ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 478 เบาะแสที่เจ้าวังทิ้งเอาไว้
บทที่ 478 เบาะแสที่เจ้าวังทิ้งเอาไว้
……….
คืนวันนั้น หลังจากที่วังอาญาและวังพิธีการทั้งสองวังไปจากเมืองหลวงเขตปกครอง มุ่งหน้าไปยังเขตสนามรบทางเหนือ ผู้ครองกระบี่แสนคนจากวังครองกระบี่ ภายใต้การนำจากเจ้าวังก็ออกเดินทางอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
แสนคนนี้ล้วนเป็นกองทำลังยอดเยี่ยมที่ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรสะสมไว้ในหลายร้อยปี
ในนั้นไม่ว่าใครล้วนเป็นผู้โดดเด่นเยี่ยมยอดของแต่ละมณฑลทั้งสิ้น ทั้งยังผ่านการทดสอบแต่ละขั้นๆ สุดท้ายก็กลายเป็นผู้ครองกระบี่
ทุกคนล้วนเคยปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหรือความแข็งแกร่งล้วนผ่านการฝึกฝนมามากมาย
พูดได้กระทั่งว่าพวกเขาถึงจะเป็นแกนหลักของเขตปกครองผนึกสมุทร ได้รับการฝากอนาคตเอาไว้
แต่วันนี้ผู้ครองกระบี่แสนคนนี้ออกเดินทางแล้ว
ไปพร้อมความเด็ดเดี่ยว ความมุ่งมั่นแม้ตายก็ไม่กลัว คำพูดและคำสาบานที่เคยท่องในพิธีเมื่อครั้งอดีต เคลื่อนหน้าไปยังเขตสนามรบทางตะวันตก
สวี่ชิงยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวงเขตปกครอง อำพรางตัว ทอดสายตาไปในความมืดทางทิศที่กองทัพจากไป ท่ามกลางลมหนาว เสื้อของเขาถูกพัดสะบัดจนเกิดเสียงดัง ผมยาวของเขาปลิวพริ้ว สะบัดอยู่ข้างหลัง
จ้องมองอย่างเงียบงัน นานหลังจากนั้น ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววเฉียบขาด เพียงไหววูบก็ผสานไปในความมืด ก้าวไปบนเส้นทางที่มุ่งสู่มณฑลประกายอรุณ
เหมือนหมาป่าเดียวดายที่เดินอยู่ในความมืด
“มณฑลประกายอรุณ…” สวี่ชิงที่สำแดงความเร็วเต็มอัตราในความมืด ภายใต้การระมัดระวังและการป้องกัน ในใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้นมา
เพราะเขาประกายอรุณ ก็อยู่ในมณฑลประกายอรุณ
และในตอนที่เขามาเมืองหลวงเขตปกครองเรื่องที่เฝ้าปรารถนาที่สุดก็คือเดินทางไปที่เขาประกายอรุณ เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจริงด้วยวิธีนี้
ขณะเคลื่อนไปข้างหน้า สวี่ชิงเอาแผ่นหยกที่เจ้าวังให้ออกมา ถือไว้ในมือเริ่มทำการตรวจสอบ
ก่อนเจ้าวังออกเดินทางพูดกับเขามากมายและแสดงแนวความคิดอย่างชัดเจน
เจ้าเขตปกครองแตกดับอย่างกะทันหัน เต็มไปด้วยปริศนา ไม่ว่าใครล้วนเป็นผู้ร้ายหลังม่านได้ทั้งนั้น
เนื้อหาในแผ่นหยกก็พลันทำให้สวี่ชิงหลังจากนั้นครู่หนึ่งฝีเท้าหยุดชะงัก ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย
‘ลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิตหรือ’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาที่ศึกษาค้นคว้าวิถีโอสถอย่างลึกซึ้ง ไม่เคยได้ยินชื่อลูกกลอนประเภทนี้มาก่อน
ในแผ่นหยกของเจ้าวัง บอกเล่าเน้นย้ำถึงลูกกลอนนี้ นี่เป็นลูกกลอนต้องห้ามประเภทหนึ่งที่ในสมัยจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวมีคำสั่งอย่างเข้มงวดห้ามมิให้หลอม ทำลายทิ้งทั้งหมด อีกทั้งยังหาายสาบสูญไปแล้ว
กระทั่งว่าตอนนั้นคำสั่งห้ามลูกกลอนประเภทนี้ยังส่งผลกระทบต่อหมื่นเผ่า ผู้นำระดับสูงของทุกเผ่าต่างเกลียดชังลูกกลอนนี้เข้ากระดูก
ลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิตไม่มีผลใดๆ กับผู้บำเพ็ญทั่วไป แต่สำหรับผู้ปกครองของทุกเผ่ามันเป็นลูกกลอนเคราะห์ที่ไม่สามารถแก้ได้ กระทั่งว่าถึงแก่ความตายในทันที
เพราะหลักการของมันเกี่ยวกับชะตา
ลูกกลอนนี้สามารถทำให้พลังดวงชะตาในร่างของคนคนหนึ่งระเบิด กระทั่งว่าทำให้แตกดับได้ในทันที และยิ่งในตัวมีดวงชะตารวมอยู่มากเท่าไร พลังของมันก็จะยิ่งรุนแรง ในประวัติศาสตร์ แรกเริ่มลูกกลอนนี้มีไว้เพื่อต่อต้านการปกครองของเผ่าวิญญาณบรรพกาล สร้างออกมาจากแสงของดวงอาทิตย์ที่แตกดับ
หลังจากนั้น ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ลูกกลอนนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สังหารเผ่ามนุษย์ที่รวบรวมดวงชะตาไปจำนวนไม่น้อย และสังหารผู้ปกครองต่างเผ่ามากมาย กระทั่งว่าจักรพรรดิต่างเผ่าสามองค์ก็ตายด้วยลูกกลอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือต่างเผ่า ขอเพียงอยู่บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เช่นนั้นผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงย่อมรวบรวมดวงชะตาของเผ่ามาที่ตัวเอง
ชะตานี้สามารถทำให้ตัวเองมีลิขิตฟ้าในระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน หากดวงชะตาเหล่านี้แปรเปลี่ยนเป็นเคราะห์ พลังสะท้อนของมันก็จะน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง
ในการตรวจสอบครึ่งเดือนนี้ของเจ้าวังครองกระบี่ ก็ได้ชี้เบาะแสทุกอย่างไปที่ลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิต
สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็ก ในสมองมีข้อมูลที่เจ้าวังทิ้งไว้ในแผ่นหยก
‘จากการตรวจสอบของข้าในช่วงนี้ การแตกดับของเจ้าเขตปกครองคนก่อนมีความเป็นไปได้มากมาย แต่ในบรรดาความเป็นไปได้ทั้งหลายอันน้อยนิด มีเพียงไม่กี่ข้อ…ที่สามารถส่งผลกระทบถึงกรมราชทัณฑ์ที่ข้าแซ่ข่งผู้นี้ดูแล
‘สิ่งที่สะกดไว้ในกรมราชทัณฑ์คือร่างแยกร่างสุดท้ายของเทพเจ้าแห่งแดนต้องห้ามเซียนที่หลับใหลในห้วงนิทราข้างนอก วิธีสะกดเกี่ยวพันกับดวงชะตา แปรเปลี่ยนให้เป็นพลังลืมเลือน ทำให้ร่างแยกของเทพเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นวิญญาณศัสตราของกรมราชทัณฑ์
‘ผู้ที่ตรวจสอบหลังจากนี้สามารถเปิดอ่านเอกสารสำนักคุกเขตติงหนึ่งสามสองได้ เกี่ยวกับกรมราชทัณฑ์ เขตติงหนึ่งสามสองคือภาพเงาและเป็นสัญลักษณ์ หรือจะถามสวี่ชิงผู้เป็นอาลักษณ์ของข้าก็ได้ เด็กคนนี้เป็นผู้ดูแลเขตติงหนึ่งสามสองรุ่นสุดท้าย และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดตำแหน่งที่ข้าเตรียมจะฝึกฝนอบรม เชื่อถือได้
‘กรมราชทัณฑ์เขตติงห้องหนึ่งสามสองก่อขึ้นจากการแผ่พลังออกมาข้างนอกของพลังสะกด ในนั้นมีนิ้วร่างแยกเทพเจ้านิ้วหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคือมีวิญญาณที่ก่อร่างขึ้นจากพลังดวงชะตาของเขตปกครองผนึกสมุทร
‘พลังของร่างแยกเทพเจ้าแห่งแดนต้องห้ามเซียนคือทำให้คนที่จำองค์ท่านได้ทุกคนตกอยู่ในโชคร้ายไม่จบสิ้น จากบันทึกในอดีต โชคร้ายประเภทนี้จะน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดับดิ้นไป
