ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 598 ปราบเหล่าขุนนาง (2)
บทที่ 598 ปราบเหล่าขุนนาง (2)
หอเฮ่าชี่ ห้องน้ำชาชั้นเจ็ด
หลังจากสวี่ชีอันนั่งที่โต๊ะ แล้วยกแก้วดื่มอวยพรกับจางสิงอิงและหลิวหงพร้อมหยอกล้อ
“ใต้เท้าจาง ยินดีที่ได้เลื่อนตำแหน่ง คืนนี้ไปฟังเพลงที่หอคณิกากัน ท่านเลี้ยง”
หลิวหงพูดหยอกล้อ “ด้วยสถานะของฆ้องเงินสวี่ จะดื่มสุราบุปผาย่อมต้องเลือกสำนักสังคีต จะไปหอคณิกาได้อย่างไร”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ก่อนที่ฝูเซียงจะตาย ข้าเคยรับปากนางว่าจะไม่ไปที่สำนักสังคีตอีก”
หลิวหงกับจางสิงอิงสบตากัน ต่างคนต่างถอนหายใจ
ไม่ได้ถอนหายใจให้ฝูเซียงหญิงงามอาภัพ พวกเขาถอนหายใจให้ความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนเปลี่ยนแต่สรรพสิ่งยังคงเดิม
จางสิงอิงสะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง ในคราแรกเขาไปสืบสวนคดีที่อวิ๋นโจวในฐานะผู้ตรวจการ
ในขณะนั้นสวี่ชีอันเป็นเพียงฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ จุดสูงสุดของระดับหลอมปราณและเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณในระหว่างทาง
ภายในเวลาหนึ่งปีสั้นๆ เว่ยกงตายจาก จักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นพระชนม์ จากฆ้องทองแดงตัวเล็กในตอนแรก ปัจจุบันบรรลุเหนือชั้นและกลายเป็นบุคคลสำคัญที่แท้จริง
“มีเรื่องอยากรบกวนใต้เท้าหลิว”
สวี่ชีอันวางถ้วยชาลง น้ำเสียงจริงจัง
“ท่านรู้ว่าข้ากำลังรวบรวมปราณมังกร พวกมันกระจายไปทุกที่ หากอยากรวบรวมทั้งหมดในเวลาอันสั้นก็ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร เดิมทีให้ฝ่ายราชการออกหน้าจะประหยัดแรงและเห็นผลที่สุด ทว่าตอนนี้สถานการณ์ภัยพิบัติรุนแรงในทุกพื้นที่ ฝ่ายราชการกลัวว่าจะทำงานรวบรวมข่าวกรองได้ยาก ยังถูกศัตรูเก็บเกี่ยวผลจากอิทธิพล ข้าต้องการความช่วยเหลือจากกลุ่มข่าวกรองที่ลับกว่านี้และได้ผลมากกว่าเดิม”
หลิวหงเข้าใจแล้ว “เจ้าต้องการบุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือ”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้า หลิวหงก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าไม่ได้สืบช่วงบุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
สวี่ชีอันชะงัก “อะไรนะ”
หลิวหงอธิบาย
“หลังจากข้ารับช่วงต่อที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็เคยไปตามหาสำนวนคดีที่บันทึกเค้าโครงของบุตรในเงามืดทุกที่ แต่พบว่ามันหายไปนานแล้ว เจ้าพนักงานที่รับผิดชอบดูแลคลังเอกสารบอกข้าว่า เว่ยกงนำมันออกไปก่อนที่จะออกศึก”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วเป็นปม “เว่ยกงนำสำนวนคดีของบุตรในเงามืดเหล่านั้นไปหรือ”
