ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 467 นี่คือสายใยดวงชะตาของหลิงเอ๋อร์! (1)
บทที่ 467 นี่คือสายใยดวงชะตาของหลิงเอ๋อร์! (1)
……….
เขตปกครองผนึกสมุทร ณ ค่ายกลที่ห่างจากเมืองหลวงเขตปกครองอีกระยะหนึ่ง เงาร่างสวี่ชิงเดินออกมาจากในนั้นจากแสงกะพริบวูบวาบ
หน้าของเขาขาวซีด ความอ่อนล้ายิ่งหนักหน่วง หลังจากที่ออกมาก็ไม่ลังเล เหินไปที่ไกลๆ ด้วยความเร็วที่สุดเหยียบย่างไปในภูเขารกร้างแห่งหนึ่ง หาถ้ำลับสายตา
เสี้ยวพริบตาที่เหยียบย่างเข้าไปก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เบื้องหน้าสวี่ชิงมืดไปเล็กน้อย หลังจากนั่งขัดสมาธิลงก็หอบหายใจ แต่กลับยังกัดฟันประสานปางมือผนึกรอบๆ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ตนน่าจะฟื้นฟูกลับมาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในเวลาหนึ่งวันจึงจะถูก
แต่ตอนนี้กระทั่งหนึ่งส่วนก็ยังไม่ถึง
ขณะเจ็บปวดอวัยวะภายในไม่หยุด สวี่ชิงก็สัมผัสถึงสาเหตุที่ให้อาการบาดเจ็บของตนครั้งนี้ช้าถึงเพียงนั้นได้
อวัยวะภายในร่างกายของเขาแตกละเอียด เลือดเนื้อส่วนที่แห้งเหี่ยวไปเรียวลีบ กระดูกยิ่งเต็มไปด้วยรอยร้าวนับไม่ถ้วน
เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้เจ็บปวดรุนแรง
ส่วนที่เหนื่อยล้าเพราะทะเลความรู้สึกตอนนี้หมองหม่น แสงของวิญญาณไม่สว่างไสวเจิดจ้าอย่างเมื่อก่อน
แต่ความจริงพวกนี้ไม่นับเป็นเรื่องอะไรเลยสำหรับสวี่ชิงแล้ว แต่ก่อนอาการบาดเจ็บที่สาหัสและรุนแรงกว่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจในตอนนี้คือ นอกจากร่างกายจะมีบาดแผลพวกนี้แล้วยังมีเข็มเล่มบางเฉียบอีกนับไม่ถ้วนด้วย!
เข็มพวกนี้จับต้องไม่ได้ เหมือนมาจากแสงที่แตกละเอียดเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ในกายเนื้อและกระดูก กะพริบแสงวูบวาบไม่หยุด
และเป็นพวกมันที่ทำให้อาการบาดเจ็บของสวี่ชิงฟื้นฟูช้า
ดีที่ภายใต้การสะกดควบคุมของสวี่ชิง บนกระดูกบางจุดไม่ได้มีเข็มมากนัก และกระดูกส่วนใหญ่ยังไม่ถูกผลกระทบ
“พลังเทพเจ้า…” สวี่ชิงพึมพำ สีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหด
ความจริงระหว่างทางกลับ เขาลองกำจัดเข็มพวกนี้หลายวิธี แม้จะได้ผลแต่ก็ช้ามาก
สวี่ชิงรอนานขนาดนั้นไม่ได้
เพราะเขาสัมผัสถึงลางสังหรณ์วิถีสวรรค์ของตนได้อย่างชัดเจน มันไม่ได้ลดลงจากการตายของฉู่เทียนฉวินเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งรุนแรงขึ้น!
การค้นพบนี้ทำให้ระหว่างทางที่เขากลับมาอยู่ในสภาวะตึงเครียดระดับสูงอยู่ตลอด
โดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงเขตปกครอง ความรู้สึกอันตรายนี้ก็ยิ่งน่ากลัว
ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ทันทีว่า อันตราย…มาจากเมืองหลวงเขตปกครอง!
