ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 477 ลมโชยชายฝั่งน้ำจนหนาวเหน็บ
บทที่ 477 ลมโชยชายฝั่งน้ำจนหนาวเหน็บ
……….
ในตำหนักใหญ่เงียบงัน
ที่แห่งนี้ไม่ว่าจะปลัดเขตปกครอง โหวเหยา หรือเจ้าวังพิธีการและวังอาญาทั้งสองคน ต่างทราบรายงานสงครามบางส่วนแล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้รอบด้านเช่นวังครองกระบี่
ถึงอย่างไรเจ้าวังครองกระบี่ก็ต้องมาเป็นเจ้าเขตปกครองชั่วคราว ทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงศึกสงครามล้วนมีวังครองกระบี่ควบคุม ข้อมูลของที่นี่ย่อมสมบูรณ์ที่สุด
“พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่” เจ้าวังครองกระบี่หน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเนิบช้า
“ปลัดเขตปกครอง ใช่ว่าข้าไม่อยากจะใช้วิธีการที่ดีกว่าทำให้ต่างเผ่าเหล่านั้นส่งผู้แข็งแกร่งออกมา ทว่าไม่มีเวลาแล้ว”
ปลัดเขตปกครองเงียบนิ่ง
“โหวเหยา ไยกองทัพพันธมิตรเจ็ดส่วนของพันธมิตรจึงยังไม่เคลื่อนพล ต้องการทรัพยากรมหาศาล กล้าหาญกันเสียจริง!” น้ำเสียงเจ้าวังครองกระบี่เย็นเยียบ
“ส่วนกลุ่มเผ่าขั้วอำนาจที่ปฏิเสธการส่งผู้แข็งแกร่งสี่ร้อยกว่าเผ่า ในตอนนี้ หากเขตปกครองผนึกสมุทรวุ่นวายขึ้นมา แล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไร โหวเหยา ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่!
“ตอนนี้สนามรบขนาดใหญ่ทั้งสองอยู่ในช่วงวิกฤต เขตปกครองผนึกสมุทรมาถึงขั้นนี้แล้ว สกุลข่งอย่างข้าสังหารต่างเผ่าทิ้งไปบางเผ่า ไยต้องให้เจ้ามาพูดพล่ามเช่นนี้!”
เจ้าวังครองกระบี่น้ำเสียงเย็นชา หนาวเย็นไปทั้งตำหนัก
“หากต่างเผ่าเหล่านั้นร่วมมือกันต่อต้านเล่า” โหวเหยาขมวดคิ้ว สีหน้ามืดครึ้ม มองเจ้าวังครองกระบี่
“สังหารทิ้ง” เจ้าวังครองกระบี่เอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“หากส่งผู้แข็งแกร่งออกมาสร้างความวุ่นวายในสนามรบเล่า ท่านจะสังหารไหวหรือ!”