หลิวหงพยักหน้า “ข้าเคยเข้าใจว่าเขาจะวางใจมอบบุตรในเงามืดให้เจ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าเว่ยกงจะมีแผนการอื่น”
สวี่ชีอันเคาะโต๊ะด้วยนิ้วเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ “ใต้เท้าทั้งสองคิดว่า เว่ยกงจะฝากฝังให้ใคร”
หลิวหงสบสายตากับจางสิงอิง แล้วส่ายหน้า
สวี่ชีอันผิดหวังเล็กน้อย ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น
“พรุ่งนี้ข้าจะออกจากเมืองหลวง เรื่องของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต้องรบกวนใต้เท้าหลิวสานต่อ อย่าลืมเขียนฎีกาทูลจักรพรรดิหย่งซิ่งด้วย เขาจะได้ไม่กังวลที่จอมยุทธ์เช่นข้าบังคับบุตรแห่งสวรรค์ให้ออกคำสั่งสู่ใต้หล้า”
เมื่อจางสิงอิงกับหลิวหงได้ยินก็พร้อมใจกันส่ายหน้า แล้วหัวเราะขึ้นมา
ฝ่าบาทไม่มีทางให้สวี่ชีอันคุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในอนาคต
เจตนาของจักรพรรดิ หนึ่งสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็คือ ‘ความสมดุล’ สวี่ชีอันปราบขุนนางบุ๋นและบู๊ได้ แล้วใครจะปราบสวี่ชีอันได้กันล่ะ
หากไม่มีผู้ใดถ่วงดุลได้เช่นนี้ จักรพรรดิหย่งซิ่งจะไม่ให้เขากุมอำนาจไว้ในมือเด็ดขาด มิเช่นนั้นคงไม่แม้แต่จะหลับลง
สวี่ชีอันรับบทเป็นเครื่องมือในเรื่องนี้
เหตุผลหลักคือศูนย์กลางอนาคตของเขาไม่อยู่ที่ท้องพระโรงและเมืองหลวง
“หากเป็นไปตามคาด ก่อนมื้อเที่ยงจะมีการประชุมเล็กๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะตกลงเรื่องบริจาคได้”
“นี่เป็นเรื่องดี”
สวี่ชีอันกล่าว
นี่เป็นเรื่องดี ดังนั้นเขาจึงยอมเป็นเครื่องมือ
เมื่อสนทนากันไปสักพัก สวี่ชีอันก็ลุกขึ้นบอกลา แล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องน้ำชา มองกลับไปที่ห้องน้ำชาซึ่งไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด
ทันใดนั้นก็นึกถึงฤดูหนาวปีก่อน เขาเพิ่งจะเข้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ไม่นานก็เลียแข้งเลียขาเว่ยเยวียนทันที
ทุกครั้งที่มาพบเว่ยเยวียนที่แห่งนี้ก็จะรู้สึกกระสับกระส่าย
“ไม่รู้มนุษย์อยู่แห่งหนใด แต่ดอกท้อยังยิ้มให้สายลมวสันต์ฤดู…ไปหาพี่ชุน ซ่งถิงเฟิง และจูกว่างเสี้ยวเพื่อดื่มต่ออีกหน่อยดีกว่า”
…
การประชุมเพิ่งจะสิ้นสุด ข่าวฆ้องเงินสวี่ทำร้ายติ้งกั๋วกงที่ตำหนักกระดิ่งทอง ประณามข้อมูลของท่านทั้งหลาย แพร่สะพัดไปในวงราชการในเมืองหลวง
นับแต่จักรพรรดิหยวนจิ่งถูกปลงพระชนม์ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าแล้ว
ในช่วงระยะเวลานี้ ฆ้องเงินสวี่ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะ ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันพูดถึงเรื่องของเขา