‘สำหรับประโยชน์ของวิญญาณแห่งดวงชะตาในเขตติงหนึ่งสามสองคือลบความทรงจำของคนที่เห็นเทพเจ้า ทำให้คนคนนั้นลืมเลือนไป ตัดกรรมเวรจากการนี้
‘ดังนั้น ตามปกติแล้ว ไม่ว่าเขตปกครองจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้เจ้าเขตปกครองคนก่อนแตกดับ ก็ไม่มีทางส่งผลกระทบถึงกรมราชทัณฑ์ เพราะกรมราชทัณฑ์ดำรงอยู่มานานมากนัก ผ่านการเปลี่ยนผ่านและขาดช่วงของเจ้าเขตปกครองมากมาย
‘และหลังจากที่ข้าตัดความเป็นไปได้ต่างๆ ไปทีละข้อๆ แล้ว สุดท้ายเป้าหมายอยู่ที่ลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิต ส่วนทำไมถึงคิดเชื่อมโยงไปถึงลูกกลอนนี้ ผู้ที่ตรวจสอบหลังจากนี้สามารถอ่านเอกสารสำนักตัวอักษรลับที่สิบเก้าได้
‘แต่ว่าทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้าตรวจสอบได้จากเบาะแสที่มีอยู่จำกัด ทว่าเวลาไม่คอยข้า อีกทั้งศัตรูอยู่ในที่ลับข้าอยู่ในที่แจ้ง ข้าไม่อาจเปิดเผยสิ่งที่ข้าสงสัยได้ อีกทั้งตอนนี้เขตสงครามอยู่ในช่วงวิกฤต ความปลอดภัยของเขตปกครองผนึกสมุทรสำคัญกว่า ข้ายากที่จะไปตรวจสอบอย่างลับๆ
‘ข้าจึงส่งเลขาติดตามสวี่ชิงไปยืนยันเบาะแสหนึ่ง
‘นั่นก็คือแสงประกายอรุณ
‘เพราะคิดจะกระตุ้นลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิตจะต้องมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง นั่นก็คือแสงก่อนที่ดวงอาทิตย์จะแตกดับ และแสงประเภทนี้มีเวลาคงอยู่สั้นมาก
‘ทว่าแสงนี้กลับเกิดขึ้นบนเขาประกายอรุณบ้างเป็นบางครั้ง
‘แต่ด้วยแผนการและฝีมือของคนที่วางแผน การตรวจสอบนี้น่าจะไม่ได้ผล แต่ตรวจสอบได้หรือไม่ ผลจะเป็นอย่างไร…หากข้าแซ่ข่งผู้นี้รบตาย ขอผู้ที่ตรวจสอบหลังจากนี้ถามสวี่ชิง’
สวี่ชิงยืนอยู่บนที่ราบยามค่ำคืน ก็เก็บแผ่นหยกลงไปเงียบๆ หันกลับไปมองทางเขตสงครามทางตะวันตก นานหลังจากนั้นครู่หนึ่งร่างของเขาก็ไหววูบ ทะยานไปทางมณฑลประกายอรุณอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปหลายวันเช่นนี้เอง
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเขายังคงติดตามอยู่ข้างกายเจ้าวัง เดินทางไปยังสนามรบแล้ว สวี่ชิงกระตุ้นแผ่นหยกซ่อนอำพรางที่จอมเซียนจื่อเสวียนมอบให้ตลอดทาง มาถึงยังชายแดนระหว่างเมืองหลวงเขตปกครองกับมณฑลเขาประกายอรุณอย่างเงียบเชียบ
พื้นที่ชายแดนเขตนี้ไม่เล็ก ในฟ้าดินมีลมพิเศษประเภทหนึ่งพัดบ้างเป็นบางครั้ง
ทุกที่ที่ลมนี้พัดผ่าน กลางท้องฟ้าจะเกิดรอยแยกมิติซับซ้อนนับไม่ถ้วน ทำให้คนยากที่จะเหาะเหิน ทำได้เพียงทะยานไปบนพื้น อีกทั้งลมประเภทนี้ยังมีผลแต่บนท้องฟ้าเท่านั้น บนพื้นดินไม่มีปัญหา
เล่ากันว่า ลมประเภทนี้เป็นลักษณะภูมิอากาศพิเศษที่เกิดจากดวงอาทิตย์แตกดับที่มณฑลประกายอรุณ แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ คนในพื้นที่เรียกมันว่าลมสุริยะ
ในยามที่ลมประเภทนี้พัด นอกจากจะมีพลังบำเพ็ญที่แข็งแกร่งจนถึงระดับน่าครั่นคร้ามเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ยากจะต้านทาน
มีเพียงลมนี้สิ้นสุดเท่านั้นจึงจะสามารถเหาะเหินได้
และมีเพียงผ่านพื้นที่นี้เท่านั้นถึงจะนับว่าเข้าสู่มณฑลประกายอรุณ
ที่นี่ สวี่ชิงห้อตะบึงไปตลอดทาง เมื่อลมพัดก็ร่อนลงสู่พื้นดิน เมื่อลมสลายไปก็ลอยขึ้นท้องฟ้าใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางการเดินทางแบบนี้ เขาได้เห็นถึงผลกระทบจากสงครามต่อเมืองหลวงเขตปกครองที่รุนแรงสาหัส