และเมื่อเขาย้อนนึกถึงความรู้สึกอันตรายนี้ที่เกิดขึ้นในครั้งแรกก็เป็นที่เมืองหลวงเขตปกครองเช่นกัน จากนั้นตนก็เดินทางไกลไปยังเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ แม้จะยังรู้สึกอันตราย แต่กลับไม่รุนแรงแล้ว
จวบจนเมื่อกลับมายังเขตปกครองผนึกสมุทร ความรู้สึกอันตรายนี้ถึงได้ปะทุขึ้นมาใหม่
‘เช่นนี้แล้ว ทะเลทรายก่อนหน้านี้ อันตรายของข้าไม่ได้เป็นเพราะฉู่เทียนฉวิน แต่เป็นเพราะทิศทางของข้าเข้าใกล้มายังเมืองหลวงเขตปกครองเรื่อยๆ…
‘เพราะอะไร!’
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรตนก็ต้องรีบฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้เร็วที่สุด รักษากำลังรบของตัวเองอยู่ในสภาวะสูงสุด ดังนั้นเขาจะรอไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะฟื้นฟู เขาระแวงระวังเมืองหลวงเขตปกครองเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาไม่เดินทางกลับเมืองหลวงเขตปกครองในทันที
‘หากอยากจะฟื้นฟูให้เร็วขึ้นมีเพียงใช้วิธีพิเศษเท่านั้น!’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว วังสวรรค์วังที่สามในร่างโคจรทันที พลังพิษต้องห้ามปะทุ แผ่ซ่านไปยังเลือดเนื้อทุกชุ่นในกายเนื้อ
ไม่ได้ต่อกรและสลายเข็มที่แปรมาจากพลังเทพของฉู่เทียนฉวินพวกนั้น แต่โจมตีเลือดเนื้อทั้งหมด ทำให้ร่างของตนเน่าเปื่อยเหมือนถูกพิษ
จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย หยิบกริชออกมาด้วยสายตาเย็นชา ปาดเฉือนเนื้อบนร่างตัวเอง
เริ่มจากที่แขนข้างหนึ่งก่อน เขาปาดเนื้อชุ่มเลือดที่พิษกำเริบเน่าเปื่อยและเข็มแสงในนั้นออกมาพร้อมกัน เสียงเสียดหูที่สีกับกระดูกดังไปทั่ว ความเจ็บปวดมากกว่าก่อนหน้านี้มหาศาล
สวี่ชิงร่างสั่นเทิ้ม เพียงพริบตาทั่วทั้งร่างก็ท่วมไปด้วยเหงื่อ เม็ดเหงื่อที่หน้าผากยิ่งไหลรินเป็นทาง
นี่ก็คือวิธีที่เขาคิดได้ ในเมื่อเข็มแสงในเลือดเนื้อส่วนนี้กำจัดได้ช้านัก เช่นนั้นก็ขูดมันออกเสียก็สิ้นเรื่อง และประโยชน์ของพลังพิษต้องห้าม นอกจากจะทำให้เลือดเนื้อของตัวเองจัดการได้สะอาดหมดจดยิ่งขึ้นแล้ว ยังขัดขวางการเคลื่อนที่ของเข็มแสงได้ด้วย
สวี่ชิงเป็นคนโหด โหดกับศัตรู ก็โหดกับตัวเองยิ่งกว่า
จากเวลาที่เคลื่อนคล้อย เขาไม่หยุดจัดการตัวเองแม้แต่น้อย เขาตัดเนื้อชุ่มเลือดแต่ละชิ้นๆ ออกมา จนเมื่อถึงขีดจำกัดความอดทนสูงสุดของร่างกาย เขาก็หยุดทันที มองไปทางแสงสีทองที่ข้อมือ
