ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 447 ยิ่งแสดงยิ่งเลยเถิด (1)
บทที่ 447 ยิ่งแสดงยิ่งเลยเถิด (1)
ผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบสายเลือดเผ่าเซียนพิบัติก็คือหนิงเหยียนนั่นเอง
สวี่ชิงจำได้ว่านายกองบอกว่าหลังจากที่หนิงเหยียนสอบผ่านการสอบเสริม ก็หายตัวไร้ร่องรอย นายกองหาอยู่ตั้งนานก็หาไม่เจอ
เดิมแผนการครั้งนี้ก็คิดจะพาคนคนนี้มาร่วมกันทำการใหญ่ด้วย เอามาใช้เป็นโล่ในช่วงวิกฤตอันตราย
ดูจากตอนนี้เจ้าเด็กนี่แอบมาเซียนแท้สิบลำไส้เงียบๆ…
‘หรือที่เขาบอกว่าสายเลือดตื่นขึ้นจะเป็นเผ่าเซียนพิบัติ หรือจะบอกว่าฐานะนี้ของเขาเป็นการแสดงละคร’ สวี่ชิงในใจความคิดขยับ แต่สีหน้ากลับเป็นปกติไม่เปิดเผยออกมาแม้เพียงน้อยนิด สายตายังคงแฝงไว้ด้วยความเย็นชา กวาดตามองไปทางหนิงเหยียนอย่างราบเรียบ
ส่วนเฉินเอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้มุมปากฉายรอยยิ้มที่มีความหมายล้ำลึก
ชิงชิวยังคงทำเป็นไม่รู้จักเหมือนเดิม
ส่วนหนิงเหยียน…ตอนนี้ใจสั่นสะท้าน เขาไม่รู้จักเผ่าฟ้าทมิฬสองคนนั้น
แต่สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่ากระดูกสันหลังเย็นวาบนิดๆ โดยเฉพาะเผ่าฟ้าทมิฬที่ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งตนนั้น ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี
‘เผ่าฟ้าทมิฬตนนี้ยิ้มให้ข้าแบบนี้ทำไม’
หนิงเหยียนตื่นกลัว สายตากวาดมองชิงชิวอย่างรวดเร็ว แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่หน้ากาก เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เขาย่อมจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในพริบตาเดียว
จะอย่างไรทุกคนก็มาจากมณฑลรับเสด็จราชันกันทั้งนั้น ตอนแรกเป็นคู่แข่งกัน ดังนั้นหนิงเหยียนจับตามองชิงชิวมานานมาก
แต่ตอนนี้เขาไม่อยากรู้ว่าทำไมชิงชิวจึงอยู่ที่นี่ แต่แอบโอดครวญในใจ เพราะเขารู้ว่าตัวเองความจริงแล้วมีช่องโหว่อยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือไม่ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้า
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา เนื่องจากเหตุผลพิเศษบางอย่าง เขาทำถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายจากแก่นแท้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงใช้อาวุธเวทอำพราง แต่ก่อนหน้านี้หลังจากที่ถูกจับได้ อาวุธเวทอะไรพวกนั้นก็ถูกยึดไปแล้ว
ดังนั้นเขาในตอนนี้แค่อยากรีบออกไปเท่านั้น มีเค้าความรู้สึกหวาดระแวงรุนแรงผุดขึ้นในใจ
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น หนิงเหยียนไม่ทันได้เดินไปไกลเท่าไร หลังจากที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่จับกุมเขาพวกนั้นเตรียมจะจากไป นายกองก็พลันเอ่ยขึ้นมา