“สวี่ชิง แจ้งผู้ดูแลทั้งสี่ ล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ข้าจะดูว่าใครกล้าไม่ฟังคำสั่ง” เจ้าวังครองกระบี่เอ่ยเรียบๆ ไม่สนใจโหวเหยาอีก
สวี่ชิงพยักหน้า บันทึกข้อมูล
“ข่งเหลียงซิว เจ้าดื้อรั้นมั่นใจเกินไป วิธีการเช่นนี้ หากควบคุมเขตปกครองผนึกสมุทรไม่อยู่ ตอนนั้นพวกต่างเผ่าก็จะ…” โหวเหยาลุกขึ้นมา จ้องเจ้าวังครองกระบี่เขม็ง
เจ้าวังครองกระบี่มองโหวเหยาอย่างเย็นชา
“หากเขตปกครองผนึกสมุทรพังพินาศ ข้ายังคิดอยู่เลยว่าเจ้าพวกต่างเผ่านั่นจะทำอะไร”
โหวเหยาจ้องเจ้าวังครองกระบี่เขม็ง สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกไป
“เหยาเทียนเยี่ยน พันธมิตรต่างเผ่าจะเคลื่อนพลเมื่อไร” เจ้าวังครองกระบี่หลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ
“หนึ่งวัน!” นอกตำหนักใหญ่ โหวเหยาแค่นเสียงเย็นชา
ปลัดเขตปกครองถอนหายใจ ลุกขึ้นคารวะไปทางเจ้าวังครองกระบี่ ออกไปเช่นกัน ส่วนเจ้าวังอีกสองคน ต่างลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เดินออกจากตำหนักใหญ่
ไม่นาน ทั้งตำหนักใหญ่ก็เงียบ มีเพียงสวี่ชิงกับเจ้าวังสองคน
“เจ้าวัง ข้าน้อยขอตัว” รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าเจ้าวังไม่ได้สั่งอะไร สวี่ชิงก็คารวะค้อมต่ำ ออกจากตำหนักใหญ่ไป
หลังจากทุกคนไปแล้ว เจ้าวังก็เงียบนิ่งอยู่นาน ล้วงแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาบีบไปเบาๆ เงยหน้ามองไปทางจวนตระกูลเหยา ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น
“ใช่เขาหรือไม่”
ขณะเดียวกัน โหวเหยาที่ออกจากวังครองกระบี่ก็หน้าเปี่ยมไปด้วยโทสะ กระทั่งกลับมาถึงจวนของตน ในห้องลับ สีหน้าโกรธขึ้งของเขาหายไป กลายเป็นมืดมน พึมพำเสียงต่ำ
“น่าจะไม่ใช่ข่งเหลียงซิว เช่นนั้นใครเป็นผู้ที่สังหารเจ้าเขตปกครอง….”
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปสิบวัน
ในสิบวันนี้ สวี่ชิงไม่ได้พักผ่อนเลย รายงานสงครามที่เข้ามาทุกวันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากการที่กองทัพขนาดใหญ่ทยอยไปถึงสองสนามรบใหญ่ทางตะวันตกและทางเหนือ การปะทะกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มรุนแรง
รายงานสงครามส่งเข้ามาตลอดเวลา
ในระหว่างนี้ทางด้านโหวเหยาก็ทำได้ตามที่พูดไว้วันนั้น ใช้เวลาแค่วันเดียว ก็ไม่รู้ว่าติดต่ออย่างไร ทำให้ต่างเผ่าพันธมิตรเหล่านั้นเคลื่อนพล
ส่วนเขาพร้อมกับคนกว่าครึ่งจวนตระกูลเหยาก็ไปที่สนามรบทางเหนือเช่นกัน
ก่อนออกเดินทาง เขาไม่พบกับใครเลย
ทว่าสวี่ชิงเห็นเจ้าวังเดินออกจากมาตำหนักใหญ่ มองไปยังทิศทางที่โหวเหยาจากไป
และการลงมือของผู้ดูแลทั้งสี่ กระทั่งการมาเยือนของรองเจ้าวังทั้งสอง ด้วยการบังคับเคลื่อนพล ในที่สุดก็สั่นสะเทือนต่างเผ่าที่ไม่เข้าร่วมสงครามทั้งหมด ทำให้ผู้แข็งแกร่งในเผ่าพวกเขา ต้องทำตามโองการของวังครองกระบี่ กระจายออกไปยังกองทัพใหญ่ในคนละมณฑล
ดังนั้นตอนนี้ในเขตปกครองผนึกสมุทร นอกจากในสนามรบแล้ว ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณกับหวนสู่อนัตตาเหลืออยู่
ต่อให้เป็นพวกนักโทษก็เช่นกัน
ปฏิบัติการจับกุมนักโทษของวังครองกระบี่ ขยายผลจากบนลงล่าง ยิ่งพลังบำเพ็ญสูง ก็ยิ่งถูกจับกุมเป็นพวกแรกๆ ส่วนพวกนักโทษที่อ่อนแอเหล่านั้น แม้จะหลบหนีออกไปได้ไม่น้อย แต่ที่แข็งแกร่งก็ล้วนถูกสังหารไปจนสิ้น
ดังนั้นไม่นาน ผู้ครองกระบี่ที่ออกไปด้านนอกจึงเริ่มกลับมา สุดท้ายก็กลับมาในเมืองหลวงเขตปกครองในวันที่สิบ