เขาไม่อยากกระตุ้นพลังแสงสีทองด้วยสัญชาตญาณ จึงปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาวะใกล้ตายไม่ได้
เมื่อสัมผัสได้ว่าแสงสีทองไม่มีปัญหา เขาก็โคจรผลึกวารีสีม่วง ฟื้นฟูเลือดเนื้อที่ตนตัดออกมา หลังจากมีแรงก็ตัดเนื้อต่อไป
ทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นสี่วัน ในที่สุดสวี่ชิงก็เอาเข็มแสงออกมาได้ทั้งหมด
ระหว่างนั้นเขาเอายาลูกกลอนออกมากินอยู่ตลอด ผลึกวารีสีม่วงก็โคจรตลอดทั้งกระบวนการ ทำให้พลังฟื้นฟูยกระดับมากขึ้น
ส่วนเข็มแสงที่อยู่ทะเลความรู้สึก จากการกัดฟันของสวี่ชิง อาศัยพลังพระจันทร์สีม่วงและพิษต้องห้ามที่แผ่ซ่าน บีบให้มันไปอยู่ในเนื้อแล้วตัดมันออกมา
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ สวี่ชิงก็ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว ความเจ็บปวดจากทุกกระบวนการยากจะใช้คำพูดมาบรรยาย และค่าตอบแทนเช่นนี้ ในที่สุดก็ทำให้ร่างของเขาฟื้นฟูอยู่เรื่อยๆ เริ่มดีขึ้น
จวบจนผ่านไปสามวัน บาดแผลของสวี่ชิงก็ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์
เขาที่เดินออกมาจากในถ้ำ มองแสงพรายยามตะวันตกดินบนท้องฟ้า สูดลมหายใจยาวๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะขบคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งสีหน้าของเขาก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว
ร่างเพียงไหววูบก็ไปจากที่นี่ มุ่งตรงไปยังค่ายกลส่งข้าม
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องกลับไปเมืองหลวงเขตปกครอง ด้านหนึ่งเป็นเพราะต้องแลกผลมรรคาเป็นแต้มกองทัพ อีกด้านหนึ่งคือต้องเดินทางไปยังแดนมายาเก็บรวบรวมอักขระจำแลงปีศาจต่อ
ก็เป็นตามนี้ คืนวันนั้น เงาร่างของสวี่ชิงปรากฏขึ้นในค่ายกลส่งข้ามเมืองหลวงเขตปกครอง ในเสี้ยวพริบตาที่เดินออกไปข้างนอก เขามองเมืองหลวงเขตปกครองที่คุ้นเคย มองรูปสลักมหึมาของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว สะกดความอกสั่นขวัญผวากลับไปยังหอกระบี่
หลังจากขัดสมาธินั่งลง เขาสื่อเสียงหานายกองทันที แต่ไม่มีการขานตอบรับ
สวี่ชิงรู้ว่านายกองน่าจะยังไม่กลับมา จึงสื่อเสียงหาจื่อเสวียน รายงานความปลอดภัย
จื่อเสวียนตอบกลับทันที น้ำเสียงแฝงด้วยความห่วงใย กระทั่งว่าใช้เวลาไม่นาน นางก็มาปรากฏตัวที่นอกหอกระบี่ของสวี่ชิงแล้ว
ใต้แสงจันทร์ จื่อเสวียนในชุดกระโปรงสีน้ำเงินมองสวี่ชิง สายตาแฝงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ทำไมครั้งนี้ออกไปนานถึงเพียงนี้” ระหว่างถาม สายตาของนางก็จับจ้องบนร่างสวี่ชิง สำรวจอย่างละเอียด พบว่าสบายดี นี่ถึงได้โล่งใจ
