ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 468 โลกใหญ่บนศพจักรพรรดิวิญญาณ (1)
บทที่ 468 โลกใหญ่บนศพจักรพรรดิวิญญาณ (1)
……….
ในบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่เผ่าต้นไม้วิญญาณผสานเข้าไปแต่ละต้น เวลานี้ล้วนลืมตา จ้องไปทางสวี่ชิงเขม็ง
คนในเผ่าบนใบไม้แต่ละใบที่ยังแบเบาะเหล่านั้นกำลังโศกเศร้า ความเศร้าโศกนี้แผ่ซ่านออกมาท่ามกลางลมฝน ปกคลุมอาณาบริเวณ
พวกเขาไม่ได้เข้าขวางสวี่ชิง ยอมให้สวี่ชิงพาชายชราพุ่งทะยานมา ตรงไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่เทียมฟ้าที่อยู่ศูนย์กลาง
ที่นั่น ประตูใหญ่ของศาลเจ้าเปิดรอเขาแล้ว
ขณะที่เดินเข้าไปในศาลเจ้า สวี่ชิงเห็นเทวรูปสักการะด้านใน แต่เวลานี้สวี่ชิงไม่มีกระจิตกระใจตรวจสอบอย่างละเอียด พุ่งไปยังอุโมงค์ลับภายใต้การนำทางของชายชรา ไล่ลงไปตามบันได
ในอุโมงค์ดำมืดมีเสียงหายใจหอบถี่ของชายชราถนนทองผุดดังก้อง เขาวิ่งสุดกำลังแล้ว แต่สวี่ชิงยังรู้สึกว่าช้า จึงคว้าตัวชายชราถนนทองผุดพุ่งไปเบื้องหน้า ก็ราวกับพุ่งเข้าไปในมิติภายใต้การระเบิดความเร็วของเขา ทะยานมาจนถึงปลายสุดของบันได มาอยู่บนแท่นพิธีที่เหมือนลอยอยู่เหนือหุบเหว
พริบตาที่ปรากฏอยู่บนแท่นบูชา สวี่ชิงมองไปรอบๆ เห็นว่าเบื้องหน้าที่ห่างออกไปนับพันจั้ง ในปากถ้ำมากมายนับไม่ถ้วน มีร่างเงาสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่
นั่นเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง ใบหน้าเล็กไร้ตำหนิ มาพร้อมกับความสงบและไร้เดียงสา เพียงแต่ตอนนี้ นางกำลังหลับตา ใบหน้าขาวซีด ไม่ขยับเขยื้อน
แต่มุมปากนั้นรวมถึงรอยเลือดแห้งกรังบนกระโปรง ทำให้ใจสวี่ชิงโหมคลื่นกระหน่ำซัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สีหน้าของเขาเผยความซับซ้อนหน่วงหนักขึ้นมา
เขาจำได้แล้ว อีกฝ่ายคือเด็กสาวไร้เดียงสาที่เคยปรากฏตัวที่เกาะเงือกคนนั้น
เขาจำได้ว่าตอนนั้นอีกฝ่ายกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจมาอยู่เบื้องหน้าตน ถามคำถามขึ้นมาคำหนึ่ง
“ศิษย์พี่ ท่านชอบงู หรือว่าชอบกินดีงูมากกว่ากัน”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขานึกถึงคำพูดระหว่างทางของชายชราถนนทองผุด จากคำพูดของอีกฝ่าย เด็กสาวคนนี้คืองูขาวตัวนั้นที่ตนเคยพบ…สวี่ชิงจำครั้งสุดท้ายที่ตนเองเห็นอีกฝ่าย อยู่ที่เจ็ดเนตรโลหิต ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งได้
งูขาวน้อยโผออกมา รัดข้อมือขวาของตน
“ข้อมือขวา…สายใยสีทอง…สายใยดวงชะตา…” สวี่ชิงพึมพำ มองเด็กสาวชุดขาวที่ไร้ชีวิตชีวา เขารู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ จากนั้นก็มีความรู้สึกผิดรุนแรงก็ปะทุขึ้น
บุญคุณนี้ มากเกินไป
แต่เขาไม่เข้าใจ ตนเจอกับอีกฝ่ายแค่ไม่กี่ครั้ง กระทั่งไม่ได้รู้จักกันเท่าไรด้วย แล้วทำไมนางถึงทำเพื่อตนเองถึงเพียงนี้
ชีวิตนี้ของเขา สิ่งดีงามทั้งหมดที่เคยพบ แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ล้วนมีเหตุและผลอยู่