ชุมชนลือกันทั่วว่าราชสำนักไม่ยอมรับฆ้องเงินสวี่เพราะปลงพระชนม์จักรพรรดิ จึงถูกบีบให้เร่ร่อนไปในยุทธภพ
บ้างก็พูดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเจียนตายในการต่อสู้สะเทือนใต้หล้านั่น จึงตัดขาดโลกรักษาตัว
ไม่ใช่เพียงในชุมชน อันที่จริงแม้แต่วงราชการ ขุนนางเมืองหลวงระดับไม่สูงมากมายก็ไม่รู้การเคลื่อนไหวของฆ้องเงินสวี่
กระทั่งเขาปรากฏตัวอีกครั้งในวันนี้ก็ทำเรื่องที่แตกตื่นทั้งฝ่ายราชสำนักและราษฎร
“ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็ออกมาแล้ว ข้าเคยบอกว่าเขาเป็นมโนธรรมของต้าฟ่ง หากท่านทั้งหลายไม่บริจาคย่อมมีคนบังคับ”
“ภัยหนาวรุนแรงในทุกพื้นที่ ประชาชนอยู่ไม่เป็นสุข ฆ้องเงินสวี่ก็นั่งไม่ติดเช่นกัน”
“ตราบใดที่มีฆ้องเงินสวี่อยู่ ต้าฟ่งก็ยังมีความหวัง”
“ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็คืนสู่ข้าราชการ ข้าตื่นเต้นจะแย่”
เมื่อข่าวแพร่สะพัด ผู้ภักดีที่สนับสนุนการบริจาคก็ตื่นเต้น ไม่ต้องกังวลกับท่าทางของสหายข้าราชการและไม่ต้องกลัวสาธารณชนจะโกรธอีก กล้าแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผย
ก่อนมื้อเที่ยง สำนักราชเลขาธิการกระจายข่าวว่าฝ่าบาทตัดสินพระทัยให้ขุนนางทั้งหมดบริจาคสามวันหลังจากนี้ตามคาด ท่านทั้งหลายไม่มีผู้ใดขัดขืน
…
ตำหนักจิ่งซิ่ว
ใกล้เวลามื้อเที่ยง เฉินกุ้ยเฟยนั่งอยู่ภายในห้องอันอบอุ่น ทอดมองไปที่ประตูอยู่บ่อยๆ
“เหตุใดฝ่าบาทถึงยังไม่มาอีก”
กุ้ยเฟยผู้ทรงเสน่ห์ชำเลืองมองลูกสาวด้านข้างพร้อมเอ่ย “ไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของสวี่ชีอันจะได้ผลหรือไม่”
หลินอันเอ่ยโดยไม่รู้ตัว “ได้ผลอยู่แล้ว ใครต่างก็กลัวเขา…”
จู่ๆ ใบหน้าสวยก็ปั้นหน้าเย็นชา แสร้งเป็นเฉยเมย “เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าขีดเส้นแบ่งเขตกับเขาชัดเจนแล้ว”
เฉินกุ้ยเฟยจ้องมองนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาออกอย่างประหลาดใจ แล้วมองไปที่ประตูต่อ
เรื่องประชุมในเช้านี้แพร่สะพัดย่อมไม่มีทางหลุดรอดจากเฉินกุ้ยเฟยได้อยู่แล้ว
เมื่อได้รู้ว่าสวี่ชีอันออกตัวช่วยเหลือ เฉินกุ้ยเฟยก็ทั้งตกใจและดีใจ นางประจักษ์แจ้งว่าตอนนี้คนที่ช่วยเหลือจักรพรรดิหย่งซิ่งได้มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น
สาเหตุที่เขายอมช่วยเหลือ ท้ายที่สุดเกินครึ่งน่าจะไม่พ้นหลินอัน…เฉินกุ้ยเฟยเบนสายตากลับมามองที่ลูกสาว ความสับสนฉายอยู่ในดวงตา
ร่างของจักรพรรดิหย่งซิ่งปรากฏตัวขึ้นในลาน ก้าวยาวทะลุผ่านลานและเข้าไปในเรือน
เฉินกุ้ยเฟยยืนรออยู่ที่ประตู แล้วเอ่ยถามอย่างเร่งรัดทันทีที่พบหน้ากัน
“เป็นอย่างไรบ้าง”
