ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 442 พบเจอโดยไม่คาดฝัน
บทที่ 442 พบเจอโดยไม่คาดฝัน
สวี่ชิงมองชายหนุ่มคนนี้ผาดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
คืนเมื่อวานนี้ ภายใต้การร้องขออ้อนวอนจากชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนี้ เขากับนายกองขบคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตกลงกับความเห็นของอีกฝ่าย วางแผนอาศัยขบวนสินค้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไปจากพื้นที่ค้นหาของผู้ครองกระบี่แห่งนี้
ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากเข้าไปในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แล้วจะไปรัฐยอดฟ้าที่อีกฝ่ายอยู่หรือไม่ สวี่ชิงยังไม่ได้ให้คำตอบ
และสถานที่ซ่อนตัวที่จัดไว้ให้พวกเขาก็คือบนผิวของอสูรสี่ขาตัวนี้ วิธีการก็ยอดเยี่ยมอัศจรรย์นัก ยิ่งมีการปกปิดกลิ่นอาย เห็นได้ชัดว่าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เชี่ยวชาญวิชาปกปิดอำพรางประเภทนี้มาก
“ผู้น้อยผู้บำเพ็ญคนนี้ไม่ทำให้ท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งผิดหวัง ทำการปกปิดผู้ครองกระบี่สำเร็จแล้ว เส้นทางต่อจากนี้น่าจะมีเหตุไม่คาดฝันอะไรมากนัก หลังจากนี้หนึ่งเดือนพวกเราก็จะถึงเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”
พูดแล้ว เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มคนนี้ก็ยกมือขวาขึ้นหยิบใบบัวออกมาจากถุงเก็บของสองใบ ทูนไว้เหนือศีรษะอย่างนอบน้อม
“ผู้น้อยผู้บำเพ็ญคนนี้ชั่วชีวิตเคยพบเห็นท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการพบเห็นอย่างไกลๆ แม้จะเคยได้ยินบิดาเอ่ยถึงชีวิตความเป็นอยู่ของท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งอย่างเคารพอยู่หลายครั้ง แต่ก็เข้าใจไม่มากเท่าไร ได้ยินเพียงว่าท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งชอบดื่มน้ำค้างจันทราก่อนที่อรุณจะรุ่ง จึงสั่งให้คนไปเก็บมาขอรับ”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกระตุก แม้เขาจะมีความรู้ความเข้าใจในเผ่าฟ้าทมิฬ แต่ก็ไม่ได้ละเอียดเช่นนี้และไม่รู้เรื่องที่ชอบกินน้ำค้างจันทราด้วยเช่นกัน
อีกทั้งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มตนนี้คำพูดคลุมเครือดูเหมือนปกติ แต่กลับแฝงไว้ด้วยการหยั่งเชิง
ดังนั้นเผ่าฟ้าทมิฬชอบกินน้ำค้างจันทราหรือไม่ก็ไม่รู้ได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้วจึงเงียบนิ่งไม่พูด
นายกองกลับหัวเราะราบเรียบ มือขวายกขึ้นคว้า ทันใดนั้นใบบัวสองใบนั่นก็ลอยมาหาเขา ไม่ได้ดื่มน้ำค้างจันทราในนั้นโดยตรง แต่ยกนิ้วเรียวเล็ก หลังจากที่แตะไปเบาๆ ก็ทาไปบนเปลือกตา
เห็นเพียงน้ำค้างจันทรานั่นสำแดงฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ดวงตาสีดำทั้งสองข้างของนายกองมีเยื่อบางๆ ปรากฏขึ้นมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมดวงตาเอาไว้ สีหน้าฉายแววสบายอกสบายใจออกมาเล็กน้อย
“ขอบใจมาก ถอยไปเถิด”
เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มตนนี้นับแต่ต้นจนจบสีหน้าไม่มีความผิดปกติเลย ล้วนคลั่งไคล้อยู่ตลอด เมื่อได้ยินคำดังนั้น ก็ถอยไปอย่างเคารพนบนอบ หลังจากที่ถอยไปได้เก้าก้าว ก็ลุกขึ้นจากไป