“เผ่าเซียนพิบัติอย่างนั้นหรือ น่าสนใจ ข้าจะเอาตัวคนคนนี้”
นายกองยกมือชี้หนิงเหยียน
หนิงเหยียนหนังศีรษะชาวาบ ลมหายใจถี่กระชั้น ในใจพลันสั่นสะท้าน
‘หรือเขาจะมองฐานะของข้าออก เป็นไปไม่ได้!’ หนิงเหยียนร้อนใจ มากกว่านั้นคือตื่นตระหนกหวาดกลัว ในสมองมีข่าวลือเกี่ยวกับเผ่าฟ้าทมิฬผุดขึ้นมากมาย
แต่เรื่องนี้ไม่อนุญาตให้เขาได้ตัดสินใจ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเมื่อได้ยินก็รีบรับคำอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลใดๆ ควบคุมตัวหนิงเหยียนมาข้างหน้าเฉินเอ้อร์หนิวทันที ยิ่งยื่นเชือกที่มัดตัวหนิงเหยียนเอาไว้ออกไปสองมืออย่างเคารพนอบน้อม
เฉินเอ้อร์หนิวพยักหน้าเล็กน้อย รับเชือกมา หลังจากกระตุกเล็กน้อย หนิงเหยียนก็จำต้องก้าวขึ้นมาสามสี่ก้าวท่ามกลางเนื้อตัวที่สั่นเทา
มองเฉินเอ้อร์หนิวที่รอยยิ้มค่อนข้างน่าขนลุก ใบหน้าของหนิงเหยียนฉายแววประจบประแจงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้า”
“รสชาติของลำไส้เผ่าเซียนพิบัติไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร” นายกองแสยะแยกเขี้ยวไปทางหนิงเหยียน จากนั้นก็เลียริมฝีปาก
หนิงเหยียนจิตใจเกิดคลื่นกระหน่ำซัด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กำลังจะถอยไป แต่ถูกนายกองกระตุกเชือก ไม่สามารถดิ้นรนได้ไปในทันที ทั้งตัวสั่นงันงกรุนแรงเอ่ยเสียงสั่น
“ใต้เท้าอย่าได้ล้อข้าน้อยเล่น…ข้าน้อยเลือดเนื้อทั้งตัวเหม็นตลบอบอวล ไม่อร่อยหรอกขอรับ”
เห็นภาพนี้ ชิงชิวแอบทอดถอนใจ เดิมทีนางไม่ได้ชอบหรือเกลียดอะไรหนิงเหยียน เพียงคนรู้จักก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เห็นคนบ้านเดียวกันอเนจอนาถน่าสังเวชแบบนี้ เผชิญกับอันตรายจะถูกกิน ในใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ สีหน้าฉายแววหมองเศร้าอย่างอดไม่ได้
สังเกตเห็นสีหน้าชิงชิว สายตาขอสวี่ชิงก็มองไปทางนายกองทางนั้น เอ่ยอย่างสงบนิ่งขึ้นมา
“เจ้าจะเอาตัวเผ่าเซียนพิบัตินี่ไปทำไม สนใจลำไส้ของเผ่าเซียนพิบัติหรือ”
“ใต้เท้าบุตรเทวะย่อมไม่ใช่แบบนั้นขอรับ” นายกองโค้งคารวะสวี่ชิง เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
หนิงเหยียนได้ยินก็แอบโล่งใจ แต่ไม่นานนายกองก็พูดต่อไปว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ค้นคว้าหลอมลูกกลอนโลหิต เผ่าต่างๆ ล้วนเคยเอามาใช้ทั้งนั้น มีเพียงเผ่าเซียนพิบัติเท่านั้นที่ยังไม่เคยลอง จึงคิดเอาตัวเขาไปหลอมทั้งเป็น”
นายกองพูดพลางประเมินหนิงเหยียน ก้าวขึ้นไปบีบคาง ดูๆ ฟัน ในดวงตาฉายแวววาดหวัง เหมือนกำลังมองลูกกลอนล้ำค่า กระทั่งว่าเลียริมฝีปากด้วย
หนิงเหยียนเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าในสมอง ก่อนหน้านี้เขาได้ยินอีกฝ่ายพูด จิตใจเพิ่งจะผ่อนคลาย ตอนนี้ได้ยินประโยคนี้ ก็สะสะท้านรุนแรงหนักกว่าเดิม ทั้งกายและใจล้วนถูกความหวาดกลัวมหาศาลเข้าครอบงำ น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ใต้เท้า…ข้า…ข้ารู้สถานที่ที่เผ่าเดียวกับข้ามากมายอาศัย ในนั้นมีสายเลือดที่เข้มข้นพอกพูนกว่าข้าจำนวนไม่น้อย ข้าเอาพวกเขามาแลกได้หรือไม่”
นายกองลูบๆ คาง คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ไม่พูดอะไร ประเมินหนิงเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่หยุด
หนิงเหยียนยิ่งกลัวขึ้นไปอีก ในดวงตาฉายแววโศกเศร้า
สวี่ชิงไม่สนใจนายกองกับหนิงเหยียน ตอนนี้มองๆ ท้องฟ้า แล้วมองไปยังจุดลึกของป่า
เขาพบว่าผลมรรคาที่ยังไม่สุกที่นี่มีจำนวนมากถึงเก้าส่วน อีกทั้งมีจำนวนไม่น้อยที่มีขนาดแตกต่างกัน ไม่เหมือนจะสุกทั้งหมดได้ในวันเดียว
จึงเอ่ยเนิบนาบกับมู่เยี่ยที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเองอย่างนอบน้อม
“พรุ่งนี้ผลมรรคาจะสุกทั้งหมดหรือไม่”
มู่เยี่ยลังเล หลังจากคิดๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกมา
“นายท่าน ปกติแล้วคือวันพรุ่งนี้ แต่จากบันทึกในตำราโบราณ ความจริงแล้วระยะเวลาที่ผลมรรคาจะสุกทุกครั้งล้วนเป็นเพียงเวลาโดยประมาณเท่านั้น ไม่แม่นยำ แต่ว่า ต่อให้พรุ่งนี้ยังไม่สุก อย่างมากภายในเจ็ดวันจะต้องสุกแน่นอนขอรับ”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่อยากอยู่ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นานเกินไป กังวลว่าจะควบคุมการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่หากจากไปแบบนี้ ก็ค่อนข้างเจ็บใจ
‘หากเป็นเวลาเจ็ดวันก็อดทนต่อไปได้!’ สวี่ชิงพึมพำในใจ หันหลังเดินไปทางรัฐยอดฟ้า
มู่เยี่ยรีบตามติดอยู่ข้างหลัง คนกลุ่มหนึ่งเดินจากไป
นายกองสีหน้าเป็นปกติ เชือกในมือแค่กระตุก หนิงเหยียนก็ถูกลากเดินตามไปด้วยร่างที่สั่นสะท้าน ในใจสับสนลนลาน โกรธแค้นเศร้าโศก หวาดกลัว เสียใจ ความรู้สึกผสมปนเป
ทุกอย่างนี้ช่างไม่ตรงกับแผนการของเขาเอาเสียเลย จากแผนการของเขาครั้งนี้แม้ล้มเหลวก็ไม่มีอันตราย ฐานะเผ่าเซียนพิบัติอย่างมากเขาก็แค่ถูกคุมขังช่วงหนึ่งก็จะได้รับการปล่อยตัว
อย่างไรเสีย ที่นี่ก็แปลงมาจากสมาชิกในเผ่าเผ่าเซียนพิบัติสายเลือดบริสุทธิ์คนสุดท้ายสำเร็จเป็นเซียน และในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ เผ่าเซียนพิบัติถึงจะเป็นชนพื้นเมือง ดังนั้นผู้สืบสายเลือดก็มีจำนวนไม่น้อย
