ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 449 บุตรเทวะออกเดินทาง
บทที่ 449 บุตรเทวะออกเดินทาง
ประโยคนี้ของสวี่ชิง เอ่ยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการกำชับกับเผ่าต่ำต้อยของเผ่าสูงส่ง
หลังจากที่นายกองได้ยินก็รู้สึกตื่นตะลึง คำเอื้อนเอ่ยของสวี่ชิงยอดเยี่ยมมาก ราวกับเป็นขุนพล!
พฤติกรรมบีบบังคับก่อนหน้านี้ขององครักษ์ชุดดำ ประมาณว่าข้าคือขุนพล สวี่ชิงที่ย้อนประโยคนี้กลับไปก็เป็นขุนพลด้วยเช่นเดียวกัน
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ เมื่อสวี่ชิงเอ่ยออกไป องครักษ์ชุดดำรอบๆ ทั้งหมดก็หน้าเปลี่ยนสี หลินหย่วนตงคนนั้นทั้งร่างสั่นสะท้าน ลมหายใจหอบถี่ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ตะเกียงชีวิตในร่างกายเขากลายเป็นวังสวรรค์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว ถ้าดึงออกมาตอนนี้…จะเป็นการทำลายวังสวรรค์วังหนึ่งจนย่อยยับไปครึ่งชีวิต กระทั่งเสียหายหนักหนาจนรากฐานมิอาจย้อนคืนครั้งหนึ่งอีกด้วย
พฤติกรรมเช่นนี้ หากอยู่ที่อื่น ปกติจะเป็นสถานการณ์ที่สู้กันจนตาย
แต่หลินหย่วนตงตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะก่อนหน้าที่จะเป็นองครักษ์ชุดดำหรือหลังจากนี้ ก็เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานมาโดยตลอด ขณะที่บิดาของเขามีตำแหน่งสูงส่ง ตัวเขาก็มีคุณสมบัติที่น่าตกตะลึง ได้รับตำแหน่งสูงในองครักษ์ชุดดำโดยไม่เปลืองแรง ไต่เต้าขึ้นมา
และในฐานะที่เป็นชนชั้นที่สอง จึงทำให้เขามีสายเลือดขุนนางสูงส่งของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ยืนอยู่เหนือผู้คนมากมาย มีความหยิ่งทระนงของตนในกระดูกดำ
แต่วันนี้ เขารู้สึกว่าตนเหมือนเป็นสุนัขตัวหนึ่ง ได้รับความอัปยศมหาศาล ที่สำคัญที่สุดคือความอัปยศนี้ อีกฝ่ายยังพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และรู้สึกว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย
หลินหย่วนตงอย่างเขามีสถานะใดในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยต่อหน้าเผ่าฟ้าทมิฬ เว้นเสียแต่จะเป็นราชวงศ์ เช่นนั้นจึงจะพอมีสิทธิ์เสียงพูดบ้าง แต่หากเบื้องหน้าเป็นบุตรเทวะจริงล่ะก็ เกรงว่าราชวงศ์ก็คงจะไร้ประโยชน์
ถึงอย่างไรเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขา ก็ยังต้องพึ่งพาเผ่าฟ้าทมิฬเพื่อมีชีวิตรอด ความสัมพันธ์จึงไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน แต่เป็นนายกับบ่าว!
ที่หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน ยังมีโจวซิงอู!