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงทราบดีว่านางหมายถึงอะไร จึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “ข้าเรียกให้ขุนนางทุกคนบริจาคด้วยตนเองในสามวันหลังจากนี้ แล้วส่งหนังสือให้กับทุกเมืองให้ขุนนางบริจาค ในขณะเดียวกับก็เรียกให้เสนาบดีเล็กบริจาคอาหารและเงิน”
เฉินกุ้ยเฟยราวกับยกหินก้อนใหญ่ในใจออก เผยรอยยิ้มอันงดงามออกมา
“ฝ่าบาทคงหิวแล้วสินะ อาหารพร้อมแล้ว เดี๋ยวแม่จะให้บ่าวไปยกมาให้”
จากนั้นก็จับมือของจักรพรรดิหย่งซิ่งมานั่งลงที่โต๊ะ หญิงงามยิ้มไม่หุบ
“ในที่สุดฝ่าบาทก็สบายใจได้ช่วงเวลาหนึ่ง แม่สุขใจนัก เรื่องนี้ต้องยกให้สวี่ชีอัน แม้แม่จะไม่ชอบเขา แต่ก็ต้องขอบคุณเขา”
ใบหน้ารูปไข่อันงดงามและอวบอิ่มของหลินอันเผยรอยยิ้มหวานตาม
จักรพรรดิหย่งซิ่งอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสหยอกล้อ
“ก็ต้องขอบคุณหลินอันเช่นกัน หากไม่มีหลินอัน ตอนนี้ข้าจะต้องปากกัดตีนถีบเป็นแน่ จักรพรรดิผู้นี้ช่างอ่อนแอนัก”
“ไม่เกี่ยวกับข้า” หลินอันหุบยิ้มทันที เลียนแบบท่าทางเยือกเย็นของฮว๋ายชิ่ง
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงขบขันและงุนงงพร้อมตรัส “องค์หญิงหลินอันเป็นอะไรไป”
“ไม่เป็นอะไรเพคะ แค่ไม่อยากข้องเกี่ยวกับฆ้องเงินสวี่อีกแล้ว ต่อไปเสด็จพี่จักรพรรดิโปรดอย่าเข้าใจผิด อย่าคิดว่าข้ากับเขาคลุมเครือกันก็พอเพคะ” หลินอันรักษาท่าทีเยือกเย็น
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าท่าทางเยือกเย็นไร้อารมณ์ของนาง ทำให้หญิงสาวที่งดงามอ่อนหวานคนหนึ่งกลายเป็นหญิงสาวมาดขรึมและเย้ายวนทันที
เฉินกุ้ยเฟยเห็นลูกสาวอารมณ์ไม่ดี จึงรีบเอ่ย “เอาล่ะ ทานอาหารกันก่อนเถอะ”
ตกลงใจอย่างเงียบๆ ว่าจะถามนางหลังจากทานอาหารเสร็จอีกครั้ง
…
สวนเต๋อซิน
ห้องหนังสือที่ตกแต่งงดงามไม่เหมือนใคร แขวนด้วยภาพอักษร พร้อมจัดวางเครื่องลายครามจานหยก
หลังจากฮว๋ายชิ่งนั่งลงที่โต๊ะ ฟังรายงานจากหัวหน้าทหารรักษาพระองค์เสร็จก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เขาปรากฏตัวแล้ว เรื่องบริจาคคงจะไม่เป็นปัญหาอีก”
น้ำเสียงของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตื่นเต้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทจะส่งมอบที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้ฆ้องเงินสวี่ องค์หญิงต้องคลุกคลีกับฆ้องเงินสวี่ให้มาก ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเขา ช้าเร็วหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะเป็นของท่าน”
เมื่อฮว๋ายชิ่งได้ยินก็ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย แล้วพูดแก้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“เส้นทางของข้ากับเขาเป็นเส้นขนานมิอาจบรรจบ”
