ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 441 วัวหนุ่มสาวเท้าหนี
บทที่ 441 วัวหนุ่มสาวเท้าหนี
บนเทือกเขาน้ำหมึก สวี่ชิงกับนายกองกำลังหลบหนีบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เกราะสีเลือดบนตัวพวกเขาตอนนี้พังไปแล้วกว่าครึ่ง บาดแผลทั่วทั้งตัวน่าสยดสยอง
มีแผลไม่น้อยกำลังเน่าเปื่อย กลิ่นอายอ่อนลงมาก
ยิ่งบนตัวคนทั้งสองยังมีบาดแผลถึงแก่ชีวิตอยู่บางแห่ง มือข้างของสวี่ชิงหนึ่งเป็นอัมพาตไปแล้ว ท้องก็มีรูหลายรู เลือดเนื้อตำแหน่งหัวใจเหวอะหวะ ราวกับเคยระเบิดแล้วฝืนช่วยชีวิตกลับมา
ส่วนนายกองก็เช่นกัน ที่หนักหนาที่สุดนอกจากบาดแผลที่ตำแหน่งไตแล้ว ยังมีที่คอด้วย ราวกับว่าอีกนิดเดียวก็จะขาดจากกัน
แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่าพลังชีวิตของเผ่าฟ้าทมิฬแข็งแกร่งจริงๆ ต่อให้มีบาดแผลเช่นนี้ แต่พวกเขายังคงเหินทะยานได้สุดกำลัง ขณะที่เลือดสาดกระจาย สายตาของทั้งสองคนยังมีแววดื้อรั้นและเย็นชาอยู่
ราวกับว่าสำหรับพวกเขาแล้วความตา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ด้านหลังพวกเขา พวกซานเหอจื่อกำลังไล่ตามมาอย่างเร็วรี่
ข่งเสียงหลงไม่อยู่ เวลานี้เขาทะยานสุดกำลังอยู่อีกด้าน รีบตรงมาที่จุดสัญลักษณ์
ขณะที่ไล่ตามมา พวกของซานเหอจื่อก็แผ่ปราณพิฆาต จิตสังหารรุนแรง ประกบปางมือ คลื่นวิชาเวทมีปราณเลือดเข้มข้นกว่าเดิม
เสียงอื้ออึงดังก้องไม่หยุดในตอนนี้ ส่วนสวี่ชิงกับนายกองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เวลานี้ในสายตานายกองมีประกายเย็นเยียบ ฉับพลันด้านหลังมีหอกยาวมากมายปรากฏขึ้น พุ่งหวีดหวิวไปด้านหลัง
นี่ไม่ใช่วิชาของเผ่ามนุษย์ แต่เป็นเคล็ดวิชาที่สำแดงออกมาของเผ่าฟ้าทมิฬ พลานุภาพตกตะลึง
การโต้กลับของสวี่ชิงเฉียบคมยิ่งกว่า สองตาเขาเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าในพริบตาพลันหันหน้ากลับมา เปลี่ยนพื้นที่ด้านหลังเป็นสีดำ ราวกับท้องฟ้าปรากฏปานดำ แผ่ขยายอย่างรวดเร็วกลายเป็นรูปร่างฝ่ามือ ตะปบไปทางพวกซานเหอจื่อ
สีดำเหมือนกลืนกินแสงตะวันได้ ทอดขึ้นไปนับร้อยจั้งในพริบตา ดูแล้วน่าตกตะลึงมาก
ภาพนี้ทำให้พวกซานเหอจื่อใจสั่น จนเกือบคิดว่าเจอกับเผ่าฟ้าทมิฬจริงๆ
นายกองทางนั้นก็ใจเต้น วิธีเช่นนี้จะเป็นวิชาเวทเผ่าฟ้าทมิฬต้นฉบับที่สุด
ท่ามกลางเสียงครืนครัน พวกซานเหอจื่อก็ไม่ถอยหนี ลงมือสุดกำลังสลายแสงสีดำเหล่านั้น ตอนที่ในใจต่างมีความคิด สวี่ชิงก็ยังไม่จบการลงมือ
ร่างของเขาหยุดทันควัน ตอนที่หันหน้าไปทางพวกซานเหอจื่อ ลมหายใจก็หอบถี่ ประกายคมสีดำในดวงตาเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง แผ่สีดำออกมามหาศาล
เขาค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น คว้าไปที่พวกซานเหอจื่ออย่างแรง
ภายใต้การคว้านี้ พลังจิตที่แข็งแกร่งระเบิดโหมขึ้นฟ้า ทำให้การคว้าของสวี่ชิงที่คว้าไปส่งๆ เปี่ยมไปด้วยพลังที่เป็นรูปธรรมแท้จริง ทว่าไม่ได้เหมือนมือยักษ์สีดำที่เป็นภาพมายาก่อนหน้า แต่เป็น…การควบคุม!