จากการลอยขึ้นฟ้า ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นร่างปกติอยู่บนอสูรผิวแดงสี่ขา นั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปเช่นนี้เอง ไม่นานนักครึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป
ในครึ่งเดือนนี้ เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ก็รู้ขอบเขตดี ไม่เคยรบกวนสวี่ชิงกับนายกองเลย ในยามที่มาพบบ้างในบางทีก็ล้วนขอพบจากที่ไกลๆ หลังจากที่ได้รับอนุญาตแล้วถึงจะเข้ามาใกล้ๆ
ทุกการกระทำคำพูดล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ เหมือนกับว่ามองพวกเขาสองคนเป็นเผ่าสูงส่งจริงๆ
แต่ว่าในคำพูดเขามักจะถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของเผ่าฟ้าทมิฬบางอย่างอย่างเคารพนอบน้อมแต่ก็เฉียบแหลมนัก ทุกครั้งใบหน้าของเขาล้วนแฝงด้วยความคาดหวัง
สวี่ชิงรู้เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมาก จึงไม่ได้เอ่ยปาก ทุกอย่างล้วนให้นายกองรับมือจัดการ
ส่วนนายกองครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจในเผ่าฟ้าทมิฬเป็นอย่างมาก กระทั่งว่ามีถึงสองครั้งที่ชี้จุดผิดของอีกฝ่าย
“ใครบอกเจ้าว่าเขาเทวะฟ้าทมิฬเอาไว้ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้กัน นั่นเป็นสถานที่ที่ดอกจันทราบานสะพรั่ง และเคยเป็นสถานที่ที่องค์เทพปรากฏลงมา เป็นสถานที่ตั้งของวังเทวะในตอนนี้
“เมืองเกล็ดวิหคใต้เขาเทวะหรือ น่าเสียดายนัก เมืองนั้นเมื่อหกสิบปีก่อนเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามองมา สูญหายไปแล้ว เรื่องนี้โลกภายนอกรู้ไม่มาก”
นายกองไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทางหรือน้ำเสียงล้วนเหมือนจริงยิ่งนัก ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนนายกองเคยใช้ชีวิตที่เผ่าฟ้าทมิฬจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
นี่ทำให้ความคลั่งไคล้ในดวงตาเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หนุ่มคนนี้ยิ่งลุกโชนขึ้นไปอีก
แต่ว่าการหยั่งเชิงของเขาก็ยังไม่สิ้นสุดโดยสิ้นเชิงเสียที มีครั้งหนึ่งในตอนที่แดดตอนเที่ยงรุนแรงแผดเผาที่สุด แม้เขาจะไม่ปรากฏตัว แต่ขนที่บดบังแสงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งไปเล็กน้อยจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ ทำให้แสงแดดอันแผดเผาสาดมาที่ร่างสวี่ชิง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว สะบัดมือเบาๆ ทันใดนั้นขนที่บังแสงอาทิตย์ก็กลับมาที่เดิม
เรื่องเล็กน้อยต่างๆ เช่นนี้ แม้จะไม่ได้บ่อยมาก แต่ทุกครั้งนายกองกับสวี่ชิงล้วนจัดการได้เป็นอย่างดี ดังนั้นครึ่งเดือนหลังจากนั้น การหยั่งเชิงประเภทนี้ในที่สุดก็ไม่เกิดขึ้นอีก
จวบจนกระทั่งวันนี้ ในมณฑลเผชิญคลื่น ขบวนสินค้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าใกล้หุบเขานภาจันทรา
หุบเขานภาจันทรากว้างใหญ่มาก จากความเร็วของขบวนสินค้าข้ามผ่านที่นี่ต้องใช้เวลาสามวันจึงจะพ้นออกไปได้ ออกไปจากหุบเขานภาจันทราอีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะถึงชายแดน
เพราะมณฑลเผชิญคลื่นมีชายแดนติดต่อกับมณฑลของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหลังจากที่ขบวนสินค้ามาถึงที่นี่ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ต่างหายใจหายคอโล่งขึ้นเล็กน้อย ความตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงอีกนิด
หลังจากนอนที่นอกหุบเขา เช้าวันที่สอง ขบวนสินค้าก็เหยียบย่างเข้าสู่หุบเขาอย่างยิ่งใหญ่ ตะบึงอย่างกึกก้องเลื่อนลั่นไปในนั้น