เขารักษาความเย็นชาในตอนแรกไว้ไม่ได้ เวลานี้ม่านตาหดเล็กลง มองสวี่ชิง ความคิดต่างๆ นานาโลดแล่นในใจอย่ารวดเร็ว
อันที่จริงราชโองการไม่ได้ต้องการให้เชิญเผ่าฟ้าทมิฬสองคนนี้กลับไปเมืองหลวงให้ได้ แต่นี่เป็นวิธีการจัดการของตัวเขาเอง
เขาไม่มีทางเชื่อฟังแล้วก็ล้วงตะเกียงชีวิตของหลินหย่วนตงออกมา ถ้าทำเช่นนี้ ขณะที่ภายภาคหน้าไม่มีทางได้เคียงบ่าเคียงไหล่กับองครักษ์ชุดดำแล้ว ขณะเดียวกันยังผิดใจกับใต้เท้านายพลเรือด้วย
อีกฝ่ายไม่กล้ายั่วให้เผ่าฟ้าทมิฬโมโห แต่หันมาลงโทษตนเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดายกว่า
แต่ถ้าไม่ฟัง…การเชิญแกมบังคับก่อนหน้าของตน ก็ยากที่จะดึงดันต่อไป
และขณะที่เขากำลังรู้สึกตึงมือนี้ สองตาสวี่ชิงก็เปล่งประกายเย็นชา เอ่ยเสียงเรียบว่า
“หืม”
โจวสิงอูขมวดคิ้วเล็กน้อย องครักษ์ชุดดำทั้งหมดหายใจหอบถี่ มองไปทางเขา
จากความรู้ความเข้าใจของพวกเขา หากผู้บัญชาการหลวงล้วงตะเกียงชีวิตของหลินหย่วนตงออกมาเพราะประโยคนี้จริงๆ เช่นนั้นชีวิตของพวกเขาก็อยู่ในกำมือของเผ่าฟ้าทมิฬคนนี้แล้ว
หลินหย่วนตงตาแดงก่ำ มองไปทางโจวสิงอู
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ จู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น
“ใต้เท้าบุตรเทวะ”
จากเสียงที่ดังมา เจ้ารัฐยอดฟ้าก็สาวเท้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว หลังจากคารวะสวี่ชิงอย่างนอบน้อม เขาก็กวาดตามองโจวสิงอูอย่างเย็นชา
สำหรับเขาแล้ว บุตรเทวะเผ่าฟ้าทมิฬเป็นตัวจริงแน่นอน และเป็นตัวจริงอย่างแน่แท้ อีกทั้งยังจำเป็นต้องเป็นตัวจริงอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ทายาทของเขาที่ได้รับประทานพรเป็นชนชั้นที่หนึ่งก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน ดังนั้น…ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก่อนหน้าที่ตำหนักเทพฟ้าทมิฬจะลงข้อสรุป ก็ล้วนเป็นเรื่องจริง
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่ชอบใจพฤติกรรมของโจวสิงอูอย่างมาก แต่ในฐานะที่เป็นพวกเดียวกัน ก็ยังต้องไกล่เกลี่ยให้เล็กน้อย
“ใต้เท้าบุตรเทวะ ตะเกียงชีวิตในร่างกายเด็กคนนี้ปนเปื้อนไปแล้ว ค่อนข้างสกปรก แต่ข้ารู้ว่าที่รัฐสายลมสวรรค์ยังมีตะเกียงชีวิตที่ยังไม่ได้แจกจ่ายไปอยู่ มิสู้เปลี่ยนเป็นดวงอื่นไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
เมื่อโจวสิงอูได้ยินก็พยักหน้าทันที ประสานหมัดไปทางสวี่ชิง
“ใต้เท้า ข้าจะติดต่อกับเบื้องบนทันที เมื่อท่านเข้าสู่รัฐสายลมสวรรค์ของข้า จะนำตะเกียงชีวิตมาให้ท่าน”
สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ ไม่ยินดียินร้าย แต่หากเขายิ่งเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกที่น่าเกรงขามก็ยิ่งชัดเจน
นายกองข้างๆ ตอนนี้สีเผยหน้าโกรธเคือง ตะคอกเสียงทุ้ม
“พวกเจ้าบังอาจนัก แค่ตะเกียงชีวิตดวงเดียว ยังต้องให้บุตรเทวะของเผ่าข้าไปรับเองอีกรึ!”