หัวหน้าเหลยดีกับเขา เป็นเพราะอีกฝ่ายมองเห็นความอบอุ่นบนโลกในกองไฟซากศพ หลังจากบุญคุณที่ช่วยชีวิต ก็มองเขาเป็นเหมือนทายาทคนหนึ่ง
ความดีของปรมาจารย์ไป่ เพราะพากเพียรวิถีหญ้าสมุนไพรรวมถึงกระหายและตั้งใจความรู้ของเขา ทำให้เขาอยากส่งต่อวิชาให้
ส่วนนาย่ทานเจ็ด เป็นเพราะพฤติกรรมของตนจึงเกิดความชื่นชม มอบโอกาส จนเห็นว่าตลอดทางที่ตนเดินมา เดินอยู่แนวหน้าตลอดจนได้รับการยอมรับ
แต่หลิงเอ๋อร์ สวี่ชิงไม่เข้าใจ
คนเช่นนี้ ทั้งชีวิตเขา ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“เพราะอะไร” สวี่ชิงมองเด็กสาวชุดขาว พึมพำเสียงแผ่ว
ชายชราถนนทองผุดยืนอยู่ข้างสวี่ชิง มองหลิงเอ๋อร์ตรงหน้าอย่างโศกเศร้า เอ่ยตอบออกมา
“เพราะนางชอบเจ้า”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
ชายชราถนนทองผุดถอนใจออกมา ริ้วรอยบนใบหน้ามากองรวมกัน จนกลายเป็นความขมขื่น
“สวี่ชิง ชีวิตคนเรามีเรื่องราวมากมายที่ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว มาตรฐานเดียว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจ แต่หากเจ้าเข้าใจว่าทุกสิ่งดีงามทั้งหมดที่พานพบในชีวิตล้วนต้องมีเหตุและผล เช่นนั้นสวี่ชิง จิตใจของเจ้าก็พบทางตันแล้ว
“อันที่จริงความรักมีหลายรูปแบบ ไม่มีมาตรฐานและรูปแบบแน่นอน มีทั้งรักที่เป็นการอุทิศตน รักที่เป็นการปกป้อง รักที่เป็นความกตัญญู รักที่เป็นความรุนแรง และรักที่อยู่ในทรงจำ
“บนโลกใบนี้คนเช่นไรก็มีทั้งนั้น เรื่องแบบใดก็มีหมด หากคนคนหนึ่งรับได้แต่เพียงเส้นทางที่ตนยอมรับ เช่นนั้นก็เป็นคนจิตใจคับแคบ ขอแค่เจ้ายอมรับเส้นทางที่แตกต่างจากของตนบ้าง ถึงจะเรียกว่าเติบโต”
ชายชราถนนทองผุดเอ่ยเสียงต่ำ ต่อให้เขาร้อนรนเพียงใด ก็ต้องพูดทั้งหมดให้ชัดเจน เขาต้องการให้สวี่ชิงเข้าใจว่าโลกใบนี้เรื่องราวมากมายไม่มีคำว่าเพราะอะไร ไม่แน่ว่าจะต้องมีเหตุและผล
และสิ่งนี้เกี่ยวข้องว่าสุดท้ายว่าจะช่วยหลิงเอ๋อร์จากในหุบเหววิญญาณพิเศษนั่นออกมาได้สำเร็จหรือไม่
สวี่ชิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ เส้นหนึ่งส่วนลึกสุดในใจก็สั่นแผ่วเบา คลื่นที่โหมซัดแผ่ซ่านไปทั้งกายและจิตใจ
“บอกข้า ว่าต้องช่วยอย่างไร” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก จ้องไปทางหลิงเอ๋อร์เขม็ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เจ้ามีเวลาแค่เจ็ดวัน!” ชายชราถนนทองผุดสะกดความร้อนรนในใจ ดวงตาจับจ้องอยูที่สวี่ชิง
“หลังจากการสืบทอดของหลิงเอ๋อร์ล้มเหลว วิญญาณของนางก็ดำดิ่งสู่หุบเหววิญญาณ เดิมเลือดเนื้อในร่างกายจะแห้งเหี่ยวกลายเป็นโครงกระดูก ข้าใช้วิถีปิดผนึกของตนปิดผนึกกายเนื้อไม่ให้แตกดับแล้ว แต่ก็ผนึกได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น
“ในเจ็ดวัน เจ้าต้องหาวิญญาณของหลิงเอ๋อร์ในหุบเหววิญญาณให้พบ!” สายตาชายชราถนนทองผุดมองไปในหุบเหวลึกใต้แท่นบูชา
“หุบเหววิญญาณผืนนี้ เว้นเสียแต่จะมียันต์หุบเหววิญญาณ ไม่เช่นนั้นคนนอกจะเข้าไปไม่ได้ แต่ยันต์ใบสุดท้าย หลายปีก่อนหน้ามีคนนำลงไป แต่อีกฝ่ายไม่ได้ออกมา