รัฐเล็กเผ่ามนุษย์แต่ละแห่ง ผู้คนต่างอกสั่นขวัญแขวน
หมู่บ้านไกลกันดารแต่ละแห่ง ยิ่งดูรกร้าง
ในตัวของทุกคนที่สวี่ชิงเห็นล้วนแฝงด้วยความหวาดกลัวต่อสงคราม สับสนต่ออนาคต
ส่วนต่างเผ่าแม้จะเป็นเช่นนี้เช่นกัน แต่สวี่ชิงที่เปลี่ยนจากชุดนักพรตผู้ครองกระบี่เป็นชุดคลุมยาวธรรมดาๆ ก็ยังคงมองเห็นความละโมบและทะเยอทะยานจากในตัวของต่างเผ่าที่ได้พบเห็น
จินตนาการได้เลยว่า ทันทีที่เขตสงครามเมืองหลวงเขตปกครองพ่ายแพ้ ในเสี้ยวพริบตาที่กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บุกเข้ามา ต่างเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทรพวกนี้น่ากลัวว่าคงชี้คมหอกใส่เผ่ามนุษย์ทันที ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายกวาดค้นทุกอย่างไป
‘คำสั่งของเจ้าวังนั้นถูกต้อง หากไม่เรียกผู้แข็งแกรงต่างเผ่าพวกนี้ออกไป อันตรายจะยิ่งหนักหนาสาหัส’
ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววเย็นเยียบ ในขณะที่เดินทางต่อไปนั้นเขายังเห็นพื้นที่ที่แต่เดิมมีสำนักเผ่ามนุษย์แต่ละแห่ง ขณะนี้ต่างเปิดค่ายกลผนึกสำนัก ในนั้นมีผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ล้วนถูกเรียกให้ไปสนามรบแล้ว
นอกจากนี้ ของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักใหญ่ก็ต่างลอยขึ้นกลางอากาศ ถูกของวิเศษเวทต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครองควบคุมอำนาจ ทำการสำแดงพร้อมกัน
ในหลายวันนี้ ท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงหลายร้อยครั้ง ทุกครั้งที่ฟ้าดินเปลี่ยนสีล้วนลมเมฆหอบทะลัก ทั่วทุกสารทิศสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น
สวี่ชิงรู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากของวิเศษเวทที่ถูกเหนี่ยวนำ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ม่านฟ้าระเบิดกึกก้องขึ้นอีกครั้ง สวี่ชิงเงยหน้ามองแสงพร่างพรายแต่ละทาง ที่ไหลวนอย่างรวดเร็วจากตาข่าย แผ่พลังกดดันน่าครั่นคร้ามออกมา พวกมันแบ่งเป็นสองส่วน พุ่งไปทางตะวันตกและเหนือ
ที่นั่น พลังที่เกิดจากของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักเผ่ามนุษย์ปะทุ ก่อเป็นพลังสังหารทำลายล้างขนาดมหึมา
ทุกช่วงระยะหนึ่งจะเกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวในม่านฟ้า คอยเตือนสวี่ชิงอยู่ตลอดว่าสงครามกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
สวี่ชิงดึงสายตากลับมาเดินทางไปข้างหน้าต่อ
ผ่านไปอีกสองวัน
ในพื้นที่ชายขอบที่อยู่ห่างจากมณฑลประกายอรุณระยะเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ในยามที่พลบค่ำของวันนี้มาเยือน บนท้องฟ้าเกิดลมสุริยะ สวี่ชิงที่ห้อตะบึงอยู่บนพื้นก็เห็นหมู่บ้านหนึ่ง
หมู่บ้านนี้ดูไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างมาก
ทุกอย่างในนั้นไม่สมเหตุสมผลเอามากๆ แตกต่างไปจากหมู่บ้านในความรู้ความเข้าใจโดยสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างเช่น ต้นไม้ในหมู่บ้านไม่ได้งอกอยู่บนพื้น แต่งอกอยู่กลางอากาศ