สวี่ชิงประสานหมัด
“ระหว่างทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นเล็กน้อยจึงเสียเวลาไปบ้างขอรับ” สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของจื่อเสวียน สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
จื่อเสวียนพยักหน้า คล้ายว่านางมีเรื่องต้องจัดการ สัมผัสได้ว่าสวี่ชิงปลอดภัยดี จึงกำชับสองสามประโยค ก็รีบร้อนจากไป
มองเงาร่างจื่อเสวียนจากไป สวี่ชิงพลันพูดขึ้นมา
“จอมเซียน ช่วงนี้ข้ามักจะใจคอไม่ดี ท่านระวังตัวด้วย”
จื่อเสวียนฝีเท้าหยุดชะงัก หันมามองสวี่ชิง แย้มยิ้มอย่างงดงาม พยักหน้าแล้วจากไป
หลังจากกลับมายังหอกระบี่อีกครั้ง สวี่ชิงก็ครุ่นคิดแล้วถ่ายทอดเสียงหาข่งเสียงหลง ถามว่าช่วงนี้เมืองหลวงเขตปกครองเกิดเรื่องอะไรหรือไม่ จึงได้รู้ว่านอกจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทางนั้นเกิดระลอกคลื่นเนื่องจากบุตรเทวะฟ้าทมิฬแล้ว ในเมืองหลวงเขตปกครองทุกอย่างเป็นปกติ
อีกทั้งข่งเสียงหลงยังไม่ได้อยู่ในเขตปกครอง เขากำลังปฏิบัติภารกิจ ตอนนี้รีบซักไซ้สวี่ชิงเกี่ยวกับเรื่องที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
“อืม ใช่แล้ว ที่นั่นมีเผ่าฟ้าทมิฬสองกลุ่ม…” สวี่ชิงกระแอมขึ้นทีหนึ่ง เรื่องนี้ไม่อาจอธิบายได้
“ได้มาหลายพันลูกกระมัง…” เผชิญกับคำถามของข่งเสียงหลง สวี่ชิงไม่ได้ปิดบังจำนวน จึงได้ยินเสียงสูดลมหายใจของข่งเสียงหลงที่ดังมาจากในกระบี่อาญาสิทธิ์ทันที
“หลายพันลูกหรือ”
“อืม…ในนั้นมีส่วนของท่านด้วย” สวี่ชิงตอบ
“ใจกว้างนัก!! ผลมรรคาอย่าเพิ่งรีบร้อนขาย ต้นเซียนแท้สิบลำไส้ไม่มีแล้ว ราคาของเจ้าสิ่งนี้จะต้องพุ่งพรวดอย่างแน่นอน อะแฮ่ม แม้พวกเราจะเป็นผู้ครองกระบี่ แต่…บางครั้งที่ควรได้รับก็ต้องได้รับ!” ข่งเสียงหลงกระแอม ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงไม่แปลกใจ แม้ข่งเสียงหลงจะจงรักภักดีต่อโถงครองกระบี่ อีกทั้งยังยึดมั่น แต่ของเช่นแต้มกองทัพ ไม่มีใครที่รู้สึกว่าเยอะ ดังนั้นทั้งสองคนก็คุยกันอีกสามสี่ประโยคแล้วจึงสิ้นสุดการสื่อเสียง
“เมืองหลวงเขตทุกอย่างเป็นปกติ แต่ต้นกำเนิดความรู้สึกอันตรายก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เช่นนั้นก็หมายความว่าความรู้สึกอันตรายมุ่งเป้ากับข้าเพียงคนเดียว” สวี่ชิงวางกระบี่อาญาสิทธิ์ พึมพำออกมา