สวี่ชิงรู้สึกชื่นชม ประโยคนี้ของนายกอง เปลี่ยนแนวคิดที่จะไปยังรัฐสายลมสวรรค์อย่างไร้ซุ่มเสียง
เมื่อเจ้ารัฐยอดฟ้าได้ยิน ก็มองไปทางโจวสิงอู แสดงความไม่พอใจออกมาบนหน้า
โจวสิงอูลอบถอนใจ รู้ว่าเรื่องที่ตนจะเชิญแกมบังคับอีกฝ่ายไปยังรัฐสายลมสวรรค์คงเป็นไปไม่ได้แล้ว เว้นเสียแต่จะล้วงตะเกียงชีวิตของหลินหย่วนตงออกมา
ไม่เช่นนั้น ถ้ายังเชื้อเชิญแกมบังคับเช่นตอนแรก เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการถ่วงเวลาเผ่าฟ้าทมิฬ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ารัฐยอดฟ้าตรงหน้าคนนี้ คงไม่ยอมให้ตนทำเช่นนั้นแน่นอนด้วย
แต่เขายังรู้สึกสงสัย นั่นก็คือเหตุใดทั้งสองคนนี้จึงปฏิเสธที่จะไปรัฐสายลมสวรรค์ และสิ่งที่ตามความคิดนี้มาก็คือความคลางแคลงใจ
แต่ว่าเขาก็มั่นใจมาก ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองจะต้องไปกังวล แน่นอนจะต้องมีเบื้องบนมองบนอยู่แล้ว หากเป็นตัวปลอมก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นตัวจริงขึ้นมา ตนเองที่เข้าร่วมมากเกินไปคงมีจุดจบที่ไม่ดีนัก
จึงก้มหน้าคารวะ
“เป็นข้าน้อยที่เลินเล่อ ข้าน้อยจะรายงานเรื่องตะเกียงชีวิตนี้กลับไปยังเบื้องบนขอรับ”
สวี่ชิงเมองหลินหย่วนเฉินผาดหนึ่ง ส่ายหัว
“ตะเกียงชีวิต ข้ามีอยู่มากมาย ไม่ได้ขาดแคลนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้า แต่หินสลักสีน้ำเงินนี้ค่อนข้างพิเศษ ข้าต้องการชิ้นนี้”
เมื่อสวี่ชิงเอื้อนเอ่ย หลินหย่วนตงที่ถูกเขาจับจ้องก็ร่างสั่นเทิ้ม สีหน้าฉายแววพรั่นพรึง กำหมัดแน่น อารมณ์ตึงเครียดโกรธแค้นต่างๆ กำลังแผ่ซ่านออกมาจากใจอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าระเบิดออกมา และไม่กล้าเอ่ยปากคัดค้าน
เขาเข้าใจดี ว่าหากตนพูดอะไรที่ไม่เคารพออกมา วันนี้คงไม่ได้หายไปแค่ตะเกียงชีวิตแน่
ความรู้สึกอัปยศจากการกดขี่ของเผ่าสูงส่ง ทำให้ในใจเขาราวกับมีเพลิงพิษแผ่ซ่าน รุนแรงมหาศาล
โจวสิงอูก็ขมวดคิ้ว สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม
นายกองทางนั้นก็แอบกลืนน้ำลาย แอบคิดว่าเจ้าสวี่ชิงนี่บ้าคลั่งเกินไปแล้ว ไปบีบคั้นอีกฝ่ายเช่นนี้หากอีกฝ่ายลงมือได้จบเห่แน่
‘จางซานพูดไว้ไม่มีผิด อาชิงน้อยนี่…ความบ้าระห่ำในกระดูกยิ่งกว่าข้าเสียอีก!’
ผู้คนที่นี่แต่ละคนความคิดโลกแล่นรวดเร็ว สวี่ชิงเดินไปทางหลินหย่วนตง
แรงกดดันที่เป็นตัวแทนมาจากคำว่าเผ่าฟ้าทมิฬ ก็ซัดโหมในใจผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทุกคนตรงนี้อย่างรุนแรงจากการเข้าใกล้
เห็นว่าสวี่ชิงเดินมาเบื้องหน้าหลินหย่วนตง ดวงตาโจวสิงอูก็เปล่งประกายเย็นวาบ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ส่วนหลินหย่วนตงหน้าผากผุดเหงื่อสั้นเทิ้มไปทั้งตัวอย่างรุนแรง โทสะในดวงตาที่ไม่อาจระบายถึงขีดสุด ขณะที่กลายเป็นความสิ้นหวัง สวี่ชิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็หัวเราะขึ้นมา
เสียงหัวเราะนี้ ทำให้แรงกดดันทั้งหมดที่นี่สลายหายไปในพริบตา
ในรอยยิ้ม สวี่ชิงยกมือขึ้น ตบบนบ่าหลินหย่วนตงเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว ข้าแค่ล้อเล่น”
