้ามาปกปิดอสุราระดับเพชรเสียก่อน
…
“ร่างธรรมระดับเพชร!”
สวี่หยวนซวงได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วที่ด้านหลัง น้ำเสียงแหบพร่าและคุ้นเคย
นางตัวสั่นเทาแล้วหันมองกลับไปเห็นเงาร่างในชุดขาวยืนเอามือไพล่หลังพร้อมยิ้มบนใบหน้า
“ท่านพ่อ?”
สวี่หยวนซวงร้องอย่างตกใจ
…………………………………………………………
[1] พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว เป็นประโยคฮิตในอินเตอร์เน็ต เป็นมุขที่ใช้เหน็บแนมครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง หมาป่าเจ็ดตัวหมายถึงเข็มขัดแบรนด์ Septwolves ความหมายโดยรวมก็คือแม่ทุบตีเสร็จพ่อก็ทุบตีต่อ