และตอนนี้เอง สนามรบก็มาถึงช่วงวิกฤติแล้วเช่นกัน
ในบรรดารายงานที่สวี่ชิงได้รับก็เผยความเวทนาไร้ที่สิ้นสุดออกมา ตัวเลขผู้บาดเจ็บล้มตายในแต่ละวันน่าสะเทือนใจ และยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงกลางดึกวันที่สิบ เขาก็ได้รับการขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากทางตะวันตกและทางเหนือพร้อมกัน
ผนึกรอบด้านของของวิเศษเวทต้องห้ามของเขตปกครองผนึกสมุทรใกล้จะแตกสลาย ยื้อต่อได้ไม่นานนัก และหากแตกสลาย กองทัพใหญ่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็จะหลั่งทะลักเข้ามาราวน้ำป่าไหลหลาก เข้ามากวาดล้างเขตปกครองผนึกสมุทร
แต่กองหนุนเผ่ามนุษย์ยังมาไม่ถึง
กระทั่งสวี่ชิงยังรู้ผ่านรายงานสงคราม เวลานี้เขตแดนจักรพรรดิรวมถึงมณฑลอื่นที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่ก็เผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างเดียวกัน เผ่าฟ้าทมิฬ…เคลื่อนพลครั้งใหญ่
เผ่าที่อยู่ใต้บัญชาพวกเขาล้วนระเบิดพลัง ชั่วขณะเดียวชายแดนของเผ่ามนุษย์ทั้งหมดก็ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ
ตอนที่สวี่ชิงส่งรายงานสงครามนี้ให้กับเจ้าวัง เห็นได้ชัดว่าเจ้าวังก็รู้แล้ว กำลังสวมชุดเกราะอยู่ในตำหนักใหญ่เพียงลำพัง
เกราะสีดำนี้ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนนับร้อย และทุกชิ้นส่วนก็แผ่พลานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
เมื่อเห็นสวี่ชิง สีหน้าของเขาก็ยังเคร่งขรึมเหมือนอย่างที่เคย กวักมือเรียกเขา
“มา ช่วยข้าสวมเกราะ”
สวี่ชิงเดินเข้าไปเงียบๆ หยิบเกราะขึ้นมา ตอนที่สวมให้เจ้าวัง เจ้าวังยืนอยู่ตรงนั้น มองแสงพลบค่ำไกล จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
“คราวก่อนที่สวมเกราะ ลูกชายคนโตของข้ายังอยู่ข้างกาย หลายปีแล้ว”
มองเจ้าวังที่ดูแก่ขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนี้ สวี่ชิงก็คิดถึงสิ่งที่มือผีเคยบอกกับตน เรื่องที่ทายาทของเจ้าวังต่อสู้จนตัวตายในสงคราม
“ลูกชายคนโตของข้าฆ่าตัวตาย ตอนนั้นข้าส่งเขาให้ลอบเข้าไปในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ หลังจากเขาทำภารกิจสำเร็จก็ถูกเปิดโปง เพื่อไม่ให้กระทบกับการเลือกของข้า เด็กคนนี้จึงฆ่าตัวตาย” เจ้าวังเอ่ยราบเรียบ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หยิบเกราะชิ้นหนึ่งขึ้นมา สวมให้กับเจ้าวัง
“ข้ามีลูกชายคนที่สองอีกคน นิสัยซื่อตรง ให้ความสำคัญกับความรู้สึก และค่อนข้างเจ้าชู้ ขัดแย้งมาก จึงถูกคนวางแผนเล่นงานได้ง่าย
“แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้ายังมีทายาทอีกคนหนึ่ง หลานชายของข้าคนนั้น…ดีมากจริงๆ” เจ้าวังยิ้ม สวี่ชิงไม่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเจ้าวังมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
ส่วนหลานชายที่เขาพูดถึง หลังจากที่สวี่ชิงรู้จักเจ้าวังสกุลข่งหลายวันก่อน เขาก็คาดเดาไว้ในใจแล้ว
ทว่ารอยยิ้มนี้ หลังจากที่สวี่ชิงติดเกราะชิ้นสุดท้าย มันก็หายไปจากใบหน้าของเจ้าวัง
สีหน้าเขากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่านิสัยความเข้มงวดมาก รับหมวกที่สวี่ชิงยื่นให้ เอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“สวี่ชิง สั่งการไปยังวังพิธีการและวังอาญา เชิญเจ้าวังทั้งสองตรงไปยังพื้นที่สงครามทางเหนือ ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้!