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในฐานะที่เป็นผู้มาทีหลังก็ไม่อยากสร้างความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าง่ายๆ
กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงว่า ก่อนเขาจะไปยังเอาผลมรรคาไปได้สักลูกสองลูกด้วยซ้ำ การค้านี้คุ้มค่า เขาจึงมาที่นี่
แต่จะอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเผ่าฟ้าทมิฬที่นี่…
หนิงเหยียนถูกลากให้เดินไปข้างหน้า ขณะที่ในใจเศร้าโศกอัดอั้นก็เงยหน้ามองชิงชิวผาดหนึ่ง พบว่าความรู้สึกในดวงตาของชิงชิวเหมือนกับตน
คนทั้งสองที่อัดอั้นในก็เดินตามสวี่ชิงและนายกองไปเช่นนี้เอง ภายใต้การคุ้มกันจากองครักษ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่ง ก็กลับมาถึงวังหลวงรัฐยอดฟ้า
หลังจากมาถึงที่นี่ สวี่ชิงก็นั่งสมาธิในตำหนักใหญ่เหมือนอย่างปกติ ชิงชิวนั่งข้างๆ เขา กัดฟันกรอดๆ ในใจ นางไม่ได้ยอมรับฐานะบ่าวรับใช้ของตนโดยสมบูรณ์ แต่หาโอกาสหนีอยู่ทุกชั่วขณะ
ส่วนนายกองกลับต่างไปจากปกติ หลังจากกลับมาเขาก็จูงหนิงเหยียน ในตาฉายความวาดหวังแรงกล้า เดินไปยังตำหนักข้าง หนิงเหยียนไม่อาจขัดขืนได้ ทำได้เพียงถูกลากเข้าไปทั้งๆ ที่สีหน้าร้อนรนตื่นกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยแววอ้อนวอน ปากร้องขอไม่หยุด
ไม่นานนัก ตำหนักข้างก็มีเสียงร้องคร่ำครวญน่าสังเวชของหนิงเหยียนดังขึ้น
“ใต้เท้า ท่านๆๆๆ ท่านจะทำอะไร
“อ๊าก!”
เสียงร้องคร่ำครวญกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนอย่างรวดเร็ว
ชิงชิวร่างสั่นสะท้าน นางไม่รู้ว่าในตำหนักข้างเกิดอะไรขึ้น สัมผัสรับรู้ก็ไม่อาจสืบสำรวจได้ แต่นางสามารถจินตนาการภาพน่าหวาดสะพรึงมากมายจากในเสี้ยงร้องโหยหวนนี้ได้
จึงมองสวี่ชิงที่สีหน้าเป็นปกติเหมือนเดิมผาดหนึ่ง ในใจยิ่งรู้ถึงความโหดเหี้ยมของเผ่าฟ้าทมิฬมากยิ่งขึ้น
‘เผ่าฟ้าทมิฬล้วนสมควรตาย โดยเฉพาะไอ้สองตนนี้!’ ความคิดในใจชิงชิวซัดกระหน่ำ
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เสียงร้องโหยหวนที่ดังมาบ่งบอกแน่ชัดว่าหนิงเหยียนถูกนายกองกัด
“ท่าทางด้วยฐานะผู้ครองกระบี่ก่อนหน้านี้ เขาลงมือเกินสมควรไม่สะดวก ตอนนี้ฐานะเปลี่ยนไป ด้วยนิสัยของนายกองจะต้องศึกษาเลือดเนื้อของหนิงเหยียนให้ดีอย่างแน่นอน”
สวี่ชิงแผ่ประสาmสัมผัสรับรู้ ผสานไปในเทวรูปฟ้าทมิฬที่ลอยอยู่เหนือวังอีกครั้ง ศึกษาค้นคว้าเองต่อ นี่เป็นเรื่องที่เขาสนใจที่สุดในช่วงการรอคอยนี้
‘หากเอากลับเขตปกครองผนึกสมุทรไปด้วยได้…’
ในใจสวี่ชิงเกิดความวาดหวัง
เทวรูปฟ้าทมิฬนี้ก็ไม่ธรรมดา ในนั้นแฝงไว้ด้วยพลังพระจันทร์สีชาดเข้มข้น แผ่ไอพลังประหลาดออกมาอยู่ตลอดเวลา แม้สวี่ชิงจะออกคำสั่งกับมันได้ แต่คิดจะเอากลับไปจะอย่างไรก็ไม่ค่อยเหมาะ