จากการเคลื่อนไปข้างหน้าของขบวนรถ เวลาหนึ่งวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในยามที่ใกล้จะพลบค่ำ พวกเขาก็เข้าใกล้ช่วงกลางของหุบเขาแล้ว
ที่นี่ขนาบด้วยภูเขาหินตั้งตระหง่านทั้งสองด้าน บดบังแสงอาทิตย์ไปบางส่วน ทำให้หุบเขาดูแล้วค่อนข้างมืดสลัว
ที่ไกลๆ ในถ้ำซ่อนเร้นบนที่สูงแห่งหนึ่ง ตอนนี้มีผู้หญิงสวมชุดแดงคนหนึ่งลืมตาขึ้นมาจากการนั่งสมาธิ เผยให้เห็นแสงประกายวาววับ
ผู้หญิงคนนี้บนหน้าสวมหน้ากากเอาไว้ ข้างกายมีเคียวยมทูตผีร้ายขนาดมหึมาเล่มหนึ่งวางอยู่ เป็นชิงชิวนั่นเอง
นางมาที่นี่ได้ครึ่งเดือนแล้ว เป้าหมายก็คือขบวนสินค้าหินเมฆมารดรที่กลับมาพวกนั้น
ขบวนสินค้าพวกนี้มีเล็กใหญ่ เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นชิงชิวจึงปล่อยขบวนสินค้าขนาดเล็กหลายๆ ขบวนไปก่อน เตรียมตัวว่าที่ไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือขึ้นมาก็จะปล้นขบวนที่ใหญ่ที่สุด
‘มาแล้วๆ!!’ ในยามที่ขบวนสินค้าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่สวี่ชิงและนายกองอยู่เข้าใกล้พื้นที่นี้ ในสมองของชิงชิวก็มีเสียงของผีร้ายดังขึ้นมาทันที
‘ขบวนสินค้าขบวนนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เจ้าให้ข้าไปตรวจสอบเมื่อก่อนหน้านี้ พวกมันมาจากรัฐยอดฟ้า เขตปกครองบูรพารกร้าง แม้จะมาจากรัฐเล็กๆ แต่หินเมฆมารดรที่บรรทุกมาครั้งนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย’
“เมื่อครู่ข้าลองสัมผัสดู ในนั้นมีผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายร้อย ระดับแก่นลมปราณมีไม่มาก ที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับหกวังสวรรค์!”
“พวกมันนี่แหละ หกวังสวรรค์ก็เหมาะที่จะให้พวกเราตายตกไปกับพวกมัน!”
จากเสียงคำรามอย่างกำเริบอวดดีของผีร้าย ประกายเย็นเยือกในดวงตาชิงชิวฉายวาบ ในขณะที่พลังบำเพ็ญในกายโคจร ทั่วทั้งร่างก็แผ่ประกายแสงสีแดงออกมา ภายใต้การสำแดงเคล็ดวิชาลับของตัวเองก็มีระลอกคลื่นกำลังรบหกวังสวรรค์
แม้หลายเดือนนี้ในที่สุดพลังบำเพ็ญของนางก็ทะลวงระดับได้ สร้างวังสวรรค์ได้สี่วังสวรรค์ เมื่อรวมกับเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิและเคล็ดวิชาลับ กำลังรบของนางก็ถึงระดับหกวังสวรรค์
‘จากระดับความเร็วของพวกเขา หลังจากหนึ่งก้านธูปก็จะมาถึงพวกเราตรงนี้!’
เสียงของผีร้ายแฝงด้วยความตื่นเต้นลิงโลด เพียงแต่เห็นได้ชัดเลยว่ามันสัมผัสถึงนายกองกับสวี่ชิงหลังจากที่ทำการอำพรางไม่ได้ และชิงชิงไม่ว่าจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งสองจะอยู่ในขบวนสินค้า
ดังนั้นนางจึงเลียริมฝีปาก ประกายเย็นเยือกในดวงตายิ่งรุนแรง รอคอยเงียบๆ
ขณะเดียวกัน ในขบวนสินค้า สวี่ชิงเงยหน้ามองไปที่ไกล ในจิตใจของเขาเพิ่งมีเสียงของบรรพจารย์สำนักวัชระดังมา
“นายท่าน เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ว่ามีจิตเทพวิญญาณศัสตรากวาดมา เป็นเคียวยมทูตผีร้ายของผู้หญิงชุดแดงคนนั้น”
คิ้วของสวี่ชิงเลิกขึ้น
นายกองที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน มองไปที่ไกล สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีวิธีรับรู้ของตัวเองเหมือนกัน
‘น่าสนใจ เจ้าเองก็สัมผัสได้เหมือนกันใช่หรือไม่’ นายกองยิ้มๆ หันหน้าไปส่งกระแสจิตหาสวี่ชิง
การที่นายกองสัมผัสได้ สวี่ชิงไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไร หลังจากที่ดวงตาฉายแววขบคิด เขาก็ส่งกระแสจิตตอบ