หลินหย่วนตงสั่นไปทั้งตัว ตะลึงอยู่ตรงนั้น
สวี่ชิงส่ายหน้า หันหลังเดินไปยังทิศที่เซียนแท้สิบลำไส้ที่ตั้งอยู่ไกล
นายกองกะพริบตาปริบๆ เดินตามไปทันที ส่วนชิงชิวกับหนิงเหยียน หลังจากเห็นภาพนี้ด้วยตาตนก็มีคลื่นโหมกระหน่ำซัดในใจเช่นกัน รีบร้อนเดินตามไปด้านหลัง
ส่วนองครักษ์ชุดดำที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้า แต่ละคนก็หลีกทางตามสัญชาตญาณ คารวะสวี่ชิงอย่างนอบน้อม
จากการที่สวี่ชิงเดินจากไปไกล เหล่าองครักษ์ชุดดำแต่ละคนก็ถอนใจโล่งออกมา สีหน้าแต่ละคนซับซ้อน
โดยเฉพาะหลินหย่วนตงทางนั้น เขายังคงหายใจหอบถี่ สภาพจิตใจก็หวนคืนมาในพริบตาจากความตึงเครียดสิ้นหวังอย่างรุนแรงก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งกับสวี่ชิงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในความซาบซึ้งนี้ แฝงความยำเกรงต่ออารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของสวี่ชิง
อะไรคือผู้ยิ่งใหญ่
ทุกคนมีคำจำกัดความของผู้ยิ่งใหญ่แตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็สั่นสะเทือนอารมณ์ของเจ้าได้ในระหว่างที่อารมณ์ดีและกรุ่นโกรธ เขาอารมณ์ดีเจ้าก็ผ่อนคลาย เขาโกรธเจ้าก็หวาดกลัว กำหนดอารมณ์ของเจ้าได้ด้วยคำเดียว
นี่คือผู้ยิ่งใหญ่
ตอนนี้ องครักษ์ชุดดำเหล่านี้มองสวี่ชิงที่จากไปไกล คำพูดที่เหล่าบรรพบุรุษเคยกล่าวเอาไว้ในความทรงจำว่าห้ามไปเผ่าฟ้าทมิฬนั้นล่วงเกินโดยเด็ดขาด ก็ฉายขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
ก่อนหน้านี้ เรื่องเหล่านี้รู้ก็คือรู้ แต่เมื่อประสบพบเจอด้วยตนเองนั้นไม่ใช่
ถึงอย่างไรปกติตำหนักเทพฟ้าทมิฬก็เก็บตัวและสูงส่ง พวกเขาไม่อาจติดต่อพูดคุยได้เลย
แต่ตอนนี้ สายตาของพวกเขาที่มองไปทางสวี่ชิง ล้วนปรากฏความกริ่งเกรงเช่นเดียวกับหลินหย่วนตง
ไกลออกไป เสียงของสวี่ชิงก็ดังมาอีกครั้ง
“โจวสิงอู วันนี้ก่อนตะวันตกดิน ข้าต้องเห็นตะเกียงชีวิตดวงหนึ่ง อีกอย่างพวกเจ้าจะตกตะลึงทำไมกัน ตามข้ามาที่ส่วนลึกของเซียนแท้สิบลำไส้สิ แล้วเจ้ารัฐยอดฟ้า เจ้าก็มาด้วย”
เจ้ารัฐยอดฟ้ารีบร้อนเอ่ยขานรับ เขาเชื่อมั่นสถานะเผ่าฟ้าทมิฬของสวี่ชิงมาก และจำเป็นต้องเชื่อมั่นด้วย สิ่งนี้เป็นตัวแทนของความรุ่งโรจน์ในอนาคตของลูกชายเขา
จุดนี้ สวี่ชิงรู้อยู่แล้ว และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ซ่อนไว้ตอนที่เขาประทานพรให้ก่อนหน้านี้ บางครั้ง การถูกพันธนาการไว้กับเกียรติยศและความอัปยศ ก็ทำให้คนปกติยินยอมพร้อมใจเลือกที่จะตามืดบอด
“น้อมรับคำสั่ง” โจวสิงอูก้มหน้าตาม เรื่องนี้เขาไม่ได้กดดันมากนัก เขาแค่ต้องถ่ายทอดคำพูดออกไปก็พอ จะมอบตะเกียงแห่งชีวิตให้หรือไม่เป็นการตัดสินใจของเบื้องบน
เพียงแต่พฤติกรรมทั้งหมดของเผ่าฟ้าทมิฬนี้ เขาก็รู้สึกทอดถอนใจไม่น้อย
จึงล้วงแผ่นหยกออกมาส่งสาร หลังจากที่ส่งให้ลูกน้องนำกลับไปยังรัฐสายลมสวรรค์ เขาก็พาองครักษ์ชุดดำสี่คนเดินตามสวี่ชิงไป คอยคุ้มกันอยู่รอบๆ ในบรรดานี้หลินหย่วนตงทุ่มเทเป็นอย่างยิ่ง คอยปกป้องเฝ้าระวังอยู่รอบกายสวี่ชิง