พูดจบก็เหมือนจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของเขาเท่าไร จึงพลิกหนังสือทางซ้ายมือและหยิบรายชื่อชุดหนึ่งออกมา แล้วออกคำสั่ง
“ส่งบัตรเชิญให้ใต้เท้าในรายชื่อแทนข้าที อย่าโจ่งแจ้งล่ะ”
นี่คือขุนนางที่นางเลือกออกมาหลังจากสังเกตการณ์เรื่องนี้
…
สวี่ชีอันที่ควรจะเป็นจุดสายตาของทุกคน บัดนี้กำลังจูงแม่ม้าน้อยเดินไปบนถนนนอกเมืองหลวง
พระมเหสีที่งามดาษดื่นนั่งอยู่บนหลังม้า ร่างกายแกว่งเบาๆ ตามฝีก้าวของม้า
มู่หนานจือที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นนานหลายวันในที่สุดก็ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง
“ช่างน่าอึดอัดนัก ตรงหน้ามีสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบาย…มันคือความชอบธรรมอันกว้างใหญ่”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยในอ้อมอกของนางเอ่ยเสียงอ่อน
โอ้ ไป๋จีก็ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งแล้ว
“หนานจือเอ๋ย…”
มู่หนานจือพนมมือ น้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“ประสกสวี่ ภิกษุไม่เอ่ยนาม เต๋าไม่เอ่ยอายุ อาตมาหนีเข้าสู่ประตูแห่งธรรม โปรดอย่าเอ่ยนามของอาตมาในอดีตอีก”
สวี่ชีอันพูดแก้ “เจ้าควรเรียกตนเองว่าแม่ชี”
ใครสนล่ะ!! มู่หนานจือเกือบจะหลุดมาด ก่อนจะสูดหายใจลึกและเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ตามแต่ประสกเถิด”
หลังออกมาจากเจดีย์พุทธะ นางก็เป็นเช่นนี้แล้ว
พนมมือไม่ขยับเขยื้อน ท่องบทสวดหมายราวกับตนออกบวชแล้ว ตัดขาดกับชายชั่วที่แย่งสหายของตนไปนับจากนั้นเป็นต้นมา
“หนานจือ ครั้งนี้ยากจะกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง พวกเราซื้อบทละครติดไปด้วย หากเจ้าเบื่อระหว่างเดินทางจะได้เปิดอ่าน บทละครนี่เป็นสิ่งที่น่าอ่านที่สุดในเมืองหลวงเลยนะ” สวี่ชีอันแนะนำ
มู่หนานจือท่องบทสวด “แม่ชีไม่ปรารถนาของทางโลกเช่นนั้น”
นางเรียนรู้เร็วนัก เปลี่ยนสรรพนามแทนตนแล้ว
“ไม่ปรารถนาของทางโลกเช่นนั้น”
ไป๋จีคล้อยตาม
นี่ข้าทำบาปทำกรรมอะไร บ่อปลาระเบิดแล้ว ปลาทุกตัวยังอยู่ในสภาพอยากตัดขาดจากข้าและขีดเส้นแบ่งชัดเจน…ราชครูนะราชครู เจ้าเพิ่งโทษว่าข้าย่ำยีเจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงทำให้เจ้าอัปยศเช่นนั้น แค้นชำระคืนด้วยแค้นทั้งนั้น…จริงสิ ข้าต้องฉวยโอกาสหนีออกจากเมืองหลวงก่อนพรุ่งนี้จะมาถึง มิเช่นนั้นชีวิตจะตกอยู่ในอันตราย!
เดินไปสักพักก็เห็นภูเขาชิงหยุน
ครั้งนี้เขามาสำนักอวิ๋นลู่เพื่อตามหาเจ้าสำนักจ้าวโส่ว ถามหาความจริงกับเว่ยเยวียนที่ต่อให้ตัวตายก็ต้องผนึกเทพพ่อมดให้ได้
และจะได้ถือโอกาสขอกระดาษบันทึกวรยุทธ์ ‘ลั่นประกาศิต’ ของลัทธิขงจื๊อสักหน่อยด้วย
………………………………………