‘หากเป้าหมายของนางไม่ใช่ขบวนสินค้าขบวนนี้ พวกเราก็ไม่ต้องเจอกับอุปสรรคแล้ว’
‘หากใช่เล่า’ นายกองยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
‘ฆ่าในเขตปกครองผนึกสมุทรจะถูกตรวจสอบได้ จับเป็นเมื่อไปถึงเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แล้วฆ่า’ สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
‘จะฆ่าให้ตายจริงๆ อย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ ดี ก่อนฆ่าดูสิว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ใส่หน้ากากทุกวัน’ นายกองหรี่ตามองสวี่ชิง ในดวงตาฉายแววหยอกล้อ
สวี่ชิงประหลาดใจ ขมวดคิ้ว
พลบค่ำ
แสงยามอาทิตย์อัสดงสาดทอสู่โลกสลัวรางเลือน ในยามที่สาดลงมาที่หุบเขาก็ยิ่งมืดสลัว ทำให้หุบเขาก้าวสู่ราตรีมืดเร็วกว่าที่อื่น
จากการเคลื่อนไปข้างหน้าของอสูรผิวแดงสี่ขาหลายร้อยตัว พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่ขาดสาย เสียงสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่งจู่ๆ ดังมาจากข้างหน้าของขบวนสินค้า
พื้นดินตรงนั้นพลันระเบิดออก ท่ามกลางเศษหินนับไม่ถ้วนที่กระเด็นไปทั่วมีอักขระค่ายกลแต่ละทางๆ พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้า ราวตาข่ายผืนหนึ่งปกคลุมมาทั่วทุกทิศ
ทั้งยังมีแสงสีเลือดราวทะเลเลือดสาดลงมา ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้หุบเขาแห่งนี้แดงฉานท่วมฟ้าไปในทันที
ท่ามกลางเสียงร้องแตกตื่นตกใจและความปั่นป่วนวุ่นวาย เงาร่างผอมแห้งร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากท้องฟ้าที่สลัวรางเลือน สวมชุดคลุมยาวตัวโคร่งสีแดง หน้ากากงดงามปราณีตสีขาว ถือเคียวยมทูตผีร้ายขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง
จังหวะท่วงทำนองโบราณที่เหมือนสวดท่องก็ดังก้องมาในฟ้าดิน ณ เสี้ยวพริบตานี้เองจากการปรากฏขึ้นของเงาร่าง
“นอกวิถีแบกรับชะตาสวรรค์ รอยมรรคายากค้นหา โยวเสวียนจักรพรรดิแห่งข้า ประทานพรต้อนรับ วิญญาณรบประทับร่าง ช่วยข้าผู้เป็นสาวก เริ่มเดินทางนอกวิถี!”
ในยามที่เสียงสวดท่องทำนองจังหวะโบราณดังไปทั่วทุกทิศ ฟ้าดินก็ได้รับผลกระทบจากพลังบางอย่าง ทำให้ในหุบเขาแห่งนี้เกิดลมเย็นเยือกเป็นระลอก
ลมนี้หอบม้วนซึ่งทุกสิ่ง ทุกที่ที่พาดผ่าน ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่สัมผัสทุกคนล้วนเนื้อตัวสั่นสะท้าน คล้ายถูกความเย็นยะเยือกโจมตี จิตใจเกิดความหวาดกลัวเป็นระลอกๆ
และลมเย็นเยือกนี้ก็พัดมาจากทุกด้าน เพียงพริบตาก็รวมมารอบๆ เคียวยมทูตผีร้ายในมือของหญิงชุดแดง
ดวงตาของผีร้ายพลันกะพริบส่องแสง ทอประกายสีแดงฉาน จากนั้นก็พลันอ้าปากกว้างกัดไปยังแขนของผู้หญิง
เสี้ยวขณะต่อมา หญิงชุดแดงสะท้านเฮือกไปทั้งร่าง รอบกายมีเงาซ้อนทับเกิดขึ้นทันที คล้ายว่ามีวิญญาณรบในฟ้าดินถูกเหนี่ยวนำมา ผสานไปกับร่างของนาง
พอเห็นได้รางๆ ว่าวิญญาณรบนั่นเป็นขุนพลหญิงสวมเกราะคนหนึ่ง ปรากฏข้างหลังหญิงชุดแดง เพิ่มพลังบำเพ็ญให้กับนาง
ภาพนี้ทำให้หญิงชุดแดงในเสี้ยวขณะนี้เหมือนทูตแห่งความตาย จะกระชากเกี่ยวชีวิตทั้งหมด
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น ยิ่งมีแสงสีแดงมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างของนาง ทำให้นางกลายเป็นต้นกำเนิดของแสงเลือดในหุบเขาแห่งนี้
นั่นคือเขตแดนจิตโลหิตของสำนักเซียนล้ำบารมี!