ชั่วอึดใจ ร่างของซานเหอจื่อที่อยู่ด้านหน้าสุด ดวงตาฉายแววกระเสือกกระสน แต่ไม่นานก็เลิกดิ้นรน หันหน้าไปทางหวังเฉินฉับพลัน ดวงตาเผยประกายโหดเหี้ยม
ปราณเลือดปะทุขึ้นทั่วร่าง พุ่งไปหาหวังเฉินอย่างรวดเร็วราวกับควบคุมร่างกายไม่ได้ คิดจะลงมือกับหวังเฉิน
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ ทำให้หวังเฉินหน้าเปลี่ยนสี เยี่ยหลิงก็ตกตะลึง
ทั้งสองคนไล่ตามไปไม่ทัน รีบลงมือห้ามซานเหอจื่อ เยี่ยหลิงแปลงเป็นปีศาจ พ่นเลือดสดออกมากลายเป็นกระบี่อย่างไม่เสียดาย ฟาดไปเบื้องหน้าซานเหอจื่อ
นี่เป็นเคล็ดวิชารับมือการควบคุมจิตวิญญาณโดยเฉพาะ เยี่ยหลิงนึกถึงวิธีการรับมือกับพรสวรรค์ของเผ่าฟ้าทมิฬที่ข่งเสียงหลงเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อฟันลงไป ก็มีเสียงครืนครันราวกับเส้นด้ายล่องหนบางอย่างขาดสะบั้น
ซานเหอจื่อสะท้านไปทั้งตัว กลับมาเป็นปกติ แต่สีหน้ากลับสิ้นหวัง ความพรั่นพรึงฉายอยู่ในดวงตา
หัวสมองสวี่ชิงอื้ออึงเล็กน้อย กระอักเลือดออกมา สีหน้าฉายแววอ่อนล้า หนีต่อไปโดยไม่หันกลับมามอง
ขณะที่ผ่านขบวนรถเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ด้านล่าง เขาก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย สีหน้าเย็นชา ยกมือขวาขึ้นตบที่พื้นดิน
ฉับพลันอสูรสี่ขาตัวหนึ่งก็สั่นไปทั้งตัว ถูกควบคุมให้ลอยขึ้นมากลางอากาศ ร่างบิดเบี้ยวราวกับถูกความว่างเปล่าบดขยี้อย่างเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เพียงพริบตาเลือดเนื้อก็แหลกเละ พลังชีวิตของมันถูกสูบออกมาทั้งอย่างนั้นพุ่งมาหาสวี่ชิง
เมื่อสวี่ชิงสูดเข้าไป ก็ผสานพลังชีวิตเข้าไปในร่างกาย ความอ่อนล้าบนใบหน้าหายไปเล็กน้อยอย่างชัดเจน ตอนที่คิดจะไปต่อ พวกซานเหอจื่อด้านหลังก็ไล่ตามมาอีกครั้ง
สวี่ชิงโบกมือแค่นเสียงเย็นชา ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายสิบคนตัวลอยขึ้นมากลางอากาศขณะกำลังพรั่นพรึง และอสูรสี่ขาอีกเจ็ดแปดตัวก็ลอยตามขึ้นมาเช่นกัน ถูกสวี่ชิงควบคุมให้ตรงไปทางซานเหอจื่อ
ดวงตาพวกเขาเผยความเกลียดชังขึ้นในพริบตา ราวกับพวกซานเหอจื่อจะอยู่ร่วมโลกกับพวกเขาไม่ได้ คำรามพุ่งไป
เสร็จเรื่องเหล่านี้ สวี่ชิงก็ทะยานหวีดหวิวไปไกล
นายกองที่อยู่ใกล้ๆ ค่อนข้างงุนงง การแสดงของสวี่ชิงทำให้เขารู้สึกเกินคาดมาก และไม่สอดคล้องกับแผนการเท่าไร แต่เขาไม่นานก็ได้สติกลับมา สะกดระลอกคลื่นในใจ พุ่งทะยานไปกับสวี่ชิง
เหาะเหินไปไกลอย่างรวดเร็ว
กลางอากาศ พวกซานเหอจื่อโทสะคุกรุ่น ลงมือทันที ร่างของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยมาแหลกเละในพริบตาท่ามกลางเสียงครืนครัน ถูกพวกซานเหอจื่อทั้งสามกวาดล้างเกลี้ยงอย่างง่ายดาย
แต่ที่ประหลาดก็คือเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่มีใครกรีดร้องออกมา ต่อให้ในช่วงสุดท้ายก่อนตายจะยังเดียดฉันท์เต็มเปี่ยม
ส่วนบนพื้นดิน ขบวนรถเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ปั่นป่วนจากการลงมือก่อนหน้าของสวี่ชิง ผู้บำเพ็ญที่เหลือด้านล่างแต่ละคนพรั่นพรึงกันหมด แม้แต่ผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณในบรรดานั้น ก็ร้อนรนสุดขีด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
และขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพลังต่อสู้หกวังสวรรค์ก็ทะยานขึ้นฟ้าทันที
“วังครองกระบี่เผ่ามนุษย์ทุกท่าน พวกเราคือขบวนรถจากรัฐยอดฟ้าของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ มีหนังสือจากโหวเหยาเขตปกครองผนึกสมุทรของพวกเจ้า!” ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ล้วงแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาบีบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีอักขระแถวหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นเป็นอักขระของตระกูลเหยา เป็นตัวแทนของการคุ้มครอง!