“ส่วนข้า จะพาผู้ครองกระบี่หนึ่งแสนคน ตรงไปยังสนามรบทางตะวันตก ข้าจะไปเจอพวกสหายเก่าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นั่นเสียหน่อย ดูว่าพลังบำเพ็ญสูงขึ้นเพียงใด”
สวี่ชิงรับคำด้วยความเคารพ
“เจ้าวังขอรับ เราออกเดินทางเมื่อไร ข้าจะได้ไปเตรียมตัวสักเล็กน้อย”
“เจ้าไม่ต้องไปที่สนามรบ ข้าจะจัดตัวแทนเจ้าคนหนึ่งไปแทนตำแหน่งของเจ้าให้คนอื่นเห็น” เจ้าวังหันหน้ามา มองสวี่ชิงด้วยสายตาล้ำลึก
สวี่ชิงตกตะลึง เขามองเจ้าวังตรงหน้า หลังจากที่เกราะสีดำสวมอยู่บนร่างอีกฝ่าย ปราณพิฆาตเข้มข้นก็ลุกโหม ราวกับมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ข้างกายเขา และบนเกราะก็มีผีร้ายจำนวนมหาศาลปรากฏออกมา
“ส่วนเจ้า ข้ามีภารกิจลับอย่างหนึ่งให้เจ้าทำ” สายตาของเจ้าวังสบกับดวงตาสวี่ชิง ราวกับว่ากำลังมองเขาให้ละเอียดยิ่งขึ้น
“เจ้าต้องออกเดินทางในหนึ่งก้านธูปให้หลัง ตรงไปยังมณฑลประกายอรุณ ไปสถานที่ลับของวังครองกระบี่ที่นั่น ตรวจสอบเรื่องหนึ่งอย่างลับๆ ให้ข้า!”
พูดจบ เจ้าวังก็ส่งแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้กับสวี่ชิง
แผ่นหยกนี้ คือแผ่นหยกที่เขาถือคลึงเบาๆ ในมือในตำหนักใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่อยู่เพียงลำพัง
สวี่ชิงรับแผ่นหยกมา สีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา
เจ้าวังหันหน้ามองแสงพลบค่ำบนท้องฟ้านอกตำหนักใหญ่ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า น้ำเสียงค่อนข้างแหบพร่า
“ครึ่งเดือนก่อน ท้องฟ้าก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเขตปกครอง…ดับสูญไป
“สวี่ชิง หากครั้งนี้ข้าสู้จนตัวตาย เจ้าจงนำแผ่นหยกนี้ส่งให้กับเจ้าเขตปกครองคนใหม่ที่ถูกสั่งให้มารับหน้าที่หลังจากกองหนุนเผ่ามนุษย์มาถึง
“ในแผ่นหยกคือสิ่งที่ข้าตรวจสอบในช่วงนี้ เป็นเบาะแสเกี่ยวกับการดับสูญอย่างกะทันหันของเจ้าเขตปกครองคนก่อน…”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน มองเจ้าวัง
เจ้าวังยังคงมองแสงพลบค่ำบนท้องฟ้าด้านนอก ส่งเสียงทุ้มต่ำออกมาราบเรียบ
“การตายของเจ้าเขตปกครองคนก่อนเต็มไปด้วยปริศนา เรื่องนี้หาได้ธรรมดาทั่วไปอย่างเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ลงมือลอบสังหารเช่นนั้น เจ้าเขตปกครองคนก่อนพลังบำเพ็ญอยู่ระดับครึ่งก้าวเตรียมสู่เทวะแล้ว จะดับสูญง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร กระทั่งไม่มีการขัดขืนใดๆ อีกด้วย หากข้าไม่รู้จักชายชราผู้นี้ ข้าคงคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้!