นายกองกระปรี้กระเปร่า บางครั้งก็กวาดตามององครักษ์ชุดดำรอบๆ จากนั้นก็มองสีหน้าสงบของสวี่ชิง ตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าครั้งนี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ในฐานะที่เป็นผู้ครองกระบี่ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้องครักษ์ชุดดำคอยคุ้มกันเบิกทางให้ได้
‘การไปยังส่วนลึกของเซียนแท้สิบลำไส้ ภัยหลังจากนี้ยังพอว่า มีเพียงภัยแรกหลังจากที่ย้อนกลับมาเท่านั้น ที่วิกฤตอันตรายขีดสุด มีองครักษ์ชุดดำเหล่านี้คอยเบิกทาง ก็ง่ายขึ้นเยอะ’
กลุ่มของพวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้ป่าต้นเซียนแท้สิบลำไส้เช่นนี้ ที่นี่ก่อนหน้านี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป เวลานี้ผลทั้งหมดลืมตาขึ้น ภายใต้ตะวันดวงตาเหล่านี้เปล่งแสงหม่น กำลังมองกลุ่มคนที่เข้าใกล้อย่างเย็นชา
และที่ไกลๆ กิ่งก้านคดเคี้ยวขนาดยักษ์สีน้ำตาลเข้มสิบกิ่งนั้น กลิ่นอายน่ากลัวที่แผ่ออกมายิ่งมีแรงกดดันรุนแรงมหาศาล เทียบกับมันแล้ว เหล่าผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ก็ราวกับมดปลวก
ขณะที่พลานุภาพเซียนแท้สิบลำไส้ยิ่งใหญ่ไพศาล ก็ยังส่งผลกระทบกับปราณและเลือดของผู้คนด้วย รบกวนจิตใจพวกเขา ทำให้คนที่เข้าใกล้ทั้งหมดรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
“ใต้เท้าบุตรเทวะ ตอนที่เซียนแท้สิบลำไส้ออกผล ด้านในจะมีสิ่งประหลาดอยู่มากมาย ท่านเป็นผู้มีฐานะสูงส่ง โปรดรักษากายเทพด้วย โปรดอย่าเข้าไปลึกนัก หากต้องการสิ่งใด ข้าน้อยรวมถึงผู้บัญชาการหลวงโจวสิงอูจะไปนำมาให้ท่านเอง”
เจ้ารัฐยอดฟ้าที่เดินตามอยู่ตามหลังสวี่ชิง จ้องไปที่ส่วนลึกเซียนแท้สิบลำไส้เขม็ง เอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“สิ่งประหลาดแบบใด ลองว่ามา” สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง มองออกไปไกลๆ
เมื่อได้ยินว่าสวี่ชิงสนใจ เจ้ารัฐยอดฟ้าก็ประสานหมัด เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ใต้เท้าบุตรเทวะ จากบันทึกสามสิบหกนครรัฐของข้า การผลิดอกออกผลมรรคาเซียนแท้สิบลำไส้ที่ร้อยปีจะมีสักครั้ง ตอนที่ต้นสิบลำไส้เบ่งบาน ภายในจะเกิดมิติโกลาหลขึ้น
“ผู้ที่เข้าไป ส่วนใหญ่หายสาบสูญไป ไม่ได้กลับออกมา บางครั้งคนฝืนบุกเข้าไป ล้วนบอกเล่าขั้นตอนการเข้าไปและมิติที่เข้าไปไม่เหมือนกัน กระทั่งมีคนบอกว่าเห็นเผ่าเซียนพิบัติคนนั้นกลายเป็นเซียนไปกับตาด้วย”
เจ้ารัฐยอดฟ้าเอ่ยอย่างนอบน้อม เขาเข้าใจเหตุผลที่บุตรเทวะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ถึงอย่างไรสำหรับเผ่าฟ้าทมิฬที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่นแล้ว เขตปกครองบูรพารกร้างของแผ่นดินคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นแค่พื้นที่ห่างไกลเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้อีกฝ่ายมีความรู้ลึกซึ้ง แต่การที่ไม่รู้รายละเอียดของที่นี่ก็สมเหตุสมผล
“นอกจากนี้ ยิ่งเข้าไปลึกก็จะยิ่งมีคำสาป เคยมีบันทึกว่าผู้บำเพ็ญหวนสู่อนัตตาผู้ยิ่งใหญ่ดับสูญอยู่ในนี้ด้วย” เจ้ารัฐยอดฟ้าเผยสีหน้าพรั่นพรึงออกมา