เสร็จเรื่องเหล่านี้ เขาก็มองพวกซานเหอจื่อทั้งสามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พวกซานเหอจื่อทั้งสามสีหน้าปั้นยาก แค่นเสียงเย็นชาออกมา ไม่สนใจขบวนรถเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ กระโจนผ่านพวกเขาไป ไล่ไปตามทิศทางที่สวี่ชิงกับนายกองหนีต่อ
ขณะที่ไล่ตาม ทั้งสามคนก็มองหน้ากันตามสัญชาตญาณ ล้วนเห็นความสงสัยและความสั่นสะเทือนในใจ
การลงมือของเฉินเอ้อร์หนิว สำหรับพวกเขายังถือว่าปกติ แต่ของสวี่ชิงทางนั้น…ทำให้จิตใจพวกเขาโหมคลื่นยักษ์
การลงมือสองครั้งของสวี่ชิง ไม่เพียงแต่เป็นวิธีการของเผ่าฟ้าทมิฬเท่านั้น แต่พลานุภาพกลับน่ากลัว สัมผัสได้ว่าไม่ใช่เผ่าฟ้าทมิฬธรรมดาทั่วไป
กระทั่งถ้าไม่ได้เห็นการแปลงร่างของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ รวมถึงแสงหมื่นจั้งจากการหยั่งใจของสวี่ชิง พวกเขาคงรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเผ่าฟ้าทมิฬจริงๆ
โดยเฉพาะการควบคุมซานเหอจื่อที่ดูเหมือนจะควบคุมแค่กายเนื้อ แต่เยี่ยหลิงกับหวังเฉินเห็นกับตาว่าตอนนั้นซานเหอจื่อไม่ได้ถูกควบคุมแค่ร่างกาย แต่กระทั่งสติสัมปชัญญะก็ได้รับส่งผลกระทบไปด้วย
และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ส่วนรายละเอียด เนื่องจากความรเกี่ยวกับเผ่าฟ้าทมิฬของพวกเขามีจำกัด จึงยังไม่ชัดเจน แต่มีความหวาดผวาเอ่อขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
“ทั้งๆ ที่เป็นการแสดงละคร แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันสมจริงเหลือเกิน…” ซานเหอจื่อยิ้มขื่นในจิตใจ ถอนหายใจออกมา
เยี่ยหลิงกับหวังเฉินก็ยิ้มขื่นเช่นกัน ตอนที่ไล่ตามต่อร่องรอยของสวี่ชิงกับนายกองก็หายไปแล้ว ไม่นานข่งเสียงหลงก็มาถึง ออกคำสั่งให้ค้นหาต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เวลาก็เคลื่อนคล้อยผ่านไปเช่นนี้ ไม่นานกลางดึกก็มาเยือน
ถ้ำลับเร้นในเทือกเขาน้ำหมึกแห่งหนึ่ง สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิ พ่นเลือดสดสีดำออกมาเป็นระยะ รักษาอาการบาดเจ็บทั้งร่าง
นายกองนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาสวี่ชิงแสงสีดำสว่างวาบ เงยหน้าขึ้น มองจันทราบนฟ้าราตรี เอ่ยเคร่งขรึม
“ดวงจันทร์ของเขตคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีจิตวิญญาณอยู่เลย”
นายกองมองสวี่ชิง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็มองไปที่พระจันทร์ด้านนอกด้วย ถอนใจเบาๆ
“ใต้เท้า ข้าก็คิดถึงบ้านเช่นกัน”
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง คำเรียกใต้เท้า ไม่ได้อยู่ในแผนการก่อนหน้าของพวกเขา แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงราบเรียบ
“เผ่าอาภรณ์ทางนั้นที่เจ้าติดต่อไปเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราต้องซื้อลูกกลอนจันทราปีศาจฟ้าทมิฬที่เอาไว้กลายร่างเป็นเผ่ามนุษย์เร็วที่สุด”
“เผ่าอาภรณ์…หืม?” นายกองเพิ่งจะเปิดปาก แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน มองไปที่ปากถ้ำอย่างเย็นชา ภายใต้การจับจ้อง ด้านนอกถ้ำก็มีส่งเสียงฮึดฮัดออกมา
จากนั้นก็เป็นเสียงที่เร่งร้อนดังจากด้านนอก