ในเสี้ยวพริบตาที่สำแดงมีอีกบุคลิกหนึ่งปรากฏขึ้นแทนที่ชิงชิว ยึดครองการควบคุม
ดังนั้นเสี้ยวขณะต่อมา เสียงหัวเราะแปลกประหลาดก็ลอยออกมาจากปากของชิงชิวที่ลอยต่ำลงมา ดังออกมาอย่างโอหังกำเริบ
เสียงหัวเราะรวมกับสีหน้าทำให้คนรู้สึกถึงความบ้าคลั่งสุดขีดอย่างหนึ่ง เสี้ยวขณะต่อมาความเร็วของนางก็ปะทุขึ้น หลอมรวมกับแสงสีเลือด หอบม้วนมาด้วยทะเลสีเลือดอย่างรวดเร็วมาทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
เคียวยมทูตผีร้ายในมือวาดแหวกผืนฟ้า ใบเคียวอันคมกริบคล้ายกรีดมิติขาด ทุกที่ที่พุ่งผ่านฟ้าดินล้วนเปลี่ยนสี ลมเมฆโหมทะลัก
ไม่มีใครต้านทานนางได้เลย
ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่สายเลือดไม่ธรรมดาเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตนนั้น ตอนนี้ท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วคิดขัดขวาง ทว่าแม้เขาจะมีกำลังรบหกวังสวรรค์แต่ด้านความเร็วก็สู้ชิงชิวไม่ได้
อย่างไรพวกเขาเป็นขบวนขนส่งสินค้า ไม่ใช่องค์รักษ์ชุดดำที่รับผิดชอบการฆ่าสังหาร
ชิงชิวไหวตัวเพียงเล็กน้อยก็หลบได้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะชั่วร้ายแปลกประหลาดเป็นชุดนั่น จิตสังหารรุนแรง พุ่งตรงไปยังกลุ่มคน
“หึๆๆๆ”
ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทุกตนไม่อาจหลบได้เลย จากการกวาดมาของเคียว ก็ถูกเกี่ยวร่างไปในทันที น่าอนาถสังเวชเป็นอย่างยิ่ง
หญิงชุดแดงโหดเหี้ยมอำมหิต แข็งแกร่งไม่อาจต้านทาน เห็นได้ชัดว่านางจะฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่
ท่ามกลางการฆ่าล้าง เลือดสดๆ สาดกระเซ็นมาทั้งบนร่างและใบหน้าของนาง ทำให้ความกระหายเลือดในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้น
โดยเฉพาะท่าเลียเลือดสดๆ นั่น ความรู้สึกบ้าคลั่งแบบนั้นพุ่งจนถึงขีดสูงสุด
ชิงชิวในเสี้ยวขณะนี้ถึงจะเป็นหน้าตาที่ได้พบกันครั้งแรกวันนั้นในความทรงจำสวี่ชิง
และเป็นที่มาของคำว่าหญิงชุดแดงนั่น!
พูดได้กระทั่งว่า หากไม่มีสวี่ชิงและนายกอง อีกทั้งขบวนสินค้านี้ไม่มีไพ่ตายอะไรแล้วล่ะก็ การลอบโจมตีของชิงชิวครั้งนี้ก็น่าจะทำได้สำเร็จ
ต่อให้ขบวนสินค้านี้ซ่อนไพ่ตาย แต่กำลังรบและความเร็วของชิงชิวในเวลานี้ นางก็ยังคงสามารถช่วงชิงหินเมฆมารดรไปได้
เพียงแต่…สวี่ชิงและนายกองไม่มีทางมองชิงชิวลงมือไปเช่นนี้ เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะตายหรือไม่พวกเขาไม่สนใจ แต่จะตายก่อนที่พวกเขามุ่งหน้าไปเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
ดังนั้น ในเสี้ยวพริบตาที่ชิงชิววาดเคียวบีบจนชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นล่าถอย ทั้งยังสังหารผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไปคนหนึ่ง ประชิดขบวนรถสังหารอสูรผิวแดงสี่ขาไปสามตัว จะโบกสะบัดเคียวในมือต่อไปนั้น นายกองก็ลงมือแล้ว
เงาร่างของเขาเหินออกมาจากอสูรสี่ขาตัวที่เก้า ราวปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า เพียงพริบตาก็เปลี่ยนจากเล็กจิ๋วมาเป็นขนาดปกติ เผยให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเผ่าฟ้าทมิฬ ในดวงตายิ่งแฝงด้วยประกายเย็นเยียบ แค่นเสียงขึ้นจมูก
“เผ่ามนุษย์ บังอาจนัก!”