ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 458 จักรพรรดิแห่งสายลมสวรรค์
บทที่ 458 จักรพรรดิแห่งสายลมสวรรค์
มือใหญ่สีขาวของวิถีสวรรค์แผ่กลิ่นหอมประหลาด เหมือนอาหารอันโอชะเลิศรส
มองมือใหญ่ข้างนั้น สวี่ชิงเลียริมฝีปาก หันไปมองนายกองอย่างรวดเร็ว
ความบ้าคลั่งในดวงตานายกองรุนแรงสุดขีด ท่าทางการเคลื่อนไหวเชี่ยวชาญเป็นที่สุด ตอนนี้จากแขนขาที่เกาะมือวิถีสวรรค์เอาไว้ ก็อ้าปากกว้างกัดไปที่มือวิถีสวรรค์คำโต ใช้แรงทั้งหมดกัดลงไป
อาจเป็นเพราะตัวก็เป็นบิดาของวิถีสวรรค์ รวมกับบุญกุศลก่อนหน้านี้ทำให้นายกองเหมือนว่ากัดอะไรได้จริงๆ หลังจากใช้แรงฝืนกลืนลงไป เขาก็หัวเราะขึ้นมาด้วยสีหน้าบ้าคลั่ง
“คุ้ม…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ท่ามกลางความอึ้งตะลึงจากชิงชิวและหนิงเหยียน เสียงของนายกองก็พลันเปลี่ยนไปกลายเป็นร้องโหยหวน
เหมือนว่ากินอาหารที่ย่อยไม่ได้ ท้องของเขานูนขึ้นมา ส่งเสียงดังบึ้มแล้วระเบิดมาทันที
ท่ามกลางเลือดเนื้อที่สาดกระเซ็น กลิ่นอายวิถีสวรรค์ที่เข้มข้นเป็นอย่างยิ่งก็แผ่กระจายออกไปจากรูโหว่ที่ระเบิดจากท้องของเขา มองเห็นว่านั่นเป็นหนังสีทองชิ้นหนึ่ง
นายกองตาเบิกกว้าง มือทั้งสองคลายออกคิดจะอุดเอาไว้ แต่ก็ยังสายไป พลังระเบิดไม่หยุด ตอนนี้แผ่ระลอกพลังไปทั่วทั้งตัว
เพียงพริบตามือทั้งสองของนายกองก็ระเบิด กายครึ่งท่อนล่างก็ส่งเสียงดังบึ้ม ระเบิดเช่นกัน จะลำไส้ก็ดี สองขาก็ดี ล้วนระเบิดกระจายกลายเป็นเศษเนื้อนับไม่ถ้วน
ในยามที่เลือดสดๆ สาดกระเซ็นทั่วฟ้า กายครึ่งท่อนบนของเขาก็ไม่รอดพ้น ได้รับระลอกคลื่นพลังระเบิดเช่นกัน
ท้องระเบิดกระจาย หน้าอกแหลกละเอียด อวัยวะภายในขณะที่สาดกระเซ็นก็สลายหายไป สุดท้าย ท่ามกลางเลือดเนื้อแหลกเละ เหลือเพียงศีรษะที่แข็งที่สุดที่ยังอยู่
ก็ไม่รู้ว่าศีรษะของนายกองเกิดมาจากอะไรถึงพอจะรักษาสภาพสมบูรณ์เอาไว้ได้ เสียงร้องโหยหวนจากปากยังนับว่าชัดเจน ตอนนี้ภายใต้การเหวี่ยงก็พุ่งตรงไปที่เนื้อชุ่มเลือดของตัวเอง อ้าปากงับหนังสีทองชิ้นนั้นเอาไว้
ครั้งนี้ไม่ได้กลืนลงไปแต่อมไว้ในปาก ในดวงตาฉายความบ้าคลั่งอีกครั้ง พยายามสะบัดผมแขวนตัวเองไปบนกิ่งไม้ ยิ่งไปกว่านั้นขณะเคี้ยวก็เอ่ยเสริมคำพูดที่ยังพูดไม่จบก่อนหน้านี้
ชิงชิวสูดลมหายใจลึก หนิงเหยียนยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น เขาเคยเห็นคนรนหาที่ตาย แต่รนหาที่ตายแบบคนที่อยู่ข้างหน้าแบบนี้ ช่างน้อยนัก เทียบกันแล้ว เขารู้สึกว่าที่ตนถูกกัดเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นับเป็นเรื่องอะไร
และวิถีสวรรค์ก็เหมือนรู้สึกได้ว่าถูกกัด หลังจากมือใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก็มีสายตาไม่เข้าใจแผ่มาจากในรอยแยก คล้ายว่าไม่รู้ว่าศีรษะนั่นกำลังทำอะไร
ส่วนมือของมันก็ไม่มีรอยแผลใดๆ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่นายกองกัดเป็นเพียงแค่เศษหนังเท่านั้น
หลังจากคิดไปก็ไม่ได้คำตอบ วิถีสวรรค์ก็คว้าต้นสิบลำไส้ต่อ ยกขึ้นยัดไปในท้องที่เป็นรอยแยก
เห็นภาพนี้ สวี่ชิงล้มเลิกความคิดที่จะไปกัดสักคำหนึ่งทันที ขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของนายกองทางนั้นก็ดังก้องไปทั่ว
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็ได้กินวิถีสวรรค์!