“ข้าน้อยผู้บำเพ็ญต่ำต้อยแห่งรัฐยอดฟ้าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ขอเข้าพบนายท่านทั้งสอง”
นายกองสายตาเปล่งแสงเย็นเยียบสว่างวาบ ขณะที่จะลงมือ สวี่ชิงก็ยกมือขวาขึ้นน้อยๆ เอ่ยเสียงเรียบ
“เข้ามา”
ไม่นานเงาร่างหนึ่งก็เดินระมัดระวังมาจากปากถ้ำตามคำพูดของเขา เป็นชายหนุ่มพลังหกวังสวรรค์ในขบวนรถคนนั้นนั่นเอง
นายกองหรี่ตา เข้าใกล้สวี่ชิงอย่างสงบนิ่ง ยืนอยู่ระหว่างสวี่ชิงกับชายหนุ่ม
ตอนนี้ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนั้น หลังจากเห็นสวี่ชิงกับเฉินเอ้อร์หนิว เขาก็สูดลมหายใจลึก คุกเข่าลงทันที สีหน้าเผยความศรัทธา
“คารวะท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่ง!”
“เจ้าหาพวกข้าพบได้อย่างไร” ดวงตาดำขลับของนายกองเปล่งแสงเยือกเย็น เอ่ยแช่มช้า
“เรียนท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่ง ข้าน้อยมีสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากยิ่งอยู่ตัวหนึ่ง สามารถติดตามกลิ่นโลหิตเพื่อสืบหาร่องรอยได้…หลังจากที่ข้าน้อยเห็นท่านทั้งสองตอนกลางวัน ก็ลอบสืบหารอยเลือดมาตลอดถึงได้พบเข้า”
ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตอบกลับเสียงต่ำ
สวี่ชิงไม่พูดจา จ้องมองอย่างสงบ
“มานี่มีธุระอะไร!” เมื่อนายกองได้ยินก็เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งทั้งสอง ตอนนี้ผู้ครองกระบี่กำลังค้นหาด้านนอก ไม่ว่าท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งจะมีแผนการใดก็ยากเย็นทั้งสิ้น ไม่สู้…ให้พวกข้าคุ้มครองท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งทั้งสองท่านกลับไปยังเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ของเราก่อนดีหรือไม่ขอรับ
“หากท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งต้องการสิ่งใด รัฐยอดฟ้าของข้าจะต้องลงแรงสุดกำลังอย่างแน่นอน
“ขอเพียงหลังจากท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่งพึงพอใจ ประทานพรฟ้าทมิฬให้แก่ข้าได้!” ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้น ดวงตาเผยประกายร้อนแรง มองสวี่ชิงกับนายกอง
ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบงัน
รุ่งเช้าวันต่อมา ด้านนอกเทือกเขาน้ำหมึก อสูรผิวแดงสี่ขานับร้อยของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ก้าวเท้าก้าวใหญ่เช่นเคย ขณะที่พื้นดินส่งเสียงครืนครัน ก็เดินออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
ตัวรถบนหลังของพวกสูรสี่ขากระเด้งกระดอนไปมาจากการเคลื่อนไหว แต่หินเมฆมารดรที่บรรจุไว้ก็ไม่หล่นร่วงเลยแม้แต่ก้อนเดียว
มีเพียงผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์รวมถึงแส้พิเศษที่อยู่ในมือที่โบกหวดลงไปที่ตัวอสูรสี่ขาไม่หยุด ให้พวกมันเดินหน้าต่อไปเร็วยิ่งขึ้นขณะที่เจ็บปวด
ขณะที่วิ่งไม่หยุด โหมละอองฝุ่นบนพื้นขึ้นมา จากนั้นลมก็พัดสลายไป
มองไกลๆ ฝุ่นที่นี่ตลบอบอวลไม่หยุด ราวกับพายุคลั่ง เลือนลางไปหมด
จนถึงช่วงกลางวัน แสงตะวันเข้มข้นสาดลงมา พยายามแทรกผ่านพายุคลั่งที่กำลังเคลื่อนที่ แต่ก็ทำไม่ได้
แต่ไม่นาน…ท่ามกลางเสียงฟาดแส้เร่งเป็นระยะ เสียงคำรามของอสูรก็รุนแรงขึ้น ก็ทยอยหยุดฝีเท้า ราวกับถูกดึงบังเหียน