เขาไม่คิดว่าเป็นตัวเองที่คิดมากเกินไป การระมัดระวังก็ไม่เคยลดลง
คืนหนึ่งผ่านไป เช้าวันที่สอง สวี่ชิงไปจากหอกระบี่ตั้งแต่เช้าด้วยความระแวงระวังไปยังในเมือง หลังจากที่ซื้อยาลูกกลอนที่ใช้ไป เขาก็ไปยังสาขาย่อยของสำนักมายาจำแลงปีศาจที่อยู่ที่นี่
จ่ายแต้มกองทัพที่กำหนดแล้ว สวี่ชิงก็ไปยังแดนมายาอีกครั้ง
ไม่ว่าอันตรายจะมาจากที่ใด สวี่ชิงคิดว่าเขาจักรพรรดิภูตเอามาใช้เป็นไพ่ตายของตัวเองก็ต้องรีบชดเชยกลับมาให้เร็วที่สุด อย่างไรเสีย ถึงแม้จะผสานมันไปในวังสวรรค์ แต่ในยามที่ทำให้ปรากฏออกมาก็ยังต้องใช้อักขระจำแลงปีศาจช่วยแบ่งเบา
เพียงแต่หลังจากที่ผสานไปในวังสวรรค์แล้ว การควบคุมเขาจักพรรดิของเขาก็ยิ่งสะดวก
และการเดินทางมาแดนมายาครั้งนี้ สวี่ชิงรู้ทางเป็นอย่างดี ในโลกที่เยือกเย็นน่าขนลุกดังก้องไปด้วยเสียงซุบซิบของต้นสมอง ในยามที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็เกิดระลอกคลื่นทันที
ทุกที่ที่ผ่าน ต้นสมองนับไม่ถ้วนสั่นงันงก หลบหลีกกรีดร้องเสียงแหลม
สวี่ชิงเมื่อครั้งที่แล้วลงมือโหดมาก ทำให้ช่วงนี้แม้เขาจะไม่มา แต่เรื่องเกี่ยวกับเขาเล่าลือไปในต้นไม้สมองพวกนี้ตั้งนานแล้ว
แต่ว่าพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงพัฒนาขึ้นจากก่อนหน้านี้ ต้นไม้สมองพวกนั้นแม้จะหลบหลีก แต่สวี่ชิงก็ไล่ตามทันได้อย่างรวดเร็ว ในยามที่ครบกำหนดเวลามาถึงสวี่ชิงก็ส่งข้ามกลับออกไปอย่างพออกพอใจเช่นนี้เอง
“เจ็ดสิบห้าชิ้น!” ในตอนที่เดินออกมาจากสำนักย่อย สวี่ชิงคลำถุงเก็บของ ไปยังที่เก็บรวบรวมตำราของวังครองกระบี่ เขาอยากจะหาที่มาที่ไปของแสงทองบนข้อมือ
แต่น่าเสียดาย แม้ในตำหนักตำรา บันทึกตำราจะมากมายดั่งมหาสมุทร แต่สวี่ชิงหาจนดึกก็หาไม่เจอ จึงกลับหอกระบี่
‘พรุ่งนี้ค่อยไปหาที่ตำหนักตำราต่อ จะต้องหาเจออย่างแน่นอน!
‘หากยังไม่ได้ก็ไปเข้าเวรที่กรมราชทัณฑ์ ไปถามเจ้าวัง จากนั้นในช่วงนี้ข้าก็ไม่ออกไปข้างนอกแล้ว’ สวี่ชิงรู้สึกว่าในเมื่อเมืองหลวงเขตปกครองมีอันตรายกับตน เช่นนั้นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็เป็นที่กรมราชทัณฑ์
จะอย่างไรก็มีเจ้าวังดูแลอยู่ที่นั่น
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็นั่งขัดสมาธิ หลับตาทั้งสองข้างลง
ข้างนอกมือดสนิท ไม่มีเมฆหมอก ในยามดึก สวี่ชิงกำหนดลมหายใจจักรวาลดาราเสร็จสิ้น ลืมตาขึ้นก้มมองไปยังข้อมือขวาของตน ยกมือซ้ายลูบไปบนนั้นเบาๆ
“เส้นสีทองนี่…คืออะไรกันแน่”