“เผ่นแล้วๆ
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเราจะถูกส่งข้ามไปที่ใด อย่างไรก็เป็นอาณาบริเวณคร่าวๆ ไม่ผิดแน่ ทุกคน…แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของนายกอง คิ้วก็กะพริบแสงสีทอง ขณะแผ่แสงก็เปลี่ยนเป็นอักขระสีทอง เพียงแค่พริบตาจำนวนก็มากถึงหลายแสน ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ ก่อเป็นค่ายกลส่งข้ามขนาดมหึมาสี่แห่ง
ค่ายกลส่งข้ามทั้งสี่ล้วนกึ่งโปร่งแสง มีขนาดพันจั้ง ตลบอวลไปด้วยกลิ่นอายวิถีสวรรค์
เห็นได้ชัดว่าหนังที่นายกองกัดแทะชิ้นนั้น ส่งผลในเสี้ยวขณะนี้
ในเสี้ยวพริบตาที่ค่ายกลทั้งสี่ก่อขึ้น ก็มีพลังส่งข้ามสะท้านสะเทือนฟ้าดินปะทุออกมาจากในนั้น จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสี่ทาง แสงที่เข้มข้นที่สุดสองทางหนึ่งปกคลุมไปที่ร่างของนายกอง อีกหนึ่งพุ่งไปหาสวี่ชิง
อีกสองทางที่เหลือพุ่งไปหาหนิงเหยียนและชิงชิว
เห็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็รู้ว่าตัวเองไม่ต้องเตะนายกองแล้ว
ไม่นานนัก ท่ามกลางลมหายหายใจถี่กระชั้นจากชิงชิวและหนิงเหยียน ท้องดินเปลี่ยนสี ลมกระหน่ำเมฆทะลัก ในยามที่เสียงสนั่นหวั่นไหวดังกึกก้อง ค่ายกลส่งข้ามก็เปิดออก!
เพียงพริบตา เงาร่างคนทั้งหลายที่อยู่บนต้นสิบลำไส้ก็พลันหายไป
และหลังจากที่พวกเขาหายไป มือใหญ่ที่ยื่นมาจากรอยแยกบนท้องฟ้าก็ไม่ได้หยุด ยังคงคว้าต้นสิบลำไส้หลอมผสานต่อไป ไม่นานนัก ก็ยัดต้นสิบลำไส้ในพื้นที่บริเวณสามพันจั้งพร้อมทั้งรยางค์นับไม่ถ้วนไปในรอยแยก
ยามเมื่อรยางค์กลุ่มสุดท้ายหายไปในท้องฟ้า รอยแยกค่อยๆ ผสานกัน สุดท้ายก็หายลับไป
ทุกอย่างฟื้นฟูเป็นปกติ
เพียงแต่…พื้นดินเละเทะไปทั่ว
ต้นเซียนแท้สิบลำไส้ที่อยู่มาอย่างยาวนานยืนตระหง่านอยู่ที่นี่ นับจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
บนพื้นมีเพียงหลุมลึกขนาดมหึมาหลุมหนึ่งและรอยแยกเป็นทางๆ ที่แผ่มาจากหลุมลึกแห่งนี้ คล้ายใยแมงมุม มากพอจะให้คนที่เห็นสยดสยองตื่นตะลึง
ส่วนสามสิบหกนครรัฐ ในตอนนี้เมืองถล่มไปกว่าครึ่ง เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในนั้นต่างตื่นตะลึงกับภาพนี้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้จิตใจยังคงมีเสียงสายฟ้าฟาดผ่า
เจ้ารัฐยอดฟ้ามองท้องฟ้าจากบนพื้นไปที่ไกลๆ จิตใจเกิดคลื่นอารมณ์ไม่สิ้นสุด ลมหายใจก็หอบถี่เช่นกัน มือขวาประเดี๋ยวกำประเดี๋ยวแบ เห็นได้ชัดว่าในใจกำลังดิ้นรน
โจวสิงอูที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นตะลึงอยู่ทางนั้นตั้งนานแล้ว ในยามเงียบนิ่ง หลินหย่วนตงที่อยู่ข้างหลังเขาพลันส่งเสียงดังขึ้นมา
“บุตรเทวะยิ่งใหญ่เกรียงไกร!”
โจวสิงอูคิดอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ส่วนเจ้ารัฐยอดฟ้า ตอนนี้มือขวาคลายออกโดยสมบูรณ์ ในดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ประสานหมัดโค้งคารวะท้องฟ้า
“น้อมส่งบุตรเทวะ!”
จากการเอ่ยของเจ้ารัฐยอดฟ้า ผู้บำเพ็ญรัฐยอดฟ้าที่อยู่ข้างหลังทั้งหลาย ก็โค้งคารวะท้องฟ้ากันทุกตน
สุดท้ายโจวสิงอูก็โค้งศีรษะไป
และในตอนนี้เอง ท้องฟ้าที่ฟื้นฟูเป็นปกติจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เห็นเพียงทะเลแสงกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในพริบตา ในยามที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศอย่างไร้ขอบเขต ในหมู่เมฆก็มีเงาร่างมหึมาสวมชุดจักรพรรดิปรากฏออกมา
ชุดจักรพรรดิตัวโคร่งสีทอง แสดงให้เห็นความทรงอำนาจน่าเกรงขามอันศักดิ์สิทธิ์ ปักลายมังกรทะยานเก้าตัว ประดุจมีอยู่จริง ผนึกเอาไว้บนชุดนี้ เวียนว่ายประดุจสายน้ำไหล แผ่ความสูงส่งออกมา
กวานจักรพรรดิสีแดงบนศีรษะประดุจดวงอาทิตย์แดงฉาน ก่อเป็นวงแสงสีแดงขนาดมหึมาข้างหลังเขา
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากที่สุดคือม่านลูกปัดที่ห้อยระย้ามาจากกวาน ข้างหน้าหลังมีรวมทั้งหมดยี่สิบสี่เส้น ทุกเส้นร้อยเม็ดหยกไว้สิบสองเม็ด ในขณะที่บดบังใบหน้าของเขา แต่ละเม็ดก็แผ่ประกายเจิดจ้าพร่างพราย ทำให้คนยิ่งไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้
ทำได้แต่เห็นอย่างรางๆ เท่านั้นว่าผู้ที่สวมชุดจักรพรรดิผู้นี้เป็นชายกลางคน
ในเสี้ยวพริบตาที่เขาปรากฏขึ้นฟ้าดินเปลี่ยนสี แผ่นดินส่งเสียงกึกก้อง พลังกดดันรุนแรงปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศปานถล่มภูเขาล่มมหาสมุทร
ในพริบตาที่เห็นเงาร่างนี้ โจวสิงอูก็คุกเข่าหมอบคารวะทันที
“องค์จักรพรรดิ!”
เจ้ารัฐยอดฟ้าสั่นสะท้านไปทั้งร่าง คุกเข่าหมอบคารวะเช่นกัน องครักษ์ชุดดำทั้งหมด และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบหกนครรัฐต่างคุกเข่าหมอบคารวะเงาบนท้องฟ้าทันที
“องค์จักรพรรดิ!”
ราชวงศ์สายลมสวรรค์ องค์จักรรพรรดิที่ว่า ความจริงในมุมหนึ่งแล้วก็คือราชา
และทั้งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์โถงจักรพรรดิบรรพชนมีสถานะเทียบเท่ากับสี่ราชวงศ์ ถึงจะเป็นจักรพรรดิบรรพชนเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์!