พายุคลั่ง ก็หยุดเช่นกัน
ตอนที่ฝุ่นค่อยๆ สลายไป ก็เผยให้เห็นร่างของอสูรนับร้อยตัว รวมถึงผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ยืนอยู่อย่างระแวดระวัง
“ผู้ครองกระบี่เผ่ามนุษย์ ไม่ทราบว่านี่หมายความว่าอย่างไร!” ในความมืดมิดมีเสียงเดือดดาลดังขึ้น ดังออกมาจากส่วนหัวของอสูรสี่ขาตัวที่เก้า
จากนั้นชายหนุ่มพลังต่อสู้หกวังสวรรค์ที่สายเลือดไม่ธรรมดาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนั้นก็ลุกขึ้นยืน มองเบื้องหน้าไกลๆ
จุดที่มอง มิติบิดเบี้ยว เพียงไม่นานก็มีร่างสี่ร่างปรากฏขึ้น
คนที่อยู่หน้าสุดคือข่งเสียงหลงที่สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตามีประกายโหดเหี้ยม กวาดไปที่อสูรสี่ขาทีละตัวๆ เหมือนกำลังค้นหา
ซานเหอจื่อ หวังเฉินร่วมถึงเยี่ยหลิงทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆ พวกเขาเวลานี้กระจายตัว คอยจับตามองอสูรสี่ขาเหล่านั้นเช่นกัน
“พวกเรามีหนังสือของโหวเหยา!” ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์สีหน้าเปลี่ยนไป เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“น่ารำคาญนัก!” ข่งเสียงหลงโบกมือ เสียงเผียะดังขึ้น ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนี้ก็กระอักเลือด ใบหน้าฝั่งขวาบวมเป่งในพริบตา ร่างปลิวไปทางข้างนับร้อยลี้ กระแทกกับหินผา
“ค้นให้ละเอียด!” ข่งเสียงหลงไม่ได้มองชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเลย เอ่ยราบเรียบ
ซานเหอจื่อทั้งสามก็ถลาเข้าไปในขบวนรถทันที ตรวจสอบอสูรสี่ขาทีละตัว ผู้บำเพ็ญทุกคนก็ถูกพวกเขาตรวจสอบ หลังจากค้นหาทั้งหมด ก็ไม่พบอะไร
ข่งเสียงหลงแค่นเสียงเย็นชา สาวเท้าจากไป ซานเหอจื่อทั้งสามเองก็ทะยานตามไปอย่างรวดเร็ว ไปหาที่อื่นต่อ
จนตอนที่พวกเขาจากไป ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คนนั้นถึงได้ลุกขึ้นยืน กลับไปที่ตัวอสูรสี่ขาตัวที่เก้า เช็ดเลือดสดที่มุมปาก เอ่ยปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดินหน้าต่อ”
ไม่นาน พื้นดินก็สั่นสะเทือน ฝุ่นตลบอบอวล ขบวนรถเคลื่อนที่ต่อไปทางชายแดน
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนมือขวาทำปางร่างกายก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ราวกับหายไปกลายเป็นฝุ่นผงขนาดเล็ก
ผิวสีแดงบนตัวอสูรสี่ขาก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด กลายเป็นแผ่นดินใหญ่สีแดงที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
บนตัวมันเต็มไปด้วยทางน้ำเซาะเป็นแนวขวางตามภูเขา และยังมีขนกึ่งโปร่งใสอีกนับไม่ถ้วน ราวต้นไม้ราวเสา แต่อ่อนนุ่มมาก
ตอนนี้ ในเงามืดที่ขนขนาดใหญ่เส้นหนึ่งในนี้โน้มลงมาจนเป็นฝาบดบังแสงตะวัน สวี่ชิงกับนายกองกำลังนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่ด้านใน
“คารวะท่านผู้มาจากเผ่าสูงส่ง ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ผู้ครองกระบี่จากไปแล้ว” ชายหนุ่มเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มาถึงอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงต่อหน้าสวี่ชิงกับนายกอง ดวงตามีประกายร้อนแรง