“และข้าไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหลิงเอ๋อร์ และไม่ใช่เผ่าวิญญาณบรรพกาล ข้าจึงเข้าไปไม่ได้ ที่นี่มีเพียงเผ่าวิญญาณบรรพกาลรวมถึงผู้ที่มีชีวิตของเผ่านี้พัวพันอยู่เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
“นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมข้าจึงไปหาเจ้า” ชายชราถนนทองผุดเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
‘เผ่าวิญญาณบรรพกาล? หุบเหววิญญาณ?’ ในใจสวี่ชิงโหมระลอกคลื่นขึ้นมา เขาเคยได้ยินเผ่าวิญญาณบรรพกาล แต่ไม่ได้สอบถามอะไรตอนนี้
เพราะถ้าแค่เจ็ดวัน ตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งวันแล้ว เขาจึงเงยหน้ามองชายชราถนนทองผุด
“มีแผ่นหยกข้อมูลของด้านล่างนั่นหรือไม่”
“เอามาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะไปดูเองภายหลัง”
ชายชราล้วงแผ่นหยกออกมาหลายเม็ด หลังจากส่งให้สวี่ชิง สีหน้าเขาก็เผยความวิงวอน
“ขอให้เจ้าเห็นแก่การตายแทนเจ้าของหลิงเอ๋อร์ จะต้อง…จะต้องช่วยนางกลับมาให้ได้นะ”
สวี่ชิงเงยหน้ามองหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ห่างออกไป ในความทรงจำฉายความเป็นความตายสามครั้งของตนขึ้นมา เขาพยักหน้าเงียบๆ กระโดดจากขอบแท่นบูชาลงไปในหุบเหวอย่างไม่ลังเล
พริบตาต่อมา ร่างกายเขาดิ่งลงไปฉับพลัน ทะยานลงไปในหุบเหวอย่างรวดเร็ว
ปราณเย็นเยียบไหลผ่านตัวเขาหวีดหวิว แทรกซึมไปทั่วร่าง ราวกับเลือดเนื้อรวมถึงจิตวิญญาณถูกแช่แข็งในตอนนี้
สวี่ชิงก้มหน้า จ้องมองหุบเหวเบื้องล่าง ขณะที่พลังบำเพ็ญแผ่ซ่านเจ้าเงาก็กระจายไปรอบด้าน ยิ่งมีพลังลูกกลอนพิษต้องแผ่ออกมา จากนั้นสัมผัสของเขาก็ผสานเข้าไปในแผ่นหยกที่ชายชราถนนทองผุดให้มา
จากข้อมูลที่หลั่งทะลักเข้ามาในสมองสวี่ชิงเป็นช่วงๆ ขณะที่สวี่ชิงดำดิ่งลงไปเบื้องล่างเรื่อยๆ ก็เข้าใจตัวหลิงเอ๋อร์กับหุบเหววิญญาณทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้ง
นานมาแล้วก่อนหน้านี้ ในยุคสมัยที่ห่างไกลยิ่งกว่าจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว มีเผ่าหนึ่งที่รวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เป็นหนึ่งเดียว
นั่นคือเผ่าวิญญาณบรรพกาล
ช่วงปลายจักรพรรดิวิญญาณรวมพลังของคนทั้งเผ่า รวมดวงชะตา ทำเรื่องหนึ่งที่สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิถีสวรรค์
แต่จักรพรรดิวิญญาณนั้นแตกต่างกับเผ่าเซียนพิบัติหลังจากนั้น และแตกต่างกับเผ่าอีกสามพันกว่าเผ่าก่อนหน้าด้วย เขาไม่ได้ต้องการวาสนา แต่ต้องการทดแทน ใช้ร่างของตนยึดครองวิถีสวรรค์
วาสนา ถือเป็นบุญกุศล
การทดแทน เป็นการกบฏ
ท้ายสุดจักรพรรดิวิญญาณล้มเหลว เผชิญกับการโต้กลับจากวิถีสวรรค์ทั้งหมดในแผ่นดินต้องประสงค์ สายเลือดทั้งชนเผ่าถูกคำสาป ในช่วงวิกฤต จักรพรรดิวิญญาณจึงอาศัยพลังบำเพ็ญที่น่ากลัวของตน พาชนเผ่าส่วนใหญ่เข้าสู่โลกใบใหญ่ของเขา