ผู้ที่มาย่อมไม่ใช่จักรพรรดิบรรพชนที่หมื่นปีก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้น แต่เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์สายลมสวรรค์ที่ได้รับโองการจากตำหนักเทวะฟ้าทมิฬ มาเยือนที่นี่เพื่อรับบุตรเทวะ
เขายืนอยู่กลางฟ้าดิน ใบหน้าไร้อารมณ์ มองไปยังจุดลึกของเซียนแท้สิบลำไส้บนพื้นแวบหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองรอยแยกที่เคยปรากฏอยู่บนท้องฟ้า หลังจากเงียบนิ่งอยู่นานก็เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
“มู่เทียนเจิ้ง”
“พะย่ะค่ะ!” เจ้ารัฐยอดฟ้าขานตอบเสียงดัง
“บุตรชายของเจ้ามู่เยี่ย มีคุณงามความชอบดูแลต้อนรับบุตรเทวะ ตำหนักเทวะประทานตำแหน่งผู้รับใช้เทพให้”
เจ้ารัฐยอดฟ้าได้ยินจิตใจก็เกิดความตื้นตันเป็นที่สุด ทั้งร่างสั่นสะท้าน โขกศีรษะไปทางท้องฟ้าไม่หยุด
“กระหม่อมมู่เทียนเจิ้ง ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิ!”
จักรพรรดิสายลมสวรรค์ได้ยินคำขอบคุณ สายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งก็มองเจ้ารัฐยอดฟ้าที่คุกเข่าคารวะอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็มองไปทางที่ไกล เอ่ยราบเรียบว่า
“บุตรเทวะตำแหน่งสูงส่ง ในเมื่อมีใจคิดอย่างหลบเลี่ยงข้า เช่นนั้นก็ให้พวกเจ้าตามหาร่องรอย บอกโองการเรียกตัวจากฟ้าทมิฬกับบุตรเทวะ”
พูดจบ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์สายลมสวรรค์ก็หันหลัง เดินไปทางความว่างเปล่า และก่อนที่เงาร่างของเขาจะเลือนหายไปก็ชะงักไปครู่หนึ่ง มือขวายกขึ้นไปทางทิศที่พวกสวี่ชิงส่งข้ามหายตัวไป คว้าเบาๆ
ทันใดนั้น พื้นที่บริเวณนั้นพังถล่ม ร่องรอยทุกอย่างหายไปโดยสิ้นเชิงท่ามกลางการพังถล่มนี้ ไม่อาจย้อนรอยได้ ไม่อาจสืบได้
ทำทุกอย่างเสร็จ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์สายลมสวรรค์ใบหน้าไร้อารมณ์ผู้นี้ เงาร่างก็หายไปจากฟ้าดิน
บนพื้น โจวสิงอูคล้ายครุ่นคิด พึมพำในใจ
“องค์จักรพรรดิมาได้ทันเวลาพอดี…”
เจ้ารัฐยอดฟ้าที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเป็นปกติ ทำเหมือนไม่เห็นภาพเมื่อครู่ ในชั่วขณะที่ลุกขึ้นก็ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บัญชาการแยกย้ายกันไปตามหาบุตรเทวะ
การค้นหานี้ไม่ได้ดำเนินการแค่ที่นี่เท่านั้น ทั้งราชวงค์สายลมสวรรค์แต่ละกรมและขั้วอำนาจสายย่อย ภายใต้โองการของจักรพรรดิราชวงศ์สายลมสวรรค์ก็ค่อยๆ เกิดเป็นเรื่องสะท้านสะเทือน ค้นหาร่องรอยบุตรเทวะไปทั่วทั้งดินแดน
เพียงแต่เรื่องสะท้านสะเทือนของการค้นหาบุตรเทวะ เนื่องจากถ่ายทอดโองการต้องใช้เวลา จึงเสียเวลาไปสามวัน
แต่ไม่ได้มีเพียงตำหนักเทวะที่ดูแลราชวงศ์สายลมสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับโองการถ่ายทอด ไม่นานนัก สามราชวงศ์ที่เหลือของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับโองการจากตำหนักเทวะที่ดูแลปกครองตน ต่างเริ่มทำการค้นหา