“แต่เจ้าเขตปกครองคนก่อน ก็ดับสูญไปแล้วจริงๆ การตายของเขา…มีปัญหาใหญ่
“ทว่าเวลาไม่คอยข้า ข้าไม่มีเวลาตามสืบต่อ
“ข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิมนุษย์จะส่งใครมายังเขตปกครองผนึกสมุทร แต่เจ้าเอาไปให้เขาก็พอ
“และสาเหตุที่ข้ามอบให้เจ้าเพราะข้าไม่เชื่อผู้ใด หลานชายข้าคนนั้นก็บุ่มบ่าม ยิ่งไม่เหมาะที่จะทำเรื่องนี้เช่นกัน!
“เหยาเทียนเยี่ยน ปลัดเขตปกครอง เจ้าวังอาญารวมถึงเจ้าวังพิธีการ เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ร้ายหลังม่าน การตายของเจ้าเขตปกครองคนก่อน การถล่มของกรมราชทัณฑ์ จะต้องเป็นคนของเราในเมืองหลวงเขตปกครองที่ทำแน่นอน กระทั่งในสายตาบางคน ข้าก็เป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด!
“ผู้ที่อยู่หลังม่านนี้ซ่อนตัวมิดชิดมาก หากขุดออกมาไม่ได้ เขตปกครองผนึกสมุทรที่สถานการณ์ง่อนแง่น…สวี่ชิง ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะต้นกำเนิดของเจ้า แต่เป็นเพราะแสงหมื่นจั้งของเจ้า”
เจ้าวังเอ่ยแผ่วเบา
สวี่ชิงหายใจหอบถี่ คำพูดเหล่านี้ของเจ้าวังทำให้ใจเขาเกิดคลื่นยักษ์ซัดสาด
“ข้าจะให้ป้ายเจ้าอีกชิ้น ป้ายนี้จะทำให้เจ้าไปยังสถานที่ลับของวังครองกระบี่ได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องมีแต้มกองทัพ และไม่เกิดคลื่นค่ายกลในสถานที่ลับด้วย เจ้าแอบลอบเข้าไปสืบค้นได้
“อีกอย่าง ด้านในป้ายนี้ยังแฝงอำนาจสะกดสังหารของวิเศษเวทต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครองได้หนึ่งครั้ง เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยขณะที่เจ้าสืบค้น”
เจ้าวังล้วงป้ายสีน้ำเงินชิ้นหนึ่งออกมา หลังจากส่งให้สวี่ชิง เขาก็หันหลังเดินออกไปจากตำหนักใหญ่ ขณะที่เดินไปถึงประตู เขาที่หันหลังให้สวี่ชิงจู่ๆ ก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า
“สวี่ชิง เจ้าจำประโยคแรกที่เจอกับข้าที่กรมราชทัณฑ์เมื่อหนึ่งปีก่อนได้หรือไม่
“จำได้ขอรับ!” สวี่ชิงมองเจ้าวัง
“กล่าวออกมา”
“เป็นผู้ครองกระบี่ ทุกคนล้วนเป็นคมกระบี่ของเผ่ามนุษย์ ต้องเตรียมตัวพุ่งเข้าหาความตายเพื่อเผ่ามนุษย์อยู่ทุกชั่วขณะจิต” สวี่ชิงเอ่ยเสียงดัง
เมื่อเจ้าวังได้ยินก็หัวเราะลั่น สวมหมวกเกราะ จังหวะที่ก้าวออกจากตำหนักใหญ่ เสียงของเขาก็ดังสะท้อนก้องข้างหูสวี่ชิง
“ข้า ก็เป็นผู้ครองกระบี่เช่นกัน!”