ประการแรก เทวรูปนี้ไม่สามารถใส่ไปในถุงเก็บของได้ อีกทั้งยังเป็นจุดเด่นเกินไป ประการที่สองคือ หากเผชิญหน้ากับพระจันทร์สีชาดจริงๆ เทวรูปนี้เกรงว่าคงชี้หอกเข้าใส่ในทันที
หากเอาไปก็จะต้องเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
‘นอกเสียจากว่าข้าจะใช้พลังพระจันทร์สีม่วงของตัวเองเข้าแทนที่ดวงจันทร์สีแดงในตัวมันได้โดยสมบูรณ์’
สวี่ชิงหรี่ตา นี่ก็คือแนวคิดในการศึกษาค้นคว้าของเขาในช่วงนี้
จากการศึกษาค้นคว้าของสวี่ชิง พลบค่ำก็มาเยือน ท้องฟ้านอกฉัตรค่อยๆ มืดมิด ในพื้นที่บริเวณขอบเขตนั้น โคมรูปมนุษย์ที่ลอยอยู่ ใช้ไฟชีวิตเป็นแสงสว่างพวกนั้น เปลวเพลิงก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง
ฟ้าดินท่ามกลางแสงสลัว นอกวังรัฐยอดฟ้า บนแท่นพิธีที่คุณสมบัติเทพฟ้าทมิฬอยู่ ตอนนี้มีผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายสิบตน กำลังยืนอย่างเคร่งขรึม
รอบๆ ถูกปิดล้อมตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังวางค่ายกลไว้อีกด้วย ทำให้คนนอกไม่สามารถสัมผัสได้
และผู้บำเพ็ญหลายสิบบนแท่นพิธีนี้ ในนั้นส่วนมากล้วนเป็นระดับปราณก่อกำเนิดบริบูรณ์ มีเพียงห้าตนเท่านั้นที่พลังบำเพ็ญเหนือกว่าคนทั้งหลาย ถึงระดับสมบัติวิญญาณ
หนึ่งในนั้นคือเจ้ารัฐยอดฟ้า
ข้างหน้าคนทั้งหลายยังมีชายชราสวมชุดคลุมดำตนหนึ่งยืนอยู่ ชายชราตนนี้ผิวสีแดงก่ำ ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้างหลังยิ่งมีสมบัติลับสี่คลังแผ่พลังกดดันน่ากลัวออกมา
เขาก็คือราชครูรัฐยอดฟ้าตอนนี้สีหน้าเคร่งเครียด เงยหน้ามองไปทางวังหลวง แล้วมองไปทางคนทั้งหลาย แค่นเสียงขึ้นจมูกออกมาทีหนึ่ง
“เรื่องนี้ช่างเหลวไหลนัก
“พวกเจ้าแต่ละคนในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของรัฐ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะเลอะเลือนไร้ความสามารถเช่นนี้ แม้แต่การคิดวิเคราะห์ที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็ไม่มีแล้วหรือไร
“เผ่าฟ้าทมิฬ นั่นเป็นฐานะระดับใดกัน จะมาที่นี่ด้วยขบวนสินค้าได้อย่างไร!
“ทั้งยังพอดีกับช่วงผลมรรคาสุกงอม
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหนึ่งในผู้ที่ปลอมตัวมาไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่วไปหมด สายเลือดยิ่งผสมปนเป จะเป็นเผ่าฟ้าทมิฬไปได้อย่างไร!
“นอกจากนี้หญิงรับใช้ของพวกเขาก็คือผู้ครองกระบี่หน้าใหม่รอบนี้ของเผ่ามนุษย์ ชื่อว่าชิงชิว เรื่องนี้พวกเจ้าล้วนสืบได้แล้ว ยังมีอะไรต้องลังเลอีก”
ชายชราตำหนิติเตียน คนทั้งหลายเงียบนิ่งก้มหน้าไม่พูดจา แต่สายตากวาดไปยังเจ้ารัฐยอดฟ้าตนนั้น