ที่นี่โดยเฉพาะราชวงศ์วิญญาณสีชาดและราชวงศ์หมอกจันทราบ้าคลั่งที่สุด ในขณะที่ใช้กำลังทั้งรัฐแยกย้ายค้นหา ตำหนักเทวะฟ้าทมิฬที่ดูแลพวกเขา ก็มายังเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เข้าร่วมการค้นหาด้วย
กระทั่งว่าเผ่าที่พึ่งพาเผ่าฟ้าทมิฬและเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน ก็ต่างได้รับโองการที่เนื้อความเข้มงวดจริงจังจากราชวงศ์ทั้งสองและตำหนักเทวะ ให้เข้าร่วมการค้นหา
การค้นหาบุตรเทวะครั้งนี้ก็ค่อยๆ สะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เอง
เรื่องสะท้านสะเทือนขึ้นเรื่อยๆ
ภาพนี้ย่อมทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง พวกเขาหลังจากที่ใช้วิธีของตัวเองสืบรู้สาเหตุบางส่วน ทั่วทั้งเขตปกครองก็แตกตื่นฮือฮา รวมถึงสามวังทมิฬบนที่รวมวังครองกระบี่อยู่ในนั้น เกิดเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่
“บุตรเทวะเผ่าฟ้าทมิฬหรือ”
“ต้นเซียนแท้สิบลำไส้ที่ตั้งตระหง่านมาเนิ่นนานไม่มีแล้วหรือ นับจากนี้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็มีพื้นที่อัศจรรย์หายไปหนึ่งแห่งอย่างนั้นหรือ”
“ตำหนักเทวะฟ้าทมิฬมีโองการไปยังราชวงศ์ทั้งสี่หรือ”
“กรมบวงสรวงตำหนักเทวะฟ้าทมิฬของราชวงศ์วิญญาณสีชาดและราชวงศ์หมอกจันทราออกไปด้วยตัวเองหรือ”
“ทำไมกรมบวงสรวงตำหนักเทวะของราชวงศ์สายลมสวรรค์ไม่ออกมา อีกทั้งยังให้จักรพรรดิเทียนเฟิงถ่วงเวลาไปอีกสามวัน”
ระดับสูงเขตปกครองผนึกสมุทรเรียกประชุมด่วน ขณะเดียวกันผู้ครองกระบี่จำนวนมากก็ได้รับภารกิจให้มุ่งหน้าไปยังชายแดน รับผิดชอบดูแลอย่างเข้มงวด ป้องกันไม่ให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ฉวยโอกาสสร้างปัญหา
ส่วนพวกข่งเสียงหลงก็ได้รับภารกิจคล้ายๆ กัน ในตอนที่ออกเดินทาง พวกเขาต่างมองหน้ากัน ล้วนสังเกตเห็นความตกใจสงสัยในดวงตาอย่างเข้มข้นของกันและกัน
“น่าจะไม่มีทางเป็นพวกเขาหรอกกระมัง…” ซานเหอจื่อพึมพำ
“เป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นถึงบุตรเทวะเชียวนะ เจ้าอย่าพูดมั่วทำให้กลัว!” หวังเฉินจิตใจสั่นสะท้าน ส่ายหน้าอย่างแรง
“นั่นสิ ฮ่าๆ ข้าคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้สร้างพายุให้กับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ลูกใหญ่ขนาดนี้จะเป็นพวกเขาสองคนไปได้อย่างไร!” ซานเหอจื่อฝืนฉีกยิ้ม
“แต่ข้าจำได้ว่า ตอนที่สวี่ชิงกับเฉินเอ้อร์หนิวเดินทาง ก็พูดถึงว่าสถานที่ที่พวกเขาจะไปก็คือเซียนแท้สิบลำไส้ แล้วยังบอกว่าจะทำการใหญ่…” เยี่ยหลิงอยู่ข้างๆ พูดอย่างลังเลประโยคหนึ่ง
คนทั้งหลายเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ข่งเสียงหลงสะกดความสั่นสะท้านในใจ เอ่ยอย่างเข้มงวด
“ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีเผ่าฟ้าทมิฬสองกลุ่มก็เป็นได้”
“ใช่แล้ว คงเป็นแบบนี้แน่ๆ!” พวกซานเหอจื่อได้ยินก็พยักหน้าหงึกๆ จากนั้นก็เงียบนิ่งกันทั้งหมดต่อไป นอกจากออกเดินทางกันเงียบๆ แล้ว จิตใจของแต่ละคนก็ล้วนมีความสับสนเหมือนฝันไม่มากน้อย