คิดจะใช้สิ่งนี้หลีกเลี่ยงภัยพิบัติของทั้งชนเผ่า แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็หนีคำสาปไม่พ้น
จักรพรรดิวิญญาณ ดับสูญ
โลกใบใหญ่ของเขาเหี่ยวเฉา กลายเป็นโลกแห่งความตาย เผ่าวิญญาณบรรพกาลในนั้นทั้งหมดแกตดับในพริบตา และจุดที่น่ากลัวของคำสาปนี้ไม่ได้ทำลายได้ง่ายดายเช่นนั้น
ภายใต้คำสาปนั้น เผ่าวิญญาณบรรพกาลที่ตายไปทั้งหมด กลายเป็นวิญญาณที่ต้องทนทุกข์ทรมานทุกคืนวัน
ดังนั้นโลกความตายที่เหี่ยวเฉานี้ จึงกลายเป็นรัฐแห่งความตายวิญญาณบรรพกาล แบกรับคำสาปและความทรมานนี้ ฝังไว้ในส่วนลึกใต้ดินของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตลอดกาล
หุบเหววิญญาณเผ่าต้นไม้วิญญาณนี้ เป็นหนึ่งในทางเข้าสู่โลกใบใหญ่ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล
ทางเข้าเช่นนี้ มีอยู่หลายแห่งในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
แม้เผ่าวิญญาณบรรพกาลจะถูกคำสาป แต่สุดท้ายก็ยังมีสายเลือดบางส่วนเหลืออยู่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ สืบทอดกระจัดกระจายอยู่ในช่วงเวลาที่ยาวนานนี้ บางครั้งพวกเขาก็ปรากฏตัวออกมา
เช่นเดียวกับซากศพเหล่านั้นที่สวี่ชิงเห็นที่ผนังหินหุบเหวก่อนหน้า ก็คือเหล่ารุ่นหลังที่เคยมาที่นี่ คิดจะสืบทอดแต่กลับล้มเหลวจนตาย
สาเหตุที่พวกเขามาที่นี่ เพราะหลังจากที่เผ่าวิญญาณบรรพกาลเปลี่ยนจากงูกลายเป็นคน เป็นเพราะคำสาปของสายเลือด จึงยากจะรักษาเอาไว้ ร่างกายอยู่ในสภาพที่สายเลือดพร้อมจะแตกดับได้ตลอดเวลา
จึงจำเป็นต้องไปที่ทางเข้าโลกที่อยู่ใกล้กับรัฐแห่งความตายวิญญาณบรรพกาล ใช้พลังของโลกใบใหญ่รัฐแห่งความตายวิญญาณบรรพกาล สะกดสายเลือดต้องสาปในร่างกาย
เช่นนี้ ถึงจะสามารถกลายร่างเป็นคนได้อย่างแท้จริง
แต่คนของเผ่าวิญญาณบรรพกาลก็แสนจะรันทด พวกเขาต้องคอยมาใช้พลังโลกวิญญาณบรรพกาลเพื่อสะกดคำสาปเป็นระยะตลอดชีวิต ขณะเดียวกันขั้นตอนการสะกดก็อันตรายใหญ่หลวงราวกับภัยพิบัติ
หากล้มเหลว วิญญาณของพวกเขาก็จะถูกรัฐแห่งความตายวิญญาณบรรพกาลกลืนกิน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณความตาย
สวี่ชิงเก็บแผ่นหยกเงียบๆ ขณะที่ร่างกายนี้ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ก็มองข้อมือขวา หลังจากถอนใจออกมา สีหน้าเขาก็เผยความเด็ดขาด ระเบิดความเร็วในร่างกายขึ้นอีกครั้ง
ทั้งร่างหวีดหวิวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ราวกับดาวหางดวงหนึ่ง พุ่งตรงไปยังต้นกำเนิดความหนาวเย็นเบื้องล่าง ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
พลังต้านทานก็แผ่มาจากด้านล่างของหุบเหววิญญาณเป็นระยะ แต่ในฐานะที่เป็นผู้มีสายใยดวงชะตาแห่งชีวิตของเผ่าวิญญาณบรรพกาล หลังจากที่พลังต้านทานนี้ผ่านสวี่ชิงก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
และสวี่ชิงก็เข้าถึงใจกลางหุบเหวลึกมืดมิดอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด
จวบจนผ่านไปพักใหญ่ ในปราณหมอกมีวัตถุขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
นั่นคืองูยักษ์ที่เน่าเปื่อยตัวหนึ่ง ทั่วร่างมีเจตจำนงความตายโอบล้อมอยู่อย่างเข้มข้น
ซากงูที่อยู่ในปราณหมอก ขณะที่ร่างฉยความเน่าเปื่อยออกมา ก็ยังแบกโลกใบใหญ่ใบหนึ่งอยู่บนศีรษะด้วย
โลกใบใหญ่นี้สลัวเลือนไปหมด มีเสียงร้องระงมแทบขาดใจดังลอดออกมาจากด้านในเป็นระยะ ในความว่างเปล่าและปราณหมอกนี้ เมื่อมาถึงหูสวี่ชิง ร่างของเขาก็ถูกพลังดึงดูดมหาศาลสูบไปยังโลกใบใหญ่
เมื่อใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ร่างงูยักษ์ก็ใหญ่โตขึ้น ไม่นานสวี่ชิงก็ไม่สามารถมองเห็นร่างงูยักษ์ได้ทั้งร่างอย่างชัดเจนแล้ว มีเพียงโลกใบใหญ่เลือนรางที่มีเสียงร้องระงมดังออกมาที่ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุด เสียงครืนครันก้องสะท้อน ร่างของสวี่ชิงเหยียบย่ำลงไปในโลกใบใหญ่แย่งแรง
ขณะที่เสียงดังไปรอบด้าน บนพื้นดินที่เหมือนเป็นเลือดเนื้อเน่าเปื่อยก็มีหลุมหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ร่างเงาของสวี่ชิง เดินออกมาทีละก้าวจากด้านใน สังเกตรอบๆ ทันที
อากาศในนี้มีปราณหมอกโอบล้อม ไม่มีตะวันจันทรา มีเพียงไฟวิญญาณที่ดั่งเป็นดวงดาว กระพริบวูบวาบอยู่ในม่านหมอก แสงขาวสลัวทำให้ฟ้าดินขมุกขมัว
แผ่นดินใหญ่ที่นี่เป็นเลือดเนื้อที่เน่าเปื่อย ไม่มีเทือกเขา ไม่มีต้นไม้ ขณะที่รกร้างก็แผ่กลิ่นอายความตายมหาศาลออกมาด้วย
กลิ่นอายนี้เย็นเยียบอย่างมาก ตอนนี้กำลังแทรกซึมเข้ามาในร่างกายสวี่ชิงอย่างต่อเนื่อง ราวจะกัดกร่อนเลือดเนื้อ เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้แฝงเจตจำนงชั่วร้ายกับทุกสรรพชีวิตอย่างเข้มข้น
เพียงพริบตา ร่างของสวี่ชิงก็มีปานดำจำนวนมากปรากฏขึ้นภายใต้การปกคลุมของปราณความตายนี้
‘โลกใบใหญ่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล’ สวี่ชิงมองไปรอบๆ แผ่พลังพิษต้องห้ามในร่างกายออกมาในพริบตา
ร่างกายก็พลันมีเสียงชี่ดังขึ้น ขับศีรษะผีร้ายที่ลำตัวยาวเหยียดเหมือนหนอนตัวเล็กหลายตัวออกมาจากปานดำบนร่าง ตกลงมาบนพื้นดิน กระสับกระส่ายไปมาแล้วกลายเป็นหมอกดำสลายหายไป
หลังจากที่พวกมันสลายหายไป ก็ไม่มีปานดำเกิดขึ้นอีก ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา
“แล้วจะตามหาในที่แห่งนี้เจอได้อย่างไร” สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงเจตจำนงชั่วร้ายของโลกใบใหญ่นี้ ดวงตาเผยแววครุ่นคิด ก้มหน้ามองข้อมือขวาของตน
“เผ่าวิญญาณบรรพกาลข้องเกี่ยวกับดวงชะตา…”
สวี่ชิงใจสั่นกระตุก วังสวรรค์วังที่หกในร่างกายสั่นคลอนในพริบตา อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ด้านในแผ่กลิ่นอายหลั่งทะลักเข้าไปในข้อมือวูบหนึ่ง
ข้อมือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
สวี่ชิงยังไม่ยอมแพ้ ผสานกลิ่นอายวิถีสวรรค์ต่อ จนผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ข้อมือขวาของเขาก็ร้อนวูบ สายใยสีทองที่เดิมทีฝังลึกอยู่ในกระดูก ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนเลือดเนื้อช้าๆ
สวี่ชิงเพ่งพินิจ