แล้วยังมีนกฝูงหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ แม้ปีกจะขยับแต่กลับไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้ เหมือนถูกควบคุมอยู่ตรงนั้น
ภายใต้ลมสุริยะพวกมันค่อยๆ เสื่อมสลาย
และบนพื้นก็ยิ่งแปลกประหลาด บ้านเรือนในหมู่บ้านล้วนกลับหัวกลับหาง กระทั่งว่ามีพื้นที่มากมายที่ประเดี๋ยวก็หายไป ประเดี๋ยวก็ปรากฏขึ้นมา เหมือนภาพกระตุกอย่างไรอย่างนั้น
ที่หน้าหมู่บ้านยังมีสุนัขบ้านหนังกลับหน้ามนุษย์ตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่สวี่ชิง
ในยามที่สายตาสวี่ชิงกวาดไป พลบค่ำสลายหายไปในเสี้ยวพริบตานี้ ความมืดมาเยือน
เพียงพริบตา ทุกอย่างที่นี่เปลี่ยนไปอีกครั้ง จากความมืดที่โปรยมาทุกอย่างก็กลับคืนเป็นปกติ กลายเป็นหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง
ส่วนสุนัขที่หน้าหมู่บ้านตัวนั้นก็เปลี่ยนเป็นคนหน้าตาโง่เง่าตัวสูง ยิ้มฟันเหลืองดำให้สวี่ชิง กวักมือเรียกเขาไม่หยุด
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่มีเวลาทิ้งให้เสียเปล่าอยู่ที่นี่ ตอนนี้เพียงไหววูบก็อ้อมหมู่บ้าน กำลังจะจากไป
แต่ในตอนนี้เอง หมู่บ้านข้างหลังของเขาพลันสั่นสะเทือน สิ่งก่อสร้างทุกอย่างมีขาเรียวยาวงอกออกมา ลุกขึ้นยืนจากบนพื้น ไล่ตามสวี่ชิงมา
สวี่ชิงหยุดชะงักฝีเท้า ในยามที่หันหลังไป สิ่งก่อสร้างทุกอย่างในหมู่บ้านก็ย่อขนาดลง คนหน้าตาโง่เง่าตัวใหญ่ที่หน้าหมู่บ้านคนนั้นก็ยังกวักมือเรียกสวี่ชิงเช่นเดิม
ในขณะที่รอยยิ้มแปลกประหลาด ทั้งหมู่บ้านก็แผ่จิตปฏิปักษ์ออกมากลุ่มหนึ่ง
สวี่ชิงมองผาดหนึ่งก็ก้าวเท้าเดินไป
เจ้าเงาที่ซ่อนอยู่ในความมืดข้างหลังเขาส่งระลอกคลื่นอารมณ์ตื่นเต้น แผ่ขยายออกเรื่อยๆ ยิ่งมีเสียงกลืนน้ำลายดังสะท้อนในความมืดอันเงียบสงัดนี้
“หิว…หิว…”
ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเจ้าเงา สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอารมณ์ของเจ้าเงา อดคิดถึงในตอนที่อยู่ในโลกใบใหญ่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลขึ้นมาไม่ได้ว่า เจ้าเงาฝืนความรู้สึกพะอืดพะอมกินวิญญาณร้ายลงไปไม่น้อย
สุดท้ายก็สำรอกออกมา
การแสดงออกอย่างจงรักภักดีแบบนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าควรจะให้รางวัลสักหน่อย ฝีเท้าจึงเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย
เพียงพริบตาเขาก็มาถึงในหมู่บ้านที่เป็นฝ่ายมาเอง ยืนอยู่ข้างหน้าคนหน้าตาโง่เง่าตัวใหญ่ที่ยิ้มแปลกประหลาดให้เขาที่หน้าหมู่บ้าน
เห็นสวี่ชิงเดินมาคนหน้าตาโง่เง่าตัวใหญ่กำลังจะอ้าปาก แต่เจ้าเงาข้างหลังสวี่ชิงสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้ว กระโจนออกไปทันที
ขณะที่เงาดำเข้าปกคลุม คนหน้าตาโง่เง่าตัวใหญ่หายไป
จากเสียงเคี้ยวที่ดังมาจากในเงา หลังจากที่ดังก้องไปทั้งหมู่บ้าน สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในหมู่บ้านก็ต่างสั่นสะท้าน
ดวงตาแต่ละดวงๆ ปรากฏออกมาจากต้นไม้ บ้านเรือนพวกนี้ ในยามที่มองมาทางสวี่ชิงก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
“ไปกินเถอะ” สวี่ชิงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยราบเรียบ